ความคิดเห็นที่ 1 ตาม คลิปวิดีโอนี้..http://www.youtube.com/watch?v=9ON2m-F8Dj0  อาจารย์ท่านนี้ บอกว่า.โรงเรียน ไม่สอนให้คิด ไม่สอนให้โต้แย้ง ให้ใช้จินตนการ .ใช้แต่การท่องจำ.ความรู้เต็มเปี่ยม มากกมาย ล้นสมอง เรียนทั้งวัน. แต่กลายเป็นโง่ โง่มากขึ้นๆๆ.  "ก็ใช่นะซิครับ.ก็เพราะครูมันโง่ .มันไม่รู้จริง.จบมาแบบงูๆปลาๆแต่ได้.สิทธิคุ้มครองไม่ต้องมีคนแข่งขัน" ไหนละครับ. ผู้บริหารกระทรวง.ที่คุยโวโอ้อวด.ว่า ผลงานการปฏิรูปการศึกษากำลังไปในทางที่ดีแล้ว. กำลังมีความก้าวหน้า. กำลังพุ่งไปข้างหน้า.  เราจึงต้องกฎ.ไม่ให้คนจบจากที่อื่นที่ไม่ใช่ ราชภัฎมาเป็นครู ได้ต่อไป  เราจึงต้องเพิ่มเงินเดือน เพิ่มเงินประจำตำแหน่งให้ครูมากขึ้นอีกต่อไป   เพิ่มซี เพิ่มสายสะพาย.เหรียฐตรา.ยศตำแหน่งให้ครูมากขึ้นไปอีก. แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 55 20:51:53 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 19:58:24

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วสำหรับวันนี้. ปรับแผนการศึกษากัน.แล้วจุดปัญหาทำไมไม่แก้               http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=663421 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 20:02:07

ความคิดเห็นที่ 3 เคยเล่าให้ฟังในกระทู้ ความเป็นมาของใบประกอบวิชาชีพครู จะเล่าให้ฟังอีกครั้ง --------------------------------------------------------------------------- หลายสิบปีก่อน นักเรียนม.ปลายสอบentranceเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ รัฐบาลจึงเปิดวิทยาลัยครูขึ้นทั่่วประเทศเพื่อให้นักเรียนเหล่านี้เรียนระดับอุดมศึกษา เมื่อมีการเปิดสอบบรรจุครูในแต่ละพื้นที่ บัณทิตครูจากวิทยาลัยครูนักแสนแห่ไปสมัคร ผลการสอบเหมือนกันทุกที่ แทบไม่มีบัณทิตครูสอบได้ คนที่สอบได้ล้วนแต่จบจากสาขาอื่นเกือบทั้งหมด วิทยาลัยครูเสียชื่อเสียง จนต้องปรับเปลื่ยนมาเป็น สถาบันราชภัฎ บัณทิตครูและนักศึกษาวิทยาลัยครูทั่วประเทศ หลายแสนคน เดินขบวนประท้วง เรียกร้องให้รัฐบาลออก พรบ ใบประกอบวิชาชีพครู ห้ามบัณทิตที่จบจากสาขาอื่นมาเป็นครู คุณภาพของครูไทยจึงตกต่ำลงเรื่อยๆนับแต่นั้น คุณภาพการศึกษาไทยก็ตกต่ำลงนับแต่นั้นมา จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 20:28:37 A:58.11.12.93 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณ คุณ คนไทย  คห. 3 ที่ให้ความกระจ่าง ครับ..... จากคุณ : ~ทิดฉ่ำ~ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 20:51:54

ความคิดเห็นที่ 5 ทำไมถึงเป็นแค่ราชภัช ล่ะครับ ที่ อื่นๆ ก็ มีสาขา ครุศาสตร์ ด้วย นะครับ แต่ ทำไม เน้น ราช ภัช ที่อื่นไม่ อยาก ไปสอบ ครู รึปล่าว ครับ จากคุณ : Mr Postman เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 21:13:41 A:124.120.108.129 X: TicketID:386199

ความคิดเห็นที่ 6 ที่อื่นนะปีหนึ่งคงไม่กี่พันแต่ ราชภัฎปีหนึ่งเป็นแสน.ๆ การออกกฎหมายมาราชภัฎได้ประโยชน์เต็มๆ.คู่แข่งที่เป็นเด็กเรียนเก่งๆทั้งหมด.หายไปทันที จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 21:17:56

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกะทุก คห . ที่พูดมาค่ะ จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 23:00:33

ความคิดเห็นที่ 8 ความรุ่งเรืองของธุรกิจติวเตอร์ทุกวันนี้  มันเป็นมุมกลับที่สะท้อนให้เห็นถึงความด้อยคุณภาพของการศึกษาภายในโรงเรียน ถ้าครูในโรงเรียนสอนดีมีคุณภาพ  พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียเงินมากมายส่งลูกไปกวดวิชา เด็กก็ไม่ต้องเรียนกวดวิชากันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังและธุรกิจติวเตอร์ก็คงไม่ร่ำรวยและเป็นที่นิยมแบบทุกวันนี้ จากคุณ : ekkie เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 23:06:17

ความคิดเห็นที่ 9 ติวเตอร์ดัง ๆ มีก็ อ.อุ๊ ที่จบครูมาแบบ เกียรตินิยมอันดับ 1 นอกกะนั้นไม่เห็นมีใครจบครูมาซักคน มีแต่เหรียญทอง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต โอลิมปิค อะไรเทือกนี้ทั้งนั้น จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 23:26:02

ความคิดเห็นที่ 10 ปัญหาคือปล่อยให้บัณฑิตที่ไม่มีศักยภาพจบออกมาได้มากกว่า หลักสูตรวิชาเอกในระดับมหาวิทยาลัยไม่เอื้อต่อเนื้อหา ความรู้พื้นฐาน ของเด็กมัธยม ผมเคยคุยกับครูรุ่นน้องพี่จบราชภัฏแห่งหนึ่งสาขาครุศาสตร์-คณิตศาสตร์ น้องบอกว่าจบแบบไม่มีความรู้เรียนให้ผ่าน ๆพ้น ๆ ยิ่งวิชาจำพวกพิสูจน์ พีชคณิตเชิงนามธรรม อะไรจำพวกนี้แทบจะไม่มีคนเข้าใจเลย น้องยอมรับว่าตอนที่เรียนไม่ได้ตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้อย่างเต็มที่ แต่ก็พอจะเห็นว่าน้องเขามีความรู้ด้านคณิตศาสตร์มากกว่าครูคณิต ที่จบ เคมี บัญชี ม.รัฐแห่งหนึ่ง จริงๆ ความรู้ระดับมัธยมมันสามารถดึงศํกยภาพออกมาได้ ผมว่าปัญหาอยู่ที่วิทยาลัยครู คณะครุศาสตร์ทั้งหลาย ไม่สามารถดึงศักยภาพของผู้เรียนออกมาได้ในจำนวนที่มากพอ แล้วก็เข้าใจแบบหลงทิศหลงทางว่าครุศาสตร์คณิตศาสตร์ ถ้าได้เรียนแบบวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์แล้วจะมีศักยภาพ เิพิ่มขึ้น จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 00:45:51

ความคิดเห็นที่ 11 อ๋อแล้วก็อย่าได้เถิดทูนติวเตอร์ทั้งหลายว่าสร้างความสำเร็จด้านการศึกษาให้ประเทศชาติ โดยทั่วไปแล้วทุกคนน่าจะผ่านการเรียนระดับมหาวิทยาลัยมา คงเห็นแล้วว่า การเรียนมหาวิทยาลัยต้องการความความรู้พื้นฐานที่แน่นและแม่นยำ มากกว่าเทคนิค สูตรลัดในการคำนวน ไม่ใ่ช้ว่าทุกคนที่กวดวิชาแล้วจะสอบเข้า ทำคะแนนได้เยอะ คนที่ทำคะแนนได้เยอะนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจากพื้นฐานที่ดีพอสมควร แล้วพื้นฐานเหล่านั้นมาจากไหนถ้าไม่ใช่โรงเรียน ติวเตอร์เองก็รู้ดีว่า การสอนกวดวิชาจะสำเร็จไม่สำเร็จขึ้นกับพื้นฐานของผู้เรียนที่ติดตัวมา ถ้าพื้นฐานไม่ดีสร้างยังไงก็ไม่แข็งแรง ถึงสร้างได้ไปเรื่อยมันก็รอวันล้มตอนเรียนมหาลัยอยู่ดี จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 00:54:26

ความคิดเห็นที่ 12 คนเก่ง ไม่มีอำนาจ   เครื่องมือมี แต่ไม่มีโอกาส คนมีอำนาจ ไม่เก่ง   โอกาสมี แต่มีเครื่องมือห่วยๆ จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 01:05:25

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยกับคุณ จขกท กับ คุณคนไทย เรื่องที่พวกคุณ 2 คนพูดมาทั้งหมดควรเป็นวาระแห่งชาติให้ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นและโต้วาทีกันบนเวทีเปิด เท่าที่ผ่านมาในห้องสมุด pantip การโต้วาทีในญัตติที่ว่า "กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูทำลายระบบการศึกษาไทย จริงหรือไม่" เถียงไปแล้วฝ่ายค้านซึ่งเป็นครูที่มีใบอนุญาตที่มีจำนวนเยอะกว่ามากกว่า ใช้ arguments ที่ invalid มากๆ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วงประเทศชาติอย่างแรง คือที่เราพูดเหมือนๆ จขกท และคุณคนไทย นั่นก็เพราะว่า "รำคาญการเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม" และ "เป็นห่วงที่เด็กไทยได้ครูที่ไม่เก่งไป" แต่ฝ่ายค้านเถึยงด้วย lame logic (ตรรกะพิการ) อย่างเช่น "ถ้าคุณเก่งจริงก็ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูสิ" ^ เจอครูใช้ lame logic แบบนี้น่าสงสารประเทศชาติมากๆ ก็เราใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพนี่น่า ส่วนใหญ่รับแปลเอกสารและบ่อยครั้งที่มีคนมาขอให้เราสอนภาษาอังกฤษให้  เราเลยตอบเขาไปว่า จริงๆแล้วเราแค่ชอบค้นคว้าศาสตร์เรื่อง teaching English as a foreign language หรือ teaching English to speakers of other langages ก็เลยค้นคว้าเรียนรู้เรื่องพวกนี้โดยเป็นการส่วนตัว (โดยเรียนจากตำราต่างประเทศ และเคยทดลองสอนจริง)  แต่ไม่เคยคิดอยากเป็นครูในระบบ ที่สอนนี่สอนเล่นๆสนุกๆ (แต่ตอนนี้ขี้เกียจสอนมาตั้งหลายเดือนแล้ว เพราะมีงานแปลเอกสารราคาแพงๆมาเยอะมากๆ เราเลย cancelled นักเรียนไปหมด) และเราโต้ตอบคนที่ท้าเราสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู ไปว่า "ถ้าอยากจะแข่งจริงๆเรื่องความสามารถในการสอน โดยเฉพาะสอนภาษาอังกฤษ เรารับคำท้า แต่ไม่ใช่แข่งแบบไร้สาระโดยการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูที่ไม่ได้ทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ แต่ให้มาแข่งลงแข่งกันทั้งทฤษฎีและปฏิบัติกัน โดยแข่ง 2 อย่าง 1. เขียน thesis เป็นภาษาอังกฤษ ในระดับปริญญาโทแข่งกันในเรื่องปัญหาด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย แล้วส่งให้คณาจารย์ของ University of Cambridge ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน teaching English to speakers of other language ตรวจให้คะแนน แข่งกัน 2. ลงสนามสอนภาษาอังกฤษจริงแล้ววัดผลแข่งกัน เราตอบไปแบบนี้ แต่ไม่เห็นคนท้าให้เราไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูมีใครสักคนกล้ารับคำท้าเลยสักราย แต่พวกเขากลายเป็นใช้ fallacy ที่เรียกว่า poisoning the well (ตีปลาหน้าไซ) โดยการ discredit เรา (แทนที่จะเถียงให้มีเหตุผล) ตั้งแต่ 1. คุณต่อต้านกฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครู คุณเป็นคนชั่วร้าย ไม่สมควรเป็นครู 2. คุณไม่จบปริญญาตรีมา คุณไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะโต้แย้งได้ว่ากฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูมันไม่ถูกต้อง (ใช่ เราไม่จบปริญญาตรีมา แต่เรารับจ้างเขียน papers เป็นภาษาอังกฤษให้คนเรียนจบปริญญาโทกับปริญญาเอกมาเยอะ จนนับไม่ถ้วนแล้ว) ^ พอเราแย้งว่า arguments แบบท้าให้ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูมันฟังไม่ขึ้น ถ้าจะท้าแข่งกันต้องท้าแข่งวิชาที่จะสอนกันมันถึงจะถูกต้อง อีกคนก็เข้ามาใช้ arguments ที่น่าสงสารที่สุด โดยพูดว่า 4. ในฐานะที่เป็นนักศึกษาวิชาศิกษาศาสตร์นะคะ ขอบอกได้เลยว่าถ้าคนที่ไม่ได้เรียนศึกษาศาสตร์มาสอนหนังสือได้ก็สมควรให้ยุบคณะศึกษาศาสตร์ซะ ^ เรามาเขียนออกเป็น syllogism ดูกัน premiss 1: คณะศึกษาศาสตร์ผลิตครู premiss 2: คนไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ conclusion: ดังนั้น จึงต้องยุบคณะศึกษาศาสตร์เสีย! ^ ตรรกะพิการจริงๆ อยากรู้ว่าหนูเรียนมหาลัยไหนเนี่ย (ไม่บอกชื่อมหาลัยก็เดาได้) ป่านนี้หนูเรียนจบไปแล้วและออกไปสอนให้เด็กใช้เหตุผลแบบนี้ไปแล้วใช่ไหม?  ใช่คนไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าคนจบศึกษาศาตร์จะต้องสอนไม่เก่งกันทุกคนนี่นา ^ ที่พวกเราบ่นๆๆๆๆ กันน่ะ มันหมายถึงคนจบศึกษาศาสตร์ที่สอนไม่เก่งเพราะมันจบจากมหาลัยปลายแถว (น่าจะเป็นมหาลัยที่หนูกำลังเรียน) ต่างหากละ และคนจบศึกษาศาสตร์ที่เก่งๆด้านการสอนและเก่งพอที่จะเป็นนักวิชาการด้านการศึกษาที่ทำงานประสานงานกับครูที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา มันก็เป็นความเป็นไปได้อีกด้วยเช่นกัน ^ แล้วจะไปยุบคณะศึกษาศาสตร์ (ของทุกมหาลัย) ทำไมกัน ถ้าจะยุบก็ยุบมหาลัยที่หนูเรียนจะดีกว่าอะนะ ^ เวรกรรมจริงๆ นี่ถ้าคนที่กำลังจะเรียนจบปริญญาใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานแบบนี้ แล้วประเทศชาติให้เงินเดือนคนตามวุฒิการศึกษา ประเทศชาติมันถึงไม่เจริญยังไงล่ะ พอนักศึกษาคนนั้นอาย พวกเขาก็เข้ามาถล่มเราด้วย Ad Misericordiam โดยการพูดว่า 3. คนอวดฉลาดดูถูกคนอื่นว่าโง่นี่ถ้าผมเป็นผู้ปกครองผมไม่ส่งเด็กไปเรียนด้วย ^ อันนี้เป็น fallacy ที่เรียกว่า Ad Misericordiam (เรียกคะแนนสงสาร) จากนั้นฝ่ายค้านก็รุมถล่มเราด้วย poisoning the well ต่อโดยมี arguments แบบคนเรียนจบสูงๆแต่สติปัญญาต่ำๆ คือเล่นงานเราแบบนี้ 4. คุณแก่เกินไปที่จะเป็นครู ^ เราก็เถียงว่า "ข้าไม่ได้อยากเป็นครู ข้าแปลเอกสารอยู่ดีๆ แต่มีคนมาขอให้สอนภาษาอังกฤษให้" แล้วอีกรายหมดภูมิปัญญาจริงๆ เลยเถียงแบบนี้ 5. โถๆๆๆๆ ทำอวดฉลาด พิมพ์แค่นี้ก็ยังพิมพ์ผิดเลย! ^ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พวกคุณทำให้เราขำ เราหัวเราะขำมากๆกับระบบสมองคุณ แต่พอหัวเราะเสร็จเราต้องร้องไห้สงสารเด็กไทยที่มีครูโต้วาทีแบบนี้ ถ้าครูหลายๆคนโต้วาทีแบบนี้แล้วพวกเขาจะเอาสมองที่ไหนมาสอนเด็กกัน...!!!?? สรุป ดังนั้นเราอยากให้ทุกคนที่อ่านกระทู้นี้ พยายามผลักดันให้ญัตติ "ใบอนุญาตครูทำลายระบบการศึกษาไทย จริงหรือไม่" กลายเป็นวาระสำคัญระดับประเทศชาติให้ทุกคนในประเทศมาถกกันดีๆ อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ยกพวกถล่มกันแบบ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แบบที่เห็นๆกันในกระทู้ pantip จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 01:57:13

ความคิดเห็นที่ 14 ครูที่ต้องการ ต้องมีคุณลักษณะ 2 อย่างนี้ 1. ความรู้แน่น 2. มีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ได้ดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ คนที่มาเรียนครูบางคน ขาดข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้ (หรือบางคนยิ่งกว่านั้นคือขาดทั้งสองข้อเลย) ก็เลยทำให้ประสิทธิผลในการสอนไม่เกิดขึ้น ซึ่งในสองข้อนี้ ส่วนตัวคิดว่าข้อที่ยากกว่าก็คือข้อ 2 เพราะข้อ 1 พอสร้างกันได้ แต่ข้อ 2 มันกึ่ง ๆ จะเป็นพรสวรรค์ของแต่ละคนซึ่งสอนกันได้ยาก ดังนั้นทางแก้ปัญหาครูก็คงจะต้องอยู่ที่ว่า จะแสวงหาคนที่มีคุณสมบัติข้อ 2 มาได้อย่างไร ถ้าหาได้แล้ว เรื่องเติมข้อ 1 ลงไปก็ไม่ได้ยากเย็นเกินไป จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 02:01:21

ความคิดเห็นที่ 15 มีคนเล่าให้ฟัง ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็คงขำไม่ออก. ช่วงหนึ่ง.ก่อนจะมีการออกฎหมายใบวิชาชีพครู.ผู้ใหญ่ในกระทรวงรวมกลุ่มกันไปงานคืนสู่เหย้าศิษย์เก่า.วิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง.ปรากฎว่าน้องๆนักศึกษาวิทยาลัยครูก็มาบ่นว่า รุ่นพี่ๆ จบไปสอบแข่งขันสู้พวกมหาวิทยาลัยปิดต่างๆไม่ได้เลย.ตกงานกัน อยากเป็นครูก็ไม่ได้เป็น.ให้ผู้ใหญ่รุ่นพี่ช่วยหน่อย.  กลับมา.พวกนี้เลยมานั่งเขียนโครงการฯเหตุและผล.เอาเรื่องไร้สาระมาเป็นข้ออ้าง.เช่นเรื่อง.ต้องสร้างาจิตสำนึก/จิตวิทยา/เจตนคติ.มโนคติ.เกี่ยวกับการสอน.เป็นเรื่องที่ต้องเรียน อีก 1 ปี.ว่าแล้วก็ออกกฎหมายให้เรียนอีก1ปีเป็น ห้าปี.ใครไม่เรียน.ก็อดเป็นครู.  แค่นี้.พวกจบมหาวิทยาลัยต่างๆเช่น คณะอักษรฯ คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ คณะอุสาหกรรมศาสตร์.หรือแม่กระทั่งคณะช่างต่างๆ..ถูกกีดกันโดยทันที.เพราะพวกนี้.ไม่ได้รับการบ่มเพาะ พวก..จิต..ทั้งหลาย.  ถามว่าถ้าคุณมีลูก.พอเรียนได้ดี.จะให้ลูกไปอยู่ในวิทยาลัยครู ราชภัฎไหม.ชื่อชั้นสิ่งแวดล้อมก็ไม่ดึงดูดแล้ว.  เขามีสิทธิที่จะไปเรียนคณะดีๆ.แต่พวกผู้ใหญ่ ไม่มีสิทธิไปริดรอนเขาไม่ให้หมดหวัง.ที่จะได้เป็นครู  นี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการร่วมกันทำลายการศึกษาชาติอย่างชัดๆเลยนะ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 10:05:35

ความคิดเห็นที่ 16 บาง ทีขึ้น อยู่ ทั้ง 2 อย่างนะครับแต่ตอนนี้ให้ครูเป็นหลักให้เด็กดี กว่าครับ ถ้า ไป สอนห้อง คิง ยังไง เด็กก็ทำคะแนน ได้ดี ฉะนั้น ถ้าจะวัดครู เก่งไม่ เก่ง ต้อง สอน ระดับ กลาง หรือ ระ ดับ ท้ายครับ แล้ว ดู ผล ว่าเด็ก เข้าใจ มากน้อยแค่ไหน ห้อง กลางอาจมีปัจจัย + มากกว่าหน่อยครับ แล้วแต่คน แยกเป็น กลุ่มย่อยๆ 4-5 คน ง่ายดีครับ คะแนน จะเกาะกลุ่มครับ จากคุณ : Mr Postman เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 10:21:29 A:124.120.4.69 X: TicketID:386199

ความคิดเห็นที่ 17 คห ที่ 11 เซียนแห่งmath โรงเรียนกวดวิชาดีๆ ไม่มีใครสอนให้ท่องจำหรอกครับ อธิบายเหตุผลอย่างชัดเจน ที่มาที่ไป ความจริง ต้องขอบคุณ โรงเรียนกวดวิชาที่ช่วยให้เด็กๆส่วนหนึ่งได้มีความรู้อย่างที่ควรจะมี จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 11:17:33 A:58.11.3.120 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นใจประชาชนคนไทยผู้รักชาติ ครูดีมีความสามารถ และเด็กๆ อนาคตของทุกคนที่ต้องอยู่ในยุคมืดของระบบการศึกษาไทย(ที่ดูแล้วมีแต่ความสิ้นหวัง) เข้าใจ(เอาเอง)ว่าครุสภาต้องการยกระดับมาตราฐานความเป็นครูโดยอุปโลกน์ชุดความคิดทำนองที่ว่า "อาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง เหมือนแพทย์ วิศวะ นักบัญชี ทนายความ จึงจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ" จริงๆ ผมก็เห็นด้วยว่ามันเป็นวิชาชีพชั้นสูงจริงๆ ไม่ใช่ใครจะมาทำก็ได้ เพราะคนที่จะเป็นครูได้ต้องเก่งทั้งวิชาการ ขยันอดทน มีทักษะในการถ่ายทอดสูง ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง มีความรักความเมตตาต่อศิษย์ คุณธรรมสูง ฯลฯ แม้กระบวนการผลิตครูไม่ว่าจะเป็นการเรียนป.ตรีครู 5 ปี หรือการคัดกรองโดยให้สอบ 9 มาตรฐานสำหรับคนที่ไม่ได้จบครูจะเป็นแค่สิ่งสมมุติ ไม่มีนัยสำคัญกับคุณภาพการสอนโดยเฉลี่ย หรือเป็นตัวบ่งชี้คุณสมบัติที่ว่ามา และยิ่งเทียบชั้นไม่ได้เลยกับการคัดกรองอย่างสาขาวิชาชีพอื่นๆ ก็ตามที แต่ก็พอเข้าใจว่าเป็นการปลอบใจตัวอย่างหนึ่งของคนกำหนดนโยบาย(สร้างฐานเสียง)และคนบางกลุ่ม(กลุ่มใหญ่ซะด้วย)ที่เชื่อว่า "งานที่พวกข้าทำนี้เป็นวิชาชีพชั้นสูงเชียวนะ เพราะพวกข้าได้เรียนวิชาพวกจิตๆ ทั้งหลายเพียบเลยละ" แต่ความจริงของผลงานที่เป็นอยู่มันต่างกันยิ่งกว่านรกกับสวรรค์ ยิ่งกว่าหลังมือกับส้นเท้า คือถ้าครุสภาหรือองค์กรอะไรที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะเอาจริงเอาจังทำให้สูงส่งโนเบิลได้อย่างที่พูดจะดีมาก ความหมายคือที่ทำอยู่ตอนนี้มันคือความไร้สาระและสูญเปล่า จะมีประโยชน์อันใดเล่ากับการประกาศปาวๆ ว่า เป็นครูต้องผ่านนั้นนี้โน้นต้องมีใบนั้นนี้โน้น แต่ผลงานที่ได้ออกมาห่วยแสนห่วยเยี่ยงนี้ ครูหลายๆ คนยังคงโง่และดักดานโดยเชื่อว่า ตัวเองมีคุณสมบัติในการเป็นครูพร้อมเพียงเพราะใบกระดาษ แต่หาได้เป็นครูด้วยความสามารถและจิตวิญญาณไม่ เนื้อแท้ของการประเมินศักยภาพให้สมศักดิ์ศรีและความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่าวิชาชีพที่อุปโลกน์ขึ้นมานั้นมันช่างไร้แก่นสารและเลือนลอยสิ้นดี ระบบการตรวจสอบควบคุมนอกจากเละเทะไร้ประสิทธิภาพแล้วยังเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้อุบากว์ที่สุด ผลที่ได้ก็คืออย่างที่เห็น คุณภาพนักเรียนไทยเราโดยเฉลี่ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาตลอดทุกยุคทุกสมัย (แย่ลงไปเรื่อยๆ) ประเด็นหนึ่งที่เห็นได้ชัดและน่าสมเพสที่สุดของการศึกษาไทยคือ การประเมินคุณภาพครูจากการเขียนงานวิชาการเพื่อเลื่อนวิทยฐานะโดยใช้เงินล่อ แต่สุดท้ายผลกลับกลายเป็นช่องทางให้ครูเลวๆ เกาะกินโดยการลักลอก และทุจริตโดยวิธีการต่างๆ นาๆ แต่กลับไม่มีหน่วยงานใดสนใจคัดกรองตรวจสอบ เนื้อหางานวนเวียนลักลั่นซ้ำซากไปมา จนตอนนี้ประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นประเทศที่มีงานกระดาษที่ว่าด้วยการวิจัยการสอนอยู่เป็นตันๆ และอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก แต่ผลงานเหล่านี้หาได้ช่วยพัฒนาคุณภาพนักเรียนให้ดีขึ้นไม่ เงินภาษีของชาติต้องจ่ายเป็นเงินเดือนแพงๆ ให้กับครูที่มีแต่ผลงานกระดาษพวกนี้ผลาญไปวันๆ แทนที่จะให้ความสนใจวัดประเมินโดยดูคุณภาพของการปฏิบัติการสอน และผลดอกซึ่งก็คือตัวนักเรียนเอง น่าสงสารก็แต่ ครูดีๆ ที่ตั้งใจทุ่มเทเวลาให้กับการสอน กลับถูกมองข้ามไม่ได้รับความสำคัญ และที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าคือ ครูที่เคยดีหลายคนก็เลยถูกระบบที่ชั่วร้ายนี้กลืนกินไปในที่สุดเพื่อเงินเพื่อความอยู่รอด หรือไม่ครูที่ดีอยู่แล้วและตั้งใจดีต่อไปหมดกำลังใจ ไม่สามารถอยู่ได้ จำใจต้องถอยห่างออกจากระบบนโยบายเส็งเคร็งนี้ได้ เมื่อไรจะหยุดทำร้ายประเทศชาติ แล้วหันมาแก้ไขปัญหาจริงๆ จังๆ ซะทีนะ ผู้ใหญ่นักการศึกษาผู้ผลิตนโยบายอันบรรเจิดทั้งหลาย (จะมีใครเข้ามาอ่านบ้างไหมเนี้ย) แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 11:47:48 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 11:36:34

ความคิดเห็นที่ 19 คคห.ที่13 ครับ  "ใบอนุญาตครูทำลายระบบการศึกษาไทย จริงหรือไม่" นี่แหละครับ ตัวทำลายการศึกษาอย่างเป็นระบบ.อย่างที่คนทั่วไปมองข้ามหรือคาดไม่ถึงว่า.ใบประกอบวิชาชีพครู.จะทำลายระบบการศึกษาได้ถึงขนาดนี้ ผมไม่แน่ใจว่า.กฎหมายใบประกอบเนี่ย.ออกมาในสมัยไหน.ใช่สมัย สภานิติบัญญัติ.สนช.ของเผด็จการ คมช.ตั้งขึ้นไหม สมัยที่เขาเรียกสภาว่า.สภาปั้มกฎหมาย.ซึ่งเกือบท้้งหมด.เป็นกฎหมายของพวกข้าราชการ.ที่ต้องการใช้อำนาจ.เพิ่มอำนาจตัวเองแทบทั้งน้น กฎหมายใบวิชาชีพครู.มีใครรู้เรื่องจริงๆบ้าง.ผู้ปกครอง.ปราชญ์ ชาวบ้าน พ่อแม่เด็กรู้เรื่องไหม.ผมเองมารู้เมื่อตอน สองปีที่แล้ว.ยังตกใจว่า.มีทำไม.มีแล้วกีดกันคนเก่งไม่ให้มาเป็นครู แผนยุทธศาสตร์การทำลายการศึกษาของชาติไทยโดย ใบประกอบวิชาชีพครูนั้น.ทำเป็นขั้น  -เมื่อเห็นว่า เด็กเก่ง.หัวดีๆ ไม่ยอมเรียนครู.แต่ไปเรียนอย่างอื่น.แล้วเหลือหัวไม่ดี ที่เรียกว่า "เหลือเดนหรือ leftover ของระบบการสอบเรียนสอบแข่งขัน.ไปเรียนที่ราชภัฎ. -ดังนั้นเมื่อเด็กเก่งไม่มา จึงต้องกีดกันไม่ให้คนเก่งเหล่านั้นมาเป็นครู.เพราะครูคือหัวใจสร้างเยาวชนของชาติ.คนเก่งต้องมาไม่ได้.  -คนโง่ เหลือเดน leftover เท่านั้นจึงจะได้มาเป็นครู  - สิ่งกีดขวางทำให้เด็กเก่งๆไม่ยอมไปเรียนครู ทั้งๆมีมีอะไรยั่ว.ล่อหลอกเช่นเงินเดือนหรือฯลฯ.มากมาย ก็เพราะบรรยากาศ ค่านิยม.ทั้งความเป็นจริงทีเกิดขึ้นในการเรียนการสอนในสถาบันผลิตครู. ไม่ศึกษา ไม่มีการไขว่คว้า.ไม่มีการเรียนกันจริง ทำแต่รายงาน.ทำยังไงก็จบ ไม่มีความรู้. "และนี่แหละ.คือเป้าประสงค์ของคนไม่หวังดี.ต่อการศึกษาของชาติ. ก็คือให้.คนที่จบจากสถาบันห่วยๆ จากคนเหลือเดน leftover มาเป็นครูโดยกฎหมายคุ้มครองให้  วันนี้ ผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาของชาติ.จึง.ต่ำที่สุดในโลก.ดัง link ที่ให้ไว้ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 14:49:42

