คินดะอิจิตอนฆาตกรรมในตระกูลอินุงามิ (ผู้เขียน โยโคมิโซะ เซชิ , ผู้แปล เสาวนีย์ นวรัตน์จำรูญ , สนพ.Bliss)
..แรกๆผมงงพอสมควรกับชื่อตัวละครทั้ง สุเกะคิโย สุเกะโมโตะ อายิโนะโมะโตะ อะไรนี่ละ จำยากเหลือเกิน พออ่านไปเรื่อยจึงจะเริ่มจำได้ แรกๆเหมือนจะสนุกมากแต่ช่วงกลางถึงจบความสนุกมันเหมือนกราฟที่ต่ำลงแต่ก็สนุกอยู่ เรื่องราวของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในตระกูลอินุงามิ หลังจาการตายของคุณตาซาเอที่เขียนพินัยกรรมไว้ว่าผู้สืบทอดมรดกต้องแต่งงานกับสาวงามที่เป็นหลานของผู้มีพระคุณซึ่งคุณตารับมาเลี้ยงและรักประหนึ่งลูกแท้ๆของตัวเอง ท่ามกลางความเกลียดชังของลูกสาวแท้ๆของคุณตา มีอะไรซุกซ่อนอยู่ในความเกลียดชังนั้น มีความลับอะไรที่ถูกปิดงำไว้ และพินัยกรรมที่เขียนมาแบบนี้เพื่ออะไร คำตอบที่หนังสือให้ไว้อธิบายได้เป็นอย่างดี
....อารมณ์จากการอ่านไม่ต่างจากอ่านคินดะภาคการ์ตูนมากนัก ทั้งแรงจูงใจที่มักมาจากโศกนาฏกรรมในใจใครบางคนหรือความเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากกิเลสและตัณหา รวมทั้งรูปแบบการฆ่าหรือการคลี่คลาย จะต่างก็ตรงคาแรคเตอร์คินดะเท่านั้นในที่นี้กลับกลายเป็นชายอายุประมาณสามสิบห้า รูปร่างเล็กไม่สะดุดตาพูดจาตะกุกตะกัก จึงไม่รู้สึกให้ความแปลกใหม่เท่าตอนที่ได้อ่านแมวสามสี สำหรับผมชอบการ์ตูนมากกว่าหนังสือแต่หนังสือก็มีดีคุ้มค่ากับการเสียเงินซื้อเล่มนี้และเล่ม2ที่กำลังออกมาสำหรับผู้ที่ชอบอ่านนิยายในแนวนี้
หาย(Gone) (ผู้เขียน - ฮาร์ลาน โคเบน , ผู้แปล อริณี เมธเศรษฐ ,แพรวสำนำพิมพ์)
.....1ใน Unputdownable mystery ครั้งก่อน หนังสือเป็นเล่มเดียวกับผู้เขียน Tell No oneที่สนุก เดินเรื่องฉับไวหักมุมไปมาเหมือนดูหนัง แต่ผมไม่ชอบ เพราะมันไม่ได้อรรถรสจากการอ่านที่ผมคุ้นเคยมันเหมือนดูหนังผ่านตัวหนังสือมากกว่า อ่านครั้งเดียวจบแล้วไม่ชวนให้อยากอ่านอีกรอบ และที่แย่คือผมรู้สึกว่าTell No one มันหักมุมมากไปยิ่งตอนจบหักจนคนอ่านหลังหักชนิดไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร
...แต่กับ หาย เรื่องราวของวิลล์ ที่เมื่อ11ปีก่อนแฟนเก่าของเขาถูกฆ่าข่มขืนโดยตำรวจเชื่อว่าฆาตกรเป็นพี่ชายของเขาเอง พี่ชายเขาจึงหายตัวไปพร้อมทิ้งบาดแผลในใจไว้กับครอบครัววิลล์ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นครอบครัวฆาตกร สิบเอ็ดปีต่อมาก็คือปัจจุบันมีคนเห็นพี่ชายเขากลับมาป้วนเปี้ยนพร้อมกับแฟนคนปัจจุบันของเขาที่อยู่ๆพูดจากแปลกๆแล้วก็หายตัวไปในวันถัดมา นำไปสู่เรื่องราวที่พลิกผันหักมุมไปแทบทุกบทชนิดที่อ่านแล้ววางไม่ลงสมดังคำโฆษณา เดาได้ยากการหักมุมในเรื่องหายผมคิดว่าทำได้มีเหตุมีผลกว่าtell no one และยังทำได้อย่างน่าเชื่อถือหากจะคิดตาม เมื่อเดินทางไปถึงตอนจบการหักมุมไม่เพียงจะพลิกความคาดหมายแล้วจบแล้วจบเลยเหมือนกับใน tell no one แต่มันยังมีผลต่ออารมณ์คนอ่านมากกว่า เรียกได้ว่าสำหรับผมหาย คือ การพัฒนาและแก้ไขจุดอ่อนใน tell no one จะมีอย่างเดียวที่ผมยังคงไม่ชอบคือ ผมอ่านนิยายเล่มนี้ไม่เหมือนกับอ่านหนังสือมันเหมือนดูหนังมากกว่าชนิดที่ว่าจบแล้วจบเลยไม่ชวนอ่านซ้ำ
