ความคิดเห็นที่ 1 มันต้องสะสมเรื่อยๆครับ ไม่ใช่ว่าอ่านจบเล่มเดียวแล้วจะรู้ไปหมดก็คงไม่ใช่ .. ค่อยๆเริ่มครับ .. สม่ำเสมอ .. และต่อเนื่อง .. แต่ถ้าจะให้แนะนำหนังสือก็ นี่เลยครับ "ต่วยตูนพิเศษ" เล่มละ 60 บาท ... มีทุกเรื่องครับ รอบด้านเลย .. ลองดูนะครับ จากคุณ : oscilated - [ 16 เม.ย. 49 14:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเป็นความรู้ทั่วไป แนะนำ Reader Digest ฉบับภาษาอังกฤษ หรือไทย (สรรสาระ) ก็ได้ ได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน กับได้ข้อคิดด้วย แต่ถ้าอยากได้ความรู้ที่เฉพาะเขามาอีกนิด หนังสือแนวจิตวิทยา ประเภท EQ, Men from Mars Women from Venus หรือประเภท How to เช่น The Seven Habits for Highly Effective People หรือ The 8th Habits ..... และอื่นๆ มีดีอีกหลายเล่มครับ และสุดท้าย ถ้าอยากได้แบบเฉพาะเจาะจง อันนี้ คุณต้องตอบตัวเองว่า อยากรู้เรื่องอะไรก่อน เช่น เรื่องหุ้น หรือ เรื่องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือ ธุรกิจ SME หรือ พวก IT แล้วไปเจาะเป็นเรื่องๆ ไป ลองดู ความเห็นล่างๆ ที่จะเข้ามาแนะนำเพิ่มนะครับ หรือไม่ก็ เวลาไปเดินช้อปปิ้ง ก็หาเวลาเข้าร้านหนังสือ เช่น นายอินทร์ หรือ SE-ED ไปพลิกดูเล่มที่น่าสนใจ ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ดูจากอันดับขายดี แต่เลือกเอาประเภท ที่มีสาระมากหน่อย ก็พอจะได้ครับ ท้ายที่สุด ถ้าไม่มีเวลา ก็หา Search ความรู้จาก Internet นี่แหละครับ มีข้อมูลดีดี มากมายครับ โชคดีครับ จากคุณ : sirivajj - [ 16 เม.ย. 49 14:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านหนังสือพิมพ์ก่อนดีกว่าครับ จากคุณ : firstini chemistani - [ 16 เม.ย. 49 14:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หนังสือ ชุด ผู้ชนะ 10 คิด ของ ดร.เกรียงศักด์ ก็ดีนะครับไปหาอ่านดู จากคุณ : the author (the author) - [ 16 เม.ย. 49 15:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Google บอกคุณได้ในเรื่องต่างๆทั่วประเทศไทยถ้าคุณอ่านได้แต่ภาษาไทย และจะบอกเรื่องต่างๆให้คุณได้ทั่วโลกถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษได้ นั่งอ่านอยู่ในที่ที่คุณกำลังอยู่นั่้นแหละไม่ต้องไปหาหนังสือจากใหน จากคุณ : Cyber Sage - [ 16 เม.ย. 49 16:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความเห็นทั้งหมดข้างบนแนะนำได้มีประโยชน์มาก โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า..... การอ่านหนังสือช่วยเปิดโลกทัศน์และเพิ่มความรู้รอบตัวก็จริง แต่ถ้าเจ้าของกระทู้อยากมีประสบการณ์ล่ะก็ จะพึ่งการอ่านเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะประสบการณ์หลายๆอย่างต่อให้อ่านหนังสือมานับสิบเล่มก็สู้ไปเจอด้วยตัวเองจริงๆไม่ได้ เข้าทำนองสิบปาก(อ่านจากหนังสือ)ว่าไม่เท่าตาเห็น(ไปเจอด้วยตัวเองจริงๆ) จากคุณ : HappyChocO - [ 16 เม.