ความคิดเห็นที่ 20 ผมไม่ค่อยเห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนเท่าไรครับ ถ้าคนที่ไม่ได้จบครูมาเป็นครูได้ เด็กจะสอบได้คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์สูงขึ้น? จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 16:27:48

ความคิดเห็นที่ 21 ตอนนี้เรามองกันแต่มุมนี้นะครับ 1. จบครู สอนเก่ง   ในนี้มองว่ามีน้อย 2. ไม่จบครู สอนเก่ง  มีการพูดถึงว่ามีมาก โดยการอ้างถึงสถาบันกวดวิชา 3. จบครู สอนไม่เก่ง  ในนี้มองว่ามีมาก 4. ไม่จบครู สอนไม่เก่ง (แต่อยากจะมาสอน)  ในนี้ยังไม่มีการพูดถึงด้านปริมาณ ถ้าจะทำนโยบาย น่าจะมีการประมาณจำนวน [4] กับ [2] แล้วประเมินความเป็นไปได้มากกว่าครับ ผมเบื่อแล้วกับการเอาประสบการณ์ของนักบริหารแต่ละคนมาเล่าแล้วก็บอกว่าทำนโยบายตามนี้ โดยไม่มีข้อเท็จจริงสนับสนุน  ขอเป็นข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วยจะดูสมเหตุสมผลมากครับ (เพราะตอนนี้ข้อมูลเชิงคุณภาพเยอะแล้ว)  ถ้าปล่อย [2] กับ [4] เข้ามาพร้อมกัน แล้วทำให้สัดส่วนของ [1] + [3] น้อยกว่า [2] + [4] ก็น่าสนใจครับ แต่ลองคิดดูดีๆนะครับ ครูนี่เป็นฐานเสียงของนักการเมืองเลยก็ว่าได้ ใครจะออกนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อครู โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี อาจจะอยู่ไม่นานนะครับ ความคิดเห็นผมก็พร้อมจะฟังครับ แต่ถ้าจะตัดสินใจสร้างเป็นนโยบาย ผมของพิจารณาข้อเท็จจริงดีกว่าครับ จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 16:45:07

ความคิดเห็นที่ 22 สาเหตุของการมีใบประกอบวิชาชีพครูก็น่าจะเพื่อสงวนอาชีพไว้สำหรับคนที่อยากเป็นครูจริงๆมากกว่าครับ เพราะว่าหลักสูตรครูปัจจุบันนี่เรียนกัน 5 ปี ถ้าคนเก่งแต่ไม่อยากเป็นครูแต่แรก คงยากที่จะมาเสียเวลาเรียน แล้วที่สำคัญก็คือถ้าเกิดว่าไม่เรียนก็เป็นครูได้ ก็ไม่เห็นว่าจะต้องมีคณะที่สอนคนไปเป็นครูนี่ครับ แต่ผมการันตีได้เลยว่าถ้าถามคนที่เรียนครู คณะที่ดังๆ อย่างจุฬาฯ หรือ มศว. แล้วถามว่าก่อนจะมาเรียนกับหลังมาเรียนได้ทักษะมากขึ้นไหม  ผมว่าเขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ปัญหาที่พูดกันตอนนี้คือมหาวิทยาลัยที่ผลิตครูไม่ได้คุณภาพ ถ้าถามผมว่าให้เลือกระหว่างพัฒนามหาวิทยาลัยเหล่านั้นให้ได้คุณภาพ กับเปิดช่องให้คนไม่ได้เรียนครูมาเป็นครูได้ ผมเลือกจะพัฒนามหาวิทยาลัยเหล่านั้นมากกว่าครับ เพราะว่าไม่อย่างนั้นเราก็กำลังรื้อถอนโครงสร้างทุกอย่างที่เราสร้างมา ครู 5 ปีนี่ก็จะล้มเหลวลงไป คนที่อยากเป็นครู และควรจะได้รับการฝึกฝนทักษะอาจจะไปเลือกฝึกฝนทางสายอื่น (ที่เรียน 4 ปี) แล้วมาเป็นครูทีหลัง  เขาอาจจะเป็นครูที่ดีได้ แต่ผมว่าเขาจะเป็นครูที่ดีกว่าถ้าได้เรียนสายตรง ต่อมาก็จะกลายเป็นว่าอาชีพครูจะกลายเป็นอาชีพรองครับ  เพราะคนที่จะมาเป็นครู ถ้าไม่เรียนครูเขามีโอกาสเลือกได้มากกว่านั้น  ทางไหนดีกว่าเขาก็กระโจนไป  (แน่ละครับ เพราะเขาไม่ได้รักวิชาชีพครูขนาดจะยอมมาเลือกเรียน 5 ปี) ทีนี้ระยะยาวก็การันตีไม่ได้ว่าจะได้คนดีๆมาเป็นครูเสมอไป มันก็แล้วแต่ว่าเงินเดือน สวัสดิการครูสู้กับภาคเอกชนสายงานอื่นๆไหวหรือเปล่าง การปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบนั้นผมมองว่ามันไม่ยั่งยืนครับ ต้องคอยมาปรับแก้นโยบายดึงคนมาเป็นครูเรื่อยๆตามแต่สภาพสังคมช่วงนั้นๆ  สู้สร้างสายงานเฉพาะให้คนที่อยากเป็นไปเลยดีกว่า เพราะคนพวกนี้ ถ้ามีงานอื่นที่ดีกว่าที่เขาจะไปได้ โอกาสเลือกอาชีพครูของเขาสูงกว่าคนอื่นๆแน่นอน เพราะเขามีความรักในวิชาชีพด้วย แน่นอนว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มีปัญหามาก  แต่ต้องมองครับว่าปัญหาทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากนโยบาย นโยบายเดียว  บางทีถ้านโยบายอื่นดีหมด  ระบบการผลิตครูมีคุณภาพ  นโยบายใบประกอบวิชาชีพก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ  จะเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ ดังนั้นผมมองว่าแทนที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่ไม่ยั่งยืน ผมมองว่าเอาเวลาไปพัฒนาระบบผลิตครูจะดีกว่าครับ  ปัญหานี้อาจจะเป็นปัญหาจริง แต่อาจจะไม่ใช่สาเหตุหลักของปัญหาการศึกษาไทยก็ได้  ถ้าจะแก้ไขให้ยั่งยืน แก้ไขที่ต้นเหตุที่แท้จริงดีกว่าครับ ปล. ผมมองไม่เห็นความเป็นไปได้สักเท่าไรว่าถ้าให้คนไม่จบครูมาเป็นครูได้ คนเก่งจริงๆจะมาเป็นครู  ผมกลัวจะมีแต่คนที่หางานที่เงินเดือนมากกว่าครูไม่ได้ เลยมาเป็นครูฆ่าเวลา มีโอกาสก็ไป  ไปไม่ได้ก็อยู่มันตรงนั้น  อันนี้จะก่อปัญหาอื่นๆมาอีกนะครับ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:18:50 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 17:16:33

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบ คคห 20 ก็คุณเล่นโยงให้ตัวเองสับสนยังไงล่ะ คุณถึงไม่เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจน คุณบอกว่า "ถ้าคนที่ไม่ได้จบครูมาเป็นครูได้ เด็กจะสอบได้คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์สูงขึ้น?" คุณกำลังสร้างความสับสนให้ตนเองและผู้อื่น ทำไมไม่ตั้งโจทย์แบบนี้ ต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร ตอบ เด็กได้คะแนนวิทยาศาสตร์สุง แปรรูปเป้าหมายได้หรือเปล่า แปรรูปได้แบบนี้ เด็กเก่งวิทยาศาสตร์ และข้อสอบมันวัดผลได้จริงๆ สิ่งที่โจทย์ให้มาคืออะไร? ครูที่มีอยู่ในขณะนี้ส่วนใหญ่ได้ใบอนุญาตครูจากการจบศึกษาศาสตร์จากมหาลัยปลายแถวซึ่งมาจากพวกเรียนไม่เก่ง หรือครูไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เช่นจบวิศวะแต่ก็ไม่เก่งมากนัก คือหางานเงินเดือนๆละมากๆไม่ได้ แข่งขันในตลาดงานไม่ได้ก็เลยสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู แล้วเข้ามาเป็นครู   ถ้าเปลี่ยนเป็นยกเลิกกฎระเบียบใบอนุญาตครู มันเป็นเพียงการเริ่มต้นมิติใหม่ๆโดยการเชิญชวนให้มีการแข่งขันกันเท่านั้นเอง แต่มันก็ต้องแก้ไขอะไรอีกหลายอย่าง เช่นระบบเงินเดือน ถ้าคุณจ่ายตามวุฒิมันก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่ยุติธรรมที่คนวุฒิเท่าๆกันแต่ความสามารถไม่เท่ากันจะต้องมารับเงินเดือนเท่าๆกัน ยกตัวอย่างเช่นวิศวะทำงานเอกชนเงินเดือนๆละเป็นแสนก็มี หรือแค่หมื่นต้นๆก็มี (แต่ทำไมจะต้องมาเป็นครูแล้วรับเงินเดือนตามวุฒิเท่าๆกัน) หรือจบเอกอังกฤษเงินเดือนแบบเยอะมากๆแบบทำงานเอกชน(หรืองานอิสระ)ตั้งแต่จบมาจนอายุ 30 ต้นๆเก็บเงินได้มากมายลาออกจากงานไปตั้งบริษัทตัวเองก็มี หรือจบเอกอังกฤษมาแต่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกหูตกงานก็มี (แต่ทำไมจะต้องมาเป็นครูแล้วรับเงินเดือนตามวุฒิเท่าๆกัน) การยกเลิกกฎระเบียบใบอนุญาตครูมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่จะดึงดูดคนจากหลายๆสาขาให้เข้ามาแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมในเวทีเปิด หากแต่ความสำเร็จในการได้มาซึ่งครูเก่งๆมันอยู่ที่ 1. ระบบการคัดเลือกครู (ต้องทดสอบวิชาที่สอน) 2. ระบบการจ่ายเงินเดือน (ต้องจ่ายตามความสามารถจริง) ^ โดยเปิดโอกาสให้ครูเข้ามาทดสอบความสามารถเป็นระยะๆ เพื่อขึ้นเงินเดือนเป็นระยะๆตามความสามารถที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ใครไปเรียนจบปริญญาโท ปริญญาเอกมหาลัยหางแถวที่ไหน (แต่ไม่เก่งวิชาที่ตัวเองสอนขึ้นเลย) ก็ได้เงินเดือนขึ้นตามวุฒิ ^ ถ้าจ่ายเงินเดือนตามความสามารถจริงๆ (แต่ต้องวัดผลจริงแบบไม่ลำเอียง) แบบนี้นะ ระบบการศึกษาไทยพัฒนาได้ไกลแน่ๆ ไม่ใช่คิดตื้นๆ (แล้วชวนคนอื่นงงด้วย) แบบที่ คคห 20 พูดว่า ผมไม่ค่อยเห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนเท่าไรครับ ถ้าคนที่ไม่ได้จบครูมาเป็นครูได้ เด็กจะสอบได้คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์สูงขึ้น? ^ มันจะชวนให้คนระบบตรรกะพิการอยู่ดีๆสรุปว่า "ดังนั้นให้คนจบครูมาสอนต่อไปโดยปิดกั้นไม่ให้คนไม่จบครูเข้ามาแข่งขันกันจะดีกว่า" ^ สรุปอย่างนี้เข้าข่ายตรรกะพิการแน่ๆ การใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานมันไม่ยากนักหรอก บางทีมันไม่ค่อยจะมีความสัมพันธ์กันกับวุฒิการศึกษาด้วยซ้ำไป ทำไม Thomas Edison, Bill Gates และ Steve Jobs ซึ่งไม่จบปริญญามาถึงใช้ตรรกะที่แม่นยำคิดค้นอะไรในระดับอัฉริยะได้?   กะอีแค่แก้ปัญหาครูไม่เก่ง มีมากมายจนล้นประเทศ แค่นี้ ผู้บริหารการศึกษาของไทยซึ่งจบดอกเตอร์กันทั้งนั้น แต่ยังไม่มีปัญญาใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานที่จะแก้ปัญหาได้เลย เราถึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าประเทศไทยพัฒนาช้าเพราะมีคนจบวุฒิสูงๆแต่สติปัญญาต่ำๆเต็มบ้านเต็มเมือง และระบบการจ้างงานที่จ่ายเงินตามวุฒิการศึกษานั่นเอง คนไทยที่เก่งระดับอัฉริยะก็มีเยอะนะ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพส่วนตัวจนร่ำรวยขยายกิจการไปเปิดสาขาในต่างประเทศ ไม่ค่อยมีใครอยากมาทำงานในระบบงานราชการไทยหรอก  ยิ่งระบบข้าราชการครูแล้วมันเน่าเฟะมากๆ จะแก้ปัญหาได้มันต้องรื้อระบบการศึกษาไทยใหม่หมดแบบยกเครื่องใหม่หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำจัดครูที่ไม่ได้มาตรฐานออกไปให้หมดจากระบบ แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะ "พวกเขาเข้ามายึดครองระบบการศึกษาไทยเอาไว้จนหมดแล้ว (คนไม่เก่งเหล่านี้เป็นจำนวนมากเข้าไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ๆ)  เพื่อเป็นที่ทำกินของพวกเขา ในขณะที่พวกเขากำลังบ่อนทำลายการศึกษาไทยไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากนโยบายการศึกษาแบบตรรกะพิการที่ออกมาใหม่เรื่อยๆ" แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:28:24 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:27:37 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:26:30 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 17:18:23

ความคิดเห็นที่ 24 คห.23 ผมอ่านหัวกระทู้แล้วเขา อธิบายปัญหาปัจจุบัน (เรื่องคะแนนวิทยาศาสตร์) กับสาเหตุ (ไม่อธิบายที่มาที่ไป)นี่ครับ ผมไม่อยากสรุปที่มาที่ไปเอง เพราะผมเชื่อว่าคนอ่านเป็นร้อยๆคน คิดไม่เหมือนกัน เช่นบอกว่า ปัญหาคือไฟดับ  สาเหตุคือตัดไม้ทำลายป่า  ให้คนมาเชื่อมโยงระหว่างทางเองว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง  คนอ่านแต่ละคนจะเชื่อมโยงไม่เหมือนกันได้นะครับ อย่างผมก็เชื่อมโยงได้ 2 แบบละ 1. ตัดไม้ แห้งแล้ง ไม่มีน้ำปั่นไฟ ไฟดับ 2. ตัดไม้ น้ำท่วม สายไฟเสียหาย ไฟดับ ฯลฯ ต้องขอโทษด้วย คห 23 ด้วยนะครับที่คิดตื้นๆ ก็พิมพ์มาแบบนั้นมันชวนให้คิดได้หลากหลายนี่ครับ ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมเห็นด้วยว่าระดับตรรกะนี่ไม่สอดคล้องกับระดับการศึกษาจริงๆ จะว่าไปผมเห็นด้วยหลายเรื่องนะครับ แนวคิดการให้เงินตอบแทนตรงตามศักยภาพ่งครับก็เป็นอีกประเด็นหนึ  แต่แค่แนวคิดนี้แนวคิดเดียวก็อาจจะทำให้ระบบการศึกษาดีขึ้นมาแล้วก็ได้  ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้คนที่ไม่ได้เรียนครูมาเป็นครูเลยครับ  แต่อย่าลืมนะครับว่ามันก็มีข้อเสียอยู่ คือจะทำให้คนทำเพื่อแข่งขันมากจนเกินไป จนไม่สนใจเด็ก อันนี้มันเคยเกิดมาแล้วครับ ไม่ทราบว่าจะเสนอแนวทางแก้ไขหรือป้องกันยังไงดีครับ ปล. การคัดเลือกครูที่มีใบประกอบวิชาชีพนี่ทำจริงจังก็ประมาณสามสี่ปีเท่านั้นนะครับ แต่การศึกษาไทยทิศทางมันดิ่งลงมายาวนานแล้วเหมือนกัน แน่ใจเหรอครับว่าเป็นเพราะนโยบายนี้ที่เป็นปัญหาหลัก ระบบผลิตครูไม่ได้คุณภาพต่างหากละครับที่เป็นปัญหาหลัก แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอาคนอื่นที่ไม่ผ่านระบบผลิตครูมาเป็นครูแทน เป็นการแก้ปัญหานะครับ ผมว่าแก้ปัญหาตรงจุดที่สุดก็คือพัฒนาระบบผลิตครู แล้วก็ดึงคนเก่งๆไปเข้าสู่ระบบผลิตครูครับ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:56:02 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 17:36:16 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 17:29:35

ความคิดเห็นที่ 25 บาง คห. ตรรกะพิการจริง ยังกะบอทก๊อปวางทุกกระทู้เลย http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13099122/K13099122.html#8 จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 18:27:47

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีครับคุณokanail. ผมก็ไม่ได้เข้ามาคุยเรื่องการศึกษานานเลย.แต่ก็ยังจำคำพูดของคุณokanail ได้เสมอว่า."การศึกษาซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กฎหมายเรื่องใบประกอบวิชาชีพ.กำลังๆผฃฃไปได้สวย กำลังมีผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ".อันนี้คุokanail"คงจำได้นะครับ นี่ก็ผ่านการพูดคุยครั้งนั้นมาสองปีแล้วมั้ง.ตกลงมันดีขึ้นไหมครับ เอาละ.จากความเห็นที่เสนอมานั้นผมขอให้สังเกตุเป็นข้อๆดังนี้ครับ -ถ้าการออกใบประกอบวิชาชีพนั้นทำให้เรียกเด็กเก่งๆมาได้ ที่ผ่านมา.เด็กเก่งๆเลือกเรียนคระครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์มากขึ้นอย่างนัยยะสำคัญมากไหม./เด็กนิยมเรียนหมอ วิศวะ ทันตะ สถาปนิก อักษร นิเทศ วิทยาศาสตร์ มนุษย์ฯลฯ.มากกว่าหรือน้อยกว่า เลือกเรียนวิชาครู?? - แล้วคะแนนสอบเข้าหรือเข้าเรียน ราชภัฎต่างๆสูงขึ้นมากไหม.คนแห่ไปเรียนวิชาครูตามภูมิภาคมากขึ้นกว่าเรียนตาม ม.เชียงใหม่ ขอนแก่น.สงขลา นเรศวรไหม.มีตัวเลขคะแนนที่ไหนสูงกว่ากันมั่ง เมื่อเป็นอย่างนี้.ถึงค่อยสรุปมาได้ แต่เท่าที่ผมฟังมา.อันนี้ใครๆก็คงรู้ คนก็ยังไม่อยากเรียนสายครูเหมือนเดิม.ที่เป็นช่นนี้เพราะ.ความจริงที่ว่า.จะมีสักกี่คนที่สอบได้เป็นครู ถ้าสอบไม่ได้จะทำอะไร."บริษัทใหญ๋ทั่วไป เขาจะไม่รับบัณฑิตครู.เขารู้ว่าคุณภาพเป็นอย่างไร ทีนี้.คุณภาพการศึกษาละ.วันนี้ ชั่วโมงนี้เป็นอย่างไร.ครั้งก่อนก็บอกว่า.เพิ่งประกาศใช้กฎหมายใบป.ขอเวลาหน่อย.นี่ผ่านมาสองปี.ผลการประเมิน            "........ต่ำที่สุดในโลก......." ระหว่างแก้กฎหมายเปิดโอกาสให้คนดีๆ คนเก่งมาเป็นครู กับการไปพัฒนาสถาบันผลิตครู./อันนี้ลองคิดดูนะครับ ว่า .ถ้าจริงใจจะแก้ไขปัญหา.ก็แค่นำเข้าสภา.อาจจะพิจารณา 3 วาะรวด.แก่เพียง มาตราเดียวก็ยังได้ กับการที่อ้างว่า.ไปพัฒนาสถาบันผลิตครู.อันนั้นไม่ต้องพูดถึง.ทำไม่ได้ในเร็ววัน.และก็จะทำไม่ได้.เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปีไม่เห็นมีการพัฒนาให้ดีขึ้นมาเลย.จะไปพัฒนาอะไรให้ดีขึ้น สรุป.อยากเปรียบเทียบให้คุณโอ.ฟังง่ายๆว่า.ถ้าออกกฎหมายให้ประชาชน.ใช้น้ำมันพืชยี่ห้อหนึ่ง.ทั้งๆที่ขวบนการผลิตไม่ดี คุณภาพน้ำมันพืชไม่ดี.แต่ก็ยังบังคับให้คนไทยกินน้ำมันพืชยี่ห้อนั้นไป โดยหวังว่าวันหนึ่งโรงงานน้ำมันพืชรนั้นจะพัฒนาให้ดีขึ้น   และกับขณะเดียวกันมีน้ำมันพืชที่ดีกว่าถูกกว่า.รออยู่ให้คนไทยใช้.แต่กฎหมายบังคับให้คนไทยกินแต่น้ำมันขวดแรก.  ใช่เลยครับ.คนไทยโชคร้าย.นะซิ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 18:29:43

ความคิดเห็นที่ 27 ในฐานะที่ครูอัตราจ้างที่หล่อสุดๆคนหนึ่ง หล่อเกินมนุษย์มนา ผมเห็นด้วยกับคุณสุดเดียวดาย ตกต่ำเพราะเหตุผลหลายประการที่กล่าวกันมา การศึกษาไทยโดยรวมเเละส่วนใหญ่ จะเเย่ลงเเละเเย่ลงครับ ขอ confirem ครับ เพราะผมอยู่วงใน คนอาชีพอื่นอาจไม่เเน่ใจ 100% ว่ามันเเย่ถึงขนาดนั้นจริงหรือ การเมืองเพียบ เช่น 1. ครูที่บรรจุเเล้วบางคนใช้งานครูอัตราจ้างอย่างกับทาส 2. อาจารย์ผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยบางคนดีเเต่ใช้อาจารย์เด็ก ๆ ทำงาน ส่วนตัวเองได้เงิน ได้หน้า 3. ผ อ บางคนที่ใกล้จะเกษียณ ไม่สนใจครูในปกครองเเล้ว หาเศษหาเลยในช่วงสุดท้าย 4. บางโรงเรียนขยันประชุม ส่งครูไปอบรม ทำเอกสาร 5. ครูที่ตั้งใจ ไม่ได้บรรจุ เพราะตำเเหน่งไม่มี ถ้ามีก็มีเเต่สัพเพเหระ ตำเเหน่งบรรจุวิชาสำคัญ ๆ ไม่ค่อยมี รอเกษียณ เช่น ครูสอนภาษาอังกฤษ รอไม่ไหว ออกมาติวดีกว่า 6. เด็กเองหลายคนไม่ได้เป็นเด็กที่น่าสอนอีกต่อไป เเละ ฯลฯ อาจมีคำถามว่า ถ้ามันเเย่ทำไมไม่ออก ไม่มีใครห้าม ต้องตอบว่าสมความปรารถนาเเน่ครับ เพราะทยอยออกกัน เเละครูเก่งๆเเละมาก ดัวยประสบการณ์เกษียณทุกปี ที่เหลือ ไม่ออก เพราะส่วนหนึ่งไม่ค่อยทำอะไร เเต่ ฉลาดเป็นนกรู้ ประจบเก่ง เข้าทางผู้ใหญ่เก่ง เเละผมเชียร์ให้ครูดีๆออกเลย ถ้ามีคนพูดว่า บ่นทำไม เเล้วปล่อยให้มันเป็นไป จะเป็นอะไรก้เป็นไป ประชากรตั้ง 65 ล้านคน ยังปล่อยให้การศึกษาห่วยเเตกเเบบนี้ ก็ไม่รู้จะไปโทษใครเเล้ว ถ้าอยากได้การศึกษาดีมีมาตรฐาน ประชาชนชาวไทย ทุกคนต้องช่วยกันครับ ตัวผมไม่ห่วงหรอก มีวิชาทำเงิน+อยู่โรงเรียนดังอยู่เเล้ว สังคมก็ดี ผมห่วงประเทศไทย เด็กไทยครับ ผมไม่ได้รับประทานหญ้าหรือรำนะครับ เเละผมplanจะอยู่อีก5 ปี ก็เกือบ 15 ปีที่ผมทำเพื่อสังคมไทย เป็นมนุษย์เงินเดือน ผมไม่ได้คนดีอะไร เเต่อีก 5 ปีก็ 46 ใกล้ 50 พอเเล้ว ช่วงสุดท้ายขอพัก ขอmake money บ้าง ให้คนหนุ่มสาวมาสานต่อ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของผมคนเดียว อาชีพอื่นก็สำคัญนะ เเต่การศึกษาสำคัญที่สุดในสมัยปัจจุบัน เพราะมันสู้กันด้วยสมอง คนเราลืมตาอ้าปากได้ ก็มีเเต่การศึกษา อย่าเอาคนส่วนน้อยที่การศึกษาน้อยเเต่ประสบความสำเร็จมาปนกัน ทุกอย่างมีข้อยกเว้น เเละผมกำลังพูดถึง ส่วนใหญ่ที่เเย่ลง มีเพียงส่วนน้อยที่ดีขึ้น ไม่ใช่เหมาเข่ง ผมคือครูอัตราจ้างส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ลำบาก เเละสวมหมวก 2 ใบ โชคดีครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 20:02:09 A:171.7.49.231 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ได้เลย ๆ ต้องเเก้ ขอ confirm ใหม่ พิมพ์ผิด 5555555 จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 20:04:32 A:171.7.49.231 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 30 ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง  ที่คนเรียนครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนเก่ง แต่เป็นคนที่รู้ตัวดีว่าเรียนคณะที่คะแนนสูงกว่านี้ไม่ได้ หรือไม่ก็คือคนที่สอบอะไรไม่ได้แล้วจึงเลือกมาเรียนครู เรียนราชภัฎ ในขณะที่คนที่เรียนอย่างอื่นแล้วหันมาเป็นครูตอนหลัง  (ที่เจอ) ก็มีแต่คนที่สอบทำงานที่ตรงกับสาขาที่เรียนไม่ได้ เลยเบนเข็มจะมาเป็นครู ไม่เคยเจอประเภท หัวแถวของคณะเบนเข็มมาเป็นครูเลย...ให้ตายสิ...โรบิ้น! จริงๆ นอกจากรัฐจะพยายามดึงคนเก่งมาเป็นครู ด้วยการให้ทุนเรียนครู  เพิ่มเงินเดือนให้ครู   รัฐน่าจะเปิดกว้าง  ให้โอกาสให้ทุกคนที่อยากเป็นครได้เข้ามาเป็นครู  ไม่ต้องมีเรื่องใบประกอบวิชาชีพ เรื่อง ๙ มาตรฐาน เอาแบบที่ว่าใครก็ตามที่อยากเป็นครู...ไม่ว่าจะ - คนที่อยากเป็นครูตั้งแต่จบมัธยมเลยเลือกเรียนครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์   - คนที่สอบเรียนอย่างอื่นได้ แต่สอบทำงานตรงสาขาไม่ได้ เลยอยากเป็นครู - คนที่สอบเรียนอย่างอื่นได้ สอบทำงานก็ได้ แต่ไม่เอา อยากจะเป็นครูอย่างเดียว ไม่ว่าจะพวกไหน ถ้าผ่านแบบทดสอบกรองคนเก่ง (ที่สุดในบรรดาที่อยากเป็นครู) ก็น่าจะให้เค้าได้เป็นครูสมความตั้งใจ ปล. เคยรู้จักคนเอ็นท์ฯ ได้คณะวิทยาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีชื่อใน กทม. แล้วไปเรียนเอกประถม ราชภัฎภูธร  คนแบบนี้โง่รึเปล่า? ...หรือเค้าโง่ที่เลือกมาเป็นครู ประมาณว่าคุณเป็นครูเมื่อไหร่  คุณโง่ทันที! แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 20:36:41 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 20:22:36

ความคิดเห็นที่ 31 คห 24 "มันก็มีข้อเสียอยู่ คือจะทำให้คนทำเพื่อแข่งขันมากจนเกินไป จนไม่สนใจเด็ก อันนี้มันเคยเกิดมาแล้วครับ" อันนี้เรางงอ่ะ  การคัดเลือกคนดีๆ เข้ามาในระบบการศึกษา มันก็ต้องแข่งขัน  ถูกไหม มันไม่ต่างจาก The Voice หรอกคุณ เขาคัดคนเสียงดีมีคุณภาพ มาป้อนวงการ มาสร้างนักร้องที่มีศักยภาพมากกว่ารูปลักษณ์ ถูกไหม การแข่งขัน ก็คือการสอบคัดเลือก ถูกต้องไหม ไอ้คำว่า "มากเกินไป จนไม่สนใจเด็ก"  มันเป็นอย่างไร กรุณาอธิบายให้กระจ่างนิดหนึ่ง พอไหวไหม "มันเกิดขึ้นมาแล้ว"  มันเกิดอย่างไร อยากทราบรายละเอียดอ่ะ  หากเป็นไปได้ ครูดีๆ ก็ต้องสอนได้อย่างมีประสิทธภาพก่อประสิทธิผล ถึงจะเป็นครูเก่งๆ   คำว่า "สอนดี" ก็คือต้องทำให้ผู้เรียนเข้าใจในสิ่งที่ตนสอน ถูกไหม แล้วการทำให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเนี่ย  จะเรียกว่าไม่สนใจเด็ก กระนั้นหรือ จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 22:40:03

