ความคิดเห็นที่ 1 หัวข้อกระทู้  พิมพ์ผิดครับ ขอเเก้เป็น พระจักรพรรดิ์ จากคุณ : นินจามังกร เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 12:13:30

ความคิดเห็นที่ 2 ความรู้สึกของคนไทยต่อพระมหากษัตริย์ กับ ความรู้สึกของคนญี่ปุ่นต่อพระจักรพรรดิ์ ไม่เหมือนกัน พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย กับ พระราชกรณียกิจพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น ไม่เหมือนกัน จากคุณ : Silencess เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 12:41:51

ความคิดเห็นที่ 3 ตามหัวกระทู้ถามถึง "ประวัติศาสตร์" การเมืองใช่มั้ยคะ งั้นเราขอตอบในแง่ของประวัติศาสตร์การเมือง สมัยก่อน เจ้ามีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองค่ะ เพราะผู้ปกครองเป็นเจ้า (หรืออ้างว่าเป็นเจ้า) จะว่าคนไทยชอบโหนก็ไม่เชิง ก็ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนเป็นอย่างนั้น ส่วนของญี่ปุ่นก็มีการอ้างถึงหรือกล่าวถึงเช่นกันค่ะ คุณลองดูดีๆ แต่คำอธิบายในหัวกระทู้เหมือนพูดถึงสมัยปัจจุบันเลย ไทยกับญี่ปุ่นต่างกันมากค่ะ วัฒนธรรมการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่างกัน แต่ที่ต่างกันยิ่งกว่านั้น คือโครงสร้างการเมืองและนักการเมืองค่ะ มันจึงทำให้คุณเห็นว่าโครงสร้างหลักๆ ของเขาคล้ายเรา แต่ทำไมไม่เหมือนกัน จากคุณ : รวีวัลลา เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 13:43:09

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นหมดอำนาจไปนานแล้วครับ หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็โดนอเมริกายกขึ้นหิ้งแบบไม่มีสิทธิไม่มีเสียงอะไรในทางการเมืองเลย มีแต่หน้าที่ในทางพิธีการเท่านั้น จบ ................................. ป.ล. ศึกษาช่วงสฤษดิ์ ให้ดีๆ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 14:16:30 จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 14:15:34

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านตอนแรกงง นึกว่าก๊อด จักรพรรณ อิ อิ ------------------------------------------- เรื่องอ้างจักรพรรดิญี่ปุ่น ถ้านับในประวัติศาสตร์ก็คงต้องบอกว่า มีมาทุกยุคทุกสมัยแหละครับ ยาวนานยิ่งกว่าประเทศไทยเสียอีก เพราะที่ผ่านมาสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่น ก็เป็นอย่างที่ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยแซวไว้ในเรื่อง "ฉากญี่ปุ่น" ว่า เป็นเหมือน "เจว็ด" ในศาลเจ้าที่ผู้คนกราบไหว้บูชา แต่หาได้มีอำนาจในการปกครองจริงจังไม่ ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้คนที่ต้องการเป็นใหญ่แอบอ้างตัวว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ แล้วฉวยเอาอำนาจนั้นไปปกครองแผ่นดินแทนพระองค์ จนแม้กระทั่งยุคปฏิรูปเมจิ ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิมีอำนาจขึ้นมาจริง ๆ ก็ยังมีผู้ใกล้ชิด อ้างเอาความจงรักภักดีต่อพระองค์เป็นประเด็น แล้วเข้าปกครองบ้านเมืองแทน อย่างเช่นกองทัพในยุคสงครามโลก กระแสโหนเจ้าของญี่ปุ่น เพิ่งจะหมดไปก็เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองนี่เอง เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ส่วนของไทยถ้าพูดตามจริง ก่อนหน้าปี 2475 ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะพระมหากษัตริย์สยาม/ไทย ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองด้วยตัวเองมาตลอด เลยไม่มีใครสามารถแอบอ้างตัวได้ เพิ่งจะมามีเรื่องแบบนี้ก็เมื่อหลังปี 2475 นี่เอง และถ้าจะว่าไปแล้ว หลังหมดยุคหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์แล้ว การเมืองไทยก็ไม่ได้ยุ่งกับสถาบันฯ อีก จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่แหละถึงมีการปลุกกระแสกันอีกครั้ง แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 55 03:39:10 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 14:42:23