ย. 49 16:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทำงานให้เยอะๆ หัดคุยกับคนอื่นมากๆ  รับฟังความรู้จากคนอื่นเยอะๆ และช่างสังเกต  เก็บเกี่ยวประบการณ์ในแต่ละวันให้มากที่สุด จากคุณ : สิงห์เหนือ...เสือสำอาง - [ 16 เม.ย. 49 18:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะเปิดโลกทัศน์ หรือ ได้ทัศนคติดีๆ แนะนำหนังสือของ คุณ ประภาส ชลศรานนท์ หรือไม่ก็คุณวินทร์ เลียววาริณค่ะ มีหลายแนวให้เลือกอ่าน แล้วแต่ชอบค่ะ จากคุณ : รอยทาง* (wonna_go) - [ 16 เม.ย. 49 19:22:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คงไม่มีหรอกครับ เรื่องแบบนี้เป็นพรสวรรค์ ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากกว่า ทางแก้นะครับ ชาตินี้หมั่นทำบุญเยอะๆ ถวายน้ำมันตะเกียง หลอดไฟ ชาติหน้าจะได้ฉลาดๆ หรือวิธีนี้ก็ได้ครับ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ยืมมาจากกิ่งฉัตร เลยเอามาเติม ลองหาปลามากินดูสิครับ ถ้าให้ดีต้องเอาปลาทะเลมากิน ไอโอดีนเยอะดี มีดีเอชเอด้วย ช่วยให้ฉลาด และถ้าให้เยี่ยมยุทธจริงๆ ต้องกินปลาเค็มครับ เพราะเก็บไว้กินได้นานๆ จะได้ฉลาดนานๆ ทดลองทำแล้วถ้าผลออกมาดีก็อย่าลืมมาตั้งกระทู้บอกผมด้วยนะครับ แต่ถ้าผลเป็นหมันไม่ต้องมาบอกนะ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 49 20:17:05 แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 49 20:16:01 จากคุณ : แจ้น - [ 16 เม.ย. 49 19:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอ้า มีเวลาพิมพ์เลยมาพิมพ์ให้ยาวๆ จำเอาไว้ว่า สมองเป็นเนื้อเยื่อหนึ่งของร่างกาย ก็คล้ายๆกับ กล้ามเนื้อ ถ้าอยากให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ก็ต้องฝึกบ่อยๆ อย่างเวลาเราเล่นกล้าม วันแรกที่เล่นจำได้ว่า เรายกคานเหล็กเปล่าๆ เรายังยกไม่ค่อยขึ้น แต่เรายกไปเรื่อยๆ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักไปทีละนิดๆ ทุกวันนี้ ใส่น้ำหนักเพิ่มทีข้างละสิบโล ยี่สิบโล ก็ยกได้สบายๆ เนื้อเยื่อสมองก็เช่นเดียวกันครับ อยากให้มีประสิทธิภาพ ต้องหมั่นฝึก หมั่นใช้ ผมไม่แนะนำให้อ่านหนังสืออย่างเดียวนะ หนังสืออาจช่วยให้เปิดโลกทรรศได้ แต่จงจำไว้ว่า การอ่านหนังสือ คือการอ่านประสบการณ์ของคนอื่น (ผู้เขียนหนังสือ) อย่างย่นย่อเท่านั้น นอ กจากไม่ใช่ประสบการณ์จริงแล้ว ยังไม่ใช่การสร้างปฏิภาณไหวพริบเลย ....