ความคิดเห็นที่ 32 #21 เปรียบเทียบผิดนี่นา ถ้าปล่อย [2] กับ [4] เข้ามาพร้อมกัน แล้วทำให้สัดส่วนของ [1] + [3] น้อยกว่า [2] + [4] ก็น่าสนใจครับ >> ต้องเป็น โอกาสที่1+3สอบผ่าน เทียบกะ โอกาสที่2+4สอบผ่าน แต่ก็ยังไม่ถูก เพราะยอดผู้เข้าประกวดหรือ%ผู้เข้าประกวด ไม่ได้เปลี่ยนยอดผู้ชนะเลย มันต้องดูที่ยอดสุดท้ายว่าระบบจะได้คนเก่งมาเท่าไหร่ เหลือที่ว่างเท่าไหร่ที่ต้องเสริม หรืองี้ 1,2 มันแทบจะคงที่อยู่แล้ว จำนวนก็ขึ้นกับว่าเราตั้งเกณฑ์เก่งไว้ที่เส้นไหน 3,4 ก็สอบผ่าน ด้วยคุณภาพสายการผลิตตอนนี้ ถ้าให้แข่งขันกันหมด ตัวเลือกก็จะเป็น 1+2+3+4 คนเข้าวินจะเป็น 1+2 +3&4(ส่วนต้นๆ) แต่ถ้าไม่ให้ 2,4เข้าแข่ง ตัวเลือกเป็น 1+3 คนเข้าวินเป็น 1+3(ส่วนต้น-รองๆลงมา) จำนวนคนเข้าวิน x คือจำนวนบุคลากรที่ระบบต้องการ คือเข้าบรรจุได้จริงคือคนที่สอบผ่านและขึ้นอันดับดีพอ ส่วนสอบผ่านอันดับรองๆท้ายๆก็รอโละบัญชี คนเก่งเข้าวินก่อนนั่นแหละ แต่จำนวนมันมีไม่พอที่ระบบต้องการ ยังไงๆก็มีที่นั่งเหลืออยู่อีก y ไว้ให้คนไม่เก่ง ถ้าเปิดโอกาส y=x-1-2 ถ้าปิดกั้น y=x-1 (ปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะครู แต่เป็นกับขรก.พลเรือนทั้งหมดด้วย) เว้นแต่คุณจะหมายความว่าสอบผ่าน60%คือเก่งหมด อันดับเรียกตัวเป็นแค่คิวทางธุรการ ที่ผมอธิบายไปก็ใช้ไม่ได้ล่ะครับ แต่หมอ ผู้พิพากษา อัยการ นิติกร ระบบเขาบุคลากรไม่มากเท่าครูหรือขรก.พลเรือนอื่น xมันน้อย yจึงแทบไม่เหลือ หรือเหลือน้อยกว่าชาวบ้านเขา โดย หมอนี่สอบยากแต่แรกแล้ว สายกฎหมายก่อนหน้านี้ก็เหมือนหมอ แต่พักหลังเริ่ม over supply เพราะม.ที่ไม่มีศักยภาพหลายๆแห่ง จุดเริ่มของปัญหาก็คล้ายกันนี่แหละ เปิดให้เกร่อ ไม่รักษาคุณภาพ แต่ก็มาแข่งไม่ไหวตอนสอบ บัณฑิตกฎหมายที่จบมาแบบก๊อกๆแก๊กๆตกงานทั้งนั้นครับ เขาก็ไปทำงานสายอื่น #30 http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13099122/K13099122.html#17 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 23:28:05 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 23:27:02 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 23:11:34 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 55 23:01:44 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 22:54:08

ความคิดเห็นที่ 33 อืม. เมื่อหลายคนรู้สึกว่าการศึกษาาตกต่ำลงๆ แต่ทำไมผู้ที่เป็นนักการศึกษาจริงๆ ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการศึกษาไม่รับรู้ หรือรู้ร้อนรู้หนาวเลยเหรอเนี่ย.ตามธรรมดา.บุคคลที่ประกอบอาชีพด้วยวิชาชีพ เช่นหมอ สัตวแพทย์ นักเศรษฐศาสตร์ การเงิน การธนาคาร.อาการของสิ่งต่างๆที่เป็นสายงานในอาชีพตัวเอง ก็จะรับรู้ เช่นหมอ.มีโรคอะไรระบาด คนเป็นไข้มาก นักการเงินธนาคาร.เงินฝืด เงินเฟ้อ.เศรษฐกิจไม่ดี.ฯลฯ แต่ทำไมนะ นักการศึกษาจึงเย็นชา ตายด้าน ไม่มีความรับผิดชอบ.ต่อสังคม.เลยแม้แต่น้อย คนที่ตะโกน/พูดจา กลับกลายเป็นคนที่อยู่ในอาชีพอื่น.หรือพ่อแม่.พี่น้อง.คนนั่งมองดูอยู่ ท่ามกลางเสียงระงม.ของเด็กอ่านหนังสือไม่ออก.เขียนไทยไม่ได้ บวกลบเลขไม่เป็น นักการศึกษา ไม่แยแส ไม่หวั่นไหวต่อความตกต่ำนี้   ดูเหมือนมีเรื่องเดียวที่พวกนักการศึกษาผู้บริหารการศึกษา ครู.เหล่านี้ทำ "คือ การดิ้นรนหาช่องทางขึ้นเงินเดือนตัวเอง"  "การต่อรอง.การโวยวาย เรียกร้องสิทธิ.การชี้แจงให้เห็น"ค่า"ของตน เพื่อจะได้เงินประจำตำแหน่งมากขึ้นหรือเพื่อขั้นที่สูงขึ้นเท่านั้น" จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 09:12:15

ความคิดเห็นที่ 34 นึกว่ากระทู้อะไร  ที่แท้กระทู้รวมพลคนเก่ง(แต่ดันสอบตก)นี่เอง ถ้าเป็นครูยากนักหนา จะมาเป็นครูทำแม้วอะไรครับ ทำไมไม่พูดความจริงต่อกัน ทำไมไม่ยอมรับความไร้สามารถของตัวเอง พวกๆท่านเคยคุยกับคนสอบผ่านหรือไม่  ทำไมคิดว่าตัวเองเก่งกันจัง ทั้งๆที่สอบตกกันทุกรอบ ผมล่ะไม่เข้าใจพวกคุณจริงๆ อย่างสอบ 9 มาตรฐาน ขอแค่จบป.ตรี ไม่จำกัดสาขา แบบนี้ปิดกั้นตรงไหน ผมล่ะงง มันยากมากเลยเหรอ  มันยากกว่าการเขียน thesis เลยเหรอ ผมงงมากๆเลยนะ คนเขียน thesis ภาษาอังกฤษได้ แต่อ่านหนังสือเล่มเดียวไม่ได้เนี่ย ดันบอกว่าตัวเองเก่งซะงั้น ผมไม่ได้เรียนเอก eng นะ (ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมติด F วิชา Eng ด้วย) แต่ผมก็เขียน thesis ภาษาอังกฤษได้นะ ตอนทำโปรเจค ผมทำ 2 เล่ม เป็นภาษาไทย 1 เล่มสำหรับอาจารย์คนไทย และอีกเล่มเป็นภาษาอังกฤษสำหรับอาจารย์ชาวต่างชาติ แบบนี้ผมก็โครตเก่งเลยสิ แต่ผมรู้ตัวนะว่าผมไม่เก่งไม่ขนาดนั้น สอบบรรจุก็เหมือนกัน  วิชาเอกใครๆเขาก็ได้เกิน 60% ทั้งนั้นแหละแต่โดยมากจะตก อย่างอื่น  นั่นคือคนสอบบรรจุได้ก็เก่งกว่าคนสอบตกอยู่แล้ว การเป็นครู มันไม่ใช่แค่สอนหนังสือนะ  ครูไม่ใช่ติวเตอร์  ติวเตอร์น่ะสบาย ไม่มีติวเตอร์คนไหนสนใจหรอกว่าเด็กจะผ่านหรือตก ไม่ต้องประเมินเด็ก ไม่ต้องพาเด็ก ทำกิจกรรม ไม่ต้องให้คำปรึกษาเด็กเวลามีปัญหา เด็กจะโดดติวก็ไม่สน ครูจะทำแบบนั้นได้มั๋ย  ทำไม่ได้หรอก การเป็นครูที่ดี  บางทีก็ไม่สามารถสอนได้เต็มที่ ครูทุกคนก็อยากสอนเด็กให้ดีทั้งนั้นแหละ แต่ครูก็ต้องกินต้องใช้  เขาเลยมีวิทยฐานะ ครูชำนาญการ ขึ้นมาไง เพื่อหารายได้ ให้ครูไม่งั้นคงไม่มีใครอยากเป็นครูกัน ตอนครูเงินเดิน 6000 ไม่ยักมีกระทู้แบบนี้  พอครูมีรายได้ดีขึ้นดันอยากเป็นครูจนเนื้อเต้น พอตัวเองสอบไม่ได้ คุณสมบัติไม่ถึงก็พาลว่าโน่นนี่ กีดกันมั่งล่ะ การศึกษาไทยแย่มั่งล่ะ การศึกษาไทยจะดีขึ้นทันทีที่คนห่วยๆพวกนี้ได้บรรจุเป็นครู เพราะสมใจมันแล้วนี่ ตราบใดที่พวกนี้ยังสอบตกอยู่ การศึกษาไทยก็ยังจะแย่ต่อไปนั่นแหละ ไม่ได้แย่เพราะมันแย่นะ  แต่แย่เพราะมีคนสอบตก จริงๆแล้วกาศึกษาไทยไม่ได้แย่ลงเลย  เด็กไทยสอบโอลิมปิคได้เหรียญตลอด แข่งขันหุ่นยนต์ก็ได้ แข่งทักษะต่างๆก็เก่ง ก็เห็นในข่าวออกบ่อยเคยอ่านบ้างไหม สมัยก่อนเด็กอนุบาลอ่านออกที่ไหนกัน  ทุกวันนี้เด็กอนุบาลอ่านภาษาอักฤษได้แล้วนะ อ่านการ์ตูนได้เป็นเล่ม ทำไมไม่พูดถึงล่ะ จากคุณ : ttno1 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 11:12:59

ความคิดเห็นที่ 35 #34 ถ้าเป็นครูยากนักหนา จะมาเป็นครูทำแม้วอะไรครับ   >>>อย่ามองแต่ประโยชน์เปรียบเทียบกันของปัจเจกซิ เอาส่วนรวม ถ้าคนที่เก่งน้อยกว่า ได้เป็นครูเยอะๆง่ายๆ เด็กๆและระบบจะได้กำไรซินะครับ ทำไมไม่พูดความจริงต่อกัน ทำไมไม่ยอมรับความไร้สามารถของตัวเอง   >>>เห็นด้วยครับ (โดยเฉพาะจนท.ฝ่ายบริหาร/สายสนับสนุน) พวกๆท่านเคยคุยกับคนสอบผ่านหรือไม่  ทำไมคิดว่าตัวเองเก่งกันจัง ทั้งๆที่สอบตกกันทุกรอบ   >>>ผมว่ากระทู้นี้แต่ละคนไม่ได้จะสอบหรืออยากเป็นครูหรอกนะครับ ไหงเหมาเอาเอง หลายคนแก่แล้ว มีพอแล้ว รอตาย เขาแค่สงสารเด็กในอนาคต เคยคุยกะคนสอบผ่าน http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13079851/K13079851.html#6 เคยคุยกะคนสอบตก(รู้สึกเคยพิมพ์ในกระทู้เก่า นานแล้ว) คุยกับครูท่านนึง อายุพอควรแล้ว ยังเป็นอัตราจ้าง แกพูดถึงรุ่นน้องคนนึงจะเลิกสอน เพราะสอบ9มาตรฐานได้ไม่ครบ เบื่อแล้ว แกบอกว่าสมัยมีเปิดอบรมก็ไม่ยอมรีบไปลงพอเขายกเลิกก็ซวย แต่น้องมัวบ้าทำงาน แกบอกอีกว่า แต่ก็นะ ก็พวกเราๆมันสอบบรรจุกันไม่ค่อยได้เพราะคนจบคณะอื่นสอบติดกันเยอะ เราสู้ไม่ได้ก็ประท้วงกันแทบตาย จนมันยอมออกกฎมา คราวนี้จะได้มีโอกาสบรรจุซะที (ปอลิง.พี่ไม่ได้ประท้วงกะเขานะ พี่ไม่ชอบสู้ แต่ได้ประโยชน์ด้วยก็ไม่เถียงล่ะจ้ะ) ผมล่ะไม่เข้าใจพวกคุณจริงๆ   >>>ผมว่าผมเข้าใจพวกคุณนะ^^ มีอีกหลายประเด็นที่มีจุดโหว่ทางความคิดอย่างแรง แต่ถ้าจะอธิบายให้บางคน/หลายคนตามทันคงต้องพิมพ์ยาวมากๆ ผมขี้เกียจ (ไม่ได้ว่าท่านๆตรรกะพิการนะ ผมเชื่อว่าท่านคิดและเชื่อโดยสุจริตใจ) เอาเป็นว่า ผมมั่นใจว่า ผู้มีอำนาจที่รู้จริงยังมี รู้วิธีแก้ไขพัฒนาที่จริงใจกว่าที่ทำกันอยู่ รู้อยู่ว่าต้องทำอะไรบ้าง หลายๆอย่าง&พร้อมๆกัน ถ้าไม่ซึน ปล. ขอบอกชัดๆอีกทีว่า เวลามีกระทู้ด่าวงการการศึกษาเนี่ย เขาไม่เหมารวมครู/จนท.ทุกคนนะครับ สำหรับท่านที่ดี ที่เก่ง ที่เทพ ผมชื่นชมนับถือ ท่านที่พอถูไถ แต่ตั้งใจจริงๆๆๆ แท้ๆ ไม่ซึน ผมก็ให้กำลังใจนะ ท่านที่ไม่รู้ ถูกสิ่งแวดล้อมทำให้เข้าใจผิดหรือทำผิดโดยสุจริตใจ ก็ไม่เป็นไร วันหน้าคงยังทัน พวกที่ทั้งรู้ แต่ยังตะแบง ก็... หรือถ้าคนใกล้ๆท่านบางคนเข้าข่ายที่สมควรโดนพาดพิงก็โปรดอย่าเจ็บใจหรือน้อยใจแทนกันเลย แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 13:11:47 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 12:26:24 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 12:21:50 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 12:20:32

ความคิดเห็นที่ 36 โอ.ความเห็นที่ 34 คุณttno1 คุณเข้าใจผิดทั้งดุ้นเลยนะเนี่ย.ครูจริงต้องอ่านและวิเคราะห์จับประเด็น.เข้าใจเรื่อง.หรือที่สมัยผมเขาเรียก วิชา.อ่านเอาเรื่อง.วิชานี้มีจริงๆนะ.สมัยผมอยู่ ป5-ป7 เขาให้อ่านข้อความสักสิบบรรทัด แล้วตอบคำถาม.ถ้าอ่านแล้วไม่คิด ไม่วิเคราะห์ จะตอบผิดประเด็นหมด. ทำนองเดียวกับครู(มั้ง) ttno1 นี่ละมั้งเนี่ย.คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่เขามาโพสต์เนี่ย.จับใจความตรงไหนได้ว่า.เขาอยากสอบเป็นครู.งงครั้งที่1 / แล้วจับตรงไหนว่า เขาไปสอบมาแล้ว สอบไม่ผ่าน งงครั้งที่2 /เขาสอนหนังสืออยู่หรือ แล้วเขาสอนไม่ได้.จึงมาโพสต์หรือไง งงครั้งที่3.. บอกได้เลย เท่าที่โพสต์กันมาหลายปี.คุณอาจจะเข้ามาใหม่.ถามคุณokanail ดูก็ได้ คุณครับผม คุณfortuneteller คุณคนไทย.คุณ k.senior และอีกหลายท่าน.เขาไม่ไ้ต้องการไปสอบแข่งขันเป็นครู หรือสอบ 9 มาตรฐาน.นั้น เขานั่งดูอนาคตของเด็กนักเรียนไทย.เขานั่งดูลูกหลานของเขา.ที่พาลจะโง่ลงๆ คุณรู้ไหมว่า เด็กอ่านหนังสือไม่ออกมากขึ้น.บวกเลข ทำตรีโกณง่ายๆไม่ได้.เป็นจำนวนมากมายขึ้น.  คุณยังมาบอกอยู่เหรอเนี่ย การศึกษาไม่ได้เลวร้ายลง...แล้วคุณได้ดู link  วิกฤตการศึกษาไทยตามที่ยกไหมหรือไม่.   งั้นลองเปิดดูอีกครั้งนะครับ.หรือคุณคิดว่า รองเลขาฯ ในyoutube" ในรายการนั่นพูดโกหก. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 13:32:34

ความคิดเห็นที่ 37 ขอโทษนะครับ ผมตามมาจากกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13099122/K13099122.html ที่พาดพิง ก็ตามกระทู้นั้นมานะครับ  ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้เท่าไหร่หรอก การศึกษาไทยแย่ลง เอาล่ะมันคนละมุมมอง  จากมุมบ้านนอกๆ สมัยก่อนจบ ป.6 เขียนหนังสือไม่ได้เอาไก่แลกออก เคยได้ยินมั๋ยครับ ครูเมาเหล้าไปสอน  นั่งหาวจนจบคาบ บอกเด็กอ่านหนังสือแล้วออกไปกินเหล้าต่อ สมัยก่อนเป็นแบบนั้น  ทุกวันนี้แทบจะไม่มีแล้ว เด็กเข้าระบบมากขึ้น การวัดและประเมินผลเราดีขึ้น เราจึงเห็นเด็กที่สมัยก่อนไม่เคยมี ในระบบมากขึ้นไงครับ  ไม่เกี่ยวกับว่าเด็กสมัยนี้โง่ลงกว่าสมัยก่อน หากเรามองไปจุดไหนก็เจอจุดนั้น ถ้าคุณมองแต่เด็กท้ายห้อง คุณก็จะเห็นแต่เด็กไม่เก่ง ถ้าคุณมองแต่เด็กหน้าห้อง คุณก็จะเห็นแต่เด็กเก่ง อย่างเด็กเก่งสุดในหมู่บ้านผมก็สู้เด็กอันดับสุดท้ายของเตรียมอุดมไม่ได้ อันนี้ความจริงนะ แล้วแบบนี้ควรโทษใคร  อันนี้โทษครูเหรอ งั้นถ้าลองเปลี่ยนครู ให้ครูที่สอนเตรียมอุดมมาสอนเด็กบ้านผม คุณว่าเด็กบ้านผมจะเก่งสู้เด็กเตรียมอุดมได้มั๋ย ไม่ว่าโรงเรียนไหนครูก็สอนเหมือนกันนั่นแหละ แต่ต่างตรงบริบทของเด็กที่ต่างกัน อย่างบ้านนอกจะหาครูฟิสิกส์จากไหน ครู Eng ที่คุยกับฝรั่งรู้เรื่อง ครูชาวต่างชาติ ครูเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในเมือง ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับไอ้สามข้อที่เขายกมาตรงหัวกระทู้ แล้วพวกคุณก็เสวนา กันไปไหนต่อไหนโดยไม่ได้ดูความจริงสักนิด   อย่างใบประกอบวิชาชีพ มันก็ดีกว่าก่อนเยอะ  คุณๆท่านๆน่าจะพอรู้ว่า ป.บัณฑิตมันคือการ ซื้อวุฒิครู ทำไมถึงยังอยากให้มันมีอยู่ล่ะครับ  ผมว่าควรยกเลิกไปแบบถาวรได้แล้ว แล้วมาสอบใบประกอบวิชาชีพเอา ถ้าเก่งจริงต้องสอบได้ มันไม่ได้ยากอะไรนะครับ หนังสือเล่มเดียวเอง ถ้าอยากเป็นครูจริงๆ ของแค่นี้ทำได้อยู่แล้ว การเรียนครู เรียน 4 ปีก็พอ จบแล้วมาสอบใบประกอบวิชาชีพหมดไม่มีแบบได้อัตโนมัติแบบนี้ ซึ่งถ้าเราไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ครูก็จะเป็นวังวนเดิมคือ  ไม่มีอะไรทำค่อยมาเป็นครู แล้วครูจะมีคุณภาพได้ไง ส่วนเรื่องตำแหน่งนั่นนี่  มันแค่เรื่องอัพเงินให้ครูนั่นแหละ เป็นแรงจูงใจอยากให้คนเก่งๆ อยากมาเป็นครูเพราะมีค่าตอบแทนสุงขึ้น ส่วนเรื่องเล่นพวกผมไม่ขอพูด  มันมีทุกที่ในวงราชการ ไม่ใช่มีแต่ครู จากคุณ : ttno1 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 14:29:56

ความคิดเห็นที่ 38 ดูครูหัวแถว ดูครูที่จบม.ใหญ่เก่าแก่ หรือจบแบบมีคุณภาพ >ก็เห็นครูเก่ง ดูครูท้ายแถว ดูครูที่จบแบบไม่ได้คุณภาพ >ก็เห็นครูไม่เก่ง ป.บัณฑิตทั้งหมดคือการซื้อวุฒิ?? >ควรเลิกทั้งหมด vs สถาบันผลิตครูบางแห่งไม่มีคุณภาพ >ควรเลิกทั้งหมด?? จบมาแล้วสอบใบกันหมดไม่มีได้อัตโนมัติ >ตอนนี้?? ที่จริงการปรับปรุงกฎระเบียบ จนมาเป็น5ปี จนมาเป็นใบวิชาชีพน่ะ เป็นป.เป็นมาตรฐานน่ะ มันแค่เทคนิคเลี่ยงศาลปกครอง/ศาลรธน. หลายกระทรวงหลายหน่วยงานเขาก็มีนโยบายที่ใช้stepแบบนี้เป็น รู้จักอ้างในสิ่งที่วัดไม่ได้ สมัยนี้เขาฉลาดเรื่องพวกนี้ ไม่เหมือนหน่วยงานในอดีต ต่อให้ไม่มีใบวิชาชีพ ถ้าผลิตบัณฑิตครูได้จำนวนมากพอ ที่เก่งกว่าคนไม่มีอะไรทำเลยจะเป็นครู พวกนั้นก็สอบแข่งขันแพ้เองอยู่แล้ว จำนวนนี่แหละคือปัญหา ผลิตบัณฑิตครูออกมาก็เยอะ แต่คนไม่มีอะไรทำส่วนนึงดันมาสอบแข่งขันได้ดีกว่า ปัญหาคือ สินค้าที่ผลิตมาไม่ดี >บังคับขายผูกขาด ปากบอกหวังว่าวันหน้าปรับปรุงแล้วจะดีแน่ครับ>ลูกค้าซวยครับ ไลน์ผลิตไม่ดี qcไม่ดี >สั่งวัตถุดิบเกรดดีขึ้น โดยผูกขาด&กดราคา >เสียดายทรัพยากรครับ ถ้าoversupply+ปัญหาคุณภาพ >เลือกปิดไลน์นั้นๆครับ ไม่ใช่ว่า อุ๊ย..แผนกนี้เพื่อน/ญาติ งั้นปิดแผนกนู้นแทนดีกร่า หรือ เฮ้ย..โรงงานอื่นมันเก่งเกิน เผาแมร่งเลย ให้มันไปทำอย่างอื่นขาย คำถามของคุณK. กระทู้นู้น คุณมีลูกแล้วอยากให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษกับครูที่สอบวิชาอังกฤษตกหรือ? >ไม่ครับ และนึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีใครอยาก แต่ตอนที่ตัดสินใจส่งเข้าเรียนจริงก็ต้องเลือกจากตัวเลือกเท่าที่คิดว่าพอจะมั่นใจได้ครับ ผมก็ไม่ได้ตรวจประวัติครูรายคนหรอกครับ แต่ถ้าบังเอิญมารู้ว่ารร.ที่ตัดสินใจเลือกนั้นจัดครูอ่อนๆมาให้ลูกหลานผม ก็ไม่สบายใจครับ แต่คงยังไม่ถึงกับจับให้ลาออกด้วยเหตุเดียวหรือไม่กี่คน มันไม่ได้ถึงกับแย่ไปซะทั้งหมดหรอก แต่มันดีกว่านี้ได้ หลายคนบอกว่าการศึกษาดำดิ่งลงเพราะระบบเดิมไม่ดี นโยบายหลายตัวที่ทำมาแล้วช่วงหลังนี้จะทำให้ยิ่งดิ่งชันกว่าเดิมอีก ปล. ตอนอายุ20กว่า ผมมองเห็นโลกสวยกว่าทุกวันนี้เยอะเลยแฮะ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 17:57:36 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 17:29:52 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 17:25:35

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบคุณ สุดเดียวดาย คห.26 นะครับ ตามข้อสังเกตของคุณนั้น ผมขอตอบเป็นประเด็นดังนี้ครับ 1. นโยบายออกใบประกอบวิชาชีพนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนที่มีศักยภาพสนใจศึกษาวิชาชีพครูมากขึ้น ในเชิงพัฒนาการ (เปรียบเทียบกับตนเอง) ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนที่มีศักยภาพเปลี่ยนใจจากการเรียนแพทย์ ทันตะ ฯลฯ มาเรียนครูครับ ดังนั้นผมคงตอบคำถามคุณไม่ได้ 2. คะแนนสอบเข้าราชภัฎ เมื่อดูคณะครุศาสตร์ ปี 53, 54 และ 55 โดยเปรียบเทียบคะแนนต่ำสุดของคนที่สอบได้แต่ละปี สูงขึ้นมาประมาณ 500 - 1,000 คะแนน ตามแต่สาขาและมหาวิทยาลัยครับ ผมดูความพยายามของพวกคุณแล้ว กับการตั้งกระทู้ลักษณะนี้มาระยะหนึ่ง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเสนอแนวคิด โดยไม่มีข้อเท็จจริงเชิงสถิติประกอบ ซึ่งผมละเพลียจริงๆ) ผมว่าตัวเลขมันไม่ช่วยให้คุณคล้อยตามผมได้หรอกครับ เหตุผลนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าถามว่าทำไมมันยังไม่ดีขึ้นตามที่ผมพูดไว้ ก็น่าจะเป็นเพราะปี 54 นี่เพิ่งจะเป็นปีที่ 4 ที่มีการบังคับว่าผู้สมัครสอบบรรจุต้องมีใบประกอบวิชาชีพ (และบังคับจริงจังมา 2 ปี) บัณฑิตเพิ่งจะหลุดเข้าระบบไปไม่กี่คน (ไม่ถึงห้าพัน ในรายวิชาวิทยาศาสตร์) คุณกำลังจะบอกว่าการศึกษาไทยล้มเหลว เพราะคนพวกนี้เป็นหลักเหรอ?  ผมว่าจริงๆมันเป็นเพราะเรื่องอื่นหรือเปล่า การเอามาโยงกันแบบนี้มันออกจะ...หลวมๆไปหน่อยนะครับ ตรรกะเนี่ย (นี่แลกเปลี่ยนกัน หาข้อสรุปไม่ได้ นั่งวิจารณ์ตรรกะคนอื่น แย่จังเลยผมเนี่ย) จริงๆผมว่าตรรกะนี่เป็นเรื่องการสื่อสารและการตีความด้วยแหละครับ เราสื่อสารกันแบบพิมพ์ด้วยภาษาไม่เชิงว่าเป็นทางการมากนัก อธิบายอะไรก็ไม่ละเอียด จะตีความว่าตรรกะเพี้ยนมันก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก อาจจะเป็นที่การรับส่งสารก็ได้ ไม่ค่อยชอบไปตราหน้าใครน่ะครับว่าตรรกะวิบัติ แต่บางทีก็อดไม่ได้ ผมว่าผมเป็นคนโลกแคบหวะ  แต่ก็นะ ถ้าใครเปลี่ยนข้าง มาสนับสนุนผม  ตรรกะคนนั้นจะถูกต้องขึ้นมาทันทีครับ 55+ ปล. สอบมาตรฐานวิชาชีพ 9 วิชานี่ยากเหรอครับ เพื่อนผมเขาก็ไปสอบ เรียนจบเทคนิคการแพทย์ สอบรอบแรก ไม่ผ่านตั้ง 2 มาตรฐานแน่ะครับ ยากจริงๆด้วย ว่าแต่คนเก่งๆทั้งหลาย เราไปสมัครสอบกันบ้างไหมครับ? จริงๆผมมีใบประกอบวิชาชีพนะ แต่จะหมดอายุละ อีกไม่กี่ปี จะลองไปสอบดูซักทีจะได้ตอบคำถามคนในนี้ได้ ไปพร้อมกันรึเปล่าครับ คนเก่งทั้งหลาย จะได้รู้กันว่าที่คนไม่จบครูไม่ได้เป็น เพราะข้อสอบมันยาก ปิดกั้นโอกาส หรือเพราะข้อสอบมันง่าย แต่ไม่ผ่านกันแน่? ปล. ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสุดไม่อยากเป็นครู ผมเข้าใจผิดมาตลอดสินะ จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 17:39:24

