ความคิดเห็นที่ 10
แต่มนุษย์เราไม่ควรหยุดขวนขวายหาความรู้ (ทั้งในด้านวิชาการและความรู้รอบตัว) เมื่อเดินทางไปร่ำเรียนเองไม่ได้ อีกหนทางคืออ่านหนังสือ
ทำอย่างไรให้หนังสือถูกลง? ปัจจุบัน กลไกตลาดก็มีส่วนช่วยอยู่แล้ว หนังสือที่คนอ่านเยอะ (ตรงกระแส) ก็แพงหน่อย พวกนอกกระแสก็ถูกกว่าบ้าง สำนักพิมพ์ไหนตั้งราคาแพงก็ย่อมจะขายได้น้อยเล่ม อาจต้องปรับกลยุทธ์ราคาหรือปิดกิจการไปโดยปริยาย (ดังนั้น เจอหนังสือแพง อย่าซื้อค่ะ มาช่วยกันล้มกิจการทางอ้อม 555)
แต่แอบหวังเล็ก ๆ ว่ารัฐบาลน่าจะช่วยได้ ด้วยการเปิดห้องสมุดดี ๆ (ฝัน ฝันกลางวันอีกแล้วววว)
** ขอยกข่าวมาจากเว็บคุณเฟย์ค่ะ *** http://www.faylicity.com/book/news/
ข่าวธุรกิจจากบางกอกโพสต์ เรื่อง Bangkok Eyes 'World Book Capital' Title (Jan 27, 2005) รายงานว่าสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ต้องการให้กรุงเทพเป็น "เมืองหลวงหนังสือโลก" ในปี ๒๕๕๑ ... ธนะชัย สันติชัยกูล นายกสมาคมฯ กล่าวว่าทางสมาคมฯ กำลังร่วมงานกับผู้ว่ากทม. เพื่อให้บรรลุตามข้อกำหนดของยูเนสโก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนห้องสมุด
เราอาจได้เห็นห้องสมุดเอื้ออาทรปรากฏขึ้นราวดอกเห็ดในไม่ช้านี้หรือเปล่านี่
ธนะชัยกล่าวว่า "หากกรุงเทพได้เป็นเมืองหลวงหนังสือโลก เราจะได้เป็นทางเลือกของสำนักพิมพ์ในเอเชีย ซึ่งเพิ่มจากประเทศชั้นนำสี่ประเทศทางด้านนี้คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย เราจะได้มีโอกาสเห็นสำนักพิมพ์นอกซื้อลิขสิทธิ์หนังสือไทยมากขึ้น"
สำหรับทางยูเนสโกแล้ว เมื่อตรวจสอบข้อมูลการอ่านของไทยจากสถิติที่ตนเองสำรวจไว้ ก็จะพบว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด หากยูเนสโกนึกว่าพิมพ์ผิด เมื่อตรวจสอบกับสำนักงานสถิติแห่งชาติของไทย ก็จะพบข้อมูลว่าคนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือประมาณ 3 นาทีต่อปี (ข้อมูลในปี ๒๕๔๔)
ลองเปรียบกับประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประชากรของเขาใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 109 ชั่วโมงต่อปี (ข้อมูลปี ๒๕๔๔ จาก Veronis, Suhler & Associates Investment Bankers)
ถึงแม้ข้อมูลสถิติจะเป็นอย่างนี้ แต่เนื้อความข่าวบอกว่าธนะชัยมิได้ระย่อ เขาบอกว่าสถิตินี้ได้พัฒนาดีขึ้นมากในปีที่ผ่านมา และกรุงเทพน่าจะมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นเมืองหลวงหนังสือโลก
ในปีที่แล้ว ประเทศไทยออกหนังสือมาทั้งหมด 11,680 เรื่อง ซึ่งเพิ่มจากปีที่แล้วถึง 14.29% (ข้อมูลจากสมาคมฯ) ซึ่งธนะชัย บอกว่าในอนาคต ตลาดหนังสือไทยจะเติบโตขึ้น และจะมีหนังสือกว่า 1 แสนเรื่องได้รับการตีพิมพ์ในแต่ละปี
ปัจจุบัน อเมริกาและอังกฤษออกหนังสือปีละประมาณกว่า 120,000 เรื่อง ส่วนเยอรมัน ประเทศที่เป็นอันดับสามในตลาดหนังสือโลก พิมพ์หนังสือออกมาประมาณปีละกว่า 80,000 เรื่อง น่าดีใจที่ตลาดหนังสือไทยจะทัดเทียมตลาดหนังสืออเมริกาและอังกฤษได้ในไม่ช้า และน่าภูมิใจว่าเราใฝ่ฝันจะเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดหนังสือโลกได้เหมือนกัน