ปฏิภาณไหวพริบ คือประสิทธิภาพด้านหนึ่งของสมองในหลายๆด้าน อยากให้ได้ดีต้องฝึกครับผม แล้วก็ไม่ใช่ของที่ใครๆจะมาสอนได้ด้วย ปฏิภาณไหวพริบ คือการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอย่างฉับไวและตอบสนองแล้วเกิดผลดีกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การพูดจาโต้ตอบ ซึ่งจะบอกว่า เราตอบสนองสิ่งรอบข้างได้ดีเพียงใดนั้น ไม่มีศาสตร์ใดมาบอกว่ามาแบบนั้น ต้องทำแบบนี้....แต่มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อยู่กับบุคคล อยู่กับเวลา อยู่กับสถานที่ หรือปัจจัยอื่นๆอีกจิปาถะ......ว่าในปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ การตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวเราในรูปแบบต่างๆนั้น มันต่างกันไป..... หรือพูดให้สั้นๆ ไอ้เจ้าไหวพริบเนี่ย มันเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนครับ คนหัวดีมาแต่เกิด ย่อมไม่ลำบากอะไรกับการมีไหวพริบดี หรือว่ามีพ่อแม่ หรือคนรอบตัวที่ไหวพริบดีอยู่รอบตัวมาแต่เด็กนั้น ย่อมได้เปรียบที่จะซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่หัวไม่ดี หรือว่าโลกในวัยเยาว์ไม่ได้บ่มเพาะมาให้เป็นเช่นนั้น แล้วมารู้ตัวเอาตอนแก่ว่าเราไหวพริบไม่ดี ย่อมรู้สึกเสียเปรียบเป็นธรรมชาติ วิธีแก้ในเบื้องต้นคือ.....อย่างแรก ไม่จำเป็นอย่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง คนที่มีไหวพริบดี การเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เช่น เอาตัวเองไปทำงานยากๆ โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหา หรือว่า การชิงไหวชิงพริบกันในเชิงธุรกิจ หรือในการวิวาทะ ย่อมเอาตัวรตอดไม่ยาก แต่ไหวพริบไม่ดีแล้วไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ย่อมต้องเจ็บตัวกลับมา ยกเว้น ถ้าอยากฝึกตัวเอง ด้วยการไปเจอของแสลงตัวเองเข้า แบบนั้นก็อีกเรื่อง แต่เจ็บตัวกลับมาต้องเอามาพิจารณา ว่าเราตัดสินใจผิดตรงไหน โต้ตอบช้าหรือเร็วไปหรือเปล่า คราวหน้าทำยังไงนะ แล้วอย่าบ่นด้วย เพราะตัวเองเลือกที่จะกระโจนไปเอง อย่างที่สอง ให้คอยเรียนรู้อย่างเงียบๆจากคนที่มีไหวพริบดี ว่าสถานการณ์แบบนี้เค้าตัดสินใจอย่างไร แล้วทำแล้วได้ผลดีแค่ไหน แต่อย่าดูเฉยๆ ให้คิดด้วยว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เค้าตัดสินใจแบบนั้น พูดถึงเรื่องนี้นะ คนในประวัติศาสตร์ที่เราชื่นชมว่ามีไหวพริบ และการตัดสินใจเป็นเลิศมากที่สุด คือ อเล็กซานเดอร์มหาราช อเล็กซานเดอร์ใช้ไหวพริบของตนเอง พาตัวเองพ้นจากหายนะแล้วกลับมาเป็นผู้ชนะหลายครั้งหลายหน ซึ่งสถานการณ์ในแต่ละครั้งนั้น ขอบอกว่าล้วนเป็นเรื่องที่ฉุกละหุกและเกี่ยวพันกับความเป็นความตายทั้งสิ้น แต่ไหวพริบที่เป็นเลิศของอเล็กซานเดอร์ ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้ผลดีที่สุดทั้งนั้น นี่เบื้องต้นนะ......