ความคิดเห็นที่ 40 เอาง่ายๆนะครับ ในเชิงนโยบาย ถ้าผมจะออกนโยบายซักอัน ผมคงศึกษาความเป็นไปได้ และความเสี่ยงทั้งหมด ตอนนี้ที่พวกคุณพูดมา มันมีความเป็นไปได้ครับ แต่ถ้ายังไม่ได้คำตอบว่า ผลดี จากการได้คนที่มีศักยภาพ  จะมากกว่า ผลเสีย จากการได้คนไม่มีศักยภาพ(ที่หลุดเข้ามาด้วย) อันไหนมากกว่ากัน ถ้าผมเป็นผู้มีอำนาจ ผมก็ยังไม่กล้าออกนโยบายหรอกครับ น่าจะตอบ คห. 32 ได้ด้วยนะครับ ระบบการแข่งขันที่ว่าคนเก่งกว่าจะได้เข้าไปนั้น มันเป็นแค่ภาพในอุดมคติครับ จริงๆ การแข่งขันจริงๆ ระดับประเทศ มีแค่ไม่กี่ตำแหน่งหรอกครับ (รับเป็นหลักสิบ หลักร้อย ในแต่ละวิชา แต่ละปี)  ส่วนใหญ่ ม.ดังๆก็ได้ตำแหน่งไปหมด ผมไม่คิดว่าพวกนั้นโง่ด้วยนะ เพราะพวกนั้นแทบจะเป็นหนึ่งในสิบ หนึ่งในร้อย ของคนสมัครเลยด้วยซ้ำ ที่มีปัญหาจริงๆคือโรงเรียนเอกชน ที่คัดเลือกบุคลากรเอง (แล้วตอนนี้ผมก็เห็นครูไม่มีใบประกอบวิชาชีพสอนในเอกชนเกลื่อนไปครับ ถึงไม่มีเขาก็หาช่องทางจนได้  เวลาเลือกครูก็เลือกกันตามชอบเลยครับ ถูกชะตา รู้จักใครก็ดึงมา แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่กันไม่นาน มีงานที่ดีกว่าก็ไป) เอาจริงๆก็แค่อยากได้ข้อมูลเชิงตัวเลขครับ ว่าผลดีหรือผลเสีย อันไหนมันมากกว่ากัน เพราะถ้าพูดกันตรงๆ   "ผมไม่รู้จักคนเก่ง ที่สอบ 9 มาตรฐานไม่ผ่านเลยสักคน" แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 18:01:45 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 17:57:32 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 17:55:29

ความคิดเห็นที่ 41 .ดีครับ.ที่วนกลับมาให้ข้อมูล คนคุ้นเคยครับคุณ okanail. ผมไม่ได้เป็นครู.เพราะตอนนั้นไปเลือกวิชาชีพอื่นครับ./แต่ชอบสอนไหม.ชอบครับ.เพราะสอนทำให้รู้สึกว่าเรารู้กว่าเพื่อน รู้กว่าน้องๆ.เป็นการทบทวน.และได้เห็นคนอื่นยิ้มที่เข้าใจ.ผมมักจะสอนคณิตศาสตร์ให้เพื่อนครับ. ถามว่า.คนเก่งจริงๆนะ แค่ 9 มาตรฐานยากไหม.ถ้าเขาเก่งคงไม่ยาก. แต่มันขึ้นอยู่กับว่า.ขบวนการคิดไงครับ.ครูหรือวิศวกร หรือ นิติกร.หรือบัญชี นักวิทยาศาสตร์ นัก-.หรือฯลฯ.ไม่เห็นจะต้องขยาย.ออกไปอีก 1ปีเพื่อให้เกิดเงื่อนไขสำหรับกีดกัน. 1 ปี.อ้างว่า.เพื่อทำการฝึกสอน.เตรียมตัว ปลุกวิญญาณ เจตนคติ อุดมคติ.จินตภาพ จินตนาการขอ ความสำนึกความเป็นครู.โธ่ 1 ปีมันไม่ได้ขึ้นมาหรอกครับ.แล้วไง ก็เกิดเงื่อนไขซิครับ ว่าใครไม่ได้ทำอย่างนี้ เป็นครูไม่ได้ ดังที่เราเคยคุยกัน.ย้อนหลังไปสับสิบปี.ลงไปเรื่อยๆจนสมัยเป็นเด็ก ไม่เห็นครู บาอาจารย์มีใบประกอบ.ก็เห็นเขาสอนพวกเรามาได้  มันเกิดการกีดกัน.เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกครับ.ที่ใดไม่มีการคิดการแข่งขันเสรี.ที่นั่นมีแต่ความถดถอยครับ  ระบบด้วยครับ.ระบบที่รวมกันเป็นขบวนการไงครับ กันคนนอก.สร้างเงื่อนไขกีดขวาง แล้วภายในก็ไม่มีการพัฒนานี่แหละ.4 ปีแล้วที่นำมาใช้.ถ้าระบอบการมีประกอบวิชาชีพ.ทำงาน.ป่านนี้ก็ได้เห็นสัญณานอะไรบ้างละมั้งครับ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 18:29:18 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 18:26:19

ความคิดเห็นที่ 42 มันเป็นนโยบายหลักที่ปล่อยออกมาในการผลิตครูช่วงหลังนี่นะครับผมว่า เรื่อง 1 ปีที่เพิ่มมา เพราะพวกที่เรียนก็ต้องไปฝึกประสบการณ์เพิ่ม 1 ปี จากเดิมเรียน 4 ปี ฝึกอีก 1 ปีเป็น 5 ปี พวกเรียน 4 ปีก็น่าจะฝึก 1 ปีด้วยนะครับ จะก็เท่ากัน หรือถ้ายกเลิกผมก็คิดว่าน่าจะใช้เหตุผลเดียวกัน (ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร) แล้วบอกว่าพวกที่เรียนครูก็ไม่ต้องฝึกด้วยสิครับ หรือว่าพวกเลือกเรียนครูไม่ฉลาดครับ เลยต้องฝึก 1 ปี ส่วนพวกฉลาดไม่ต้องฝึก ผมว่าการทำงานมันมีรายละเอียดยิบย่อย ที่ต้องทำถึงจะได้มีโอกาสเจอ แล้วก็ไม่มีสอนในห้องเรียนนะครับ ผมเห็นด้วยให้ฝึก ทั้งพวกที่เรียน และไม่เรียนครับ ปล. พวกที่มีประสบการณ์สอนมาก่อน เขาก็ไม่บังคับฝึกนี่ครับ (แต่รายละเอียดอาจจะยิบย่อยหน่อย ผมว่าอันนี้เป็นเรื่องของระบบราชการด้วยส่วนหนึ่ง) แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 19:14:24 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 19:13:34

ความคิดเห็นที่ 43 #40 ...ผลดี จากการได้คนที่มีศักยภาพ  จะมากกว่า ผลเสีย จากการได้คนไม่มีศักยภาพ(ที่หลุดเข้ามาด้วย) อันไหนมากกว่ากัน... >ผมก็ดูอันเดียวกับคุณนี่แหละ ค่าyก็คือคนที่หลุดเข้ามานี่แหละ x-[1] กับ x-[1]-[2] ทั้ง3ตัวคงที่เมื่ออยู่ในบริบทเดียวกัน อันไหนyจะมากกว่ากันล่ะครับ >ใน#32มันไม่ใช่คำถามนะครับ แต่ที่คุณบรรยายไว้ก็แสดงมุมมองออกมาว่า การผ่านเกณฑ์60%ถือว่าเก่งพอหรือเปล่าน่ะ เราตีความต่างกันเยอะไป แต่ไม่ใช่หาว่าเขาโง่นะ แค่สื่อว่า เทียบว่ามีของชิ้นที่ดีกว่านี้วางข้างๆกันรอให้หยิบ ซึ่งเดิมเราก็หยิบมาใช้ร่วมอยู่ด้วย แต่รวมแล้วของก็ยังไม่พอใช้ แต่ทุกวันนี้เรากลับห้ามวางชิ้นนั้นไว้ให้หยิบอีกต่อไป จริงดิ๊? นี่อ่ะนะที่คุณเรียกว่าการแข่งขันมันเป็นแค่อุดมคติ? >ไอ้นโยบายที่เคยออกๆมาแล้ว+ที่จะทำแน่ๆ ศึกษาแล้วจริงอ้ะ o_O" ถ้างั้นตามสบายเลยครับ จัดไปตามที่ศึกษามาจริงเลยครับ >รอให้พัฒนาม.ผลิตครูให้ได้คุณภาพ ผมก็เชียร์&อยากเห็นครับ รออยู่เหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาให้ได้ทุกสถาบันเลยคงได้แต่หวังล่ะครับ มันอุดมคติเกินไป (ที่จริงก็ไม่ใช่แค่คณะครูหรอกนะ TT) >นโยบายที่กระทบอย่างแรงในระยะสั้น-กลาง มันส่งผลสะสมระยะยาวด้วย อย่ามองไกลจนลืมมองใกล้ จนเป้าหมายปลายทางมันกลายพันธุ์หรือไปไม่ถึง ...สอนในเอกชนเกลื่อนไปครับ ถึงไม่มีเขาก็หาช่องทางจนได้  เวลาเลือกครูก็เลือกกันตามชอบเลยครับ ถูกชะตา รู้จักใครก็ดึงมา แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่กันไม่นาน มีงานที่ดีกว่าก็ไป... >ยินดีครับ ได้เจอคห.เกี่ยวกับเอกชน เคยเจอแต่คห.ต่างๆเหมาว่าคนที่โวยนี่แค่อยากสบายเลยอยากเป็นขรก. อยากเป็นครูเพราะหมดหนทางเป็นขรก.อื่น ถ้าอยากจริงไปสอนเอกชนหรือเปิดกวดวิชาซิ >กลุ่มคนตามที่คุณว่านั่นก็คงไม่รวมถึงครูเอกชนแบบหัวแถวนะครับ นับเฉพาะแค่คนที่ไม่มีศักยภาพด้วยกัน ก็ดูค่าyเหมือนกัน แค่เปลี่ยนคำว่าสอบ60%เป็นเกณฑ์การเลือกของเอกชนเฉพาะรายไป >ข้อมูลของคุณเป็นตัวยืนยันว่า ตลาด(ผู้ว่าจ้าง)เขาไม่เห็นความแตกต่างของคนจบครูกับคนจบคณะอื่น ว่าจะช่วยรร.เขาได้มากน้อยกว่ากันยังไง เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการเลือกรับบุคลากรเฉพาะทาง ไม่ได้สร้างoutputที่ดีขึ้นหรือมากขึ้นให้รร.เขา ซึ่งก็คือ เขามองว่าคุณภาพไม่ได้ดีกว่าการเลือกจากคนอื่นซึ่งใช้ต้นทุนเท่ากัน หรือถูกกว่า >การกำหนดใบวิชาชีพน่ะ ทำให้ส่วนต่างต้นทุนในการจ้างคน2กลุ่มนี้ยิ่งห่างออก จูงใจให้ผู้จ้างเลือกกลุ่มที่ไม่ได้จบครูซะอีก แล้วก็ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้วุฒิมา ระหว่างนั้นลูกจ้างก็โดนกดขี่กดราคา นับรอวันที่ได้ใบแล้วจะได้ไปรร.อื่นหรือรร.รัฐ รอถึงวันไม่ไหวจริงๆก็ไปงานอื่นครับ กลุ่มที่จบครู เขาไม่กดขี่มากเท่า เพราะมีใบแล้วไง บีบมากเดี๋ยวหนีเร็ว (คือเขาก็ไม่ได้แคร์นักนะ แต่ก็เทียบกะรับใหม่บ่อยๆ ปรับบ่อยๆ ยิ่งกลางเทอมอีก ก็ขี้เกียจนะ) ทั้งต้นทุนถูกกว่า ทั้งการบริหารจัดการ(เอาเปรียบ)ง่ายกว่า >ถ้าคุณภาพไม่ต่างกันมากพอ >ผู้จ้างก็เลือกคนไม่จบครูซิครับ นโยบายนี้ส่งเสริมให้คนตกเป็นทาสในวงการนี้ง่ายขึ้นครับ ถ้าว่าครูขรก.สาหัสแล้ว<ครูอัตราจ้างยิ่งกว่า<ครูเอกชนไม่รู้จะลงวรรณะไหนเลยล่ะ >ไอ้ที่ว่าหาช่องจนได้น่ะ ถูกต้อง&ถาวรไหมล่ะครับ #42 >ก็บอกแล้วครับ มันเป็นเทคนิคเลี่ยงศาล แต่หลักการมันฟังแล้วเนียนพอ (หลายหน่วยงานหลายนโยบายก็ทำแบบนี้เป็นกันครับ) ธรรมชาติของครูไม่เหมือนระบบวิชาชีพอื่นที่ชอบนำไปเปรียบเทียบกับเขา คือ จำนวน ถ้าบอกว่าครูรับแค่หลักร้อยต่อปี(ต่อสาขาวิชา) ผู้พิพากษา อัยการ หมอ เขามีน้อยกว่าครับ และมีสาขาเดียว แต่ทุกวันนี้ท่านๆคงเห็นจากข่าวสารบ้านเมือง ว่า คุณภาพก็ต่างจากสมัยก่อน เพราะช่วงหลังๆมานี้มีจำนวนผลิต&จำนวนใช้งานที่เยอะขึ้นและมีช่องทางกึ่งผูกขาดมากขึ้น(พูดงี้ไม่รู้จะซวยรึเปล่า เชิญที่ปล2. -_-") ส่วนอื่นและคห.อื่น ของเดิมมีถกกันไว้หลายรอบ ป่วยการจะพิมพ์แล้ว ขี้เกียจครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยนคห.กระทู้นี้ครับ ยังเชื่อว่าคนในวงการรู้จริง&แก้ไขได้แบบจริงใจกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าไม่ซึน ลาคุณจขกท.ด้วยครับ ปล.เฮ้อ อยากกลับไปอายุ20อีกครั้ง (ไม่ต้องถึง14อีกครั้งนะ ไม่ใช่คุณเสก อิอิ) ปล2. ตัวอย่าง http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1818703 http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1814665 คนที่ชอบก็บอกคนอื่นองุ่นเปรี้ยว ก็เหมือนกะกรณีนี้แหละน้อ แต่ก็ยังต่างกันกะครูอยู่ดี คือช่องทางพิเศษที่ให้ใช้คุณสมบัติเฉพาะน่ะมันมีขนาดเล็ก ซึ่งมีโอกาสเกิดการคัดพิเศษเป็นผลดีได้มากกว่าการให้ช่องสำหรับคนคุณสมบัติพิเศษมีขนาดใหญ่&เป็นช่องหลัก(เกิดจริงไหมไม่รู้นะครับ) แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 05:54:16 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 05:28:37 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 05:21:07 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 05:17:43 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 05:02:40 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 04:55:45 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 04:54:57

ความคิดเห็นที่ 44 จะลาแล้วเหรอครับท่านtemp003184 .อยู่คุยกันก่อนดีไหมครับ.เรื่องรากฐานของชาติบ้านเมืองอย่างนี้ครับ.ผมก็คิดว่าจะคุยไม่มากหรอกครับ ว่าแค่สัก 1-2/ ครั้ง/ปีพอครับ .จะมาตามดู output. นะครับ. เรื่องที่พูดกันนี้.เคยมีเรื่องที่น่าจะนำมาเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี ถึงความดื้อรั้น.ความทิฐิ การมองเพียงแต่แง่จะได้ไม่คิด lost ไม่ยอมรับผลกระทบข้างเคียงside effect การคิดแต่ผลที่จะเกิดขึ้นกับพวกหมู่และชุมชนของตนเอง ออกกฎหมายมาเพื่อเอื้อประโยชน์.แล้วนำไปสู่ความหายนะในที่สุด  นั่นคือ กรณี โดยการเปิดกิจการวิเทศน์ธนกิจ หรือ บีไอบีเอฟ (Bangkok International Banking Facilities : BIBF) ในปี 2537 ตอนนั้น.มีผู้รู้และคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมา.ได้ออกมาเตือนและแสดงความกังวลอย่างชัดเจน.แต่ก็ดูเหมือนเสียงเตือนเหมือนจะเบา.และไม่ค่อยได้ยิน.ไมเหมือนเสียงตะโกนสนับสนุนโดยอ้างข้อดีต่างๆนาๆ บางอย่างสิ่งที่เห็นชัดว่าจะต้องเกิดผลเสีย.ก็แกล้งลืมคิดลืมพูด ลืมให้ความระมัดระวัง.กลับมีเสียงเสียดสีผู้ที่คัดค้าน.ว่าไร้สาระ.ไม่หวังดี.   การเปิดวิเทศน์ธนกิจ.จึงนำไปสู่ความล่มจมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย.อย่างชนิดล่มสลาย .เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นผลกระเทือนไปทั้งโลกในเวลาต่อมา..และยังส่งผลร้ายแรงกระทบกระเทือนชาติเราจนมาถึงวันนี้ เงินงบประมาณหลายหมื่นล้านต่อปี.จะต้องไปจ่ายดอกเบี้ย.สำหรับความผิดพลาดในครั้งนั้น  นั่นก็เกิดจากความคิดของกลุ่มคนที่คิดเพียงแต่ได้.ไม่คิดเสีย ขาดวินัย ไม่มีพื้นฐานดี.ไม่ยอมรับความจริงในความไม่แข็งแรงของตนเอง  เฉก เช่น.กรณีใบประกอบวิชาชีพครูนี้.การคิดเพียงด้านดี.โดยไม่ยอมรับความจริงว่า.รากฐาน.หรือนัยหนึ่ง แหล่งป้อนวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ ยังไม่มีคุณภาพ.สถาบันผลิตครูยังด้อยคุณภาพ.เชื่อถือไม่ได้ แน่นอนยอมเชื่อได้เลยว่า เมื่อวัตถุดิบขาดคุณภาพ.ผลผลิตย่อมด้อยคุณภาพแน่นอน การดันทุรังทั้งๆที่รู้ก็รู้แก่ใจว่า.การผลิตครูยังพึ่งไม่ได้ ทำให้เด็กต้องรับกรรม.ได้ครูที่ยังไม่มีคุณภาพ.แต่ที่น่าวิตกคือความคิดที่จะขอให้เวลา หมายถึงจะต้องใช้เวลาเป็น สิบปี หรือยี่สิบปเผื่อการผลิตครูจะดีขึ้น ไม่ยอมรับคำตักเตือน คำทักท้วง.ไม่ยอมรับสัญณานความตกต่ำ.ที่กำลังเกิดขึ้น.เสมือนสมัยต้มยำกุ้งที่ไม่ยอมรับสัญณานทางเศรษฐกิจที่ส่อให้เห็นควาหายนะ.ที่เกิดขึ้น จวบจนกระทั่งฟองสบู่แตก     กรณีใบประกอบวิชาชีพครู.จะเป็นดัง กรณี BIBF และเหตุการณ์ต้มยำกุ้งนั้นแล สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบติดตามเรื่องเดิม.ของเรื่องเหล่านี้ ก็ขอ link กระทู้เก่ามาให้ดังนี้     http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/05/K10610756/K10610756.html http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/06/K10750332/K10750332.html http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/06/K12307710/K12307710.html หรือ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K10884235/K10884235.html แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 07:18:34 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 07:17:57 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 06:40:43 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 06:33:15 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 06:23:24

ความคิดเห็นที่ 45 คห 43 ถ้าถามหางานวิจัยงานวิจัยที่ศึกษา "จริง" (นี่คงเป็นฉบับเผยแพร่นะครับ) http://202.143.150.11/media/ebook/pdf/4312028/pdf.pdf อันนี้ฉบับสรุป http://www.sermwit.ac.th/cms/kbs/ebook/pdf/4212014/pdf.pdf ใบประกอบวิชาชีพผู้บริหารครับ http://www.sermwit.ac.th/cms/kbs/ebook/pdf/4312029/pdf.pdf มีคำถามอะไร ฝากไว้ก็ได้นะครับ ถ้ามันไม่ก้าวร้าวจนเกินไปผมจะไปถามให้ เพราะตอนนี้ผมลงเรียนวิชาหนึ่งกับหัวหน้าทีมวิจัยเรื่องนี้ครับ (ขอโทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน แต่ผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้แหละครับว่าท่านเป็นหัวหน้าทีมวิจัยเรื่องนี้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว) เรื่องวรรณะการกดขี่  ผมไม่ค่อยเห็นนะครับ  มันอยู่ที่ผู้บริหาร บริบทโรงเรียน หลายอย่างด้วยมั้ง ส่วนเรื่องเทคนิคตบตาศาลนั่น ผมว่ามองโลกแคบไปนะครับ  หลายคนที่เขาออกนโยบายอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นตั้งแต่ต้นก็ได้  มันอยู่ที่มุมมองนะผมว่า ตอบคุณสุด คห 44 ขนาดผมเป็นเด็กผมยังรู้เลยว่า ถ้านี่เป็นปัญหา ความรุนแรงมันไม่เร่งด่วนเท่าปัญหาอื่นครับ  แต่ส่วนตัวผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นปัญหาอย่างที่คุณกล่าวมาหรือเปล่า  ประสาอะไรกับพวกผู้ใหญ่ครับ  ถ้าคุณอ่านงานวิจัยข้างต้น คุณน่าจะเห็นว่าเขาศึกษามาค่อนข้างเยอะ ทั้งในประเทศและนอกประเทศก่อนจะดำเนินนโยบาย (ก่อนพวกคุณจะเอาความเห็นส่วนตัวมาตีตก)  แล้วเขาก็อยู่ในระบบ  ช่องโหว่ที่คุณเห็นผมว่าเขาคงเห็นมาก่อนแล้วล่ะครับ  แต่เขาคงไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา  ส่วนผมก็เหมือนกันไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา นี่ผมก็บ้ามากนะที่มาต่อความยาวสาวความยืดอยู่ขนาดนี้ ดูคนอื่นๆสิครับ เขามาต่อประเด็นไหม ตอบคุณเทมป์ คห 43 ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี สรุปว่าอยากให้ยกเลิกใบประกอบวิชาชีพ ให้คนที่ไม่จบครู ไม่มีประสบการณ์การสอนเลยสักนิด มาเป็นครูก็ได้เหรอครับ? ผมละงง  อย่างนี้มันเปิดช่องให้คนไม่เก่งมากกว่าคนเก่งนะครับ  แล้วที่สำคัญ ผมคิดว่าเอกชนแต่ละที่มีศักยภาพ และโอกาสในการเลือกครูไม่เท่ากันครับ  ถ้าไม่ใช่เอกชนหัวแถว แทบไม่มีโอกาสเลือกครู ต้องง้อครูด้วยซ้ำ  แน่ใจแล้วเหรอครับ?ว่าโมเดลสมบูรณ์แล้ว  เข้าใจนะว่าคุณมองว่ามันเป็นการตบตาศาลอะไรนั่น แต่... ไม่เสนอแนวทางที่ควรทำหน่อยเหรอครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:19:22 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:18:10 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:10:41 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:08:01 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 11:06:03

ความคิดเห็นที่ 46 ปล. เราคงไม่ได้มานั่งวิจารณ์คน หรือแสดงเหตุผลวิชาอ่านเอาเรื่อง 101 หรอกใช่ไหมครับ   ข้อมูลมากพอ น่าเชื่อถือ เรารับฟังครับ ความความคิดเห็น ล้านคนก็ล้านอย่าง ปกติเราฟังเฉยๆ แต่ถ้าไม่เห็นว่ามีประเด็นเราก็ต่อยอดครับ ผมเห็นพวกคุณพยายามโพสต์มาหลายปีละ กระทู้จริงๆก็ไม่ได้มีแค่นั้นด้วย มีอีกเยอะ แต่ว่ามันไม่มีคนต่อความ (ขอโทษที่ผมไม่ว่าง) เลยตกๆไป แต่อย่างน้อยน่าจะเห็นนะครับ ว่าความคิดเห็นอย่างเดียวมันไม่หนักแน่นพอ ผมชี้ทางให้พวกคุณแล้วนะ ถ้ามีข้อเท็จจริง มันก็พอจะมีโอกาสมากขึ้นนะครับ  แต่ถ้าโยนให้นักวิจัยทำ อย่างน้อยนักวิจัยคนนั้นต้องเห็นด้วยกับคุณก่อนล่ะครับ  เชื่อเถอะว่าพวกเขาหาทาง หาทุนได้ ถ้าเขาเห็นคล้อยตามกับคุณ พวกเราไม่ได้โง่ ไม่ได้ตรรกะวิบัติไปหมดทุกคนหรอกครับ เชื่อผมเถอะ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:33:08 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 11:26:21 จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 11:25:41

ความคิดเห็นที่ 47 พูดถึงงานวิจัย.โดยเฉพาะงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับการศึกษา. อยากจะให้ใครหรือสถาบันการศึกษาใดๆ ลองวิจัยดูหน่อยไหมว่า "การทำเรื่องประเมินผลงาน เพื่อปรับวิทยาฐานะระดับ คศ.3 และ การทำวิจัยและหรือการทำผลงานเพื่อขอปรับวิทยฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ต่างๆของสายการศึกษา.ปัจจุบันนี้ มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อาจจะตั้งสมมุติฐานง่ายๆ ว่า ทำจากผลงานจริง.ด้วยตัวเอง..1                                       จ้างนักเรียนหรือจ้างคนในสถานศึกษาทำ..2                                        จ้างอาจารย์มหาลัยหรือ/ครูเกษียรทำ......3 และ คำถามที่.น่าจะถามต่อก็ประมาณว่า . จ้าง คศ.3 ราคาประมาณ 2-3                                                               หรือ ราคาประมาณ 4-5   เหตุใดหรือครับ.  ก็เพราะแม้กระทั่งการประเมินผลงาน.การทำข้อมูลซึ่งรวมทั้งการวิจัย.ในระดับ. คศ.3- ผู้เชี่ยวชาญ. ยังมีการจ้างการทำอย่างทั่วถ้วนหน้า.  การวิจัยใดๆ .ย่อมจะนำมาอ้างได้ยากมาก.ผมไม่เคยให้เครดิตกับผลงานวิจัยเหล่านี้ เคยพบงานวิจัยหลายชิ้นที่ใช้ไม่ได้ มีความBIAS สูงจนเบี่ยงเบน.จากความจริงไปคนละเรือ่งเลย  ยกตัวอย่าง เคยมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม.ในนิคมอุตสาหกรรม.แถบชายทะเลฝั่งตะวันออก. สุดท้าย.โลกแห่งความจริงตรงกันข้ามจนเกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากมาย.    ดูจากข่าาวสาร และผลการประเมินจากสถาบัน.ข้างบนนี้ซิครับ.หรือดูจากข่าว.อาจารย์จุฬา.สัมภาษณ์ผลการประเมินภาษาอังกฤษนั่นซิครับ.ที่ เด้กได้ ศูนย์ภาษาอังกฤกษเป็นแสนๆคน.  อันนี้แหละครับ.ของจริง ไม่ต้องบวิจัยดอกครับ.  แล้วคอยติดตามผลของการใช้ กฎหมาย ใบประกอบวิชาชีพกันนะครับ. อีก สองปี หรือสี่ปีเห็นผล. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 13:21:00

ความคิดเห็นที่ 48 อืมนะ ผมบัตรผ่านคงตั้งกระทู้ไม่ได้ อยากให้คุณสุดเดียวดายแยกตั้งกระทู้เรื่องการทำผลงาน คศ3 คศ4 แยกต่างหากเลยน่าจะดีนะครับ เดี๋ยวนี้มันพัฒนากันไปถึงขนาดรู้ว่าใครจะเป็นคนตรวจแล้วก็ไปจ้างคนตรวจนั่นแหละทำให้กันเลยทีเดียว จากคุณ : ครูแก่ๆ เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 16:02:43 A:171.101.118.83 X: TicketID:322897

ความคิดเห็นที่ 49 งานวิจัยก็มีคุณภาพงานวิจัยที่ต่างกันไป จะเหมารวมว่าเชื่อถือไม่ได้หมดก็คงไม่เหมาะสมมั้งครับ ผมว่าดูที่เนื้องานเป็นงานๆไปดีกว่า เพราะบางคนเขาก็ทำจริง ดีจริง อย่างที่ยกตัวอย่างนั่น คนทำคือ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ นะครับ ได้โปรดอย่าเหมารวม โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าจะวิจารณ์ วิจารณ์จากเนื้องานน่าจะดูเหมาะสมกว่านะครับ ถ้ายังเชื่อถือไม่ได้ ผมว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วล่ะครับ ปัญหามันอยู่ที่คุณอยากล้มล้างระบบทั้งระบบเลยมากกว่า เอาเหตุผล เอาข้อมูลอะไรมาอ้างก็คงไม่มีความหมายหรอกครับ ปล.ตั้งแต่คุยกันมานี่ นอกจากความเห็นของพวกคุณสี่ห้าคนแล้ว มีข้อมูลอื่นๆอีก ที่เชื่อถือได้ อ้างอิงได้ไหมครับ สมมตินะ ถึงผมจะเห็นด้วยและอยากช่วยปรับระบบให้ (สมมติว่ามีอำนาจด้วย) ผมก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาซัพพอร์ทแนวความคิดของผม จะบอกว่าให้ปรับนโยบาย โดยอ้างอิงความคิดเห็นพวกคุณสี่ห้าคน ผมอำนาจล้นฟ้าก็ไม่สามารถครับ ขอโทษนะครับ ผมหมดเวลาพายเรือเล่นกับพวกคุณแล้ว ขออนุญาตไปอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้ก่อน ว่างๆจะกลับมาพายเรือเล่นอีกครับ จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 16:09:28

ความคิดเห็นที่ 50 ท่าน ครูแก่ๆ คคห.ที่ 48 ครับ "เดี๋ยวนี้มันพัฒนากันไปถึงขนาดรู้ว่าใครจะเป็นคนตรวจแล้วก็ไปจ้างคนตรวจนั่นแหละทำให้กันเลยทีเดียว "  นี่แค่ส่วนน้อยนิด.ของที่รับรู้มาครับ.  โอจอร์จ ..เมื่อได้ยินได้ฟัง.จากเรื่อง คศ.3 คศ.4 ที่เห็น พบ-ประสพ -เข้าไปรับรู้ขบวนการ.ปรับวิทยาฐานะ.เพิ่มเงินค่าวิทยาฐานะ. แล้วจะหนาว.ยะเยือก.ว่า.ครู....ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ. แล้วเราจะพึ่ีงพิง เชื่อถืออะไรกับขบวนการนี้.การวิจัยต่างๆก็คือเศษกระดาษนั่นแหละครับ. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 16:13:19