ความคิดเห็นที่ 6 ต่างกันครับ จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 15:03:35

ความคิดเห็นที่ 7 จำได้เลือนลางว่า สมัยก่อนเมื่อร้อยปีก่อน พระจักรพรรดิก็ไม่มีอำนาจแล้ว แต่โชกุนมีอำนาจเต็ม จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 15:25:34

ความคิดเห็นที่ 8 มุมมองของผมคือ เพราะ พวกเชื้อพระวงค์ เป็นกลุ่มที่ ไม่ออกมาตอบโต้ แก้ข่าว แถลงข่าว หรือ ฟ้องร้องใครกลับทั้งสิ้น ก็ทำให้คนที่คิดจะสร้างเรื่อง จากเรื่องจริงเป็น 1 หรืออาจจะไม่มีมูลเลย เค้าก็จะบอกว่า 7 8 9 10 เจ้าคือจุดสำคัญที่คนพวกนี้ต้อง ตีให้แตก ในเรื่องของความเป็น จุดศูนย์รวมของคนในชาติ หรือคนกลุ่มใหญ่ จริงจริง สมัยไหนประเทศไหน ถ้าต้องการเอาชนะทางการเมืองแล้ว ย่อมอ้างเจ้า เช่นองค์ชายฟกซอง คิดการก่อกบฎ เป็นต้น  องค์ชายเองอาจจะไม่รู้เรื่องหรอก แต่ลองจะใส่ร้ายใคร ต้องหาเเพะตัวใหญ่กว่า แล้วอ้างข้อหากบฎ ไปใส่ร้ายขุนนางเฉยๆไม่ได้ ต้องพยายามหาหัวเรือใหญ่ที่เป็นเจ้า  ล้มเจ้าองค์ไดองค์หนึ่งได้ = ล้มขุนนางที่เป็นลูกน้องได้มากกว่า หนึ่ง คุ้มจะตาย  เกิดเป็นเจ้าในเกาหลีสมัยก่อน โคตะระซวยเลย เราทำงานในองค์กร ใครหมั่นไส้เรา ก็จะหาเรื่องลูกน้องเรา แล้วหาว่าเราหนุนหลัง แต่เรามันคนธรรมดา สามารถเดินเข้าไปลุยซื่อซื่อได้ ว่า เอ้ยยย อะไร ยังไง ทำไม แต่เจ้าไม่ทำ เจ้าอยู่เฉยๆ เลยเป็น target ให้โหน จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 17:11:24