คราวนี้มาดูการฝึกฝนตนเอง อย่างที่ผมบอกไว้สั้นๆใน คคห.ที่ 7 อ่ะ จากคุณ : lb'sN (สิงห์เหนือ...เสือสำอาง) - [ 16 เม.ย. 49 20:52:23 ]

ความคิดเห็นที่ 11 การพูดคุยกับผู้ใหญ่ให้ดูฉลาดต้องมีสองอย่างคือ ข้อมูลเพียบพร้อม และมีความคิดสร้างสรรค์ ถามมาต้องตอบให้ได้แล้วต้องตอบอย่างไม่ธรรมดา เช่น ผู้ใหญ่ถามว่าในการบุกตลาดประเทศ X ต้องใช้กลยุทธ์อะไร อย่างไร ถึงแม้เราจะเคยเรียนมาแล้วว่ากลยุทธ์ทางการตลาดมี 1, 2, 3 ฯ แต่ต้องพยายามตอบวิธีที่คิดว่าถูกต้องที่สุดโดยประมวลจากความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯ รวมถึงคู่แข่งในประเทศนั้นๆ เรียกว่า 'รู้เขา' ส่วนรู้เราก็คือ สินค้าของเรามีอะไร ศักยภาพพอหรือไม่ ถ้าไม่พอต้องปรับตรงไหนถึงจะส่งไปขายได้ จากนั้นเลือกกลยุทธ์ ถ้าผู้ใหญ่ถามอีกว่าทำไมเลือกกลยุทธ์นี้ ก็อาจจะยกเอากรณีศึกษามาตอบ แล้วเสริมให้เข้ากับองค์กรและสถานการณ์ในขณะนั้น สำหรับการจะเพิ่มเติมข้อมูลพื้นฐานและกรณีศึกษาได้อย่างไร ก็ทำได้โดยการติดตามหนังสือพิมพ์ทั้งรายวัน สัปดาห์ และรายเดือน แต่ละสื่อก็จะมีข้อดีต่างๆกันไป ค้นหาจาก internet ก็ได้ถ้าภาษาอังกฤษดี (ถือโอกาสฝึกไปด้วย) นอกจากนี้สามารถดูรายการทีวีพวกวิเคราะห์เศรษฐกิจ หรือ สังคมต่างประเทศ และถ้ามีโอกาสจริงๆ ให้ฟังผู้ใหญ่เค้าคุยกัน (ถ้าอนุญาตนะ) แล้วก็ลองคุยกับผู้อาวุโสดู ฟังประสบการณ์ ไม่น่าเชื่อว่าบางอย่างเรื่องราวที่มีประโยชน์จะได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ที่สำคัญถ้าสนใจด้านไหนก็มุ่งไปด้านนั้นอย่างจริงจังนะครับ เป็นกำลังใจให้ จากคุณ : nungning - [ 16 เม.ย. 49 20:55:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1. ทำไมถึงต้องทำงานให้เยอะๆ โถ่คุณ...ในโลกนี้ไม่มีอะไรสร้างคนให้เป็นคนเท่ากับการทำงานแล้วครับ   เพราะการงานมันมีความกดดัน  มันมีความทะยานอยาก  และมันมีมิติที่หลากหลายที่ให้เราเรียนรู้ ได้มากกว่าการอ่าน หรือว่าเรียนในชั้นเรียนตั้งสิบเท่า ร้อยเท่า พูดง่ายๆ โลกของการงานคือห้องเรียนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง   ซึ่ง คุณจะเก็บเกี่ยวความรู้จากการงานได้เท่าไหร่  ขึ้นอยู่กับคุณนะครับ  ว่า   คุณตั้งใจที่จะทำพงานแค่ไหน  ถ้าทำแบบเช้าชามเย็นชาม  ทำไปสิบปีก็ไม่ฝึกตัวเองได้หรอก หากว่าตั้งใจทำงานให้ได้ผลเลิศ ใส่ความกระตือลือร้นเข้าไปเสมอ  และหมายมั่นที่จะพัฒนางานของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง.............