ความคิดเห็นที่ 1 ไม่รู้นะ ถ้าผมเป็นสายส่ง แล้วสักพิมพ์นี้ลดให้ลูกค้า 38% ผมจะไม่จัดส่งให้กับ สำนักพิมพ์นี้อีก เพราะเขาหาช่องทางจัดจำหน่ายเองได้ ไม่ต้องพึ่งเราแล้ว สายส่ง ไม่ใช่ผู้ส่งของ แต่เป็นร้าน ขายส่งหนังสือ ที่ทำหน้าที่ กระจายหนังสือ ไปที่ร้าน ขายปลีก อย่างร้านของคุณ แน่นอนคุณคงไม่พอใจ ที่ สำนักพิมพ์ ขาย หนังสือลด25% ให้ ลูกค้าขาประจำ ที่ซัือ หนังสือร้านคุณเดือนละหลายพัน จากคุณ : ลมธรรม (ลมธรรม) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 10:46:24

ความคิดเห็นที่ 2 คนไปซื้อถึงที่มีจำนวนเท่าไหร่ละครับถ้าเทียบกับสายส่งที่ทำการซื้อขายมานาน ซื้อมาเยอะเหมือนสายส่งหรือเปล่า คิดแบบง่ายๆอะไรที่เราซื้อเยอะๆเราก็ขอส่วนลดได้เยอะ (กำลังซื้อสูงก็สามารถต่อรองได้สูง) อันนี้เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจอยู่แล้วนี่ครับ ว่าแต่แฟชั่นกลุ่มไหนที่ได้ discount เยอะๆ บ้างครับ(ผมไม่เรียกว่ากำไรเฉลี่ยนะ ขอเรียกว่าส่วนลดจากราคาป้ายที่หน้าร้านจะได้) อย่างสินค้าแบรนด์เนมที่ขายตาม department store อย่างเซ็นทรัลก็ได้ส่วนลด 20-25% จากสายส่งเหมือนกัน แต่สายส่งก็อาจจะซื้อมาจากโรงงานของตัวเอง หรือ ซื้อจากโรงงานอื่นในราคา 50% (สูงกว่าสายส่งของธุรกิจหนังสืออีก) นั้นแปลว่า สายส่งจะได้กำไรเพียง 50% - 25%(หน้าร้าน) - ค่าดำเนินการ(ค่าลิขสิทธิ์ ค่าจ้างพนักงาน ค่าขนส่ง ค่าคอมมิชชั่นพนักงานขาย ออกส่วนลดเพิ่มเวลาจัดรายการร่วมกับหน้าร้าน).. อืม กำไรที่น่าจะได้ไม่น่าจะต่างอะไรกับหน้าร้าน นะครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โรงพิมพ์ - ผู้ผลิต โรงงาน สายส่ง - ค้าส่ง ผู้จัดจำหน่าย ผู้แทนจำหน่าย หรือ ดีลเลอร์นะครับ หน้าร้าน - ขายปลีก ยี่ปั๊ว (ใบบางกรณียี่ปั๊วที่ขายมานาน อาจจะมี connection หรือกำลังต่อรองสูงก็รับสินและได้รับส่วนลดเท่ากับสายส่งก็เป็นได้) ในกรณีของคุณ เพราะอำนาจการต่อรองต่ำนะครับ ก็เลยต้องรับสินค้าจากสายส่งตามนโยบายของเขา (แต่หากวันหนึ่งคุณทำร้านหนังสือออนไลน์ของคุณให้ดังเหมือน amazon ได้ อำนาจการต่อรองของคุณก็จะสูงขึ้น คุณก็อาจจะกลายเป็นสายส่งชะเองนะครับ) แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 11:56:21 จากคุณ : LightBlaze เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 11:54:06

