ความคิดเห็นที่ 2
QUESTION NOW!!! (บทบรรณาธิการ)
หลังจากการเผยแพร่ภาพและข่าวการรับน้องใหม่ที่เผยให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านตามหน้าสื่อมวลชน กิจกรรมนี้ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมในวงกว้างอย่างรุนแรง ทั้งในตัวรูปแบบของกิจกรรม , กระบวนการ , วิธีการที่คนที่เรียกตัวเองว่ารุ่นพี่นำมาปฏิบัติกับรุ่นน้อง โดยเนื้อหาหลักๆ คงหนีไม่พ้นเรื่อง SOTUS,ว้ากและซ้อมเชียร์ รวมไปถึงการบังคับขู่เข็ญทางด้านจิตใจและร่างกายให้ ผู้มาใหม่กระทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
การเรียกร้องแกมบังคับให้ SOTUS , ว้าก , ซ้อมเชียร์ รวมไปถึงกิจกรรมไม่สร้างสรรค์หายไปจากรั้วมหาวิทยาลัย จากหนังสือเวียนของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาแห่งชาติ (สกอ.) และกระแสสังคมส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ระบบนี้ถูกยกเลิก ดูเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม เพราะวัฒนธรรมแบบนี้สมควรถูกยกเลิกไปนานแล้ว แต่วิธีการที่ สกอ. ใช้กลับไม่น่าดูชมนัก เพราะ สกอ.กลับใช้ระบบ SOTUS จัดการกับเรื่องนี้เสียเอง ทั้งๆที่พยายามจะให้ระบบนี้หายไป (คือใช้วิธีการเวียนหนังสือขอความร่วมมือ หากพิจารณาให้ดีก็มีนัยยะของการ ขู่ และ สั่ง อยู่ด้วย)
สิ่งที่บังตาบังใจคนในสังคม ปิดกั้นให้รับรู้เพียงแต่ว่าวัฒนธรรมแบบนี้มีแต่เฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ดูจะเป็นการปกปิด ซากศพ ไว้ใต้พรม และดูเหมือนจะเป็นการแยกมหาวิทยาลัยให้ขาดจากสังคมมากเกินไป
การกล่าวโทษโยนความผิดทั้งหมดให้กับรุ่นพี่ที่ใช้วัฒนธรรมเช่นนั้นในการรับน้องดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมนัก เพราะรุ่นพี่เหล่านั้นคงไม่มีจริตสันดานเช่นนั้นตั้งแต่ลืมตาดูโลก สิ่งที่น่าพิจารณามากกว่าปรากฎการณ์เฉพาะหน้าที่เห็นในสื่อคือ ทำไมบรรดารุ่นพี่ทั้งหลายถึงต้องใช้วัฒนธรรมแบบนี้ในการจัดการความสัมพันธ์ของตัวเองกับรุ่นน้อง , สังคมเช่นไหนที่หล่อหลอมให้เขาต้องเลือกวิธีการในเชิงบังคับ ข่มขู่ ขู่เข็ญ โดยที่วิธีการแบบนี้ก็พาลไม่พ้นที่จะพบกับ ความรุนแรง เป็นบทสรุป
คำอธิบายที่มีอยู่ดาษดื่นและใช้เป็นข้ออ้างที่จะให้วัฒนธรรมนี้ดำรงอยู่ต่อไป มีประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งที่บอกว่าการรับน้องในรูปแบบนี้เหมือนเป็นบททดสอบที่รุ่นพี่มีแก่รุ่นน้อง เป็นดั่งการ ซ้อมใหญ่ ให้รุ่นน้องชาชิน เพราะเมื่อรุ่นน้องจบออกไปจะได้ทานทนกับวัฒนธรรมแบบนี้ เพื่อให้เขามีชีวิตรอดอยู่ในสังคมได้
จากคำอธิบายดังกล่าวเป็นดั่งหลักฐานยืนยันว่าสังคมในระดับใหญ่ที่อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัย มันเต็มไปด้วยวัฒนธรรม SOTUS , ว้าก , ซ้อมเชียร์ แทรกซึมอยู่ทุกภาคส่วน รุ่นน้องจึงต้องทำแบบฝึกหัดฝึกตัวเองให้ทนกับระบบนี้ตอนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเสียก่อน หากเราบอกว่ามหาวิทยาลัยเป็นดั่งโรงงานผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมในด้านต่างๆ ดังนั้นหน้าที่อีกประการของมันคือการผลิตบัณฑิตให้สอดรับกับวัฒนธรรมนอกรั้วมหาวิทยาลัย ในแง่นี้สถาบันการศึกษาคือแหล่งเพาะ ความเชื่อง ได้ดีที่สุดให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจ
สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม SOTUS , ว้าก , ซ้อมเชียร์ ตัวอย่างรูปธรรมที่เห็นไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลๆ เริ่มจากในระดับครอบครัวที่พ่อแม่ใช้ระบบเผด็จการปกครองลูก ลูกต้องทนใช้ชีวิตตามที่พ่อแม่ออกแบบไว้ให้ , ระบบราชการที่เน้นการเคารพคนที่มีตัวเลขการใช้ชีวิตมากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในสมอง ผู้น้อยห้ามค้านผู้ใหญ่ ขยายภาพใหญ่ไปถึงระบบการเมืองที่ยึดถือคนพรรคเดียวกันมากกว่าความยุติธรรม หรือหากมีใครเสนอความเห็นที่แตกต่างไปจากผู้มีอำนาจในสังคม เป็นอันต้องโดน ว้าก จาก ว้ากเกอร์ ผู้มีอำนาจใหญ่ที่สุด
ระบบการ ว้าก คนที่มีความเชื่อต่างไปจากผู้ปกครอง อย่างน้อยคือการออกมาดุด่า ตอบโต้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ราวกับว่าจะขับไล่คนเหล่านั้นไม่ให้อยู่ร่วมในสังคม อย่างมากคือการลอบทำร้าย , ฆ่า ,อุ้มฆ่า ฯลฯ คนที่คิดต่างให้หายไปจากสังคมโดยถาวร โทษฐานที่ทำตัวขัดกับความคิดความเชื่อของว้ากเกอร์ใหญ่
การยกเลิกระบบ SOTUS , ว้าก , ซ้อมเชียร์ เฉพาะแค่ในสังคมมหาวิทยาลัยเป็นการหลงประเด็นอย่างชัดเจน เพราะท้ายที่สุดแล้วหากยกเลิกระบบนี้ในมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ แต่สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยยังคงบูชาหมอบคลานกราบไหว้ก้มหัวให้กับผู้มีอำนาจ ยังต้องยืนเคารพธงชาติวันละ 2 ครั้ง หรือยังต้องทำตามประเพณีอันงี่เง่าและละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันจะมีประโยชน์อะไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่คนในสังคมมองไม่เห็นว่าระบบนี้มีมากกว่านอกรั้วมหาวิทยาลัย เพราะเขาเองก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ในบางวัน......
ด้วยความสงสัยอันแรงกล้า
QUESTIONMARK MAGAZINE
จากคุณ :
โชติศักดิ์
- [
11 ก.ค. 48 19:58:05
A:61.90.15.247 X:
]
|
|
|