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเห็นด้วยกับคุณ tinglee tingamee ตรงที่ว่า "พวกเชื้อพระวงค์ เป็นกลุ่มที่ ไม่ออกมาตอบโต้ แก้ข่าว แถลงข่าว หรือ ฟ้องร้องใครกลับทั้งสิ้น ก็ทำให้คนที่คิดจะสร้างเรื่อง จากเรื่องจริงเป็น 1 หรืออาจจะไม่มีมูลเลย เค้าก็จะบอกว่า 7 8 9 10 " ถ้าสังเกตให้ดีในรอบไม่กี่ปีนี้มีแต่คนสร้างเรื่องใส่ร้ายพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงแทบจะทุกพระองค์ก็ว่าได้ ตั้งแต่ในหลวง พระราชินี จนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ซึ่งทุกพระองค์ก็ทรงปล่อยให้ลือกันไปทั่วแบบผิดๆ ไม่เคยออกมาตอบโต้ แถลงข่าว หรือฟ้องร้องใดๆ เลย ในรอบปีนี้ก็มีข่าวลือกันไปทั่ว เมื่อตอนในหลวงและพระราชินีทรงพระประชวรพร้อมกันช่วงเดือนกรกฎาคม บางเว็บก็ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ ทำอย่างกับไปนั่งเฝ้าหน้าห้องพระบรรทม รู้เรื่องทุกอย่าง บางเว็บก็แต่งนิยายเสียดสีหรือแต่นิยายด่ากันสนุกสนาน บางเว็บก็อ้างว่าเป็นคนถวายงานในห้องพระบรรทมแอบเอาพระอาการมาเล่า(อย่าให้เลยเลยว่าเว็บไหน) พอในหลวงเสด็จออกช่วงตุลาคมเท่านั้นแหละ หน้าแหกกันเป็นแถว แต่ก็แถกันไปเรื่อยอีก ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยเชื่อที่พวกนี้พูดหรอก อย่างล่าสุดที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่ตามเสด็จในหลวงเสด็จออกสีหบัญชร ก็ลือกันว่าทรงพระประชวรพระอาการเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ปิดข่าวอย่างนั้นอย่าง บลาๆๆ ผมล่ะหนักใจกับพวกนี้จริงๆ ถ้าเป็นผมคงจะทนข่าวลือพวกนี้ไม่ได้ต้องออกมาแก้ข่าวแล้ว แต่พระบรมวงศานุวงศ์ท่านทนกับกระแสข่าวลือกันไปได้ไม่เคยออกมาตอบโต้บ้างเลย จากคุณ : Medhawint_CPSK เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 19:40:37

ความคิดเห็นที่ 10 ขอสนับสนุนความเห็นที่ ๙  เฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่ว่า "บางเว็บก็อ้างว่าเป็นคนถวายงานในห้องพระบรรทมแอบเอาพระอาการมาเล่า(อย่าให้เลยเลยว่าเว็บไหน)" นั้น ในประเด็นเอาความในมาขยายนั้น  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เคยมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานไปถึงพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติความตอนหนึ่งว่า "ที่กรมราชเลขาธิการก็คงจะระวังมิให้บุคคลชั้นผู้น้อยได้รู้เห็นเปนแน่แท้.  แต่โดยที่เธอบางทีจะไม่คุ้นเคยกับกรมราชเลขาธิการ, ฉันขอรับรองว่าคนปากบอนหรือปากมากเขาไม่ใช้เลยในกรมนั้น, แลถ้าจับใครได้ว่าทำผิดกติกาในข้อนี้  ไม่เปนแต่เพียงไล่ออก, ถึงแก่ถอดเสียด้วย." ขนาดราชการในกรมราชเลขาธิการยังกวดขันกันขนาดนั้น  แล้วคุณมหาดเล็กห้องพระบรรทมซึ่งต้องคัดกันเป็นพิเศษเพราะเป็นผู้ที่ต้องรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท  ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงเลือกพวกที่สักมีแต่ปากเข้าไปรับใช้ในที่รโหฐานเช่นนั้น  การรับฟังข้อมูลใดๆ จึงควรรับฟังโดยมีสติยั้งคิด  ยิ่งได้รู้ได้เห็นกันมาทั้งเรื่องคุณทองแดงและอื่นๆ แล้ว  ยิ่งน่าจะยั้งคิดกันให้มากและช่วยกันหยุดข่าวลือบ้าๆ นี้  มิใช่ช่วยกันกระพือให้มากความ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 20:53:55