ความคิดเห็นที่ 3 ดังนั้นสำนักพิมพ์จึงต้องผูกกับสายส่ง --> ทำให้ร้านค้าย่อยได้กำไรน้อย (สนพ. จะเอาแบบนี้ใช่ไม๊) ปัจจุบันหลายสำนักพิมพ์ออกมาโวยวายว่า ถูกร้านค้ายักษ์สาขา 2 รายผูกขาดตลาด --> แล้วจะออกมาโวยวายทำไมครับ ในเมื่อตัวเองทำให้อุตสาหกรรมหนังสือเป็นแบบนี้ ให้กำไรร้านค้าย่อยเฉลี่่ย 25% เยี่ยงนี้ ทำไมไม่หาวิธีให้ผลต่างเค้าเพิ่มล่ะครับ จะได้มีช่องทางจำหน่ายขนานไปกับรายใหญ่นั้นด้วย ดังนั้นเวลาเห็นสำนักพิมพ์ออกมาบ่นเรื่องการผูกขาดของ 2 รายใหญ๋ ผมจึงมักตั้งคำถามกลับไปที่สำนักเพิมพ์ก่อนทุกทีว่า มองตัวเองหรือยัง จึงขอตั้งข้อสงสัยไว้ครับ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 12:45:33 จากคุณ : metoo55 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 12:45:05

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ บางทีสำนักพิมพ์อาจจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ก็ได้ครับ แต่เราดันอยู่ในระบบทุนนิยม จะให้สำนักพิมพ์เปิดหน้าร้านเอง หรือ จัดทำขนส่งเองไปยังหน้าร้านต่างๆทั่วประเทศเองก็คงทำไม่ได้ และจะให้ทุกหน้าร้านมารับหนังสือเองที่สำนักพิมพ์เองก็คงทำไม่ได้เช่นกัน ต้องอย่าลืมว่าหนังสือมีหลายหัว ออกทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ถ้าไม่มีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการเป็นอย่างดี แค่ค่าขนส่งก็แพงกว่าค่าหนังสือหลายเท่าแล้วละครับ แน่นอนว่าเป็นเพราะทุนที่มีอย่างจำกัดคงทำให้สำนักพิมพ์และร้านค้าย่อยที่มีอยู่จำนวนมากไม่สามารถดำเนินการเรื่องพวกนี้เองได้หรอกครับ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องของฐานลูกค้าที่ร้านค้ายักษ์ใหญ่มีอยู่ในมือนะครับ ต้องบอกแหละครับว่าอำนาจต่อรองเขาถือเหนือสำนักพิมพ์ด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ยอมเขาและเขาไม่จัดส่งหรือจัดจำหน่ายให้อาจทำให้หลายสำนักพิมพ์ถึงขั้นเจ๊งได้เลยเชียว ปล.ผมไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมหนังสือนะครับ แค่ความเห็นหนึ่งเท่านั้น (นั่งเทียนเขียนเอา) แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 13:38:58 จากคุณ : LightBlaze เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 13:25:18

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนจขกท ค่ะว่า ปัจจุบันระบบการขายและตลาดหนังสือเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว และขอเรียนแบบนี้ค่ะว่า การแบ่งเปอร์เซ็นต์หนังสือแต่ละเล่ม สำนักพิมพ์ไม่ได้เป็นคนกำหนดค่ะ แต่เป็นสายส่งกับร้านหนังสือเป็นคนกำหนดค่ะ เพราะฉะนั้นสำนักพิมพ์มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจอยู่แล้วค่ะ ว่ารับได้หรือไม่กับการแบ่งเปอร์เซ็นต์ตามนี้ หากรับได้ก็ส่งหนังสือเข้าตามระบบขั้นตอนของสายส่งและร้านค้าค่ะ หากจะถามถึงการแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการขายหนังสือแต่ละเล่มในปัจจุบัน ส่วนตัวคิดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมค่ะ คือพูดง่ายๆต้นทุนหนังสือ 1 เล่มจะอยู่ราวๆ 40 % ฉะนั้น 60 % ที่เหลือ แบ่งกัน 3 ฝ่ายคือ สำนักพิมพ์ สายส่ง และร้านหนังสือ ราวๆฝ่ายละ 20 % จริงๆแต่ละฝ่ายต่างก็มีความเสี่ยงของตัวเองทั้งนั้นค่ะ สำนักพิมพ์เป็นเจ้าทุนหนังสือเล่มนั้นซึ่งไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ สายส่งก็มีค่าใช้จ่ายเอาหนังสือไปส่งหรืออื่นๆเช่น ไปรับหนังสือคืนช้ากว่ากำหนด กรณีหนังสือขายไม่ได้ก็มีค่าปรับจากร้านหนังสือค่ะ ส่วนร้านค้าก็มีความเสี่ยงต้นทุนของร้าน เช่นค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน เป็นต้น ฉะนั้นในธุรกิจหนังสือ แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่จริงๆแล้วต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันค่ะ และขอเรียนตามนี้ค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสำนักพิมพ์ไหนๆ จะเล็กจะใหญ่ในปัจจุบันต่างก็ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใครค่ะ เพราะอย่างที่บางความเห็นบอกว่าช่องทางการจำหน่ายหนังสือในปัจจุบันมีมากกว่า 2 เจ้าใหญ่ เช่นการขายออนไลน์ เพราะฉะนั้นในความเป็นจริง ร้านหนังสือเจ้าใหญ่ทุกร้านต้องการหนังสือทุกเล่มของทุกของสำนักพิมพ์แน่นอนค่ะ เพราะปัจจุบันตอบไม่ได้เลยว่าหนังสือเล่มนั้นจะขายได้หรือไม่ เพราะหนังสือในเครือของร้านหนังสือเอง บางเล่มขายไม่ได้ก็มีเยอะแยะ ฉะนั้นร้านหนังสือทุกร้านจึงอยากได้หนังสือของทุกสำนักพิมพ์อยู่แล้วค่ะ จากคุณ : the last woman เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 14:54:53

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณคุณ LightBlaze มากครับ ที่ตอบคำถามได้เชิงบวกมาก (ไม่ใช้อารมณ์แบบผม :P ผมไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่หลังจากเริ่มทดลองขายหนังสือ พบว่าขนาดวิ่งไปซื้อที่สำนักพิมพ์เอง เค้ายังขายราคาที่เหลือให้เรา ~25% ทั้งที่เค้าไม่ต้องส่งเองรับเอง..เป็นการซื้อขาด ในขณะเดียวกันสำนักพิมพ์ที่ว่าก็ออกมาโวยวายตอน ซีเอ็ด อัมรินทร์ ขอเพิ่ม +1% กำลังป้ายความผิดให้ 2 ร้านค้าสาขาใหญ่ ว่าผูกขาดธุรกิจตลาดหนังสือ ทำให้ร้านหนังสือขนาดเล็กตาย ผมจึงอยากฝากคำถามในสังคมว่า ร้านหนังสือขนาดเล็กตาย เพราะ 2 ร้านสาขาใหญ่ หรือสำนักพิมพ์บีบให้ร้านค้า ได้กำไรแค่ 25% และหากสำนักพิมพ์เปิดช่องทางให้ร้านค้าย่อยซื้อหนังสือตรงกับสำนักพิมพ์ (ร้านค้าปลีกขนส่งเอง) จะได้ส่วนลดเพิ่มเป็น 50-60% แบบนี้อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะบางรายก็มีความพร้อมในการไปรับหนังสือเอง เพราะอย่าลืมครับว่าปัจจุบัน ระบบขนส่งมันพัฒนาไปมากแล้ว ต่างจากสมัยก่อนที่การขนส่งยังต้องพึ่งคนกลาง เค้าอาจบริหารค่าขนส่งหนังสือได้ต่ำกว่า 38% ได้ครึ่งต่อครึ่ง ยิ่งหากร้านหนังสืออยู่ในกรุงเทพ หรือใกล้สำนักพิมพ์ ผมว่าเป็นโอกาสเค้าเลย จึงอยากฝากประเด็นนี้ไว้ด้วยครับ จากคุณ : metoo55 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 15:02:26