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านความคิดเจ้าของกะทู้ที่ว่า นั่งดูเหตุที่ทำให้การศึกษาไทย.ต่ำลงๆ และไม่มีทางผงกหัวขึ้นมาได้.เชื่อว่าเป็นเพราะ -ออกฏหมายให้มีใบประกอบวิชาชีพครู.ให้ครูต้องเรียน 5 ปี .ต้องจบทางด้านครูมา อ่านดูแล้วก็  ขำๆ   คุณมองปัญหาได้แค่นี้  เพราะปัจจุบันคุณไม่ได้เป็นครู ปัญหาที่คุณว่า  มันเป็นแค่หนึ่งในอีกหลายเรื่อง  ไม่ใช่แก้ปัญหานั้นแล้ว    การศึกษาไทยจะดีขึ้นทันตา พวกเรียนเก่ง  เกียรตินิยม  ที่สอนไม่ได้เรื่องก็มีเยอะ   แถมนิสัยเสีย  อีโก้จัด  ทำงานเข้ากับใครไม่ได้   ก็มี ปัญหาที่คุณกล่าวมา   บ่งบอกว่าคุณยังไม่เข้าใจปัญหาเรื่องการศึกษาไทยตกต่ำดีพอ   ถ้าแก้ปัญหาอย่างคุณว่า   อาจจะเพิ่มปัญหาใหม่ตามมาอีกด้วยซ้ำ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 10:36:52 จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 10:22:43

ความคิดเห็นที่ 52 ผมเขียนไว่้มีสามหัวข้อนะครับ. ลองกลับไปอ่านหัวข้อกระทู้อีกทีนี้ครับ. 1.ใบประกอบวิชาชีพครู 2.การหมกมุ่นแต่การปรับเปลี่ยนเพิ่มวิทยาฐานะ.นั่งเมค.ยกเมฆฯลฯ.ไม่สนใจเรื่องของตน 3.ความไม่มีคุณธรรม การเล่นพรรคเล่นพวก.ไม่คิดแก้ปัญหา. อยู่ในกระทู้นะครับ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 10:36:05

ความคิดเห็นที่ 53 ผมอ่านแล้วครับ   ทั้งสามข้อก็ยังห่างไกลจากปัญหาชนิดสุดกู่  ครับ ผมถึงบอกเพราะคุณไม่ได้เป็นครูไง   คุณจึงไม่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง ถ้าถามว่า  ผมเป็นครูไหม     ผมไม่ได้เป็นครูประจำการ    ผมไม่ได้เรียนครู  ผมจบช่างอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็อยู่ในแวดวงการศึกษามาหลายปี  เพราะป้าป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชน (มีหลายสาขา)   มีโรงเรียนติวเตอร์     ผมก็ช่วยสอน    ช่วยบริหารฯ ญาติพี่น้อง  เป็นครูหลายคน  เป็น   ผ.อ.   ครู  คศ. ๓    คศ. ๒   ทั้งครูใหม่  และหลานๆ ก็กำลังเรียนศึกษาศาตร์ อยู่ ปี ๑ หลังๆ  ผมก็ไปเป็นครูบ้านนอก   ไม่มีเงินเดือน   อาศัยมีมรดกพอเลี้ยงตัวได้  ไม่ต้องทำมาหากิน (เงินปันผลจากโรงเรียนของป้านั่นแหละ) ก็เลยสอนเด็กได้แบบสนุกๆ   ผมหลุดจากปัญหาทั้ง ๓  ข้อ  ของคุณ     แต่ถ้าถามว่านักเรียนที่ผมสอนจะดีกว่าที่อื่นหรือไม่  ผมตอบได้เลยว่า ไม่ เพราะนักเรียนบ้านนอกของผม   มาโรงเรียนบ้าง  ไม่มาบ้าง   ถ้าพืชผลการเกษตรออก   เขาก็หายไปเป็นอาทิตย์ พ่อ  แม่  ไม่มีเวลาดูแล   ในห้องหนึ่ง  ๓๘  คน   มีความพร้อมที่จะเรียนจริงๆ  แค่  ๕  คน สมาธิสั้นจู๋  สอนไป ๑๐  นาที   ก็ลืมหมดแล้ว มันช่างผิดกับโรงเรียนป้าผมชนิดที่เรียกว่า    ฟ้ากะเหว    เลย ยิ่งเรื่องบุคคลากร  ประจำโรงเรียนยิ่งไม่ต้องเทียบ   โรงเรียนป้าผม  มีเจ้าหน้าที่ธรุการ ๔  คน   ฝ่ายการเงิน  ๓  คน  ฝ่ายวิชาการ  ๓  คน ฝ่ายพัสดุ   ภารโรงและแม่บ้านอีกเป็นสิบๆ  คน แต่โรงเรียนที่ผมสอนที่บ้านนอก  งานทั้งหมด  รวมอยู่ในครู ๑๖  คน   ที่ต้องรับภาระนักเรียนอีก  ๓๐๐  คน     ภารโรงมีคนเดียว  ทำงานเกือบตาย ทั้งหมดที่กล่าวมา  ก็ยังไม่ใช่ปัญหาทั้งหมด   มันเป็นแค่หนึ่งในอีกหลายปัญหา หมายเหตุ : เออ  ผมสอนไม่ซ้ำที่นะครับ  ไปมาแล้ว ทั้งสี่ภาค  ไปอยู่ตามตะเข็บชายแดนเป็นปี แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 11:21:40 จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 11:16:51

ความคิดเห็นที่ 54 ความคิดเห็นที่ 52  ของคุณ   ยิ่งบอกว่า คุณไม่รู้อะไรยิ่งขึ้น  เพราะเป็นคนนอกวงการ ปัญหานี้มีมานานแล้ว   ความคิดของคุณเหมือนกับจะหานักแข่งระดับเทพ   ขับวีออส   ไปลงสนาม F1 จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 12:30:24

ความคิดเห็นที่ 55 เอาความเห็นของอาจารย์วิริยะ   มาให้เจ้ากระทู้ได้อ่าน   http://blog.eduzones.com/wiriya/80647 คุณจะได้ไม่หลงทางไปไกล การศึกษาขั้นพื้นฐานควรเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เด็กไทยรักชาติ มีศักดิ์ศรี เคารพยกย่องคนดี ความดี แต่เรากลับจัดการศึกษาในโรงเรียนเพียงเพื่อให้นักเรียนทำโจทย์ข้อสอบและแข่งขันกันทำเกรดสูงๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้สังคมไทยอุดมไปด้วยคนสำเร็จการศึกษาที่ขาดคุณภาพ เห็นได้จาก คนไทยจำนวนมากยึดติดกับการคอรัปชั่น ตั้งแต่ประชาชนรับเงินเพื่อเลือกตั้งนั่นคือคอรัปชั่นระดับพื้นฐาน การติดสินบนใช้เส้นสายเพื่อเอาเปรียบคนอื่นๆ มีกันแทบทุกวงการ จนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม การบนบาลศาลกล่าวขอให้ได้โน่นได้นี่แล้วจะนำของมาให้ มาวิ่งให้ มาบวชให้ คือติดสินบนแม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เว้น เรามีคนไทยที่พร้อมจะฆ่ากันเพียงเพราะมีความคิดที่แตกต่างกัน เรามีเยาวชนที่ติดยาเสพติด นักเรียนตีกันฆ่ากัน หลงไหลในวัตถุ หลงลืมความเป็นมนุษย์ เรามีนักการเมืองที่โกงกินจนประเทศเราติดอันดับต้นๆ ของโลกในเรื่องคอรัปชั่น ผมดีใจที่เรายังมีนักคิดนักการศึกษาผู้มองเห็นปัญหานี้หลายท่านและได้ร่วมกันปฎิรูปการศึกษา เมื่อสิบปีที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ การปฎิรูปยังไม่ทำให้การศึกษาไทยเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนไทยที่เราคาดหวัง ผมพยายามหาคำตอบว่าทำไม เพราะอะไร หนึ่ง เรายึดติดกับระบบราชการจนถอนตัวไม่ขึ้น โรงเรียนยังต้องจัดการเรียนการสอนตามมาตรฐานที่กระทรวงกำหนด สอง ผู้ปกครองยังเห็นว่าเป้าหมายการศึกษาคือ มหาวิทยาลัยดัง และปริญญา สาม ผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการโรงเรียน ยังไม่ทำให้โรงเรียนเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่เขียนกันอย่างสวยหรู ดังนั้นโรงเรียนจึงยังคงเป็น สถานที่สอนวิธีทำโจทย์วิชาต่างๆ สี่ นักการเมือง ใช้การศึกษาเป็นแค่เครื่องมือหาเสียงและแหล่งหาเงิน จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 12:55:05

ความคิดเห็นที่ 56 ฟินแลนด์ประเทศเล็กๆ ในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน มีความน่าสนใจมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนของเขา คนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก การจัดอันดับนี้ทำโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา ซึ่งใช้รูปแบบการวัดผลที่เน้นวัดความรู้ในการแก้ปัญหาและการใช้ภาษาของคนทั่วโลก ที่ชื่อ PISA  (Program For International student Assessment ) สิ่งที่น่าแปลกคือ การจัดการศึกษาของเขากับของเรามันช่างตรงกันข้ามจริงๆ ครับ เรื่องแรก ที่ฟินแลนด์จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาลเพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรัก ความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล ส่วนบ้านเรา แข่งกันเข้าอนุบาล เดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว เรื่องที่สอง เด็กที่นี่เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง (ในระดับประถม) ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ ส่วนเด็กไทย อัดกันเข้าไป เรื่องที่สาม ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ 12 คนมากสุดก็ 20 คนครับ โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้อง เพราะเขาจะพัฒนาคน และคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาอยากพัฒนาศักยภาพที่เด็กแต่ละคนมี การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ ส่วนของเรา บางโรง ห้องละ 50 คนครับ จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 12:58:21

ความคิดเห็นที่ 57 เรื่องที่สี่ เขาไม่ให้เกรดเฉลี่ย มาเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขัน ประเทศนี้จึงไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ เรื่องที่ห้า การสอบเขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งระเทศ เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน เรื่องที่หก เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหาร และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ ระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวงหรือใครมีอายุราชการนานแค่ไหน โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพครับ เรื่องที่เจ็ด (ความจริงมีอีกเยอะครับ) คือ ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ปอโทด้านครูครับจึงมาสมัครสอนได้ เรื่องสุดท้าย ค่าตอบแทนของครู และสถานะทางสังคม การเป็นครูได้รับความยกย่อง มากทัดเทียมอาชีพหมอ หรือวิศวกร และค่าตอบแทนก็ไม่ต่างกัน ที่สำคัญ สังคมเคารพยกย่องคนที่เป็นครู ส่วนบ้านเราก็อย่างที่เห็นๆ แค่นี้คงพอมองออกนะครับว่าเราทำการศึกษาตรงข้ามเขาขนาดนี้ผลงานมันเลยออกมาตรงข้ามกันครับ เจ้าของกระทู้ดูข้อที่เจ็ด นะครับ   ฟินแลนด์   ที่เขาติดอันดับ ๑-๒ ด้านการศึกษา มาหลายปี   ครูเขาก็ต้องจบด้านครูเหมือนกัน จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 13:01:17

ความคิดเห็นที่ 58 ค่าตอบแทนของครู และสถานะทางสังคม การเป็นครูได้รับความยกย่อง มากทัดเทียมอาชีพหมอ หรือวิศวกร และค่าตอบแทนก็ไม่ต่างกัน ที่สำคัญ สังคมเคารพยกย่องคนที่เป็นครู ส่วนบ้านเราก็อย่างที่เห็นๆ อยากแชร์ข้อนี้มาก  เหมือนบอกว่าครูไม่ได้รับการยกย่องเหมือนอาชีพอื่น  แต่ลองถามกลับว่าเมื่อก่อนครูเงินเดือนน้อยมากๆๆๆๆๆ  แต่ได้รับการยกย่องนับถือ  แล้วทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นจนหลายคนกลับดูถูกคนที่เป็นครูด้วยซ้ำไป  (ขอโทษมากกกสำหรับคุณครูดีๆๆๆที่มีมากมาย) ค่าตอบแทนครูตอนนี้ก็มากกว่าข้าราชการสาขาอื่นนะ ไม่ได้น้อยแล้ว  แต่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า หรือเปลี่ยนให้แย่ลง จากคุณ : MAOK เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 13:38:24

ความคิดเห็นที่ 59 อืม.คคห.ที่ 53-57 มีส่วนถูกในหลายเรื่อง.ส่วนใหญ่เป็นรูปธรรมด้วย. แต่.นั่น.เรามองในมุมเปรียบเทียบ.เฉพาะในด้านที่ดี. เปรียบเสมือนถ้าเรามอง.รถยนต์นั่งว่า .รถยุโรปดี.เกาะถนน ปลอดภัย แข็งแรง.นั่นคือข้อดี.เสมือนเปรียบเทียบกับการศึกษาประเทศฟินแลนด์.อย่างที่อ้าง แล้วข้อเสีย.ละ. เราเอามาใช้ไม่ได้หมด.แต่เขาทำได้เพราะ เขารวยแล้ว เขามีอัตราส่วนมวลรวมประชากร หรือรายได้ต่อหัวสูงมากๆ. เสมือนสุดท้าย รถยุโรปดี.แต่ไปไม่ไกลในเมืองไทย เพราะไทยต้องประหยัด ดูแลง่าย.บำรุงรักษาถูก ความปลอดภัย.เกาะถนนเอาไว้ทีหลัง ..ผมกำลังเปรียบว่า.เอาที่ใช้ได้ซิ เช่น.สิงคโปร์ เวียดนาม .ไต้หวันก็พอ มันใกล้เคียงความจริงกับไทย อย่างที่ผมจะบอกนี่แหละ/ แต่แล้วที่ทำนี่อะไร   - ปิดกั้น หวงห้าม.กีดกัน.ไม่ให้คนเก่งๆมาเป็นครู .แล้วได้ผลไหม. คนเก่งๆยังอยากเป็น หมอ.วิศวกร อักษร วิทยศาสตร์ สถาปนิกไหม .ก็เพราะโรงเรียนผลิตครูมีมากเกินไป.เขาเรียกว่า OVER SUPPLY แย่งกันผลิต แย่งกันเปิดวิทยาเขต.ปล่อยบัณฑิต.ออกมาเป็นแสนคนต่อไป   ท่านมีลูก เรียนเก่งหน่อย จะให้เรียนครูไหม??.. เพราะพ่อแม่.และตัวเด็กยังไม่อยากเป็นครู เพราะภาพลักษณ์ ชื่อเสียง.หน่วยงานเอกชนไม่รับเข้าทำงานเลย.??   แล้ววิธีสร้างระบบปิด กีดกันคนเก่งนี่ .มันจะได้คนเก่งไหม.  นี่ข้อที่ 1  ข้อที่สอง.. เพิ่มเงินเดือนครูให้เป็นคนเงินเดือนสูง.เทียบเท่าผู้พิพากษา????? นี่ยิ่งบ้าไปแล้ว... ผู้พิพากษาทั้งประเทศ ไม่เกิน 1000 คน / ครูนะเหรอ.เกือบ สามแสนคน ..จะทำอย่างไร.ที่เพ่ิมๆเงินเข้าไปนี่..มันจะหมดยอดเงินของกระทรวงศึกษาแล้วนะที่เป็นเงินเดือน+ เงินประจำตำแหน่ง   ทำไง..เอามาจากงบกลาง .เงินคงคลัง.ของประเทศ..ก็ที่ทำอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เหรอ   ครูเดี่ยวนี้ไม่ต้องสอนกันแล้ว นั่งเขียน นั่งลุ้น นั่งคิดนั่งฝันถึงการเปลี่ยนตำแหน่งเพิ่มเงินวิทยฐานะทั้งวัน. อำเภอบ้านผม.มี คศ.3 เกือบทั้งอำเภอแล้ว. คศ.4 ผู้เชียวชาญ 6-7 คนไปแล้ว. เงินแทนที่จะไปพัฒนาด้านอื่น.ก็หมดไปเรื่อยๆ ... การบริหารองค์การ. บางโรงเรียนมีครู เกือบสิบคน คศ.3 ทั้งนั้น เด็กไม่ถึงร้อย.นั่งตบยุง แต่อีกโรงเรียนหนึ่งไม่มีครู.อันนี้ทำไมไม่แก้. แบบนี้.มองปัญหาถูกไหมครับ.คุณgoporm54 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 13:43:39

ความคิดเห็นที่ 60 แสดงว่าคุณเริ่มเข้าใจปัญหาขึ้นมาหน่อย   การบริหารองค์กร  เป็นอีกปัญหาหนึ่งในหลายปัญหา ซึ่งไม่รวมอยุ่ในกระทู้ที่คุณกล่าวถึง  ผมถึงบอกคุณจะมาโฟกัสเรื่องนั้น  เรื่องเดียวไม่ได้ ประเทศที่คุณยกมา   สิงคโปร์ เวียดนาม .ไต้หวัน  คุณเคยไปดูงานการศึกษาของเขาหรือเปล่า  อย่าเอาเทียบครับ สิงค์โปร์  เราเทียบเขาได้ที่ไหน  เมื่อก่อนละพอได้ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 15:01:30 จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 14:16:41

ความคิดเห็นที่ 61 ข้อความของคุณที่ว่า   - ปิดกั้น หวงห้าม.กีดกัน.ไม่ให้คนเก่งๆมาเป็นครู .แล้วได้ผลไหม. คนเก่งๆยังอยากเป็น หมอ.วิศวกร อักษร วิทยศาสตร์ สถาปนิกไหม เพราะคุณไม่ได้อยุ่ในแวดวง  คุณก็เลยคิดแบบนั้น คนเก่งที่ไปเป็น   หมอ.วิศวกร อักษร วิทยศาสตร์ สถาปนิก  ไม่เกี่ยวเรื่องที่คุณพูดเลย  ถึงแม้ไม่มีการสอบใบประกอบวิชาชีพ   พวกเขาเหล่านั้น  ก็ไม่มาเป็นครูหรอก เพราะอะไร  ก็เพราะรายได้   การทำงานที่เหนื่อยกว่ากันมาก  และดูดีกว่าเป็นครู   ผมถามเด็กที่มาเรียนกวดวิชา  เขาก็ตอบแบบนี้  100%    หลานผมคนหนึ่งก็ตอบแบบนี้ (ตอนนี้เขาก็เป็นหมอ) แล้วข้อความที่ว่า ท่านมีลูก เรียนเก่งหน่อย จะให้เรียนครูไหม??.. เพราะพ่อแม่.และตัวเด็กยังไม่อยากเป็นครู เพราะภาพลักษณ์ ชื่อเสียง.หน่วยงานเอกชนไม่รับเข้าทำงานเลย.?? จากข้อความข้างบน   เด็กเก่งบ้านเรามันน่าสงสาร   มีอาชีพเลือกได้แค่นี้หรือ   หมอ.วิศวกร อักษร นักวิทยศาสตร์ สถาปนิก หลานผมเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น  หัวดีมาก   หัวระดับเขา จะเป็นหมอ  หรือ วิศวกร  ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย   ปัจจุบันเขาเรียนอะไรคุณรู้ไหม   เขาไปเรียนเป็นเชฟที่ญี่ปุ่น   เป้าหมายของเขา คือไปเปิดร้านอาหารกับพ่อเขาที่อเมริกา บ้านผมเรียนอะไรก็ได้ที่มีความสุข   เรียนไปเลย ยิ่งที่คุณถามว่า   ท่านมีลูก เรียนเก่งหน่อย จะให้เรียนครูไหม??    แน่นอนครับ   บ้านผมยิ่งชอบ   ให้ไปสอนที่โรงเรียนกวดวิชา  ตัดช่วงให้ไปกรุ๊ปเดียว  ๒๐  คน  สอนเฉพาะช่วง  ๖ โมง  ถึง  ๒ ทุ่ม  เดือนละ ๓ พันบาท  ต่อคน เขาก็พอมีเงิน  ถอยรถราคาล้านกว่าบาท มาขับแล้ว จากประสบการณ์ตรง  ลูกพี่สาว ๓  คน  จบ จุฬา  ๒   พระจอมเกล้าฯ ๑   ทั้งสามคนไม่มีใครคิดจะเป็นครูเหมือนแม่เขา  ทั้งๆ  ที่แม่เขาก็อยากให้เป็น   เคยถามว่า  ทำไมไม่เป็นครู   เขาบอกไม่เอา   เงินเดือนน้อย  เหนื่อย  เครียด ไม่เกี่ยวกับไอ้ใบประกอบวิชาชีพ  ที่คุณกล่าวถึงเลย ตอนนี้  คนแรกที่จบวิศวะฯ   ภาคเรือทีจุฬาฯ  ทำงานในบริษัทต่อเรือที่สิงคโปร์เงินเดือนเกือบแสน  ขาดอยู่ไม่กี่พัน คนที่สอง  จบบัญชี  ทีจุฬาฯ   ทำงานหัวหน้าส่วนการคลัง  อายุราชการแค่  ๕  ปี  ก็ได้  ซี ๗   แล้ว   เทียบกับแม่เขากว่าจะได้ ซี ๗   เป็นครูมา  ๒๐  กว่าปี  กว่าจะได้   ซี ๘   ก็จะเกษียณแล้ว คนที่สาม  จบวิศวะ เครื่องกล  พระจอมเกล้าฯ   พระนครเหนือ    ตอนนี้เป็นเซลล์ขายรถตัก  ทำงานสองปี  เงินเดือน  ๓  หมื่นแปด  ได้ค่าคอมฯ  จากการขายรถ  แสนกว่าบาท  ได้ไปเที่ยวต่างประเทศอีก ครู (รัฐบาล)  จะได้เงินเดือนมากๆ   ก็ต้องรับราชการหลายปี     จะไปเทียบกับอาชีพอื่นๆ   ยังห่างไกลกันนัก แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 17:45:28 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 17:13:44 จากคุณ : goporm54 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 15:37:33

ความคิดเห็นที่ 62 เรียนคุณ Okanail คุณ Okanail พยายามปกป้องกฎระเบียบใบอนุญาตครู ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วรู้สึกว่า “คุณ Okanail ได้รับผลประโยชน์จากกฎระเบียบใบอนุญาตครู” เราจะชี้ให้เห็นว่า arguments ของคุณนั้นมันมี logical flaws (ข้อบกพร่องในการใช้เหตุผล) ตั้งมากมาย แต่ก่อนอื่นเราขอยืนยันว่ากฎระเบียบใบอนุญาตครูไม่มีผลกระทบต่อเราเลย ที่ต้องยืนยันก็เพราะฝ่ายค้านเราชอบท้าให้เราไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู หรือกล่าวหาว่าเราอยากเป็นครูแต่โดนกฎระเบียบใบอนุญาตครูปิดกั้นเราถึงต่อต้านกฎระเบียบใบอนุญาตครูเราถึงมาโต้วาทีกับพวกเขา ^ พวกคุณเข้าใจอะไรผิดๆ อาชีพแรกที่เราทำในเมืองไทยตั้งแต่กลับมาจากต่างแดนก็คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ทำอยู่ 5-6 ปี ทำได้หมูๆสบายๆมากๆโดยไม่ต้องมีใบอนุญาตครู  นั่นก็เพราะว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดขายหลักสูตรภาษาอังกฤษ (เราเคยทำงานเป็นผู้บริหารโรงเรียนสอนภาษาระดับบิ๊กๆมาแล้ว)  ถ้าเราอยากทำเงินจากการสอนภาษาอังกฤษเราขายทางโทรศัพท์หรือผ่าน website เราหานักเรียนได้บานเบอะ เราเคยสอนประสบความสำเร็จมาแล้วแต่เลิกสอน เพราะมันขัดกับนิสัยตัวเอง นั่นก็คือเราไม่ชอบแต่งตัวแบบ conservative ไม่ชอบทำตัวให้คนต้องมายกมือไหว้เรา เราจึงเปลี่ยนเป็นทำงานเป็นนักแปลอิสระ เพราะมันอิสระดี จะแต่งตัวหรือทำตัวยังไงก็ได้ ตอนนี้ถ้าเรานึกสนุกอยากจะกลับไปสอนภาษาอังกฤษต่อให้เราแต่งตัวเหมือน hippie ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่รู้จักเราดีด้านการสอนภาษาอังกฤษที่ติดต่อขอให้เราไปสอนภาษาอังกฤษให้พวกเขา แต่ช่วงนี้เราปฏิเสธไปหมด เพราะยุ่งกับงานแปลเอกสาร ขอเน้นว่า เราแสดงความคิดเห็นเรื่องใบอนุญาตครูไม่ใช่เพื่อตนเอง หากแต่แสดงความคิดเห็นเพราะ “กฎระเบียบใบอนุญาตครูทำลายล้างระบบการศึกษาไทยจนพินาศย่อยยับ!” จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 06:05:10

ความคิดเห็นที่ 63 เอาหละเราจะชี้ให้คุณเห็น logical flaws (ข้อบกพร่องในการใช้เหตุผล) ใน arguments ของคุณ Okanail คุณ Okanail พูดใน คคห 45 ว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี สรุปว่าอยากให้ยกเลิกใบประกอบวิชาชีพ ให้คนที่ไม่จบครู ไม่มีประสบการณ์การสอนเลยสักนิด มาเป็นครูก็ได้เหรอครับ? ผมละงง  อย่างนี้มันเปิดช่องให้คนไม่เก่งมากกว่าคนเก่งนะครับ”   ^ ตอบ คุณพูดเองเออเองหมด โดยไม่คิดความเป็นไปได้ทั้งหมด  ข้อความนี้ของคุณตีความสรุปได้ว่า “ผู้คนทั้งหมด (all) ที่ไม่มีใบอนุญาตครู ไม่จบครู จะต้องไม่มีประสบการณ์การสอน หรือสอนไม่เป็น” ^ คุณแยกแยะไม่เป็นระหว่างคำว่า some กับ all...เพราะอะไร? แค่ยกหนึ่งหรือสองเหตุการณ์จริงมา  มันก็หักล้างคำพูดคุณได้แล้ว   ยกตัวอย่างเช่นเรารู้จักครูฝรั่งเก่งๆที่สอนภาษาอังกฤษได้ระดับเทพๆๆๆ โดยไม่เคยเรียนครูมากก่อน และก็ไม่มีใบอนุญาตครูฝรั่งคนนี้สอนเจ้าชายซาอุแค่ไม่กี่ปี เจ้าชายพอพระทัยตบรางวัลให้ฝรั่งมีเงินไป retire ที่ Florida ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงาน (ฝรั่งคนนี้ถ่ายทอดวิชา teaching English to speakers of other languages) ให้เราเมื่อหลายปีมาแล้วเพื่อนชาว Canadian เราคนหนึ่งเรียนจบ mathematical physics ระดับปริญญาเอกจาก University of Cambridge เขาก็ไม่เคยเรียนครูมา แต่เขาติวคณิตศาสตร์ให้เราเก่งกว่าครูที่สอนเราซะอีก  วิธีเฉลยโจทย์ของเขาสวยมากๆ วิธีคิดเขาคิดแบบนักหมากรุกฝรั่งคิด คือคิดทุกความเป็นไปได้อย่างพลิกแพลงจนเหลือเชื่อว่าสมองมนุษย์จะทำอะไรได้แบบนี้!  และนั่นก็เป็นวิธีการที่เราสอนตัวเองว่า “จะสอนภาษาอังกฤษยังไงให้ได้ผลมากที่สุดอย่างไร”  เราค้นประวัติฝรั่งคนนี้ในภายหลัง แล้วพบว่า “ก่อนบุกไปเรียนถึง Cambridge เขาเคยชนะแข่งขันคณิตศาสตร์มาแล้วทั่วประเทศ Canada”   ^ เราก็เลยอยากรู้นักว่าทำไมคุณ Okanailกับครูมีใบอนุญาต (ที่ไม่เก่งในวิชาที่ตัวเองสอน) ส่วนใหญ่ (เห็นไหมเราระวังคำว่า some  กับ all) ชอบพูดโน้มน้าวจิตใจคนฟังนักว่า “เก่งแต่ถ่ายทอดไม่เป็น สู้เอาเก่งปานกลาง (จริงๆแล้วไม่เอาไหน) แต่มีจิตใจเป็นครูไม่ได้” ^ ไร้สาะ คนที่เก่งมากๆ แล้วคิดพลิกแพลงได้เหมือนนักหมากรุกฝรั่งหรือ  computer programmers มีหรือจะคิดพลิกแพลงเพื่อสอนคนอื่นไม่เป็น  คุณกล้าท้าพนันไหมล่ะว่า Bills Gates สอนคอมพิวเตอร์ให้เด็กมัธยมไม่เป็น!? เราก็ไม่มีใบอนุญาตครู แต่เราเชื่อว่าเรารู้วิธีสอนภาษาอังกฤษมากกว่าครูสอนภาษาอังกฤษหลายๆคนที่มีใบอนุญาต พูดไปจะหาว่าอวดเก่ง เราไม่ได้อวดเก่งแต่ครูมีใบอนุญาตต่างหากที่อวดเก่ง พวกเขาชอบท้าว่า "ให้เราไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู" เราถึงต้องโต้ตอบด้วยความจริงไม่ใช่ความฝัน โดยการตอบไว่า "ถ้าอยากจะแข่งกับเราจริงๆคุณ(ซึ่งเป็นครูมีใบอนุญาต) มาเขียน thesis เป็นภาษาอังกฤษเรื่องปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาโท แล้วส่งให้ University of Cambridge ตรวจกันว่าของใครจะได้เรื่องกว่ากัน(นั่นแข่งด้าน ทฤษฎี) และลงสนามสอนภาษาอังกฤษและวัดผลแข่งกัน (นั่นแข่งด้านปฏิบัติ) อย่ามาท้าเราแข่งเรื่องสอบ 9 มาตรฐานไร้สาระ เพราะม้นไม่ได้วัดความสามารถในวิชาที่จะสอน ที่พูดมานี้คืออยากจะบอกคุณ Okanailว่า อย่าไปพูดจาสร้างภาพลวงให้คนฟังเข้าใจผิดหลงคิดว่า “ผู้คนทั้งหมด (all) ที่ไม่มีใบอนุญาตครู ไม่จบครู จะต้องไม่มีประสบการณ์การสอน หรือสอนไม่เป็น” ^ คนที่คิดเป็นใช้เหตุผลเป็นย่อมรู้ว่า "arguments นี้มี logical flaws" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 06:15:20