ความคิดเห็นที่ 11 หัวกระทู้พิมพ์ผิด   คห.1แก้มาก็ยังผิดอยู่ดีแหละครับ      จักรพรรดิ เขียนอย่างนี้   ไม่มีการันต์ ส่วนพวกใส่ร้ายนี่    พวกนี้ไม่มีความจริงอะไรหรอกครับ    โกหกเป็นหลัก      แต่เน้นที่ว่าโกหกบ่อยๆเข้าเดี๋ยวคนก็เอนเอียงเชื่อไปเอง     เป็นการล้างสมองแบบ Subliminal    บางอย่างอย่าว่าแต่มูลเหตุเลย      คิดเรื่องเอาเองล้วนๆ     แต่งเรื่องตามที่ตนต้องการจะใส่ร้าย   ข้อมูลที่เอามาอ้างก็ไม่ตรงกับความจริง     คนมีสติปัญญาเขาฟังแล้วก็ไตร่ตรองรับรู้ว่ามันมั่ว       แต่คนที่สติปัญญาด้อยๆก็หลงเชื่อไปตามที่พวกนี้จูงจมูก บางเวบนี่ร่ายยาวได้เป็นฉากๆ     เก็บคำพูดทุกอย่างมาหมด   ยังกะว่าเจ้าตัวอยู่ในห้องด้วยตลอด    ม่ายก็มีโทรภาพที่ฉายภาพตลอด24ชั่วโมงแบบเรียลลิตี้ ยืนยันได้เลยว่าพวกนี้ไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้น     เน้นโกหกให้คนเชื่อ      พอถามหาหลักฐานก็อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย     แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 23:32:59 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 21:55:02

ความคิดเห็นที่ 12 ปฏิรูปเมจิคือการมีโมเดลการคืนอำนาจแก่พระจักรพรรดิ การเป็นโชกุนคือครองประเทศแล้วให้จักรพรรดิแต่งตั้ง การก่อกบฏแก่โชกุนบางครั้งก็อ้างจักรพรรดิ จักรพรรดิของญี่ปุ่นไม่ใช่อำนาจแต่เป็นความชอบธรรมครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 00:30:25

ความคิดเห็นที่ 13 จขกท.ไปศึกษประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นใหม่โดยด่วนครับถ้าอยากรู้แบบละเอียดและเข้าใจ เพราะโครงสร้างการปกครองของไทยกับญี่ปุ่นไม่เหมือนกัน ส่วนในบริบทการอ้างเจ้า หากหมายถึงจักรพรรดิ มีการอ้างมาตลอดตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ยิ่งช่วงยุคปฏิรูปนี่การอ้างถึงการคืนอำนาจให้จักรพรรดินี่เป็นเกราะป้องกันชั้นดีและข้ออ้างหลักของฝ่ายแกนนำปฏิรูปเลย เอาจริงๆประเทศอื่นช่วงที่มีสถาบันกษัตาิย์อยู่ก็มักอ้างสถาบันเจ้ากันเมามันสเลย จีนนี่อ้างบ่อยมาก พวกยุโรปก็เยอะ เอาจริงๆนะ ถ้าคุณถือวาาเจ้าคือกลุ่มสถาบันปกครองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง อเมริกาเองยังมีกลิ่นอายตรงนี้เลย จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 00:43:45

ความคิดเห็นที่ 14 จะว่าจริงๆที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีประวัติศาสตร์ที่อิงเจ้า   นั่นก็เพราะจักรพรรดิญี่ปุ่นไม่เคยมีอำนาจทางการปกครองเลยมาอย่างยาวนานมาก      ผู้มีอำนาจปกครองในญี่ปุ่นจริงคือโชกุนและไดเมียว ดังนั้นประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นจึงไม่ได้อิงกับจักรพรรดิสักเท่าใด     แต่จะไปอิงกับโชกุน-ไดเมียว-ซามูไรซะมากกว่า       อย่างเช่น   โอดะ โนบุนางะ   โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ  โทคุงาวะ อิเอยาสุ       ชินเซนกุมิ   ซาคาโมโตะ เรียวมะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 02:53:47

ความคิดเห็นที่ 15 ...ขอถามหน่อยครับ ทำไม อังกฤษโดนทั้ง แมกนาคาตา ทั้ง บิลออฟไรท์ ทำไมกษัตริย์ ยังมีชื่อร่วมกับประวัติศาสตร์อังกฤษเรื่อยมา ไม่หายไปหรือเป็นแค่เจว็ดแบบญี่ปุ่น จากคุณ : LegalisM เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 10:34:34