เสียงกระซิบสังหาร (ผู้เขียน มิยาเบะ มิยูกิ , ผู้แปล บัณฑิต ประดิษฐานุวงษ์ สนพ.Bliss)
.ปกที่โดดเด่น กับ เรื่องย่อในปกหลัง กับ รางวัลที่แนะนำมาทำให้หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจในรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างยิ่งเมื่อพลิกอ่านดูเนื้อในก็เด็ดไม่แพ้กัน
...เรื่องของมาโมรุ นักเรียนมัธยมปลายที่ไปเกี่ยวข้องกับคดีเด็กสาวฆ่าตัวตาย แต่การฆ่าตัวตายที่ชัดเจนเห็นๆอยู่นั้นกลับกลายเป็นเรื่องของฆาตกรรม เมื่อ ฆาตกรโทรศัพท์มาขอบคุณตัวเขาสำหรับที่ลุงของเขาขับรถชนเด็กสาวที่วิ่งฆ่าตัวตาย คำถามของหนังสือคือ ฆาตกรทำให้เหยื่อตายโดยการฆ่าตัวตายได้อย่างไร
....หนังสือไม่ได้มีดีตรงการเฉลยคำถามนี้และไม่ใช่จุดเด่นในแนวฆาตกรรมแบบใครฆ่า แต่ความโดดเด่นคือการสอดแทรกพล็อตย่อยๆอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อและมาโมรุ เรื่องของความคล้ายคลึงที่เชื่อมโยงกันของฆาตกรและมาโมรุ และเรื่องของความขัดแย้งมุมมองระหว่างความถูกผิดดีชอบในสังคม(บางตอนนึกว่าอ่านการ์ตูนDeathNoteอยู่) การเฉลยปมไม่ได้ทำให้ตื่นตะลึงแต่การเชื่อมซับพล็อตเหล่านี้และการวางbackgroundตัวมาโมรุพระเอกของเรื่องคือความฉลาดแยบยลของผู้เขียนที่ทำให้ผมอ่านไปด้วยความสนุกและชวนคิด สงสารตัวละครไปตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นอีกเรื่องที่มีแนวทางของตัวเองอย่างเป็นเอกลักษณ์(อีกเล่มหนึ่งที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากนิยายในแนวนี้คือ โกธ:คดีตัดข้อมือ) น่าหามาอ่านครับ
บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน (ผู้เขียน ไต้ซื่อเจี๋ย , ผู้แปล - โตมรสุขปรีชา , สนพ.Bliss)
..นิยายเล่มนี้ผมซื้อด้วยความคิดว่าเป็นนิยายรักโรแมนติกที่เชื่อมโยงเรื่องราวของบัลซัค กับ ความรัก แต่กาลกลับเป็นว่า เป็นเรื่องราวที่เกิดในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีนซึ่งเรื่องราวนั้นสะท้อนภาพสังคมในยุคนั้นเป็นหลักโดยมีความรักในเรื่องเป็นเหมือนองค์ประกอบย่อย ผู้อ่านที่ไม่รู้เรื่องยุคนั้นหรือไม่คุ้นเคยกับนิยายที่แปลมาจากจีนอาจอ่านด้วยความไม่คล่องเท่าที่ควร (ผมเองใช้เวลากับเล่มนี้นานกว่าเล่มอื่นๆ อ่านๆหยุดๆเพราะส่วนตัวแล้วไม่ค่อยอินไปกับเรื่องมากนัก) หนังสือเล่าเรื่องของเพื่อน2คนที่ทำงานอย่างหนักในแถบชนบทของชาวจีน โดยมีความสามารถติดตัวคือการเล่าเรื่องเช่นไปดูหนังมาแล้วเล่าต่อหรืออ่านอะไรมาแล้วมาเล่ต่อ แต่วัฒนธรรมตะวันตกที่ปิดกั้นและกลายเป็นของต้องห้ามการอ่านหนังสือหรือเล่นดนตรีหรือพูดถึงเป็นสิ่งที่ผิด เมื่อทั้งคู่ค้นพบวรรณกรรมที่แอบซ่อนอยู่ทำให้เกิดความต้องการที่จะเสพมันแต่นั่นก็หมายถึงการถูกตราว่าทำผิดเป็นบ่อนทำลายชาติ เหตุการณ์มาสอดคล้องเข้ากับช่วงที่เพื่อนหนึ่งในสองคนนั้นพบรักกับสาวช่างเย็บผ้า เขาพยายามที่จะทำให้เธอมีการศึกษาและทันสมัย และสุดท้ายก็พบว่าบัลซัคก็เปลี่ยนทั้งเขาและเธอไปตลอดกาล