ความคิดเห็นที่ 64 คุณ Okanail ใช้ arguments ซึ่งมี weakness อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือคุณ play down (ลดความสำคัญ) และหลีกเลี่ยงประเด็นที่ว่า “คนที่ไม่มีความรู้มากพอในวิชาที่จะสอน ต่อให้มีใบอนุญาตครูก็ไม่มีปัญญาจะสอนวิชานั้นหรอก”   เราจะยกตัวอย่างให้คุณดู เมื่อ 4-5 ปีมาแล้วนักศึกษาวิชาศึกษาศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษรายหนึ่ง แปะ essay ให้คนใน pantip ตรวจ  เธอบอกสงสัยอาจารย์ทำไมให้คะแนนว่า very good  (เธอคงรู้ตัวว่าตัวเองอ่อนอังกฤษมากๆ)   พอคนใน pantip ตรวจปรากฎว่า “essay หน้ากว่าๆของเธอเขียนผิด grammar เกือบทุกประโยค!” แต่อาจารย์ต้องปล่อยนักศึกษาผ่านหมด เพราะอะไร?  เพราะนี่เป็น “มหาลัยปลายแถว” ^ คนที่เข้าไปเรียนที่นี่อ่อนมากๆ ถ้าวัดเกณฑ์ผ่านกันแบบอักษรศาสตร์จุฬาเอกอังกฤษ หรือครุศาสตร์จุฬาเอกการสอนภาษาอังกฤษ มันวัดแบบนั้นไม่ได้ เพราะนักศึกษามหาลัยปลายแถวจะสอบตกกันหมด และไม่มีใครได้รับปริญญากัน มหาลัยปลายแถวก็จะต้องปิดกิจการเพราะเด็กอ่อนๆเป็นจำนวนมากก็ไม่อยากเข้าไปเรียน เพราะรู้ว่า “ไม่มีทางได้รับปริญญา” อาจารย์ก็จะตกงานอีกด้วย! หลังจากแปะ essay ให้คนใน pantip แก้ ได้ไม่กี่เดือน นักศึกษาคนนั้นก็รับปริญญาศึกษาศาสตร์รับใบอนุญาตครูและออกไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้เด็กมัธยมทั้งๆที่ภาษาอังกฤษของเธอยังอ่อนกว่าเด็ก ม.6 ซะด้วยซ้ำไป  หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่เดือนแทนที่เธอจะไปเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษระดับมัธยมเพื่อเป็นครูที่ดีกว่าเดิม แต่เธอกลับไปเรียนต่อปริญญาโท(วิชาอื่นซึ่งไม่ช่วยให้เธอเก่งอังกฤษขึ้นมา) เพื่อเอาวุฒิไปขึ้นเงินเดือน   ^ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า “ระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามวุฒิการศึกษาแบบไทยๆมันใช้การไม่ได้” ^ ลองคิดดูดิว่าถ้า Apple จ่ายค่าตอบแทนให้ Steve Jobs ตามวุฒิการศึกษา แล้ว Steve Jobs ไม่มีปริญญาเลยสักใบ Apple คงไม่ได้ Steve Jobs มาสร้างความเจริญให้หรอกนะ! คุณ Okanail ต้องมองดูดีๆว่าศึกษาศาสตร์บัณฑิตแบบคนๆนี้ที่เราพูดถึง “เป็นประชากรส่วนใหญ่ของครูที่มีใบอนุญาต” (ให้สังเกตดูดีๆว่า “เราระมัดระวังเรื่องการใช้ some กับ all ไม่ได้มั่วเหมือนคุณ”) ^ และนี่แหละคือปัญหาหลัก และเป็นตัวบ่งชี้ว่า “กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูเอื้อประโยชน์ให้ศึกษาศาสตร์บัณฑิตซึ่งมีความรู้จริงๆบางทีไม่ถึง ม. 6 ซึ่งผลิตจากมหาลัยปลายแถวปีละเป็นแสนๆคน กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของครูที่มีใบอนุญาต” ดังนั้นเราจึงขอให้คุณทบทวน  arguments ของคุณ ที่คุณพูดใน คคห 45 ว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี สรุปว่าอยากให้ยกเลิกใบประกอบวิชาชีพ ให้คนที่ไม่จบครู ไม่มีประสบการณ์การสอนเลยสักนิด มาเป็นครูก็ได้เหรอครับ? ผมละงง  อย่างนี้มันเปิดช่องให้คนไม่เก่งมากกว่าคนเก่งนะครับ”   ซึ่งตีความสรุปออกมาสั้นๆได้ว่า “ผู้คนทั้งหมด (all) ที่ไม่มีใบอนุญาตครู ไม่จบครู จะต้องไม่มีประสบการณ์การสอน หรือสอนไม่เป็น” ^ เนื่องจากคุณไม่ระวังการใช้คำว่า some กับ all คุณแยกแยะไม่เป็น ลองใช้สติปัญญาคิดดูให้ดีๆ แล้วตอบเรามาแบบตรงไปตรงมา (อย่าไซค์โค้งนะ) ว่า “arguments ของเราหักล้าง arguments ของคุณได้หรือไม่?” จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 06:21:37

ความคิดเห็นที่ 65 แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ คุณ Okanail ก็กล่าวหาพวกเราว่า “พยายามล้มล้างระบบ”  แต่ทำไม “ไม่ไปหาสถิติมายืนยัน” ^ คุณพูดไปแล้วเข้าตัวคุณเองนะ เคยได้ยินหนังสือชื่อ How to Lie with Statistics ไหมล่ะ? สิ่งที่คุณพูดน่ะ มันไม่ต่างอะไรไปจากการสร้าง graphs โดยใช้อัตราส่วนที่มองด้วยตาเปล่าแล้วบิดเบือนความจริง (เหมือนที่หนังสือเล่มนี้เขาทำให้ดู) นั่นก็คือ “คำพูดของคุณมันสร้างภาพลวง!  ให้คนที่สติปัญญาต่ำๆ ใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็น ต้องหลงเชื่อ” ทุกวันนี้พ่อแม่ผู้ปกครองรวมทั้งตัวนักเรียนเองด้วย ต่างก็ต้องเจอศึกษาศาสตร์บัณฑิตเป็นจำนวนตั้งมากมายซึ่งไม่เก่งในวิชาที่ตัวเองสอน  มากพอๆกับเห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรเต็มบ้านเต็มเมืองในประเทศไทยนั่นแหละ  พวกเขาถึงต้องมา บ่นๆๆๆๆกันในกระทู้ pantip ยังไงล่ะ แต่คุณ Okanailยังพูดจาเล่นลิ้นให้พวกเราไปหาสถิติมา เราจะบอกคุณเหมือนๆเรื่องมอเตอร์ไซค์ย้อนศรในประเทศไทย คุณเห็นตำตาอยู่ทุกวัน ไม่ต้องไปทำสถิติให้เมื่อยหรอก เราแค่อยากเห็นประชากรชาวไทยเข้าใจในสิ่งที่พวกเราพยายามจะสื่อ และระดมพลกันล่ารายชื่อ 50,000 คนมาเพื่อยื่นขอให้รัฐบาลยกเลิกกฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูซะ เพื่อเห็นแก่อนาคตของเด็กไทย และชาติบ้านเมือง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 06:23:59

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนนี้คุณเห็นหรือยังว่าเวลาเราโดนครูมีใบอนุญาตรุมถล่มด้วย fallacies หรือ โดยการ discredit เรา หรือโดยการใช้ arguments ที่มัน invalid หรือมี logical flaws (อย่างที่เราเอามาฉายซ้ำให้ดูใน คคห 13) เราถึงต้องประกาศยอมแพ้ เหตุผลเพราะอะไร? ตอบ เราเบื่อกับการใช้วุฒิการศึกษาแค่ระดับมัธยมต้นของเรา (แต่เรียนมหาลัยชีวิตมาเยอะ) มานั่งพิมพ์บทเรียนวิชา elementary logic เพื่อสอนพวกครูที่มีใบอนุญาตหลายๆคน (แต่ไม่ทุกคน)ซึ่งใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็น มันเสียเวลาทำมาหากินเรา ข้อความที่เราเขียนใน คคห 62 - 65 นี้ นับคำได้ 1828 คำ ถ้าเราเอาเวลาไปแปลเอกสารให้ลูกค้า แล้วคิดค่าแปลคำละ 2 บาท (บางทีคิดแพงกว่านั้น) ซึ่งถ้าคิดแค่คำละ 2 บาท เราจะได้เงินค่าแปล 1828 x 2 = 3,656.00 บาท ไปเรียบร้อยแล้วหละ เรายังไม่ร่ำรวยพอที่จะมาเป็นครูสอนวิชา elementary logic ให้ครูพวกนี้ ถ้าพวกเขาโต้วาทีกับเราแบบ style เดิมๆ เราก็ไม่อยากเสียเวลา นับตั้งแต่วันที่เราประกาศยอมแพ้ครูที่โต้วาทีแบบใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็น มาจนถึงวันนี้ และเล่น pantip ให้น้อยๆลง เราทำเงินจากการแปลเอกสารได้มากพอที่จะเสวยสุขซื้อเสื้อผ้า กินอาหารดีๆ และซื้อgadgets ใหม่ๆมาเล่นให้สนุกและหาความรู้ให้เพลิดเพลินใจ การประกาศยอมแพ้ แท้จริงแล้ว "เป็นชัยชนะของเรา เพราะเราไปหาเงินได้" หากแต่คนที่แพ้จริงๆนั้นก็คือเด็กไทยที่ต้องเรียนหนังสือกับครูหลายๆคน (แต่ไม่ทุกคน) ที่ไม่มีความรู้จะสอน มีแต่ใบอนุญาตครูมาสอน  แล้วเข้ามากำชะตากรรมของระบบการศึกษาไทยเอาไว้ในมือ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 06:46:45 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 06:44:23

ความคิดเห็นที่ 67 "นับตั้งแต่วันที่เราประกาศยอมแพ้ครูที่โต้วาทีแบบใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็น " ท่านfortuneteller  ผมก็เหมือนจะคล้ายๆกันนะครับ.จะต้องมาต่อสู้ถกเถียงกับ.กลุ่มที่นำเอาระบอบใบประกอบวิชาชีพนี้มาใช้.ซึ่งมันทำให้กลุ่ม พวก สถาบัน.เพื่อนพ้องของเขา ได้ผูกขาดการเป็นครู.ผูกขาดอนาคตของชาติ.ไว้กับพวก ครูเด็กรุ่นใหม่ที่leftover(เหลือเดนจากเด็กเก่งๆที่ไม่มาเรียนครู) เขาไม่ยอมรับว่า กลุ่มนี้เป็นleftover ..แต่คนทั้งสังคมรับรู้ด้วยกันแล้วทั้งสิ้น  กลุ่มนี้ไม่อนาธร ร้อนใจต่อความตกต่ำที่ก่อตัวขึ้น จากครูที่โง่.เง่า.ไม่มีความรู้ แค่เพียงแต่มีใบประกอบวิชาชีพ. ครูสอนไม่ได้.เพราะโง่.เด็กต้องไปกวดวิชา หรือเรียนไม่รู้เรื่อง เขากลับบอกว่า ไม่เห็นใคร ในสังคมเดือดร้อน เหมือนคนแค่สี่ห้าคน.ที่เขามาโพสต์นี้ .กลบเกลื่อนใส่ร้าย.เบี่ยงเบนข้อเท็จจริง discreditคนพูด  แบบนี้มันไม่มีทางแก้ไขปัญหาการศึกษาชาติได้หรอกนะท่านนะ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 07:40:40

ความคิดเห็นที่ 68 ความเห็นส่วนตัว ผมว่าการสอบวิชาชีพ อะไรนั่นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าคิดว่าเก่งจริงสอบแค่นี้จะมีปัญหาอะไร คนไม่ได้เรียนครูมาอาจจะมีกระบวนการคิดไม่เหมือนคนเรียนครูมาก็ได้ เอามาปรับพื้นฐานก่อนก้ดี เห็นยกฟินแลนด์ที่มีประชากร 5-6 ล้านอะไรนั่น ผมไม่รู้ว่าแบบสำรวจดูที่ไหนบ้าง ถ้าเอาแค่กรุงเทพ ผมว่ามาตรฐานการศึกษาก็ไม่ด้อยกว่าใคร นโยบายการศึกษามันก็สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ เมืองที่เจริญก็ยิ่งเจริญ เมืองที่แย่ก็ตามมีตามเกิด โรงเรียนในต่างจังหวัดยังไม่ได้มาตรฐานอีกมาก ห้องสมุดเอย อุปกรณ์การศึกษาก็ไม่ค่อยมี เอามาหารเฉลี่ยทั้งประเทศมันเลยต่ำไง บางที่ก็เจริญซะล้ำหน้าคนอื่นไปไกลเลย แล้วไม่ต้องมองถึงระดับประเทศหรอก เอาแค่ให้ในจังหวัดเดียวกันได้มาตรฐานการศึกษาใกล้เคียงกันก่อนเถอะ สุดท้ายผู้บริหาร สำคัญมาก โรงเรียนเก่าเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ มีชื่อว่าเก่งมาก ผ่านไป 5 ปี กลับไปโรงเรียนเก่าแทบจำไม่ได้ เจริญและพัฒนาขึ้นมากๆ จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 08:24:49

ความคิดเห็นที่ 69 คราวนี้มาถึงคิวคุณttno1บ้างแล้วนะ เราจะบอกให้ว่า arguments ของคุณก็มี logical flaws (ข้อบกพร่องในการใช้เหตุผล)   วันนี้เราจะอุทิศเวลาสอน elementary logic ให้คุณอีกคนหนึ่ง เพราะถ้าคุณเป็นครูมีใบอนุญาตในระบบ คุณก็จะได้นำความรู้จากเราไปฝึกใช้สมองคิดอย่างมีเหตุผลให้ได้มากกว่านี้ เพื่อที่จะเป็นครูสอนเด็กได้ดีกว่านี้นะ คุณttnoพูดใน คคห 34 ว่า “ถ้าเป็นครูยากนักหนา จะมาเป็นครูทำแม้วอะไรครับ ทำไมไม่พูดความจริงต่อกัน ทำไมไม่ยอมรับความไร้สามารถของตัวเอง พวกๆท่านเคยคุยกับคนสอบผ่านหรือไม่  ทำไมคิดว่าตัวเองเก่งกันจัง ทั้งๆที่สอบตกกันทุกรอบ” ^ มาอีกแล้วไอ้ arguments ไม่แยกแยะคำว่า some กับ all ให้ดีๆ แบบนี้น่ะ คุณไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราใน คคห 62  การเป็นครู (สอนภาษาอังกฤษ) ไม่ได้ยากสำหรับเรา เพราะเราเป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดขายหลักสูตรภาษาอังกฤษ และทำงานค้นคว้าด้านการสอนภาษาอังกฤษมาหลายปี ตอนนี้เราพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษที่สามารถสอนได้ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน และ grammar ได้ภายใน session (รอบการสอน) เดียว โดยไม่ต้องแยกสอนแต่ละทักษะในแต่ละ session ซึ่งแนวคิดใหม่ๆนี้เราเชื่อว่ามีครูสอนภาษาอังกฤษน้อยคนนักที่เขียนหลักสูตรแบบนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ  เราคิดค้นมันเล่นๆสนุกๆเพียงแต่เราไม่อยากเป็นครูเท่านั้นเอง  (ตามที่ได้บอกไปแล้วว่าเราไม่อยากแต่งตัว conservative และไม่อยากวางมาดให้ใครมายกมือไหว้เรา เราอยากทำตัวสบายๆทำงานเป็นนักแปลอิสระ)   ถ้าไม่เชื่อเรา พิสูจน์ความจริงให้คุณดูได้ เราแค่เขียนบทเรียนภาษาอังกฤษแจกฟรีใน pantip ไม่กี่วันเราก็ขาย course ภาษาอังกฤษได้ทะลุเป้าแล้ว โปรดอย่าเที่ยวได้เหมารวมไปว่าคนที่แสดงความคิดเห็นต่อต้านกฎระเบียบครูจะต้องไม่มีความสามารถ  คุณยัดเยียดสถานภาพให้ผู้อื่นโดยการพูดว่า “ทำไมไม่ยอมรับความไร้สามารถของตัวเอง” ^ ตีความได้ว่าคุณกล่าวหาว่าคนทั้งหมด (all) ที่ไม่สอบ 9 มาตรฐานครู “จะต้องเป็นครูที่ไร้ความสามารถ”  ซึ่งมันเป็น lame logic (ตรรกะพิการ)  เราจะหักล้าง arguments ของคุณได้ง่ายๆ เพียงแค่นำเสนอคนเพียงแค่คนเดียวที่ไม่ได้เรียนครูไม่เคยสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูแต่สอนเก่ง แค่นี้เอง   ลองไปอ่าน คคห 63 ของเราดิ ที่เราหยิบยกประเด็นครูฝรั่งคนหนึ่งที่สอนภาษาอังกฤษเก่งระดับเทพระดับสอนเจ้าชายซาอุแล้วเจ้าชายพอพระทัยมากระดับตบรางวัลให้มหาศาล  และเพื่อนชาว Canadian ของเราที่เรียนเก่งมากๆแล้วสอนคณิตศาสตร์เก่งระดับเทพ  ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ก็ไม่เคยเรียนศึกษาศาสตร์และก็ไม่เคยสอบ 9 มาตฐานวิชาครู   แล้วขอหยิบยกอีกรายหนึ่ง ซ้ำอีกรอบ (เราเขียนไปแล้วคล้ายๆกันใน คคห 63) นั่นก็คือ “คนที่เก่งมากๆอย่างที่เรารู้จัก 2 คนนี้ แล้วพวกเขาคิดพลิกแพลงได้เหมือนนักหมากรุกฝรั่งหรือ  computer programmers เก่งๆ  มีหรือที่จะคิดพลิกแพลงเพื่อสอนคนอื่นไม่เป็น  คุณกล้าท้าพนันไหมล่ะว่า Bills Gates (ซึ่งไม่มีปริญญา ไม่เคยเรียนครู และไม่เคยสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู) สอนคอมพิวเตอร์ให้เด็กมัธยมไม่เป็น!?” เรามาดู arguments ของคุณอีกชุดหนึ่งใน คคห 34 กัน คุณพูดว่า “ผมล่ะไม่เข้าใจพวกคุณจริงๆ อย่างสอบ 9 มาตรฐาน ขอแค่จบป.ตรี ไม่จำกัดสาขา แบบนี้ปิดกั้นตรงไหน ผมล่ะงง มันยากมากเลยเหรอ  มันยากกว่าการเขียน thesis เลยเหรอ ผมงงมากๆเลยนะ คนเขียน thesis ภาษาอังกฤษได้ แต่อ่านหนังสือเล่มเดียวไม่ได้เนี่ย ดันบอกว่าตัวเองเก่งซะงั้น” ^ เราว่าความคิดความอ่านคุณมันชักจะเลอะเลือนไปกันใหญ่ซะแล้วละนะ โปรดอ่านระหว่างบรรทัดดีๆ แล้วคุณจะเข้าใจว่า “ญัตติของการอภิปรายในกระทู้นี้คือ ‘กฎระเบียบใบอนุญาตครูบ่อนทำลายระบบการศึกษาไทย’ ถ้าคุณต้องการเป็นฝ่ายค้านคุณต้องปกป้องกฎระเบียบโดยการหา arguments มาพิสูจน์ว่า ‘มันมีข้อดีอย่างไรบ้าง’  ไม่ใช่ ‘อยู่ดีๆไปท้าให้คนไม่เห็นด้วยให้ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู’ มันไร้สาระสิ้นดีคุณโต้วาทีเบี่ยงประเด็นแล้วทึกทักว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎระเบียบทั้งหมด (all) จะต้องเป็นคนไร้ความสามารถ ^ ดังนั้น arguments ของคุณจึง invalid (ไม่ถูกต้อง ฟังไม่ขึ้น) เพราะมันเบี่ยงประเด็น   มันไม่ต่างอะไรไปจาก “มีประชาชนกลุ่มหนึ่งมาประท้วงว่ามีคนขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรมากเกินไป มันอันตราย ขอให้มีการดำเนินการให้เข้มงวดกว่านี้เพื่อให้การขับขี่ยวดยานผิดกติกาสังคมแบบนี้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย แต่คุณttno1 ดันโต้กลับมาว่า ‘เก่งจริงก็ลองมาขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรดูมั่งดิ ถ้าทำไม่ได้ก็ถือว่าไร้ความสามารถ’ แทนที่คุณttno1จะหาข้อเท็จจริงหรือสถิติตัวเลขมาพิสูจน๋ว่า 'การขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรเป็นผลดีแก่สังคมไทย(ซึ่งคุณไม่มีทางพิสูจน์ได้อย่างเด็ดขาด)' ^ เห็นหรือยังว่าคุณใช้ lame logic (ตรรกะพิการ) ใช่ พวกเราเปิดประเด็นนี้กันมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีฝ่ายค้านรายไหนหยิบยก valid and sound arguments (ข้อโต้แย้งที่ถูกต้องและสมเหตุผล) ขึ้นมาสนับสนุนกฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูได้สำเร็จโดยการพิสูจน์ว่ากฎระเบียบใบอนุญาตครูทำให้ได้ครูเก่งๆเข้ามาในระบบการศึกษาไทยได้จริงๆ   เห็นมีแต่เถียงข้างๆคูๆเช่น 1. เก่งจริงก็ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูสิ 2. ไม่สอบ 9 มาตรฐานวิชาครูได้ไง คนไม่มีประสบการณ์การสอน สอนไม่เป็นให้ไปสอนได้ไง (แบบที่คุณOkanail ทึกทักเอาเองว่าคนทั้งหมด (การใช้ all) ซึ่งไม่สอบ 9 มาตรฐานวิชาครูจะต้องสอนไม่เป็น) และงัด arguments ไร้สาระอื่นๆอีกมากมายมาโต้วาที (ไปอ่าน คคห 13 ดูว่าฝ่ายค้านใช้กลยุทธ์สกปรกอะไรบ้างในการโต้วาทึ) เราจะเปิดโลกทัศน์ของพวกคุณให้กว้างกว่านี้ ตอนที่ครูฝรั่งเก่งๆ(ที่สอนเจ้าชายซะอุแล้วได้เงินบานเบอะ) นั่นน่ะ  ถ่ายทอดศาสตร์แห่งการสอนภาษาอังกฤษให้เรา  เขาส่งเราเข้า workshop ทำให้เราเห็นครูฝรั่งเก่งๆ (ที่ไม่เคยเรียนครูและไม่เคยสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู) ผลัดกัน make presentation เรื่องการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ฝรั่งพวกนี้คิดเหมือนนักหมากรุกฝรั่งและ computer programmers ที่ใช้ precise logic and creative imaginations (ตรรกะที่แม่นยำและจินตนาการอันสร้างสรรค์) พวกเขาสำรวจตลาดหนังสือและสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (สมัยก่อนต้องเดินเข้าร้านหนังสือแต่สมัยนี้ใช้ google สำรวจได้) และศึกษาคู่มือของมัน และนำหนังสือและสื่อการสอนเหล่านั้นไปทดลองใช้สอนจริง และนำ feedback มาแลกเปลี่ยนกัน (โดยถ้ามีปัญหาใดๆก็มาทำ brainstorming session เพื่อหา solutions มาแก้ปัญหากัน)  ทำไปบ่อยๆเข้ากลายเป็นพวกเขาเขียนหลักสูตรภาษาอังกฤษดีๆขึ้นมาได้  ครูฝรั่งพวกนี้เดินทางไปสอนภาษาอังกฤษหลายแห่งในโลก  มีชุมชนที่ใหญ่มากๆและขยายออกไปเป็นชุมชน online พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และแลกเปลี่ยนสื่อการสอนภาษาอังกฤษกัน  ถ้าคุณได้ไปเห็นผลงานของพวกเขาคุณจะเปิดหูเปิดตากว้างมากกว่านี้อีกหลายเท่า  แล้วคุณจะเห็นได้ว่าครูไทยที่ได้ใบอนุญาตครูมาโดยการจบศึกษาศาสตร์หรือสอบผ่าน 9 มาตฐานวิชาครูนั้นส่วนใหญ่พัฒนาหลักสูตรและวิธีการสอนภาษาอังกฤษไม่ได้ดีขนาดนี้หรอก คุณลองอ่าน arguments  ของเราให้ดีๆ แล้วตีความให้ดีๆ  แล้วคุณกล้ายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานหรือไม่ล่ะว่า “แท้จริงแล้วมันตรงกันข้ามกับที่คุณพูด ด้วยเหตุผลอันง่ายๆนั่นก็คือคนเก่งๆและรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งเขาจะไม่ยอมเสียเวลามาง้อระบบใบอนุญาตครูหรอก มันไร้สาระสิ้นดี เขาไปประกอบอาชีพอื่นจะดีกว่า หรือถ้าเขาอยากเป็นครูจริงๆก็เปิดสอนพิเศษซะก็สิ้นเรื่อง” สรุปแล้ว arguments ของคุณฟังไม่ขึ้น  ถ้าคุณคุณttno1กับคุณ Okanail อยากเห็นสถิติตัวเลขจริงๆ (อย่างที่คุณ Okanail ท้าไว้) ก็ลองทำ experiment ดูแบบนี้ดิ จับครูสอนภาษาอังกฤษที่มีใบอนุญาตทั่วประเทศให้มารับการทดสอบแบบที่ครูฝรั่ง เก่งๆอีกรายหนึ่งเคยทดสอบเรา ดิ  เขาเอา essay คนเรียนปริญญาเอกวิศวกรรมไฟฟ้าที่จุฬาไม่ผ่านเพราะเขียนอังกฤษไม่ดีพอ มาให้เรา edit (ตรวจแก้) แล้วให้เราเขียนภาษาอังกฤษเป็นแผนการสอน อธิบายว่าเราจะใช้สื่อการสอนแบบไหน (สร้างเองหรือตัดต่อมาจากที่อื่น) และใช้วิธีการสอนแบบไหน และวัดผลแบบไหน  ซึ่งเราทำบททดสอบผ่านแล้วได้งานครูสอนภาษาอังกฤษทำที่โรงเรียนเขา ลองจับครูสอนภาษาอังกฤษที่มีใบอนุญาตทั่วประเทศให้มารับการทดสอบแบบนี้บ้าง (เพราะเห็นพวกคุณ(ฝ่ายค้าน) ท้าเรายิกๆว่าให้เราไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครู)   แล้วให้กรรมการที่ตรวจข้อสอบเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนภาษาอังกฤษก็ได้ อย่างเช่นอาจารย์ Terry Fredrickson ซึ่งเรียนจบปริญญาโทด้าน teaching English as a foreign language จากอเมริกา และเป็น editor หนังสือพิมพ์ Bangkok Post ตรวจให้คะแนนก็ได้   ^ เมื่อพวกคุณฝ่ายค้านเห็นจำนวนครูสอนภาษาอังกฤษที่มีใบอนุญาตส่วนใหญ่สอบไม่ผ่าน  พอคุณเห็นสถิติตัวเลขจริงๆ แล้วพวกคุณฝ่ายค้านจะต้องตกใจและเลิกเถียงข้างๆคูๆกะอีแค่เพื่อรักษาสถานภาพตนเอง และเพื่อปิดกั้นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งผลที่ออกมาจากการทำ experiment แบบนี้น่าจะตัดสินได้ว่า proposition ของพวกเราที่ ว่า “กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูเอื้อประโยชน์ให้คนที่ไม่เก่งให้เข้ามาเป็นครู และเข้ามาทำลายล้างระบบการศึกษาของประเทศชาติ!” ^ ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ !? นี่เป็นการตัดสินแบบ ‘ของจริง’ ไม่ใช่ได้แต่พายเรือวนไปวนมาอยู่ในอ่างโดยการท้าให้คนโน้นคนนี้ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูซึ่งมันไร้สาระสิ้นดี อ้อก่อนไปอยากจะบอกว่าคุณttno1อย่าลืมนะที่จะนำความรู้เรื่อง elementary logic ที่เราถ่ายทอดให้คุณใน คคห นี้ในวันนี้ ไปฝึกพัฒนาวิธีคิดของคุณให้คิดได้เป็นระบบให้มากกว่านี้ เพื่อที่ว่าคุณจะได้เป็นครูที่ดีกว่านี้ได้ในอนาคตและช่วยสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองได้! ***แก้ครั้งที่ 2 กับ 3 แค่แก้คำที่สะกดผิด*** แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 11:44:42 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 11:43:15 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 10:55:37 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 10:43:17

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านแล้วเพลีย... ว่าจะแสดงความคิดเห็น เข้าใจในความหวังดีของหลายๆท่าน แต่จากที่อ่านมา สิ้นหวังเหลือเกิน ขอแนะนำให้ทำใจ แล้วแต่บุญแต่กรรมทำมา รอวันที่ผู้ใหญ่ หยุดเห็นแก่ตัว จากคุณ : Caroline McAden เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 11:19:14