ดังที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้จริงๆ ว่าจินตนาการนั้นสำคัญกว่าความรู้
*** สรุป รัฐบาลจ๋า ช่วยที ***
ขอยกข่าวมาจากเว็บคุณเฟย์ค่ะ http://www.faylicity.com/book/news/
ข่าวธุรกิจจากบางกอกโพสต์ เรื่อง Bangkok Eyes 'World Book Capital' Title (Jan 27, 2005) รายงานว่าสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ต้องการให้กรุงเทพเป็น "เมืองหลวงหนังสือโลก" ในปี ๒๕๕๑ ... ธนะชัย สันติชัยกูล นายกสมาคมฯ กล่าวว่าทางสมาคมฯ กำลังร่วมงานกับผู้ว่ากทม. เพื่อให้บรรลุตามข้อกำหนดของยูเนสโก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนห้องสมุด
เราอาจได้เห็นห้องสมุดเอื้ออาทรปรากฏขึ้นราวดอกเห็ดในไม่ช้านี้หรือเปล่านี่
ธนะชัยกล่าวว่า "หากกรุงเทพได้เป็นเมืองหลวงหนังสือโลก เราจะได้เป็นทางเลือกของสำนักพิมพ์ในเอเชีย ซึ่งเพิ่มจากประเทศชั้นนำสี่ประเทศทางด้านนี้คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย เราจะได้มีโอกาสเห็นสำนักพิมพ์นอกซื้อลิขสิทธิ์หนังสือไทยมากขึ้น"
สำหรับทางยูเนสโกแล้ว เมื่อตรวจสอบข้อมูลการอ่านของไทยจากสถิติที่ตนเองสำรวจไว้ ก็จะพบว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด หากยูเนสโกนึกว่าพิมพ์ผิด เมื่อตรวจสอบกับสำนักงานสถิติแห่งชาติของไทย ก็จะพบข้อมูลว่าคนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือประมาณ 3 นาทีต่อปี (ข้อมูลในปี ๒๕๔๔)
ลองเปรียบกับประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประชากรของเขาใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 109 ชั่วโมงต่อปี (ข้อมูลปี ๒๕๔๔ จาก Veronis, Suhler & Associates Investment Bankers)
ถึงแม้ข้อมูลสถิติจะเป็นอย่างนี้ แต่เนื้อความข่าวบอกว่าธนะชัยมิได้ระย่อ เขาบอกว่าสถิตินี้ได้พัฒนาดีขึ้นมากในปีที่ผ่านมา และกรุงเทพน่าจะมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นเมืองหลวงหนังสือโลก
ในปีที่แล้ว ประเทศไทยออกหนังสือมาทั้งหมด 11,680 เรื่อง ซึ่งเพิ่มจากปีที่แล้วถึง 14.29% (ข้อมูลจากสมาคมฯ) ซึ่งธนะชัย บอกว่าในอนาคต ตลาดหนังสือไทยจะเติบโตขึ้น และจะมีหนังสือกว่า 1 แสนเรื่องได้รับการตีพิมพ์ในแต่ละปี
ปัจจุบัน อเมริกาและอังกฤษออกหนังสือปีละประมาณกว่า 120,000 เรื่อง ส่วนเยอรมัน ประเทศที่เป็นอันดับสามในตลาดหนังสือโลก พิมพ์หนังสือออกมาประมาณปีละกว่า 80,000 เรื่อง น่าดีใจที่ตลาดหนังสือไทยจะทัดเทียมตลาดหนังสืออเมริกาและอังกฤษได้ในไม่ช้า และน่าภูมิใจว่าเราใฝ่ฝันจะเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดหนังสือโลกได้เหมือนกัน
ดังที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้จริงๆ ว่าจินตนาการนั้นสำคัญกว่าความรู้
จากคุณ :
d.s.
- [
17 ก.พ. 48 04:02:19
A:202.183.167.70 X: TicketID:013789
]
|
|
|