|  | 
เผอิญผมไม่เชื่อว่าคนทุกคน สามารถเข้าถึง "ปัญญา" ได้เท่าเทียมกัน
 ดังนั้นแนวคิดที่ว่า "รัฐไม่มีหน้าที่ไปชี้นำสังคม" ของพวก liberal จึงเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้
 
 แค่จะบอกว่าคนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ก็ผิดแล้วครับ คนเราเกิดมาก็ไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะด้วยกฏธรรมชาติ (ร่างกาย สติปัญญา) และกฏสังคม (ฐานะ นามสกุล)
 
 การเลือกตั้งก็ดี การมีองค์กรตรวจสอบก็ดี การลดความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจก็ดี ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการให้หลักประกันว่า ถ้าผู้ปกครองเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ทุจริตคอรัปชั่น การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปโดยไม่ต้องจับอาวุธสู้กันเป็นสงครามกลางเมืองเท่านั้น
 
 แต่ไม่ได้หมายความว่า เสียงประชาชนเป็นประกาศิตเสมอไป
 
 รัฐที่ทำตัวเป็นผู้ชี้นำสังคมต่างหาก ที่ทำให้ประเทศก้าวหน้า
 
 ยุโรป อเมริกา ใช้เวลาหลักร้อยปี กว่าจะเจริญ กว่าจะออกไปล่าเมืองขึ้นได้
 
 แต่เอเชีย ใช้เวลาไม่กี่สิบปีเท่านั้น ก็ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแล้ว
 
 ญี่ปุ่นยุคปฏิวัติรวมชาติจนถึงยุคฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 , เกาหลีใต้ยุคเผด็จการปาร์กจุงฮี , สิงคโปร์ในการนำของลีกวนยู ได้สร้างค่านิยม "ทำงานหนัก มีวินัย ตายเพื่อชาติ" สิ่งเหล่านี้เป็นมรดกตกทอดทางนิสัย มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่ารูปแบบ ค่านิยมทางการเมืองจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่ค่านิยมทางสังคมแทบไม่ค่อยจะเปลี่ยน
 
 บ้านเราที่เห็นชัดๆ คือรัฐนิยม สมัยตาแปลกเป็นท่านผู้นำ ถามว่าถ้าไม่บังคับกัน คนไทยเราจะเลิกกินข้าวด้วยมือ เลิกกินหมาก แต่งตัวสุภาพไม่ถอดเสื้อเดินเท้าเปล่าแบบพวกเร่ร่อนจรจัด หรือถ้าไม่ชี้นำ กล่อมเกลากัน คนไทยจะรู้จักมารยาทแบบสุภาพบุรุษ-สตรีหรือเปล่า
 
 สิ่งเหล่านี้ติดตัว ถ่ายทอดมาถึงรุ่นปัจจุบันใช่หรือไม่ แม้ว่าเราจะเปลี่ยน รธน. เปลี่ยนรัฐบาลไปกี่ครั้งแล้วก็ตาม
 
 หรือดูวันนี้ รถคันแรก กลัวเสียสิทธิ์กัน จองกันใหญ่โดยไม่ดูตัวเองเลยว่ามีปัญญาผ่อนไหม พอเป็นหนี้ ก็โทษรัฐบาลหลอกลวงอีก
 
 นี่คือผลของการที่เรา "ดัดจริต" ไปเชื่อว่ารัฐไม่มีสิทธิ์สอนคน
 
				 
				
					| จากคุณ | : 
เขียนบน Galaxy Mini (TonyMao_NK51)   |  
					| เขียนเมื่อ | : 
29 ธ.ค. 55 12:11:51   |  
					|  |  |  |  |