ความคิดเห็นที่ 71 อ่านความเห็นคุณgoporm54 คห.53 แล้วเรานั่งร้องไห้นะ นักเรียนบ้านนอกมาเรียนบ้างไม่มาเรียนบ้าง อาศัยอยู่กับตายาย พ่อแม่ทำงานกรุงเทพ สอบโอเน็ตโจทย์ไม่อ่าน แค่สอนแล้วเขามีส่วนร่วมในการเรียนบ้าง ตั้งใจทำงานที่เราให้ เห็นเขาทำแค่นั้นเราก็มีความสุขแล้วค่ะ แต่คะแนนสอบไม่เคยได้เกินครึ่งเลย... ผลการประเมินของชาติมันตกต่ำ มันมีรายละเอียดเยอะแยะเลยค่ะ ส่วนมากก็เด็กบ้านนอกละมั้งที่ดึงคะแนน เพราะถ้าเทียบกับรร.ในเมืองมันก็เยอะกว่า จิตสำนึกความเป็นครูนี่สำคัญที่สุด ครอบครัวบางครอบครัวพึ่งไม่ได้ ครูต้องปลูกฝังเด็กตั้งแต่อนุบาล หัดอ่านเขียนให้แตกตั้งแต่ประถม เข้ามัธยมต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า สร้างสรรค์ได้เก่งแล้ว แต่ที่เราทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เลย สอนมัธยมเราช่วยแก้ปัญหามากกว่าพัฒนาค่ะ อยู่ม.ต้น ยังเขียนย่อหน้าไม่ถูก ย่อความไม่ได้ หลายอย่างเราต้องนับหนึ่งให้ใหม่นะคะ T^T อย่าพูดถึงเรียนพิเศษหรือติวเตอร์เลยค่ะ...พื้นฐานไม่ดี ไปไม่ทัน ที่สำคัญคือใจมันไม่เอาด้วยนี่สิ เราพยายามหาทางกระตุ้นตลอด คนเป็นครูจริงๆนี่เหนื่อยนะคะ ไม่ใช่แค่สอน งานธุรการ บริการ ชุมนุม ชุมชน ต้องทุ่มทุนทุ่มเทจริงๆ ค่ะ ที่ต้องรีบจัดการงานอื่นๆให้เสร็จไป เราอยากเตรียมตัวกับการสอนมากกว่า...ส่วนเรื่องขั้น เรื่องเงิน เรื่องผลงานไม่ต้องพูดถึงนะคะ ระบบราชการไทยที่ไหนๆก็น่าจะคล้ายกัน มันก็เป็นปัญหาของชาติ เราสอนอยู่ทุกวัน เราคิดหาทางแก้ปัญหาให้นักเรียนตลอดทำไม่เขาไม่ชอบอย่างนี้ทำอย่างไรเขาจะชอบ เรื่องการศึกษาไทยตกต่ำเพราะไม่เปิดโอกาสให้วิชาชีพอื่นสอบครูเนี่ยเราไม่เคยนึกถึงเลยนะ T^T เรื่องระบบการบริหารเนี่ยใช่แน่ๆแหละ เรื่องจิตสำนึกความเสียสละของการเป็นครูนี่แหละสำคัญ แต่ข้อสอบอะไรมันก็เอามาวัดกันไม่ได้นะเราว่า บางคนเก่ง สอนเก่ง แต่ไม่เคยเสียสละทำงานอย่างอื่นช่วยโรงเรียน หรืองานส่วนกลางในกลุ่มสาระฯ อย่างนี้ก็เยอะ มันเป็นเรื่องของคนน่ะอาชีพไหนก็มี เราไม่รู้เหมือนกันว่าเราต้องการจะบอกอะไร แต่เราอยากระบายเหมือนกันไอ้เรื่องการศึกษาเนี่ย นักเรียนบ้านนอกต้องการครูเก่งๆ นะคะเป็นใครก็มาเถอะ อย่าย้ายหนีเข้าเมืองกันหมดเลย... แก้ไขคำผิดค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 12:10:01 จากคุณ : ช้าตลอด เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 12:08:07

ความคิดเห็นที่ 72 ปัญหาการศึกษา มันหลากหลายครับ ในส่วนตัว จบครู ราชภัฎ มา  ตอนนี้เรียนเอกอยู่ ประสบการณ์การสอน ผมเจอ ตั้งแต่ อนุบาล จนถึง นักศึกษา ป โท เด็กเรียน ระดับ เก่ง จนถึง ไม่เอาอะไรเลย ผมเจอมาหมดแล้ว ผมตามอ่านมานานแล้ว ตอนนี้ มันมีมุมมองในมุมเด็กเก่ง และเด็กไม่เอาอะไรเลย ตอนนี้หลายท่านมองในมุมของเด็กเก่งเป็นส่วนใหญ่ ว่าครูเก่งจะทำให้เด้กเก่ง ควาใจริงมันเป็นเช่น นี้ในกลุ่มนี้ เพราะสามารถเข้าใจได้ทันที แต่ในความเป็นจริง แล้วเด็กเก่งเป็นคนส่วนน้อย หาก พิจารณาจากผลสิบ onet แต่ผมกลับมองว่า จริงๆ มันไม่ใช่ ต้องกล่าวก่อนว่าในความเป็นจริงแล้วการวัดผลการศึกษา ยังไม่สามารถวัดได้ถูกต้องมาตั้งแต่ ยุคเริ่มแรกแล้ว จนถึงปัจจุบันเพราะเนื่องจาก ความแตกต่างของบุคคล ความยากในการวัดซ้ำ ปัจจัยแทรกซ้อนมากมาย ลักษณะของตัวแปร ที่ต้องวัดอีกต่างหาก ที่เป็นตัวแปรในลักษณะนามธรรม  ทำให้ยากในการพัฒนา เครื่องมือวัดที่มีความเชื่อมั่นสูง และแนวคิดเกี่ยวกับสติปัญญาเองก็มีหลากหลาย ทำให้การวัด จึงยังต้องมีการพัฒนา อยู่เรื่อยๆ การวัด ที่ไม่ใช่ส่วนสูงน้ำหนัก มีความคลาดเคลื่อนในการวัดอยู่แล้ว คะแนนที่ได้ ประกอบด้วย คะแนนที่ทำได้ กับคะแนนที่ คลาดเคลื่อน อย่างตอนผม ม 3 สอบจับคู่ ประโยค คนได้ 10 เต็มไม่มีใครเชื่อ เพราะคนทำได้ คือ คนสอบตก ส่วนคนเก่งจริงได้ 8 สาเหตุ เป็นเพราะ มันลอกผิด เลยได้เต็ม ต่อให้ กันไม่ให้ลอกได้ มันก็ยังมี ความคลาดเคลื่อน อยู่ ดี เช่น เพื่อนผม เรียนเลข2 แต่ดันลงวิชาผิดไปเรียน เลข1 ถามว่าทำได้ไหม ไม่ได้ มันมั่ว ได้ 21 แต่เพื่อนเรียนเลข1 มา ได้ 12 ดังนั้นแล้ว สำหรับผม คะแนนสอบ น่าเชื่อถือแค่ไหน ต้องดู บริบท เปรียบเทียบ ด้วย เรื่องของการวางนโยบายเช่นกัน ผมมองว่านโยบายกับการประเมินผล ไปคนละทางกัน ทำให้มองว่า  การศึกษาแย่ลง อย่างเช่น ที อ วิริยะ เองเคยกล่าวคือ เน้นให้เด็กมีกระบงนการคิด เช่น ในวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นตอน คือ หัวใจสำคัญ ของการเรียน วิทยาศาสตร์ หาคำถาม สังเกต ตั้งสมมติฐาน แต่เราเน้นการวัดความรู้เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ เช่น น้ำประกอบด้วย อะตอมอะไร กับ อะไรมากกว่า บางครั้ง เนื้อหา ที่สอบ ไม่สอดคล้อง กับความเป็นจริง หรือ บางข้อสอบ o net ที่ เลื่องลือ เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับเทนนิส ที่ ไม่ได้มีทุกโรงเรียน หรือ เมื่อเกิด อารมณ์ ทางเพศ ให้ทำไง ในแต่ละคำตอบ ผมมองว่า เป็นแนวทางที่สังคม ยอมรับมากกว่า 1 ข้อ ทำให้มองได้ว่า มีหลายคำตอบ สุดท้าย ตอบว่า เตะบอล หลังจากนั้นไม่นาน มีข่าวงานวิจัยออกมาว่า เตะบอล ไม่ได้ช่วย แปลว่า เฉลย ผิดนะซิ นอกจากนั้นแล้ว ในความเป็นจริง การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในมหาลัยของรัฐ มีที่นั่งไม่พอ และน้อย อยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องมีการคัดเลือก ข้สอบทีเอามาใช้ในการทดสอบ มักจะเป็นข้อสอบ ที่อยู่ในเกณฑ์ ยากอยู่ แล้ว ประกอบกับ เคยเห็นว่า มีการทดสอบ ข้อสอบพวกนี้ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาธิต ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ยังไม่สามารถแทน นักเรียนที่สอบ จริงได้ ประเด็นครู นั้น ปัญหาสำคัญ ต้องดูว่า อ สอนระดับใด ถ้า มัธยมลงมา เก่งไม่เก่ง ยังไม่สำคัญ เท่า การควบคุมชั้นเรียน  เก่งเท่าไหน คุมชั้นแรียนไม่ได้ทุกอย่างจบครับ เด็กที่มาเรียน กวดวืชาส่วนใหญ่ มักจะเป็น กลุ่มที่ผู้สินไม่ต้องคุมชั้นเรียนมาก แต่ในโรงเรียน จริงๆ ไม่ได้มีแค่พวกนี้ ยังมีพวก ก่อกวนชั้นเรียน ด้วย ผมเองเคยไปเป็น ผช วิจัย ทดลองเกี่ยวกับเด็ก มา ของ วช มีระดับ ดร. มาเป็น ผช เยอะ ทุกคน เจอปัญหาแบบนี้ทุกคน ทำให้ไม่สามารถ ให้ treatment ได้สมบูรณ์ แต่ผมไม่มีปัญหา เพราะเคยเป็นแบบพวกนี้มาก่อน เลยรู่ว่าควร รับมือยังไง จะคุมชั้นเรียน อย่างไรให้เด็กสนใจเรียนด่วย นี่ก็ยากครับ บางคนใช้ดุ กลายเป็นเด็ก ไม่ยอมเรียนก็มี พาลเกลียด อาจารย์ ก็มี และรถ อาจารย์ เตรียม โดนได้เลย บางครั้งเป็นการขโมย ของ อ คนนั้น ก็มี แต่สิ่งสำคัญ คือ จรรยาบรรณในอาชีพ หากไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีใครยอมรับว่าคุณประกอบ อาชีพนี้แน่นอน หมอที่ ปฏิเสธรักษาคนไข้ สังคมยอมรับ ว่าเป็นหมอไหม ของครูเช่นกัน ปัญหานักเรียนก็มี จาก การศึกษาวิจัย ของ อ ย่า ผม(ดวงเดือน พันธุมนาวืน)มานับสิบๆปี พบว่า การอบรมเลี้ยงดู ส่งผลต่อแรงจูงใจของนักเรียน การควบคุมตน การใช้เหตุและผล เหตุผลนี้ไม่ใช่ ตรรกะ แต่เป็นเหตุผลเชิงจริยธรรม ในการตัดสินใจการกระทำ ปัญหาคือ มีครอบครัวส่วนน้อยที่ สามารถเลี้ยงดู ให้เกิด การพัฒนา สิ่งเหล่านี้ได้ เรื่องของ ใบประกอบวิชาชีพ มันพึ่งมามีเมื่อตอน ผม เรียนครู นี่เอง โดยส่วนตัวมองว่า มันก็เหมือนหลักประกัน ว่านอกจากความรู้ เขาสามารถทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ได้หรือไม่ ถ้าจะมองว่า กันไม่ให้คนอื่น เข้ามาเรียน เนี่ย ต้องดูว่า กันไม่ให้มีสิทธิ์ สอบ หรือไม่สำหรับ คนเรียนสาขาอื่น ถ้าไม่มีสิทธิ์ สอบ ผมกล้าพูดว่านี่กั๊ก แน่นอน ถ้าไม่ได้ ปิดกั้น ทำไม ไม่มาสอบกันละครับ หมอ พยาบาล วิศวะ บางวิชาชีพ ยังมีสิ่งเหล่านี้เหมือนกันเลย สอนเก่งจริง สำหรับ ผม คือ คนที่ สามารถอธิบายให้เด็ก เก่งไม่เข้าใจได้ ในเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างเดียวกันได้ไหม บางคนสอนเก่ง เฉพาะเด็กเก่งก็มีครับ จากคุณ : หมีขี่พระจันทร์ (หมีขี่พระจันทร์) เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 12:59:02

ความคิดเห็นที่ 73 เพลียใจ...พวกคุณยังคิดว่า คนจบศึกษาศาสตร์เรียนไม่เก่งอีกหรือครับ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ก่อนที่จะพูดในประเด็นนี้ ถ้าขัดใจความเห็นจากท่านอื่นๆ ... ก็ขออภัยด้วย ปัจจุบันคะแนนครุศาสตร์ สูงกว่าแต่ก่อนมากกกก... สูงกว่าเกือบเท่าตัว เพื่อนผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แห่งหนึ่งครับ บอกว่าสอนนักศึกษาครูสอนง่ายมากกกก...ง่ายกว่าคณะอื่นมากกก... เห็นไหมครับว่า ตอนนี้ โลกมันเปลี่ยนไป คนเก่งมาเป็นครูมากขึ้น และคะแนนการสอบเข้าเรียนครูก็สูงกว่าคณะอื่นมาก จบครูบางคนยังไปเป็นแอร์ เป็นเลขา เยอะแยะครับ อย่ากังวลไปเลย ครูเก่งๆ เหล่านั้นกำลังทะยอยจบออกมาเรื่อยๆ ครับ และการที่นักเรียนเรียนในห้องรู้เรื่อง ทำให้มีเวลาไปเรียนพิเศษในด้านที่ตัวเองสนใจ และทำให้ชาติพัฒนาเร็วรุดหน้าไปอีก แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการผูกขาดวิชาชีพครูไว้กับศึกษาศาสตร์ครับ เพราะอย่างไรเสีย เราก็ยังอยากได้คนเก่งมาเป็นครู มากกว่าคนที่ไม่เก่งมาเป็นครูครับ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 14:57:05

ความคิดเห็นที่ 74 จากความคิดของเด็กที่ยังอายุเลข2 ต้นๆนะคะ คิดว่าบางทีมันอาจมาจากลักษณะสังคมไทยด้วยค่ะ มีเพื่อนเก่งภาษาอังกฤษมากๆคนนึง อุดมการณ์เท่ห์มาก แต่ไม่ได้จบครู เธอลงเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ม.รามฯเพื่อเป็นครู แต่ไม่ได้ไปเรียนหรอก อ่านแล้วสอบเอา ระหว่างนี้ก็สอนพิเศษภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ ความคิดนี้มันมาจากที่เธอเคยบอกว่า เด็กที่เธอสอนพิเศษนั้นไม่กล้าแสดงความเห็น เลยจับมานั่งคุยว่าเป็นเพราะเหตุใด คำตอบที่ได้คือ เคยโดนคุณครูที่โรงเรียนว่าเวลายกมือตอบผิด บ้างก็ไม่กล้าตอบเพราะกลัวคำตอบไม่ถูกใจ และอีกสารพัดต่างๆนานา แทนที่จะมาถกกันอย่างมีเหตุผล เธอเลยอยากเป็นครู เพราะอยากให้เด็กได้ยกมือแย่งกันตอบอย่างเด็กที่อื่น อยากให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียน ไม่ใช่นั่งฟังแล้วเลคเชอร์ไปวันๆ ---*เราเห็นด้วยกับเพื่อนมาก ซึ่งเราอยากให้สภาพในห้องเรียนเป็นแบบนี้จริงๆ แต่ที่ผ่านมาบางครั้งคุณครูเองบั่นทอนความมั่นใจของเด็กเองด้วยซ้ำ ทำให้เด็กนั่งเฉยๆ จดไปงั้นๆ สมองไม่แล่นตามเนื้อหาที่กำลังถูกสอน พอมันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นเด็กหลุดออกจากวงโคจรในห้องเรียนไปแล้ว ก็เท่ากับว่า เรียนไม่รู้เรื่อง มันก็วนไปตามที่ว่ากันนั่นแล แก้**ลืมบอกค่ะ เพื่อนคนนี้สอนเด็กพิเศษด้วย สอนมาตั้งแต่มัธยม จนพาส่งกันเข้ามหาวิทยาลัย แถมเกรดออกมาได้Aทั้งนั้น เก่งกว่าเด็กปกติอีกค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 15:30:31 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 15:26:08 จากคุณ : HijiriXXX เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 15:24:33

ความคิดเห็นที่ 75 ตอบสำหรับ คคห.ที72ครับ วรรคที่ว่าด้วย"ถ้าจะมองว่า กันไม่ให้คนอื่น เข้ามาเรียน เนี่ย ต้องดูว่า กันไม่ให้มีสิทธิ์ สอบ หรือไม่สำหรับ คนเรียนสาขาอื่น ถ้าไม่มีสิทธิ์ สอบ ผมกล้าพูดว่านี่กั๊ก แน่นอน ถ้าไม่ได้ ปิดกั้น ทำไม ไม่มาสอบกันละครับ         หมอ พยาบาล วิศวะ บางวิชาชีพ ยังมีสิ่งเหล่านี้เหมือนกันเลย" ............. เรามาดูเงื่อนไขว่า .แต่ละคนการจะเป็นครูวันนี้เหมือนกันไหม ถ้าใครไปเรียนราชภัฎ 5ปี คุณไปสอบได้เลย แต่ถ้าคุณไปเรียนอะไรอื่นมา คุณต้อง.มีคุณสมบัติที่ 1 ที่2 ที่3 ฯลฯ ถ้าไม่มี.คุณก็ไม่มีสิทธิเป็นครูได้ แล้วเงื่อนไขพวกนี้เขาต้องเสียเวลา เสียโอกาสเพื่อให้ได้มา.มันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ.เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น มันทำให้เกิดความกดดัน บีบคั้น.ว่า.ถ้าให้ง่ายๆ คุณต้องไปเรียนครูเท่านั้นนี้เขาเรียกว่า.บังคับ.ขี่เข็ญทำให้เกิคภาระจำยอม เกิดการไม่เท่าเทียมมาตั้งแต่ต้น เหมือนลูกในไส้กับลูกเลี้ยง เหมือน    ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆสองเรื่อง เรื่องหนึ่ง ถ้า ใครบอกท่านว่า."ท่านจะมาสมัครสอบเนี่ย เป็นคนจังหวัดไหน ภาคไหน.ถ้าภาคเดียวกัน.คุณเข้าสอบได้เลย ถ้าคนละภาคคนละจังหวัดต้องไปผ่านการเรียน หรือไปทำให้มีเงื่อนไขอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน. ท่านจะรู้สึกอย่างไร     ตัวอย่างที่สอง การแข่งกีฬาบาส หรือฟุตบอล.ทีมของท่าน.เข้าไปแข่งได้เลย อีกทีมหนึ่งต้องไปวิ่งออกแรงสิบรอบสนามมาก่อน แล้วต้องผูกแขนมัดกันเป็นคู่ๆไว้ แบบนี้ว่ายังไงครับ ่      มันเข้าแข่งขัน.ด้วยหมือนกัน ไม่ได้กั๊กแน่นอน แตมันบนกติกาที่แตกต่างกันนะ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 18:07:24 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 17:59:53

ความคิดเห็นที่ 76 ถ้าไม่มีสิทธิ์ สอบ ผมกล้าพูดว่านี่กั๊ก แน่นอน ถ้าไม่ได้ ปิดกั้น ทำไม ไม่มาสอบกันละครับ ????????(คคห.ที่72) เห็น.ความลำเอียงในคำถามนี้ไหมครับ คิดว่าเขาอยากมาไหม..ทำไมเขาจะไม่อยากมา.???? แล้วถ้ี้าเขามาสอบ.วันนี้เขาสอบด้วยได้ไหม.ก็ไ่ม่ได้ เพราะติดกฎหมายที่พวกนั้นตั้งขึ้น. เอางี้ไหม เอาแบบเก่า..ประกาศรับสมัครเลย.ใครจบ ป.ตรี.มาเลย.สอบครูภาษาอัง่กฤษ ครูคณิต ครูฟิสิคส์ จบอะไรมาก็ได้.เอาแบบสอบ 3 วัน 3 คืนเลย ข้อสอบให้ยากมากๆ ใครเก่งใครได้. ผมพนันได้เลย.มหาลัยอื่นได้หมด.   ใช่ พวกคุณก็ไม่ยอมอีก.ก็จะอ้างว่า."วิชาการไม่สำคัญเท่าวิชาครู วิญญาณของครู จิควิทยาครู เจตนคติ ความลึกซึ้งแห่งการถ่ายทอด ฯลฯ " แล้วก็ตัดโอกาส ลูกหลานคนไทยคนอื่น ไม่ให้ได้เป็นครู ยกเว้นคนเรียนราชภัฎ     ทำไมไม่เล่นแบบ FAIR PLAY เล่นแบบนักกีฬาแบบแมนๆ อย่าใช้ใต้โต๊ะ ใช้เครื่องทุ่นแรง ิ    เอาละ.ที่บอกกันว่า.เดี๋ยวนี้คะแนนครุศาสตร์สูงขึ้น.คนเก่งๆชักจะมาเรียน??? อยากถามท่านว่า ถ้าลูกหลานท่านเรียนเก่ง ถึง เก่งมาก ท่านจะให้เขาไปเรียน ราชภัฎไหม????????? จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 19:17:30

ความคิดเห็นที่ 77 เป็นคนหนึ่ง ที่สอนราชภัฏซึ่งเค้าจบออกไปจะได้ใบประกอบวิชาชีพครู แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ให้นักศึกษาลองสอนเพื่อนในห้อง โดยสมมุติเพื่อนคือผู้เรียน เราสอนเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งเน้น ทั้ง สื่อ วิธีการ และที่สำคัญคือการถ่ายทอด พอมีการ ทดสอบแบบนี้ นักศึกษามีคำถามว่าเหตุใดต้องสอบสอนด้วย (เวร แล้วจบไปไม่สอนเหรอ ใบวิชาชีพครูได้ไปเพื่อ?)   ที่เราให้เด็กสอนเพื่อจะ ลักษณะการถ่ายทอดเนื้อหา บุคลิก และน้ำเสียง สื่อสารได้มั้ย ใช้สื่อประกอบการสอนเป็นยังไง แต่ ลองทดสอบเด็กไป ประมาณ 8 คน เรียกได้ว่า ไม่ใช่การสอน แต่คือการรายงานหน้าชั้นเรียน หยิบกระดาษขึ้นอ่านผิดถูกๆหน้า โอย อิชั้น จะบ้าตาย อนาคตของชาติฝากไว้กับแม่พิมพ์เช่นนี้ ถ้าเด็กที่สอนเป็นแค่เด็กปี 1 เราก็ยังพอทำใจได้ นี่ ปี 3 แล้ว แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าจะถ่ายทอดได้เลย เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เลยบอกโอเค คุณหยุด เราจะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ หลังจบคอร์ส นี้ไป คุณต้องสอนได้ ถ่ายทอดเป็น และผลิตสื่อได้ สอนวิชา PC คอมพิวเตอร์ ให้ผลิตสื่อการเรียนรู้แอนิเมชั่น ด้วยโปรแกรมแฟลช ให้ตั้งชื่อ Layer ให้เสริ์ช หาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ คำง่ายๆ ก็สะกดไม่ถูก ถ้าเป็นเอกอื่น เราก็จะไม่อะไรเท่าไร แต่นี่เอกภาษาอังกฤษแท้ ๆ คำว่าเครื่อง บินยังสะกดไม่ได้ T_T" สอนพื้นฐานคอมพิวเตอร์ แป้นพื้นฐานบางแป้นก็ยังไม่ได้ เอ้าไม่ว่ากัน ถนัดอย่างเดียว คือแชทกับเพื่อนใน Facebook  เลยแก้ปัญหา ให้ทำงานส่งในคาบให้ทัน จนไม่มีเวลาเล่นซะเลย ไม่เสร็จไม่ต้องไปกินข้าว และให้ส่งในในกรู๊ปfacebook ที่สร้างมานี่แหละ ใช้วิธีนี้ทำให้นักศึกษาเล่นเฟซน้อยลงจริงๆ 555 แล้ววิชาที่ร่างๆ หลักสูตรชีชาชีพครู หลักสูตร 5 ปี ก็มั่วมาก วิชาก็ซ้ำซ้อนสุดๆ เราว่าสิ่งสำคัญที่วัดผลคนๆนั้นเได้ดีที่สุด และ เหมาะสมกับใบประกอบวิชาชีพครู  คือต้องมีการสอบสอน ดูวิธีการถ่ายทอด โดยไม่จำเป็นต้องระบุสาขาที่เรียน  ใครที่สามารถถ่ายทอดศาสตร์นั้นได้ดี ทำให้ผู้เรียนกระจ่างได้ ผู้นั้นมีคุณสมบัติคู่ควรต่ออาชีพนี้  ถ้าถ่ายทอดไม่เป็น ถือว่าไม่ควรได้ใบประกอบวิชาชีพ  ถ้าเปรียบครูเหมือน แพทย์  ก็คือ ครูนั้นต้องถ่ายทอดได้  เหมือนกับแพทย์ที่ต้องรักษาอาการคนป่วยได้   แต่เท่าที่เห็นสภาพคณาจารย์ทุกวันนี้ ก็วุฒิภาวะต่ำกันเหลือกันทะเลาะกันเรื่องผลงาน ประกันคุณ ตำแหน่งทางการเมือง งบประมาณ เฮ้อ.... แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 20:41:05 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 55 20:40:39 จากคุณ : บทเพลงปีศาจ เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 20:35:30

ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อไหร่จะเลิกคิดว่ากวดวิชาสอนแต่เทคนิค สูตรลัด เก็งข้อสอบกันซักทีครับ โดยเฉพาะพวกเหล่าท่านคณาจารย์หรือท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายหน่ะ มันเป็นการใส่ร้ายชัดๆ เหมือนรับไม่ได้ว่าตนเองทำให้การศึกษาของประเทศมันแย่ขนาดไหน แล้วโทษปี่โทษกลอง กวดวิชาทุกที่เค้าสอนเหมือนในห้องแหล่ะครับ เนื้อหาก็เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ทำโจทย์จากง่ายไปยาก เหมือนการเรียนที่โรงเรียนทุกประการ แต่สอนลึกเทียบเท่ากับข้อสอบ สร้าง"ฐาน"ใหม่ตั้งแต่ต้น คนรอบตัวหลายคนตั้งแต่ ม.4-ม.6 เรียนไม่เคยรู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว พอจะเข้ามหาลัยก็มาสร้าง"ฐาน"ใหม่ในคอร์สปรับพื้นฐานต่างๆ หลังจากที่ฐานมันพังทลายมาจาก"โรงเรียน"ที่ครูบางคนยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่ตนเองสอนด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คลั่งกวดวิชาหรือว่าอะไร ตัวผมเองชอบที่จะอ่านเองมากกว่า แต่ไม่อยากให้คนเข้าใจกวดวิชากันผิดๆ หรือมันไม่เรื่องไม่จริง (คนส่วนมากไม่ค่อยอ่านเองกัน อันนี้ก็เป็นอีกปัญหานึง คือถ้าเราอ่านเองเราจะเข้าใจทุกอย่าง และสรุปได้ในแบบของเราเอง แต่ถ้าเป็นกวดวิชาเค้าจะสรุปมาให้ ป้อนให้ เมื่อเข้ามหาลัยไม่มีใครป้อนให้ บางคนเลยอาจจะปรับตัวยากหน่อย เพราะไม่เคยสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเอง) จากคุณ : THANODOM เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 22:27:26