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณมากครับ คุณ the last woman นึกๆ ดูก็คิดว่าน่าจะมีคนสำรวจว่า ปัจจุบันมียอดขายหนังสือผ่านเน็ตมากขนาดไหน สำนักพิมพ์จะได้ให้ความสำคัญร้านขายหนังสือออนไลน์บ้าง ตอนนี้เค้าไม่สนใจกันเลย อ้อมค้อมมาหลายทีแล้ว ยกตัวอย่างเลยนะครับ สนพ.มติชน ผมไปซื้อหนังสือมาขาย เพราะมีคนสั่งเข้ามา ด้วยความบังเอิญผมไปเจอพี่อีกคน เค้ามาสั่งหนังสือเหมือนกัน มติชนเค้าให้ 20% ครับ ทั้งที่เราไปรับเองนะ พี่เค้าก็ยังบ่นว่าถ้าของมติชน ขายหนังสือเค้าระวังหน่อย..เพราะหากมีลดราคาให้ลูกค้า แล้วจะไม่เหลืออะไร นี่เป็นตัวอย่างนึงที่ทำให้เห็นว่า เจ้านี้เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ และชอบตีข่าว 2 ร้านค้ารายใหญ่ แต่ตัวเองไม่ได้ดูแลร้านค้าหรือคนนำหนังสือไปขายต่อเลย หน้าเว็บตัวเองก็ลดไปเป็น 10% ทำใ้ห้ร้านค้าปลีกที่ซื้อไปขายลำบาก แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 55 15:16:12 จากคุณ : metoo55 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 15:15:12

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่อง 38 % กับ 25% นั้น  เท่าที่เคยคุยกับสำนักพิมพ์มา  ก็คือ ในการจัดจำหน่ายหนังสือไปยังร้านค้านั้น  เนื่องจากการจัดส่งนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงดังความเห็นข้างบนว่าไว้  จึงเกิดมีธุรกิจสายส่งที่จัดรวบรวมหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ  แล้วจัดส่งไปยังร้านค้าต่างๆ พร้อมๆ กัน  ทั้งนี้สายส่งจะคิดค่าบริการจากสำนักพิมพ์ราว 40% จากราคาปก  แต่เวลาสายส่งไปส่งให้ร้านค่านั้น  สายส่งจะต้องให้ส่วนลดแก่ร้านค้า 25% ของราคาปก  เมื่อหักส่วนลดให้ร้านค้า (40 - 25) แล้ว  สายส่งคงเหลือรายได้เพียง 15%  ซึ่งรายได้ 15% ของสายส่งนี้คือ ค่าพาหนะขนส่งเพื่อกระจายไปยังร้านค้าย่อยทั่วประเทศ  อาศัยที่ว่าเวลากระจายสินค้านั้นเป็นการกระจายสินค้าจำนวนมากของหลายสำนักพิมพ์  รายได้ในส่วนนี้จึงถีวเฉลี่ยกันทำให้ต้นทุนค่าขนส่งต่อหน่วยถูกลงมมาก  ในขณะเดียวกันสายส่งก็ยังพอมีกำไรเลี้ยงตัวได้ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 15:18:00