ความคิดเห็นที่ 16 สมัยสามก๊ก โจโฉนั้น เป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ บางคนมองว่า โจโฉคือนักบริหารชั้นยอด และเป็นตัวแทนฮ่องเต้ในการปราบกบฎ แต่บางคนบอกว่า โจโฉแอบอ้างฮ่องเต้ในการขยายอำนาจของตัวเอง และข่มเหงฮ่องเต้ เล่าปี่ เชื้อพระวงษ์พลัดถิ่น บางคนบอกว่า หากจงรักภักดีจริง เล่าปี่คงพยายามช่วยฮ่องเต้จากโจโฉ ไม่มาสร้างกำลังของตัวเองหรอก แถมพอโจผีชิงบัลลังค์ กลับยกตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้อีก แต่บางคนบอกว่า เล่าปี่จะมีปัญญาอะไปช่วยฮ่องเต้ กว่าจะตั้งตัวได้ก็แก่แล้ว สมัยยังตั้งตัวไม่ได้ แค่เอาตัวรอดแต่ละช่วงมาได้ก็ลำบากแล้ว แล้วคิดว่าโจผีจะปล่อยให้ฮ่องเต้เดินทางไปหาเล่าปี่ได้หรือ จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 13:46:19

ความคิดเห็นที่ 17 คห.15 อังกฤษ ตกเป็นสาธารณรัฐไป 10 ปีนะครับ ภายหลังจากพระเจ้าชาลล์ที่ 1 พ่ายแพ้แก่กองกำลังฝ่ายรัฐสภา จนถูกตัดสินบั่นพระเศียร แล้วผู้ที่กุมอำนาจเป็นผู้ปกครองประเทศคือ โอลิเวอร์ คอมเวลล์ จนคอมเวลล์ เสียชีวิตเกิดการแย่งชิงอำนาจกัน กลายเป็นยุค Anachy กองทัพเลยตัดสินใจเชิญ เจ้าฟ้าชายชาลล์ พระราชโอรส าลล์ที 1 กลับมาจากฝรังเศล เพื่อสวมมงกุฎ เป็น ชาลล์ที่ 2 อันเป็นการยุติสงครามกลางเมือง แต่ก็ยังมีการตามแก้แค้นต่อมาพอสมควร ซึ่งถ้าจะพิจารณาดูก็เป็นเพราะ สถาบัน ดัน เผชิญหน้ากับฝ่ายสภา ซึ่งเป็นตัวแทนราษฎร นั้นเอง และเหตุการณ์ก็ถูกบันทึกให้ แสดงซ้ำทุกๆครั้งที่ รัฐสภาอังกฤษจัดพิธีเปิดประชุมสภา จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 17:32:39

ความคิดเห็นที่ 18 อีกคลิป จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 17:35:47

ความคิดเห็นที่ 19 เทียบกับเหตุการณ์ พระเจ้าชาลล์ที่ 1 บุก รัฐสภา จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 17:36:53

ความคิดเห็นที่ 20 ก็เพราะ สถาบันกษัตริย์ของไทย คือ หัวใจของประเทศและประชาชน ผู้ใด กุุมสิ่งนี้ไว้ได้ผู้นั้นก็ได้ทั้ง ประเทศและประชาชน เปนพวก จากคุณ : pigX4 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 55 18:15:57

ความคิดเห็นที่ 21 ตีไทยให้แตก เลยต้องมุ่งไปที่สถาบันหรือเปล่า จากคุณ : biebie999 เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 55 14:46:18

ความคิดเห็นที่ 22 ผมไม่ทราบของประเทศอื่นนะครับ ในเรื่องของประวัติศาสตร์การเมืองไทย คุณต้องลองไปศึกษา ระบบที่ถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่โบราณ ที่เป็นปัจจัยบ่มเพราะระบบอุปถัมภ์ โดยเฉพาะช่วงหลัง พ.ศ.2490 ที่บทบาทของคณะเจ้า เริ่มกลับมาแล้วแบ่งบานมากในสมัยยุค สฤษดิ์ ธนะรัตน์ และเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หากจะลองสังเกตดีๆเป็นช่วงที่มีการพยายามชูนโยบาย สมัยนี้บทบาทของสถาบันกลับมาอีกครั้ง หลังจากโดนคณะราษฏรปฏิวัติอำนาจสู่มือประชาชน(บางกลุ่ม)   แต่หากสังเกตเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หลายๆสิ่งยังไม่ได้รับการสะสาง  จับมือใครดมไม่ได้ หลายๆคนจึงพยายามหาข้อเท็จจริงนี้ โดยส่วนตัวการที่อ้าง สถาบัน นักเรียนประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ พวกนี้มีแนวคิดออกจากระบบความคิดแบบไทย และมีการเปิดรับแนวคิดตะวันตก  ทำให้มีความต้องการวิพากษ์สังคมไทยครับ จากคุณ : xkiN8 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 10:24:39