ความคิดเห็นที่ 79 ด้วยความเคารพ จขกท... จากเท่าที่อ่าน พรบ. คุรุสภาไม่ได้กีดกันคนที่ไม่ได้จบครู มาสอนในโรงเรียน.. โรงเรียนดิฉันมีครู 1 ท่าน "ไม่มีใบอนุญาตฯ ครู" และ  "ไม่ได้เรียนปริญญาทางวิชาชีพครู" แต่สามารถสอนในโรงเรียนได้ "เพียงแค่ให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ทำเรื่องขออนุญาตให้ครูคนนั้นสอนในสถานศึกษา ไปที่คุรุสภา" คุรุสภาก็ออกหนังสือให้สามารถปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาได้ ตำแหน่ง "ครูอัตราจ้าง" [หลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ] http://www.ksp.or.th/ksp2009/upload/news5/files/2717-2843.pdf ประกาศใช้ 1 ก.พ. 55 """ครูอัตราจ้าง"""" ก็เป็นครูคนหนึ่ง ที่สอนหนังสือได้.. ย้ำ ย้ำ ย้ำ...ไม่มีใบอนุญาตฯครู ก็สอนได้ """ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู"""  จำเป็นเมื่อ ต้องการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง คือ "ต้องมีใบอนุญาตฯครู" ==ไม่มีใบอนุญาตฯครู== สอนในโรงเรียนได้== แค่ทำหนังสือขอไปที่คุรุสภา== ""มันกัดกันไม่ให้คนเก่งมาเป็นครูตรงไหน"" ...ถ้าจะพูดให้ถูก คือ ไม่มีใบอนุญาตฯครู --ไม่มีสิทธิ์สอบบรรจุเป็นข้าราชการ-- แค่นั้น -- สอนได้--เป็นครูได้-- ไม่เห็นว่าจะกีดกันไม่ให้สอนตรงไหน-- เขาก็เอื้อให้สอน-- และตอนนี้.. สพฐ. ก็มีโครงการสำรวจครูในโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศ ว่ามีครูในโรียนใดยังไม่มีใบอนุญาตฯครู และประสงค์ที่จะเรียน ป.บัณฑิต "ก็ให้ส่งรายชื่อไปที่ สพฐ" ตั้งแต่ เทอม 1 ปีการศึกษา 2555 เพื่อให้สถาบันการศึกษาเปิดสอน ป.บัณฑิต และเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ก็เปิดรับสมัครเรียน ป.บัณฑิต เพียงแต่คุณสมบัติผู้สมัคร**** 1. ต้องเป็นครูของ เอกชน สพฐ 2. ต้องมีรายชื่อจากการสำรวจไปยังต้นสังกัด และมหาวิทยาลัยจะตรวจสอบรายชื่อ **********เขาให้โอกาส คนเก่ง ที่ไม่ได้เรียนครู ได้เรียน ป.บัณฑิต เพื่อไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้แล้ว********** --------------เขาให้โอกาส คนเก่งมาสอน ในโรงเรียนแล้ว เป็นครูแล้ว-------------- ........................................................... ที่การเรียนการสอนมันห่วยเพราะครูไม่ได้สอน... มันไม่ใช่เพราะอาชีพเสริมถักโครเชต์ ขายเครื่องสำอางค์ แต่เป็นเพราะ 1. สมศ. ประเมินดูแต่เอกสาร ดูแต่รูปเล่มต้องทำตามแบบฟอร์มงั้น งี้ นี่ นั่น แบบนั้น แบบนี้ ของยกตัวอย่าง 1/10 ที่เราต้องทำ แฟ้มสะสมผลงานครู แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน คำสั่งแต่งตั้งใหปฏิบัติงาน บันทักการติดตามแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน สถิติการปฏิบัติงาน แบบรายงานการเข้าสอน โล่/เกียรติบัตร/รางวัล ทะเบียนประวัติครู ภาพกิจกรรมการจัดการเรียนการสอน/ การมีส่วนร่วมกับชุมชน รายงานการเยี่ยมบ้าน รายงานการไปทัศนศึกษาภายในและ นอกสถานศึกษา รายงานการแข่งขันกีฬาภายในและนอกสถานศึกษา รายงานการประชุมผู้ปกครอง แผนการจัดการเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ รายงานการประชุม/อบรม/สัมมนา/ศึกษาดูงาน รายงานการปฏิบัติงานประจำปี แผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการประจำปี หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตร ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ แบบประเมินความพึงพอใจ ปฏิทินการปฏิบัติงานประจำปี แบบประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำและใช้หลักสูตรสถานศึกษา โครงงานนักเรียน ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ แฟ้มข้อมูลนักเรียนรายบุคคล บันทึกการใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อสอบ แบบนิเทศการจัดการเรียนการสอน แบบบันทึกการสอนซ่อมเสริม งานวิจัยในชั้นเรียน ทะเบียนคุมสื่อ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา รายงานการประชุม รายงานผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นี่เป็นเพียงส่วนน้อย และโรงเรียน 80% ทั่วประเทศ เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีครู 10-20 คน งานสอนสัปดาห์ละ 20-28 คาบเป็นอย่างน้อย บางโรงเรียนไม่มีบ้านพักครู ก็ต้องเทียวไปกลับ งานพวกนี้ก็ต้องทำทุกวัน ทุกเดือน ทุกเทอม จนกว่าจะอายุ 60 ปี ในขณะที่มีครูเท่านี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปสอนเด็ก เพราะต้องมาสร้างภาพเอกสารให้เปลืองทรัพยากรโลก ทำให้โลกร้อนขึ้นไปอีก ****ปัญหาของครู**** ไม่ใช่ครูไม่สอนเด็ก แต่เป็นเพราะต้องทำงานด้านเอกสารพวกนี้จนทำให้ไม่ได้สอน """ลองให้ครูสอนอย่างเดียว ไม่ต้องทำเอกสารสร้างภาพพวกนี้""" และหลักสูตรแกนกลาง ที่ต้องใช้สอนให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ขอเหอะ.. รัฐมนตรีมากี่คน ก็สั่งเปลี่ยนมันทุกคน 4 ปี เปลี่ยนรัฐมนตรี 3 คน อีก 20 ปี ประเทศไทยการศึกษาก็ไม่มีทางนิ่ง การพิจารณาความดีความชอบก็ยกเลิกไปก็ดี อยากได้ขึ้นเงินเดือนสอบเอา นี่อะไร เพื่อนกันอีกคนได้ขั้นมากกว่า 0.5 ขั้น เงินห่างกัน 400 บาท เกลียดกันไปตลอดชีวิต เพราะได้มากกว่า 400 วัดความรู้กันไป วัดที่ความสามารถ ดิฉันเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า.. หากในเวลา 1 วัน นั่นคือ การเตรียมการสอนในคาบว่าง (แทบไม่มีว่าง) และให้สอนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมาทำงานเอกสารส่งไปที่เขต ส่งไปสร้างภาพ การศึกษาไทย จะพัฒนาขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ โดยที่ไม่ต้อง เงินงบประมาณที่เอามาซื้อแท็บเล็ต เอามาใช้ติดตั้งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ได้ทั่วประเทศ น่าจะคุ้มค่ากับการพัฒนาการศึกษามากกว่า สถาบันการศึกษาไม่ได้เป็นตัววัดว่า... ครูคนนั้นจะไม่เก่งหรือโง่ เพียงเพราะจบจาก มหาวิทยาลัยราชภัฎ สถาบันราชภัฎ วิทยาลัยครู... จบจากที่ไหนมาก็ได้ แต่เมื่อคุณมาเป็นครูแล้ว คุณสอนเด็กได้เก่งไหม เอาตัวรอดในชีวิตได้ไหม แก้ปัญหาชีวิตได้ไหม อดทนต่อสังคมที่จ้องแต่จับผิด และตัวเราต้องอดทนทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป มันน่าจะสำคัญกว่ามานั่งพูดจาเสียดสี สร้างให้สังคมเกิดการแตกแยกมากกว่าการร่วมมือ ถ้าตั้งกระทู้ว่า.. ""ถ้า สมศ. ยังประเมินเอกสารอยู่ ครูไม่ได้สอนแล้ววววว"" มันจะสร้างขวัญและกำลังใจให้ครูทั่วประเทศได้มากขึ้นเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ ...ดิฉันอาจจะไม่มีเวลากลับเข้ามาดูกระทู้ เนื่องจาก 23-25 ม.ค. นี้ สมศ จะเข้ามาประเมิน ต้องเตรียมเอกสาร หลังไมค์ไปตามได้นะคะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 23:08:11

ความคิดเห็นที่ 80 การศึกษาของชาติจะตกต่ำ เพราะครูนอนไม่พอ อดนอน นอนน้อยมาหลายคืนเเล้ว 5555555555 จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 23:42:17 A:171.7.11.204 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 81 จาก เว็ปของ ครุสภา http://www.ksp.or.th/service/license_internet.php คุณสมบัติ ข้อ 5 ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ก. คุณสมบัติ 1. มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ 2. มีวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง 3. ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข. ลักษณะต้องห้าม 1. เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี 2. เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ 3. เคยต้องโทษจำคุณในคดีที่คุรุสภาเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ยังมีเกณฑ์ของคนต่างประเทศอีก ตัวอย่างที่คุณ ยก มา ทั้ง 2 ข้อ ผมก็มองไม่เห็นความเกี่ยวข้องกับประเด็นเลย ว่ายังไง ในสาขาอื่น นอกจาก ศึกษาศาสตร์ มีใครเรียน พวกนี้ทั้งหมดบ้าง ในตัวสอบ มาตรฐาน 9 ข้อ จาก http://www.vcharkarn.com/vcafe/203708 มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู มาตรฐานที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร มาตรฐานที่ 3 การจัดการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู มาตรฐานที่ 5 การวัดและการประเมินผล มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการในห้องเรียน มาตรฐานที่ 7 การวิจัยทางการศึกษา มาตรฐานที่ 8 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา มาตรฐานที่ 9 ความเป็นครู นอกจากเรียนศึกษาศาสตร์แล้ว มีสาขาใดบ้างที่ มีการเรียนการสอนในเนื้อหานี้ และหากมีเนื้อหาการเรียนการสอนที่เนื้อหา หลักสูตรใกล้เคียงกัน สามารถใช้การ เทียบโอน หน่วยกิต แทนการสอบได้เช่นกัน ไม่ใช่ต้องสอบเสมอไป ถ้าไม่มีเรียนแล้วไปสอบมันจะโหดร้ายไปไหม ที่ครุสภา คณะศึกษาศาสตร์ในมหาลัยต่างๆ ก็มีเปิด อบรม มาตรฐาน 9 ข้อด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่า ที่ไหนจะเปิดเมื่อไร อย่างเช่น ที่ มช ก็มี อ้างอิงจาก http://www.prcmu.cmu.ac.th/scoop_detail.php?sco_sub_id=100 ของมหาจุฬาก็มี อ้างอิงจาก http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=3295&Itemid=150 ส่วนอบรมแล้ว เทียบโอนได้หรือไม่ อันนี้ต้องสอบถามที่ ผู้จัดอีกที ถ้าโอนไม่ได้ ก็พร้อมสอบเพราะรู้แล้ว ส่วนที่บอกว่า ให้จัดมาทดลองสอน เลย เพื่อให้ยุติธรรม มันก็ต้องเจอทั้ง เด็กเรียนเก่ง เด็กเรียนกลาง เด็กเรียนอ่อน เด็กเกเร ประกอบด้วย เพราะมันคือ ความเป็นจริงในโรงเรียนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีแต่เด็กเก่ง ยิ่งครูมัธยมด้วย คุมเด็กเกเรไม่ได้ มันก็ทำให้คุณสอนไม่ได้อยู่ดี และถ้าเป็นครู จะยอมปล่อยพวกเขา ให้เกเรแบบนี้ต่อไปหรือ ในประเด็นครูนี้ ผมจะกล่าวสูงสุดแค่มัธยมเพราะจากหัวกระทู้ เน้นที่ มัธยม ถ้าอาจารย์มหาลัย สิ่งเหล่านี้ก็ยังต้องมี ความเก่งประกอบด้วย เพราะนักศึกษา มักจะ ค้นพบตัวเองแล้วถึงมาเรียน มีความชอบความสนใจแล้ว ถึงมาเรียน ที่สำคัญ มันก็มีเรียนเรื่องบางเรื่องที่เรียนตอน มัธยมมาแล้วเช่นกัน ที่สำคัญไม่ใช่สอนครั้งเดียวเลิก ต้องลองสอน เทอมหนึ่งอย่างน้อย เพราะในความเป็นจริงต้องเจอทุกวัน จะอดทนไหวหรือ ต้องมีการกำหนดเนื้อหา วางแผนการสอน จะประเมินนักเรียนอย่างไร มีเวลาสอนเท่าไร มีวันหยุดกี่วัน จะสอนห้องนี้ทันไหม ไปชดเชยเวลาไหนดี จะสอนคาบหนึ่งเรื่องอะไรบ้าง เรื่องเหล่านี้ มันทำได้หมดเลยในการทดลองสอนเพียงครั้งเดียวหรือ แบบนี้ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ครูที่มาสอนเนี่ย จะสามารถสอนให้เข้าใจได้ ไม่ใช่นึกจะสอนอะไรในเรื่องนั้นก็สอน มันมีลำดับขั้นการเรียนรู้ของมันอยู่ สมมติจะสอนให้เด็ก คูณ เลขเป็น จะสอน คูณ นักเรียนเลยได้ไหม ถ้า เด็กยังบวกเลข ไม่เป็น จะสอน บวก ได้ไหม ถ้ายังนับเลขไม่ได้ แล้วคุณสามารถอัดเรื่องราวเหล่านี้ในการสอนครั้งเดียว ได้ไหมละ ในเมื่อเด็กมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน บางคน คาบเดียวได้ บางคนสิบคาบ ทดลองสอนครั้งเดียว จึงไม่เป็นหลักประกันได้ว่า ครูคนนี้จะสามารถสอนเด็กให้ บวก ลบ คูณ หาร เลขได้ เด็กบางคนฟังครั้งเดียวเข้าใจ บางคนต้องไปลองปฏิบัติก่อน แล้วมาถาม บางคน ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนจำขึ้นใจ บางคนฟังเข้าใจ บางคนต้องให้อ่านถึง เข้าใจ บางคนคิดเริ่มต้นไม่ได้ แต่ต่อยอดได้ ผมเห็นคนเก่งมาเป็นครูในโรงเรียน แล้วเจอปัญหาเหล่านี้ เลิกสอนไปมากมายก็มี แค่เจอเด็กห้องเกเรก็ไม่อยากสอนแล้ว เพราะสอนมันไม่ได้ ไหนจะเตรียมการสอนอีก บางทีก็ต้องไปเยี่ยมบ้าน ไปเป็นครูเวร ไปตามจับเด็กหนีเรียนบ้าง ต้องไปห้ามเด็กตีกัน การเป็นครูมันไม่ได้แค่สอนหนังสือแล้วจบหรอกครับ มันมีนอกเหนือจากนั้นอีก เมื่อนักเรียนเจอปัญหาชีวิตแก้ไม่ตก บางครั้ง ครู ก็เป็นคนที่เขาจะพึ่งพาได้นอกจากพ่อแม่ อย่างเช่นเพื่อนผมคนหนึ่ง ท้อง แต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ก็ได้ครูสอนภาษาไทย นี่แหละ เป็นคนพาไปบอกพ่อกับแม่ และปกป้องไม่ให้ ถูกพ่อแม่ทุบตี ทุกวันนี้ เพื่อนคนนั้นก็มีครอบครัวที่มีความสุข สำหรับผมแล้ว ผมชอบครู อาจารย์ ที่ สอนความเป็นมนุษย์ และรับฟังนักเรียน และเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน ไม่ใช่เห็นนักเรียนที่ไม่สนใจเรียน เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้คุณค่า และผมเชื่อว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ชอบแบบนี้ เพราะผมเองก็เคยเป็นเหมือนพวกเขามาก่อน หากดึงพวกเขาเหล่านี้มาเรียนไม่ได้ คะแนนสอบ ระดับชาติ มันจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อ เด็กที่ไม่สนใจ ก็ยังไม่สนใจ ไม่อยากเข้าเรียน โดดเรียน อยู่ ถ้าดึงเด็กมาสนใจเรียนได้ คะแนนมันจะไม่เพิ่มขึ้นเลยหรือ ถ้าครูเอาใจใส่ ถ้าครูทำให้นักเรียนยอมรับในตัวครูไม่ได้ ไม่มีทางที่เขาจะตั้งใจเรียนหรอกครับ ถ้าเด็กเก่ง มันก็ต้องกับที่เขายอมรับว่าคนเก่ง แต่เด็กหัวปานกลางลงมา จนถึงเกเร คนที่พวกเขายอมรับ คือ อาจารย์ที่ช่วยเหลือเขาอย่างเพื่อนมนุษย์ ครู อาจจะมีลูกศิษย์ เป็นร้อยเป็นพัน พูดได้ ครับ แต่ครูที่เด็กยอมรับว่าเป็นครูของเขา มีไม่กี่คนหรอกครับ และผมก็ยังยืนยันว่า ผมก็ยังคงเลือกครูจากจิตวิญญาณ มาเป็นอันดับแรก เพราะครูเหล่านี้ จะเป็นคนดึงเด็กที่กำลังจะออกนอกระบบให้กลับเข้าสู่ระบบ เมื่อเขากลับเข้าระบบ ก็แปลว่า มีโอกาสที่เขาจะพัฒนาตนเองได้ หากเขาออกนอกระบบไป ไม่ยอมเรียน เขาก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ เมื่อนั้นแหละคือความพินาศของระบบการศึกษา สุดท้ายนี้ ที่ถามว่า "ถ้าลูกหลานท่านเรียนเก่ง ถึง เก่งมาก ท่านจะให้เขาไปเรียน ราชภัฎไหม?????????" ผมจะถามว่า เขาจะเรียนที่ไหน จะเรียน ราชภัฎ ก็ได้ไม่ห้าม แต่ขอให้เป็นในสิ่งที่เขาค้นพบแล้วว่า เขาอยากทำ อาชีพนี้ สนใจในสาขานี้ เรียนที่ไหน เลือกเอาเอง ผมอยากให้เขาเป็นคนเก่งที่เห็นโลกแห่งความเป็นจริงด้วย จะทำให้เขาสามารถนำความรู้ ที่มีไปใช้ในความเป็นจริงได้่ ให้เขาเป็นคนกำหนดชีวิตตนเองครับ ผมทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเสริม คอยให้กำลังใจยามที่เขาแพ้กลับมา สอนให้เขารู้จักคำว่าลุกเมื่อล้ม ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะอยู่กับเขาได้ถึงเมื่อไร ผมอยากให้เขามีภูมิต้านทาน ความเป็นจริงของ สังคมมนุษย์ครับ ขนาดยังไม่มีลูกยังคุยกับแฟนไว้เลยว่า ถ้ามีให้เรียนอนุบาลโรงเรียนวัด ให้เห็นความจริงของโลก และเข้าใจโลก ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น สมัยอินเตอร์เน็ต พึ่งมี ผมยังพูดหน้าชั้นกับอาจารย์เลยว่า ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าเอกทัศน์ จะอ่อนแอ่ ห้ามยิงปืนใหญ่กลัวนางสนมตกใจ เพราะศัตรูมันอยู่ตรงหน้าแล้ว แถมในละครนายขนมต้มที่สมรักเป็นพระเอก เปิดประตูให้มาเผาเมืองตนเอง แล้วก็พูดว่าจะทำให้รวย พร้อมกับเอกสารที่มี นักประวัติศาสตร์ เชื่อว่า จริงๆแล้ว พระเจ้าเอกทัศน์ จริงๆแล้ว ไม่ได้อ่อนแอ่ และยังสู้รบกับ พม่าด้วยตนเองอีกด้วย และนับว่าผมโชคดี ที่อาจารย์ท่านนั้นยอมรับในความคิดเห็นของผม ไม่ได้ดุ อะไรทั้งสิ้น พร้อมกับสนับสนุนผมด้วยซ้ำว่า อยากให้ทุกคนในห้องทำแบบนี้ ผมอยากให้ความเก่งของเขามาจากความมุมานะของเขาเองมากกว่า ถ้าเขาชอบสนใจ ยังไงเขาก็จะทำทุกวิธีทางให้เก่งเอง เราคอยสนับสนุนก็พอ ผมมีความเชื่อเกี่ยวกับการศึกษาว่า พ่อแม่ ครู มีหน้าที่สร้างแรงจูงใจในการเรียนให้กับเด็ก และคอยสนับสนุนเด็กพัฒนาตนเอง เพราะความรู้มันเปลี่ยนแปลงทุกเวลา มันอาจจะจริง ในวันนี้ แต่พรุ่งนี้หรือวันข้างหน้า มันอาจจะถูกพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง และหากผู้เรียนไม่ชอบมันก็ยากที่ เขาจะพัฒนาเรื่องนั้นต่อไป นานๆจะได้ตอบกระทู้ยาวๆ แบบนี้ซักที จากคุณ : หมีขี่พระจันทร์ (หมีขี่พระจันทร์) เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 23:52:41

ความคิดเห็นที่ 82 ตอนโตขึ้นมารู้สึกว่า ระบบการศึกษาไทย ไม่เคยทำให้เราอยากเรียนรู้ รู้จักตั้งคำถามให้มากๆ มีแต่เรียนเพื่อแข่งกัน แค่จะแย้งครูบางคนยังไม่ได้เลย จากคุณ : สุดสุดไปเลย (assumtion) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 00:34:22

ความคิดเห็นที่ 83 ผมว่าสัญชาตญาณการสอนของมนุษย์(ส่วนมาก) พระเจ้าก็ให้มาไม่น้อยนะ ถ้าจะพิจารณาคนที่เหมาะจะเป็นครูเนี่ยควรพิจารณาที่ ความอยากเป็น และความแน่นของความรู้พื้นฐานที่ใช้สอน มันชัดเจนอยู่แล้ว พรบ นี้ กีดกันทั้งคนอยากสอน และคนมีความรู้ที่ใช้สอน การศึกษามันจะไปได้อย่างไร แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 02:06:48 จากคุณ : เหนื่อยใจ (YanwalyunTh) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 01:56:56

ความคิดเห็นที่ 84 ตอบ คห. 63 เอาหละเราจะชี้ให้คุณเห็น logical flaws (ข้อบกพร่องในการใช้เหตุผล) ใน arguments ของคุณ Okanail คุณ Okanail พูดใน คคห 45 ว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี สรุปว่าอยากให้ยกเลิกใบประกอบวิชาชีพ ให้คนที่ไม่จบครู ไม่มีประสบการณ์การสอนเลยสักนิด มาเป็นครูก็ได้เหรอครับ? ผมละงง  อย่างนี้มันเปิดช่องให้คนไม่เก่งมากกว่าคนเก่งนะครับ”   ^ ตอบ คุณพูดเองเออเองหมด โดยไม่คิดความเป็นไปได้ทั้งหมด  ข้อความนี้ของคุณตีความสรุปได้ว่า “ผู้คนทั้งหมด (all) ที่ไม่มีใบอนุญาตครู ไม่จบครู จะต้องไม่มีประสบการณ์การสอน หรือสอนไม่เป็น” ถ้าผมคิดว่าเป็น all จริง ไม่ใช่ some ประโยคที่บอกว่า "อย่างนี้มันเปิดช่องให้คนไม่เก่งมากกว่าคนเก่งนะครับ" ผมจะพูดขึ้นมาทำไม ถ้าในใจผมไม่ได้คิดว่า มีทั้งคนเก่ง และไม่เก่งปนกันอยู่ แต่ผมมองว่าสัดส่วนคนไม่เก่งที่อยากจะมาเป็นครู เพราะหางานตามสายงานตรงไม่ได้มีมากกว่า เท่านั้นเอง  ช่วยดูบริบทในการพูดด้วยครับ ถ้าใช้ logic แบบคอมอย่างเดียว ก็เอาหุ่นยนต์มาคิดแทนก็ได้ครับ จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 03:24:48

ความคิดเห็นที่ 85 ตอบ คห. 65 หนังสือ How to Lie with Statistics? เป็นการอธิบายว่าสถิติมีข้อผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งแนวคิดที่ได้คือการใช้ข้อมูลจากสถิติต้องใช้เหตุผลประกอบด้วย โดยคำนึงถึงบริบทความเป็นจริง  ไม่ได้บอกให้คิดเองเออเองอย่างเดียวโดยไม่ยึดกับสถิติเลยครับ จากคุณ : Okanail เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 03:27:39

ความคิดเห็นที่ 86 อยากให้กิฟคุณ ][NuUnAn-- แต่กิฟหมด ตอนเรียนตอนฝึกสอนมุ่งมั่นกับการสอน สอนอย่างเดียวมีความสุขมาก สนุกสนานทั้งครูทั้งนักเรียน แต่พอมาเป็นครูจริงๆสิคะ กว่าจะได้ทำงานตัวเอง เตรียมสอน เขียนแผน ทำวิจัย ในแต่ละวันเราต้องมาทำอะไรบ้าง ตามงานที่คุณ][NuUnAn-- ไล่มานั้นคืองานพื้นฐานนะต้องทำอยู่แล้ว บางคนเขาทำผ่านๆ แต่คนที่ทำจริงหาข้อมูลจริงนี่เหนื่อยนะคะ บางทีกลับไปเจอเพื่อนที่เคยเรียนเคยสอนด้วยกันจะบ้าตายค่ะ บางคนทำพัสดุอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นแล้ว อย่างเราทำงานธนาคารโรงเรียน แนะแนว วิชาการ งานในกลุ่มสาระนั่นอีกต่างหาก สรุปคือบ่นกันว่า ทำไมตอนฝึกสอนเนี่ย ไม่ต้องให้เราฝึกสอนหรอกให้ไปฝึกงานพวกธุรการ บริหารแต่ละฝ่ายจะดีกว่าไหม ใช้งานกันดีเหลือเกิน - -* ...งานครูไม่ใช่แค่งานสอนจริงๆ ค่ะ (ถ้าให้ครูทำงานสอนและทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเต็มที่การศึกษาชาติคงจะสูงขึ้นเยอะจริงๆ...) ...เราไม่ได้ช่วยแสดงควาคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบครูเลยเนอะ - -'' เข้ามาบ่นค่ะ^^'' ตามคุณ][NuUnAn-- ไปเตรียมประเมินเพื่อชาติก่อนนะคะ!! แก้ไขคำผิดค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 09:53:36 จากคุณ : ช้าตลอด เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 09:52:37

ความคิดเห็นที่ 87 ยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ครู (บางคน) สอนไม่เป็น เพราะ ไม่เข้าใจ concept ในเรื่องที่จะสอน   ไม่เข้าใจทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ใช้คำถามกับนักเรียนไม่เป็น ไม่สนใจความรู้เดิมของเด็ก   ถามคำถามเดียวกัน เด็กนักเรียนของครู(คนนั้น) ตอบได้ แต่ครูตอบไม่ได้ น่าเศร้าใจ จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 10:55:59

ความคิดเห็นที่ 88 เราพูดกันมาจนลืนประเด็น.ตามlink ข้างบนหรือป่าวครับ. ประเด็นที่นาย สรยุทธ คุยกับอาจารย์ รองเลขาท่านนั้นคือ 1.คุณภาพการศึกษาของไทย ที่โหล่.สุดท้ายของโลกแล้ว 2.นักเรียน.มีชั่วโมงเรียนในชั้น มากที่สุดในโลก 3. ครูไทยจบ ป.ตรี+ ป.โท.สูงกว่าสิงคโปร์ ลอง.หาคำตอบและวิธีแก้ไขเรื่องเหล่านี้นะครับ ..... สำหรับผม.เมื่อเช้ามืดนี้ผมออกจาก.กำแพงเพชร.เข้ามาทำธุระใน กทม.ระหว่างทาง ผมพยายามนับ.มหาลัยผลิตครูทั้งตัวมหาลัยและทั้งที่ไปเปิดวิทยาเขต.ได้อย่างคร่าวๆ.ประมาณ 30 กว่าแห่งครับลองคิดต่อซิครับว่า ถ้าแต่ละแห่งผลิตแห่งละ 1,000.-ต่อปี จะเป็นยังไง  สำหรับความเห็นข้างบน.    -ที่เราเรียกร้องนี้คือ การที่ให้ครูได้บรรจุมาจากคนที่เก่ง จากหลากหลายสาขา หลายสถาบัน / ส่วนการเป็นครูสอนแบบชั่วคราว เป็นลูกจ้างชั่วคราว.นั้นไม่มีใครอยากเป็นหรอก .หรือจะให้หมายถึงว่า"คนเป็นครูได้จริงบรรจุได้ต้องเป็นคนจบจากราชภัฎเท่านั้น ส่วนที่อื่นเป็นได้แค่ ลูกจ้างชั่วคราว.อันนี้ยิ่งไม่ถูกเลย    -อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่า."สุดท้าย.พวกเขาก็ไม่ยอม.ไม่ว่าจะเก่งวิชาการขนาดไหน.ความรู้แน่นขนาดไหน.ก็สู้ความรู้ในการถ่ายทอด.วิชาครูไมได้.-เรื่องการถ่ายทอดจึงเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย.ให้ใครมาเป็นครูไม่ได้นอกจากเด็กราชภัฎ      "พวกหมอดู เข้าเจ้า เข้าผี.เขามักจะบอกว่าตนเองนั้น มี "องก์"ทำให้มีความสามารถเหนือมนุษย์ เห็นมิติที่สี่ ดูอนาคตชาติได้.และยกตนเหนือผู้อื่นว่า.พวกเองไม่มีองก์.จึงเป็นรองพ่อหมอผี แม่หมอผี       ลองนึกว่า.ถ้าคนจบที่อื่น.แม้จะเก่งขนาดไหน.แต่ไม่มี"องก์" ก็ไม่มีสิทธิ ไม่สามารถมาเป็นครูตัวจริงได้ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 11:34:21

ความคิดเห็นที่ 89 ส่วนเรื่อง. ที่การศึกษาตกต่ำ.ล้มเหลว.ต่ำที่สุดในโลกแล้ววันนี้ใครเป็นคนทำ ครูก็อ้างว่า สมศ. สพฐ. ว่าเป็นต้นเหตุ ทำให้ไม่มีเวลาสอน.มัวเสียเวลาเกี่ยวกับการทำเอกสาร.ไม่มีสมาธิการสอนหนังสือ.ชี้มือไปที่ สมศ. สพฐ. ว่าคือต้นเหตุ ....เคยนึกถึงสาเหตุ.ความเป็นมาเป็นไปไหมว่า. ทำไมเขาต้องประเมิน เขาต้องให้ทำโน่นทำนี่.   "ก็เพราะ.เขามีความรับผิดชอบที่ต้องหาทาง สร้างวิธีการทำให้ครู ตั้งใจสอน มีกระบวนการ.คิด+ทำ+ติดตาม+ประเมินผล. ไม่ใช่ อย่างแบบซังกะตายไปวันๆหนึ่ง เขาทำถูกต้องแล้ว.ระบบอะไรในโลกทุกระบบ.จะต้องมีการประเมินผล กำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ทีทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย   ครู.นั่นแหละ.แทนที่จะไปโทษคนอื่น. ครูสมควรจะคิดกลับมาว่า.ทำไมเขาถึง จ้ำจี้ จ้ำไชนัก. /ถ้าไม่.เช้ายามเย็นชาม หยำแฉะ.เอื่อยเฉี่อย สะลืมสะลือ.เชื่องช้า.ซื่อบื้อ.              "เขาจะกำกับ ตรวจสอบทำไม" จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 12:01:46

ความคิดเห็นที่ 90 เห็นด้วยกับ คห.72 ทุกประการเลย!!! ติวเตอร์ไม่มีปัญหาเรื่องคุมชั้นเรียน เพราะทุกคนที่มาเรียน ล้วนคัดมาแล้ว และผมเองก็สอนในห้องเรียนไม่ดีเท่ากับสอนที่กวดวิชาครับ สอนที่กวดวิชา สอนยังไงก็ได้ นักเรียนรู้เรื่องหมด... แต่สอนที่โรงเรียนมันยากกว่านั้น มันมีศิลปะมากกว่านั้น มันต้องให้นักเรียนมารายงานหน้าชั้น แสดงละครและอื่นๆ อีกมากมายซึ่งซับซ้อนกว่าในสถาบันกวดวิชา...รวมไปถึงภาระงานด้านอื่นๆ ด้วย ผมสารภาพเลยว่า ผมเคยไปสอนนักเรียนระดับประถม ผมกลับมาบ้านทุกวันแทบหมดแรง และต้องกินยาพาราเกือบทุกวัน เพราะไมเกรนขึ้นตลอดๆๆๆๆ.. ครู และิติวเตอร์ จึงแตกต่างกันด้วยประการฉะนี้แล... จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 12:15:28