ความคิดเห็นที่ 9 1)ในระบบฝากขาย สำนักพิมพ์และสายส่งให้ส่วนลดร้านค้าที่ 25% เขาให้ร้านค้า นะครับไม่ใช่ให้สมาชิกของร้านค้า ดังนั้นถ้าร้านค้าไปให้กับสมาชิก ก็เป็นความฉลาดของร้านค้านั้นเองที่อยากจะขายดีกว่าร้านอื่น ๆ ซึ่งในที่สุดก็ต้องปิดตัวเอง 2)กำไรสุทธิของการขายหนังสือเหลือประมาณ 5% ก็เก่งแล้ว แต่ร้านค้าก็ไปยอมให้รูดบัตรเครดิตโดยต้องเสียอีก 3% กำไรที่ควรได้5% ก็เหลือเพียง 2% เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าธนาคารเขามาถือหุ้นในร้านหนังสือเมื่อใด จึงต้องไปแบ่งให้เขาถึง 3% จะไปเที่ยบกับร้านเสื้อผ้าหรือร้านอาหารไม่ได้ เพราะพวกนั้นเขามีกำไรสุทธิ 20-40% 3)พวกร้านขายหนังสือใหม่ลด 50% คือพวกขโมยมาขายทั้งนั้น แต่ก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร เพราะการดำเนินคดียุ่งยากมากมีแต่รอลงอาญา และโทษก็เบา ๆ จากคุณ : ลูกจ้างร้าน เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 16:14:33 A:124.120.77.250 X: TicketID:378467

ความคิดเห็นที่ 10 พวกขายทางเน็ตก็เหมือนกัน ชอบไปขอซื้อจากสำนักพิมพ์ทีละเล่มสองเล่มแล้วขอส่วนลดแบบร้านค้า สำนักพิมพ์บางแห่งก็เห็นใจให้ที่ 25%แล้วก็ไปขายลดราคาให้กับลูกค้าทางเน็ต บางทีลดให้จนไม่เหลืออะไรเลย แบบจะสร้างฐาน แต่ก็ไปไม่ไหว สำนักพิมพ์รู้ทันก็เลยลดให้เหลือเพียง 10% ทีนี้ก็จะโวยวายว่าไม่ยุติธรรม ความจริงการขายทางเน็ตเหมาะสำหรับขายพวกหนังสือเก่า หรือเจ้าของหนังสือเขาขายเอง พวกหนังสือใหม่ปล่อยให้สำนักพิมพ์หรือร้านหนังสือเขาขายไปเถอะ บอกตรง ๆ การขายหนังสือเก่ากำไรดีกว่าการขายหนังสือใหม่หลายเท่า โดยเฉพาะคนที่เป็นนักอ่าน ที่ซื้อหนังสือเก่าดี ๆมาอ่านแล้วค่อยขาย เคยเห็นเจ้าหนึ่งขายจนมีทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน ทั้ง ๆที่ทำงานกันไม่กี่คน จากคุณ : ลูกจ้างร้าน เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 55 19:43:43 A:180.183.42.125 X: TicketID:378467

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ว่าเค้าจะไปซื้อกี่เล่ม แต่ถ้าไปซื้อมาขายต่อก็ควรมีส่วนลดให้เค้า จะลดมากลดน้อยก็ว่ากันไป จริงๆ ควรลดมากกว่าร้านค้าซะอีก เพราะวิ่งไปซื้อสำนักพิมพ์โดยตรงเลย สำนักพิมพ์ไม่ต้องจ่ายค่าสายส่งได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก จริงอยู่ที่ซื้อคนละเล่มสองเล่ม แต่ซื้อหลายรายก็เป็นร้อยเป็นพันเล่ม ซึ่งช่วยให้กำไรโดยรวมสำนักพิมพ์สูงขึ้น ถ้าสำนักพิมพ์ลดให้เหลือเพียง 10% อย่างที่คุณว่า แล้วก็คิดเหมือนคุณ มิน่าอุตสาหกรรมหนังสือบ้านเรา...ร้านขายหนังสือเล็กๆเจ๊งกันหมด เหลือแต่รายใหญ่ แล้วสำนักพิมพ์ชอบออกมาโวยวาย โดนรายใหญ่ผูกขาด แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 14:40:39 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 09:45:33 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 09:38:40 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 09:37:36 จากคุณ : metoo55 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:34:40