คุณจะเจอแต่ปัญหาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เต็มไปหมดและไม่จบสิ้น   ปัญหาเหล่านี้แหละที่จะเป็นครูของคุณ    เพราะจะทำให้สมองคุณรีดเค้นพลังงานมาแก้  คุณจะนั่งคิด   และคุณจะได้รับประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา        แล้วมันจะทำให้คุณเป็นคน "เก่ง"  ไปโดยไม่รู้ตัว พวกเจ้าสัวรวยๆ ที่จบป. 4  เค้าเป็นคนมีคุณภาพ เป็นคนเก่งได้ด้วยการงานนี่แหละครับ แต่ต้องตั้งใจทำ  มุ่งมั่น และคิดพิจารณาอยู่เสมอนะฮับ จากคุณ : สิงห์เหนือ...เสือสำอาง - [ 16 เม.ย. 49 21:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 2. ทำไมต้องหัดคุยกับคนอื่นมากๆ  รับฟังความรู้จากคนอื่นเยอะๆ มันเป็นการซึมซับความรู้จากคนอื่นได้โดยตรงเลยน่ะ....ยิ่งกว่าอ่านหนังสือซะอีก  แถมยังหลากหลายอีกด้วย แต่ย้ำนะครับ  ว่า  คุยกับคนทุกคนจริงๆ อย่าแยกแยะ ไม่ใช่เห็นว่าคนนี้ไม่ใช่ด๊อกเตอร์  คนนี้ไม่ใช่ผู้บริหาร ฉันไม่คุย ไม่ยุ่งด้วย เสียเวลา คนทุกๆคนรอบตัว   เขารู้เรื่องอะไรที่เราไม่รู้ทั้งนั้นแหละครับ  แม้แต่กรรมกรแบกหาม  พวกนี้ก็มีอะไรสอนเราเยอะเหมือนกัน  ไอ้ไปมองแต่คนที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างอย่างเดียว  พาลจะทำให้คุณโลกทัศน์คับแคบไปเสียอีก แล้วต้องมีวิธีดึงความรู้จากคนอื่นด้วย  ด้วยคำถามเปิดนำ  และตัวคุณต้องเป็นคนคุมเกมส์การสนทนาเองทั้งหมด  ให้เขาพูดในเรื่องที่เขามีความรู้ที่สุด  หรือบอกข้อมูลที่เราอยากรู้มา      ทำได้นะ  นอกจากจะได้ความรู้ฟรีๆจากเขาแล้ว   เขายังจะคิดอีกว่า  โหยย  คุณเป็นผู้สนทนาที่น่ารักที่สุดเลย   ทั้งๆที่คุณแค่พูด  "อ๋อ" "เหรอ" "ครับ"  แค่เนี๊ยะ... ฮืมมมมมมม   แต่ว่านะ  การได้คุยกับผู้ใหญ่ หรือผู้ทรงความรู้  ก็นับเป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่ง      เราจะได้ซึมซับวิธีความคิด แนวคิด และสิ่งต่างๆเหล่านั้นมาได้โดยอัตโนมัติ   อ้อ  คุยกับผู้ใหญ่  นอกจากจะต้องคุยให้ฉลาดแล้ว   ยังต้องนอบน้อมถ่อมตน  ที่สำคัญ ต้องจริงใจและตรงไปตรงมาด้วยนะ  ผู้ใหญ่เขาอ่านเราขาดอ่ะ   อย่าไปอวดฉลาด  และคิดซิกแซกลับลมคมในกับท่านเหล่านั้นนะครับ....ไม่งั้น   เขาไม่เห็นหัวคุณหรอก จากคุณ : สิงห์เหนือ...เสือสำอาง - [ 16 เม.ย. 49 21:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โนเวย์ สเตชั่นครับ คห.ข้างบนน่ะ ปฏิบัติไม่ได้ในชีวิตจริงหรอก ประสบการณ์ ฯลฯ เป็นของเฉพาะตัวนะ จะมาลอกเลียนแบบ จำเอาไปใช้น่ะ ไม่ได้หรอก ถ้าทำอะไรให้ดีที่สุด คือ ทำใจครับ แล้วทำตามคำแนะนำของผมที่แนะไว้ใน คห.