ความคิดเห็นที่ 23 ในความเห็นข้างบน  คุณ xkiN8 ได้แสดงความเห็นไว้ว่า "นักเรียนประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ พวกนี้มีแนวคิดออกจากระบบความคิดแบบไทย และมีการเปิดรับแนวคิดตะวันตก  ทำให้มีความต้องการวิพากษ์สังคมไทยครับ อ่านความเห็นดังกล่าวเรื่องชวนให้นึกถึงพระราชบันทึกในรัชกาลที่ ๖ ที่พระราชทานไปยังเสนาบดีกระทรวงธรรมการ  ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า "I do not say that what applies to England will equally apply to Siam.  On the contrary it would be a very grave mistake to adopt English methods in tots without alteration," ซึ่ง ม.ล.ปิ่น  มาลากุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แปลไว้ว่า "ข้าไม่หมายความว่าอะไรดีสำหรับเมืองอังกฤษจะต้องดีสำหรับเมืองไทยด้วย  ตรงกันข้าม ถ้าจะเอาวิธีการของคนอังกฤษมาใช้ทั้งดุ้นโดยไม่มีการดัดแปลง  ก็จะเป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์" พยานสำหรับพระราชดำริข้างต้นก็คือ  พระราชบันทึกในไดอารีส่วนพระองค์ซึ่งทรงบันทึกไว้เมื่อวันที่  ๓  พฤศจิกายน ๒๔๕๖  ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้คงจะมีเฉพาะในเมืองไทย  ทางตะวันตกคงไม่มีเป็นแน่  แล้วจะเอาเรื่องของเมืองไทยไปปรับใช้กับทฤษฎีตะวันตกได้อย่างไร? “ได้ไปช่วยกะฐินราษฎร  วันจันทร์ที่ ๓ – บ่ายวันนี้ได้ลงเรือไปเที่ยวเล่น  พบเฃากำลังแห่กะฐินที่เกาะใหญ่  จึ่งเฃ้าไปช่วยลากเรือกะฐินกับเฃาด้วย  เจ้าของกะฐินชื่อนายหรั่ง  เฃาจะไปทอดที่วัดยม  พวกเด็กๆ ผู้หญิงลูกหลานตาหรั่งที่พายเรือจูงเรือกะฐินอยู่นั้น  ชวนเราให้ไปดูลิเกซึ่งเฃาจะเล่นฉลองกะฐินที่บ้านนายหรั่ง  เราก็ไปกับเฃา  เฃามีสวดมต์ฉลองกะฐินก่อน  พอสวดมนต์แล้ว  เขาก็ยกขนมจีนน้ำยามาเลี้ยง  ขนมจีนของเฃาแป้งสด  น้ำยาก็ทำดี  กินได้อย่างอร่อยมาก  กินเลี้ยงแล้วดูลิเก  และเราได้แจกเสมา  เด็กๆ เบียดกันจนร้านหัก  สืบถามได้ความว่าตาหรั่งนี้อายุ ๘๖  ได้ฃายนาได้เงิน ๒ ชั่ง  จึ่งทำบุญทอดกะฐิน  เราก็ช่วยในการกะฐินด้วย  คือออกเงินถวายพระองค์ละ ๔ บาท (มีพระรวม ๑๓ รูป)  กับได้ให้เงินแก่ตาหรั่งเองอีก ๒ ชั่ง” จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 55 07:10:43