 |
ต่อมาเมื่อหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐทนตรียุตติธรรมกลับจากงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าแก้วนวรัฐฯ แล้ว ก็ได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบว่า
อนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๑ เดือนนี้ เวลา ๙.๓๐ น. ข้าพเจ้าได้เชิญเจ้าราชบุตรมาสนทนาสองต่อสอง ได้ไต่ถามถึงความสัมพันธ์ในระหว่างเครือญาติและเรื่องมฤดก ได้ความว่าทั้งสองเรื่องนั้นได้เป็นไปโดยไม่สู้จะเรียบร้อยนัก และยังได้ความจากข่าวภายนอกว่า น่าจะเป็นคดีพิพาทยังโรงศาลในเรื่องที่เกี่ยวกับมฤดกของเจ้าหลวง ในโอกาสเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าได้พูดถึงเรื่องตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครและลองถามว่า เจ้าราชบุตรจะมีความเห็นประการใด เจ้าราชบุตรไม่ให้คำตอบ ข้าพเจ้าจึ่งกล่าวว่า เรื่องนี้ความจริงรัฐบาลก็ยังมิได้หยิบยกขึ้นพิจารณา แต่ก็คงจะพิจารณาเมื่องานพระราชทานเพลิงศพได้ผ่านไปแล้ว สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยฉะเพาะ คิดว่ารัฐบาลคงจะไม่แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร โดยเหตุผลที่ว่า ตามรัฐธรรมนูญถือว่าราชอาณาจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่ประเทศราช และความจริงพวกเราก็เป็นไทยด้วยกันทั้งนั้น การแต่งตั้งเช่นนี้จึ่งมิใช่เป็นการยกย่อง แต่หากเป็นการเหยียดหยามก่อให้เกิดการแบ่งแยก อนึ่ง ตามนโยบายของรัฐบาลในระบอบราชาธิปไตยก็ได้เลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครไปแล้ว เช่น ลำปาง แพร่ น่าน ถ้าหากมาแต่งตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่อีก ก็จะเป็นการกระทบกระเทือนไปถึงฝ่ายโน้น ให้ยกเหตุผลขึ้นกล่าวอ้างให้ตั้งเจ้าผู้ครองนครในจังหวัดนั้นๆ ขึ้นอีก แต่ถึงอย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่ตั้งเจ้าผู้ครองนคร รัฐบาลก็คงจะไม่ทอดทิ้งประการใด กล่าวคือ คงจะได้หาตำแหน่งที่มีเกียรติยศให้ เป็นต้นว่า ตำแหน่งทางพลเรือน หรือทางทหาร หรือตำแหน่งพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งในส่วนเบี้ยเลี้ยงชีพ รัฐบาลก็คงจะให้โดยมีอัตราพอสมควร แต่คิดว่าคงจะไม่ถึง ๑๐,๘๐๐ บาท อย่างเจ้าแก้วนวรัฐได้รับอยู่ ข้าพเจ้าขอให้เจ้าราชบุตรคำนวณดูว่า ถ้าจะให้เบี้ยเลี้ยงชีพแล้วสมควรจะเป็นจำนวนสักเท่าใด เจ้าราชบุตรตอบไม่ตรงนัก แต่เมื่อซักไซ้ไล่เรียงดูก็ว่า ถ้ารัฐบาลจะกรุณาให้สำหรับเลี้ยงชีพแล้วก็ขอให้ได้รับอย่างน้อย ๕,๐๐๐ บาท เพราะที่นี่เป็นจังหวัดใหญ่ และตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ก็มีรายได้มากกว่าทางลำพูนซึ่งเป็นจังหวัดเล็ก ทั้งการรับรองก็ไม่สู้มากอย่างทางนี้ และเจ้าราชบุตรได้กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้ว่าจะได้มามากก็จะไม่คิดเห็นแต่ส่วนตัว แต่จะได้ใช้บำรุงครอบครัวและเครือญาติ บำรุงการทหาร การสาธารณะประโยชน์อื่นๆ ตลอดทั้งช่วยเหลือทางราชการในการรับรองแขกเมือง เป็นต้น เมื่อได้สนทนากันต่อไปพอควรแล้ว เจ้าราชบุตรก็ลากลับ
อนึ่ง ภายหลังจากที่ได้สนทนากันแล้ว เจ้าราชบุตรได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ศกนี้ ถึงข้าพเจ้า ชี้แจงและอ้างเหตุผลเพื่อขอเบี้ยเลี้ยงชีพเป็นเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ดั่งที่ได้สำเนาเสนอมาพร้อมกับหนังสือนี้
ในเรื่องที่เกี่ยวกับตำแหน่งพิเศษที่จะแต่งตั้งขึ้นนั้น ข้าพเจ้าได้พิจารณาถึงตัวบุคคลที่จะรับตำแหน่งนี้แล้ว เห็นว่าถ้ารัฐบาลจะแต่งตั้งก็ควรจะให้ได้แก่เจ้าราชบุตร เพราะเป็นบุตรคนใหญ่ และเป็นบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาหลวงของเจ้าแก้วนวรัฐ ซึ่งทั้งนี้ย่อมจะเป็นการราบรื่นทั้งในทางการปกครองและทางการเมืองดีกว่าที่จะตั้งคนอื่นๆ
ในเรื่องอัตราเบี้ยเลี้ยงชีพนั้น ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า ถ้าจะตั้งให้ก็ควรจะเป็นอัตราประมาณ ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งรวมทั้งเพื่อเจือจานในหมู่เครือญาติด้วย แต่อย่างไรก็ดี สำหรับเจ้าราชบุตร ปรากฏว่าเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ถ้าได้ไปทั้ง ๕,๐๐๐ บาท ก็คงจะมิได้เจือจานไปยังเครือญาติ เช่นเจ้าพงศ์อินทร์และเจ้าอินทนนท์ ซึ่งปรากฏว่าไม่สู้จะลงรอยกันอยู่ด้วย ฉะนั้นจึ่งควรจะแบ่งแยกให้สำหรับเจ้าราชบุตร (ผู้ซึ่งควรจะได้รับตำแหน่งพิเศษ) เดือนละประมาณ ๓,๕๐๐ บาท และอีก ๑,๕๐๐ บาท เป็นส่วนเฉลี่ยให้กับเครือญาติ ดั่งนี้ก็จะเป็นการสมควร ส่วนค่าตอไม้รัฐบาลก็ควรแบ่งให้ต่อไป เพราะเป็นจำนวนเงินประมาณ ๒,๐๐๐ บาทเศษต่อปีเท่านั้น ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็ได้นำไปแบ่งเฉลี่ยในระหว่างเครือญาติ อันจะเป็นการยังผลให้พวกเหล่านั้นสำนึกในความกรุณาของรัฐบาลเป็นอันดี
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร. ๐๒๐๑.๓๒/๓๗ เรื่อง ตั้งเจ้าประเทศราชมณฑลพายัพ (พ.ศ. ๒๔๗๖ ๒๔๘๒).
จากคุณ |
:
V_Mee
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ธ.ค. 55 15:27:11
|
|
|
|
 |