ความคิดเห็นที่ 12 หง่า.....ถ้า "วิถีทางที่จะให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่มากขึ้น" ตามที่ จขกท.อยากให้เป็นนั้น มันทำได้จริง คงไม่ค้องรอให้ถึงปี 2012 ซึ่ง จขกท.คิดหลักการและเหตุผลนี้ขึ้นมาได้หรอก คงมีคนทำไปนานแล้ว สิ่งที่จขกท.เห็นและเป็นอยู่มันคือ "ธรรมเนียมปฏิบัติในธุรกิจขายสิ่งพิมพ์" การเคารพและให้เกียรติผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ ตั้งแต่ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ร้านค้าปลีก "รายได้" จากการขายสิ่งพิมพ์ เกิดจากเงื่อนไขเหล่านั้น ส่วนใครจะ "ได้มาก" "ได้น้อย" ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการในส่วนของตัวเอง สนพ. มีหน้าที่ "ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์" โดยมอบหน้าที่ "การขายสินค้า" ให้กับ สายส่งหรือจัดจำหน่าย (ถ้าเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค คงประมาณ "ตัวแทนจำหน่าย" นั่นแหละ) จัดจำหน่ายหรือสายส่ง มีหน้าที่ "ขายสินค้าราคาส่ง" ให้กับ ร้านค้าปลีก ร้านค้าปลีก มีหน้าที่ ขายสื่อสิ่งพิมพ์ให้คนอ่าน ต่อให้ สนพ.มองเห็นยอดขายอย่างที่ จขกท. บอกว่า คนละสองสามเล่ม หลายร้อยคนก็หลายร้อยเล่ม แต่มันเป็นการ "ทำผิดหน้าที่" และ "ผิดมารยาท" ต่อคู่สัญญาทางการค้า เรื่องบางเรื่องนั้น ถ้าไม่ใช่อะไรที่เป็น "ความคิดสร้างสรรค์" ละก็ ส่่วนใหญ่ล้วนมีคน "คิดมาแล้ว" ทั้งนั้น แต่มิอาจปฏิบัติได้ ลองนึกดูให้ดี ไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะ มันส่งผลให้ิเกิด "ผลประโยชน์ร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้" แต่ที่ จขกท.อยากให้ทำน่ะ มันเป็น "ผลประโยชน์ส่วนบุคคล" (ซึ่งอาจจะหลายคนสักหน่อย) เท่านั้นเอง เฮ้อ ประเทศไทยจะไปทางไหนในเมื่อทุกวันนี้ "คนส่วนใหญ่" ในสังคมกระทำเรื่องราวต่างๆบนฐานความคิด "ฉันถูกต้อง" "ฉันต้องการ" "ฉันไม่แคร์" จากคุณ : หนุ่มพเนจร เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 10:56:15 A:124.121.43.176 X: TicketID:333023