.....แม้ว่าตอนแรกจะไม่สนุก ไม่ชวนติดตาม แต่เมื่ออ่านแล้วเริ่มตามและเข้าใจไปกับเนื้อเรื่องได้ ตอนท้ายๆของเรื่องหนังสือก็ทำให้คนอ่านอย่างผมวางไม่ลงเหมือนกัน ว่าชะตากรรมของทั้ง3คนและบัลซัคจะเป็นอย่างไรก่อนจะปิดฉากตอนจบที่ผมคิดว่าจบได้ดี เป็นนิยายที่ไม่ทำให้ซาบซึ้งไปกับความรักแต่เปิดโลกทัศน์ให้รู้จักโลกในอีกช่วงเวลา อีกสถานที่และความรู้สึกความคิดของตัวละครได้เป็นอย่างดี
Enchante'e, Paris(ผู้เขียน-วรินดา อลอนโซ , สนพ.a book)
.กับคำโปรยปก นิยายรักของสาวไทยในปารีสมหานครแห่งความโรแมนติก กับ การพบรักครั้งแรกในแบบตะวันออก ภาพปกที่สวยงามเหลือเกินชวนให้นึกถึงหนังสือของJimmy Liao เล่าเรื่องของไอ สาวไทย ที่ติดตามสามีชาวฝรั่งเศสไปใช้ชีวิตในปารีสก่อนที่จะพบรักที่ไม่คาดหมายกับชายชาวเกาหลีที่โรงเรียนสอนภาษา ผมเกิดความลำบากใจอยู่บ้างในการเขียนถึงหนังสือเล่มนี้เพราะรู้จักกับผู้เขียนในฐานะเพื่อนร่วมเว็บบอร์ดแต่อย่างไรก็ดีความเป็นหน้าม้าก็ย่อมต้องมีจรรยาบรรณที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมา![haha](/cafe/toy/image/haha.gif)
....ตัวหนังสือเองมีส่วนที่เป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยในเรื่องเดียวกัน จุดเด่นที่ผมชอบของหนังสือเล่มนี้คือการเล่าเรื่องที่ผู้เขียนเล่าได้สนุกและชวนติดตาม การเข้าใจสอดแทรกรายละเอียดปลีกย่อยจากภาพยนตร์หรือนิยายที่เกี่ยวข้องกับละครในเรื่อง(แสดงถึงความสนใจในภาพยนตร์ของผู้เขียนเป็นอย่างดี) อีกทั้งจังหวะที่ทอดไว้ในแต่ละช่วงทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้เดินหน้าไปอย่างไม่รู้เวลาเลยทีเดียว การบรรยายภาพของปารีสไม่ได้บรรยายเชิงพรรณนาแต่เป็นการเล่าเรื่องเหมือนเพื่อนมานั่งเล่าให้ฟังทำให้เห็นภาพตามไปด้วย และด้วยจุดเด่นนี้เองที่ผมรู้สึกว่าหนังสือมันคล้ายกับการบันทึกไดอารี่ เหมือนเพื่อนที่มาเล่าให้ฟังไม่เหมือนนิยายที่ค่อยๆบรรจงสร้างอารมณ์ให้กับคนอ่าน การที่ผู้เขียนแวะไปเล่าในเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ งานเทศกาลศิลปะ ฯลฯ มันก็เป็นทั้งจุดเด่นและจุดอ่อนเพราะทำให้หนังสืออ่านสนุกแต่ขณะเดียวกันมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องส่งเสริมอารมณ์หลักที่หนังสือตั้งใจจะให้เป็นคือ นิยายรักเท่าที่ควร นั่นทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งหรืออินกับส่วนที่เป็นนิยายรักของหนังสือแค่ช่วงท้ายช่วงสั้นๆเท่านั้น กลายเป็นนิยายที่อ่านสนุกในแง่เล่าเรื่องชีวิตของ ไอ ในเมืองปารีส โดยมีส่วนนิยายรักเป็นแค่ส่วนประกอบแซมๆมา ถึงอย่างไรก็ดีเป็นงานที่ควรค่ากับการเสียเงินมาอ่านเพราะความสามารถในการเล่าเรื่องของคนเขียนจะทำให้พลิกหนังสือจบไปโดยไม่รู้ตัว
เนื้อที่โฆษณา
ตามอ่านเรื่องเก่าๆ บทความอื่นๆ แวะมาเยี่ยมเยี่ยน,ทักทาย,พูดคุยทั้งเรื่องหนังและหนังสือหรือเรื่องทั่วๆไปกันบ้างเน้อ ที่
http://aorta.bloggang.com
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 48 02:18:05
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
4 เม.ย. 48 02:13:32
]