ความคิดเห็นที่ 13 หากใครอยู่ในวงการหนังสือมานานกว่า 30 ปี จะเห็นว่าขณะนี้วงจร ได้กลับไปที่เก่า คือเจ้าของหนังสือขายเอง โดยพร้อมจะลดให้ผู้ซื้อ 20-50% โดยมีจุดขายที่สำคัญคืองานสัปดาห์หนังสือ--ร้านของตนเอง--online ทาง web โดยสมัยก่อนเจ้าของหนังสือมีจุดขายเพียงร้านของตัวเองและพวกพ้อง บุคคลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเคล็ดไทย และ ลุงสุข สูงสว่างแห่งดวงกมล เคล็ดไทย--พยายามบุกเข้าไปฝากขายในร้านหนังสือต่าง ๆ ที่เดิมขายแต่ของตนเองและมีส่วนลดมาตรฐานที่ 20%นานกว่า 15 ปี ลุงสุข--พยายามขอร้องให้เจ้าของหนังสือส่งหนังสือไปฝากขายที่ร้านดวงกมลโดยหวังจะเป็นที่รวมของหนังสือ และพอใจกับส่วนลด 20% สินค้าที่สนับสนุนความสำเร็จของเคล็ดไทยและลุงสุข ก็คือหนังสือรางวัลซีไรท์ เพราะนักอ่านทุกคนต้องการอ่าน โดยสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ปัจจุบันและอนาคตตลาดหนังสือคงจะเหลือเพียง B2S นายอินทร์ เพราะ B2S คือเจ้าของพื้นการขาย ส่วน นายอินทร์คือเจ้าของสินค้ารายใหญ่ ส่วนซีเอ็ดซึ่งในภาพมองว่าเป็นมือหนึ่ง แต่มองลึก ๆแล้วก็เห็นใจ ค่าเช่าที่ก็แพง-แต่ก็พยายามเปิดแบบรักษาพื้นที่ ไม่ได้มองผลประกอบการ -ค่าแรงพนักงานระดับล่างอย่างต่ำวันละ 300 กับการทำงาน 8 ชั่วโมงถ้าทำงาน 12 ชั่วโมงตามเวลาที่ห้างเปิด ก็ตกวันละ เกือบ 500 คุณภาพของพนักงานก็แย่ลงเรื่อย ๆ เพราะงานร้านหนังสือเป็นงานที่น่าเบื่อ ซ้ำยังต้องรับผิดชอบของหายอีก จะขยายไปขายเครื่องเขียน หรืออุปกรณ์ IT ก็ยังไม่ลงตัว จากคุณ : ลูกจ้างร้าน เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 10:58:00 A:110.168.122.82 X: TicketID:378467

ความคิดเห็นที่ 14 ผมมิได้หมายถึงความคิดผมถูกเพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายอื่นผิดหมด เพียงแต่อยากตั้งคำถามขึ้นมาเท่านั้น และผมก็มั่นใจว่า คำถามผมมันเป็น "ความคิดสร้างสรรค์" ที่ปรารถนาดี กับอุตสาหกรรมหนังสือ แต่หากมันมีคำว่า "แต่มิอาจปฏิบัติได้" "ผิดมารยาท" "ทำผิดหน้าที่" ต่อคู่สัญญาทางการค้า.. และไม่สามารถเป็นอื่นไปได้ ก็คงละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่สำหรับบรรทัุดนี้ผมไม่เห็นด้วย....ลองนึกดูให้ดี ไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะ มันส่งผลให้ิเกิด "ผลประโยชน์ร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้" แต่ที่ จขกท.อยากให้ทำน่ะ มันเป็น "ผลประโยชน์ส่วนบุคคล"....เพราะผมเห็นว่า หากสำนักพิมพ์ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย จะส่งผลให้สำนักพิมพ์ขายหนังสือได้หลากหลาย มากยิ่งขึ้น เพราะร้านค้าปลีกสาขารายใหญ่ เขาเอาหนังสือที่พิมพ์ทุกเล่มเข้าร้านไม่ได้หรอก มีเพียงพวกหนังสือขายดีจึงมีโอกาส นอกจากนี้การมีช่องทางแบบนี้ ทำให้สำนักพิมพ์มีส่วนต่างกำไรมากขึ้น เพราะไม่ต้องหักค่าสายส่ง ทำให้มีเงินทุนในการดำเนินงานสูงขึ้น กำไรสูงขึ้น...แบบนี้หรือคือ "ผลประโยชน์ส่วนบุคคล" จึงได้โปรดอย่ามองผมแบบอคติ ได้โปรดมองภาพรวม แต่หากผมเสนอความเห็นด้วยการขาดความรู้จริง หรือมีเหตุผลอย่างอื่น แบบนี้ผมขอน้อมรับ ปล. ร้านดวกกมล ของลุงสุข ที่เคยใหญ่ที่สุดในเอเชีย (สมัยก่อน)ชั้น 3 ซีคอน ผมเคยเข้านะ ชอบมาก หนังสือเยอะมากจริงๆ มีตู้ไวน์ข้างหน้าด้วย ตอนนี้ร้านย้ายไปอยู่ได้ดินแล้ว ผมก็ชอบอีกมีหนังสือที่ร้านหนังสือปกติไม่มี แต่ก็ไม่ได้ไปมาเป็นปีแล้วเหมือนกัน จากคุณ : metoo55 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 14:35:18

ความคิดเห็นที่ 15 จากที่เคยคุยกับสำนักพิมพ์มานั้น  ระบบสายส่งจะมีอยู่ ๒ ระบบ คือ เป็นตัวแทนจัดส่งไปยังร้าค้าและจัดเก็บค่าหนังสือส่งให้สำนักพิมพ์  กรณีนี้สายส่งเรียกเก็บ ๔๐% จากสำนักพิมพ์  เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาหนึ่งสายส่งก็จะจัดส่งเงินที่เก็บจากร้านค้าส่งให้สำนักพิมพ์  และส่งหนังสือที่ร้านค้าส่งคืนสายส่งคืนให้สำนักพิมพ์  ซึ่งในกรณีนี้หนังสือที่ส่งคืนอาจจะช้ำจนต้องนำไปลดราคา อีกแบบหนึ่งคือ สำนักพิมพ์ขายขาดให้สายส่งไปเลย  กรณีนี้ต้องเป็นหนังสือที่สายส่งแน่ใจว่าจะจัดจำหน่ายได้จึงจะรับจัดจำหน่าย  แต่ก็คิดค่าจัดจำหน่ายถึง ๕๐% จากราคาปก  ซึ่งสายส่งจะรับผิดชอบหนังสือนี้ทั้งหมดไม่มีการส่งคืนสำนักพิมพ์ ทีนี้มามองทางสำนักพิมพ์  สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ในเมืองไทยมัทุนค่อนข้างจำกัด  ปีหนึ่งๆ พิมพ์หนังสือไม่กี่เล่ม  จึงไม่สามารถที่จะสร้างระบบจัดจำหน่ายของตนเองได้  ต้องอาศัยสายส่งเป็นสำคัญ  เว้นแต่เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ยักษ์ที่มีโรงพิมพ์เป็นของตนเอง เช่น อมรินทร์ และมติชน  และมีทุนหนาพอก็สามารถออกหนังสือได้ปีละนับร้อยปก  และการที่มีหนังสือออกมากนี้จึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีระบบจัดส่งของตนเอง  และรับจัดส่งให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็ก ในกรณีที่สำนักพิมพ์ขนาดเล็กไม่มีระบบจัดส่งของตนเอง  ก็อยู่ในสภาพจำยอมดังความเห็นข้างบนว่าไว้  การที่สำนักพิมพ์จะให้ส่วนลดแก่รายย่อยมากๆ  อาจจะกระทบต่อระบบจัดส่งของสายส่ง  ซึ่งหากสายส่งไม่พอใจไม่รับจัดจำหน่ายให้  สำนักพิมพ์ก็ตายสถานเดียว  เพราะไม่มีขีดความสามารถในการกระจายหนังสือไปยังร้านค้า  แค่ฐานข้อมูลร้านค้าทั่วประเทศ  ถ้าไม่ใช่สายส่งก็คงไม่มีข้อมูลนี้อยู่ในมิอ ถ้าเจ้าของกระทู้ต้องการส่วนลดที่น่าพอใจ  ก็คงได้แต่แนะนำให้ศึกษาข้อมูลดูว่า สำนักพิมพ์ไหนมีระบบจัดจำหน่ายของตนเอง  มิได้ใช้ระบบจัดจำหน่ายผ่านสายส่ง  ซึ่งพอมีอยู่บ้าง  แล้วลองติดต่อดูคืดว่าน่าจะได้รับส่วนลดที่น่าพอใจ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 18:07:30