ที่9 คงพอช่วยได้บ้าง จำเอาไว้เถอะครับ ของแบบนี้เป็นของเฉพาะตัว ถ่ายทอด ถ่ายโอน สอนไม่ได้ อย่างที่คุณสิงห์เหนือ...เสือสำอาง ได้กล่าวเอาไว้แล้ว ถ้าสอนได้จริง ฝึกได้จริง ป่านนี้มิมีคนเก่ง ฉลาด มีไหวพริบ เต็มบ้านเต็มเมืองแล้วเหรอครับ ของแบบนี้มันบุญทำกรรมแต่งมากกว่าครับ เชื่อผมเถอะครับ ปล.แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 49 21:20:15 จากคุณ : แจ้น - [ 16 เม.ย. 49 21:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ฮืออออ  ขี้เกียจพิมพ์แล้วอ่ะ   อันสุดท้ายสั้นๆแล้วกัน ทำไมต้องช่างสังเกต  เก็บเกี่ยวประบการณ์ในแต่ละวันให้มากที่สุด สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา  มันเป็นข้อมูลชั้นเลิศที่จะมาช่วยเราตัดสินใจอ่ะ    ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ดูของรอบๆตัวเอาไว้นะ   ถ้านั่งดูดีๆ  คุณจะเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ไม่มีชีวิต และมีชีวิต   อย่างน่ามหัสจรรย์เลยล่ะ บางที สถานการณืที่เกิดขึ้น   ทั้งเกิดขึ้นแบบที่เอะอะอึกทึก  หรือเกิดขึ้นแบบช้าๆหรือเงียบๆ เนี่ย    ถ้ามองมันดีๆ  มันมีอะไรเป็นประโยชน์ต่อเราเยอะเลยล่ะ เอาง่ายๆ   สมมติเจอร้านสองร้าน  ร้านหนึ่งขายดี อีกร้านหนึ่งขายไม่ดี    ลองสังเกตอะไรระหว่างสองร้านนี้ดู  แล้วมานั่งคิดว่า   มันต่างกันตรงไหน   อะไรทำให้ขายดี และ ขายไม่ดี    (อย่าหาคำตอบให้ตัวเองแบบกำปั้นทุบดินล่ะ   บางทีมันมีอะไรที่อยู่ลึกมากกว่านั้น) อื้ม    นี่แหละ  อยากไหวพริบดีลองทำที่เราแนะนำไปเรื่อยๆสิ   ทำทุกๆวัน  ทำจนเป็นนิสัย    ไอ้เรื่องปฏิภาณไหวพริบเนี่ย   มันไม่ได้สร้างกัน บ่มกันแค่วันสองวันหรอก     มันเรียนกันทั้งชีวิต จำไว้  เรื่องนี้มันเป็นทักษะ  ไม่ใช่พรสวรรค์   ของแบบนี้มันฝึกกันด๊ายยยยยยยยยยยยย จากคุณ : สิงห์เหนือ...เสือสำอาง - [ 16 เม.ย. 49 21:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณแจ้นครับ ก็มัวไปโทษกรรมเก่าน่ะสิ   แล้วไม่ดิ้นรนขวนขวายน่ะสิ    มันถึงได้ไม่พัฒนา อยากไปข้างหน้าก็ฝึกตัวเอง   อยากอยู่กับที่ก็รอชาติหน้านะครับ ปล.  ผมมันคนไร้ศาสนา ไม่เชื่อบุญกรรมแฮะ จากคุณ : สิงห์เหนือ...เสือสำอาง - [ 16 เม.ย. 49 21:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แหม ต่อให้ไร้ศาสนา หรือมองว่าศาสนาเป็นยาเสพติด อะไรก็ตามทีเถอะครับ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า ของเหล่านี้ มันฝึกฝน อะไรไม่ได้หรอกครับ ลองคิดดูสิ ในโลกนี้ทุกคนอยากเป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น(ผมเองด้วย) แต่จะมีสักกี่คนที่ได้เป็นคนฉลาดเล่าครับ ถ้ามันฝึกได้จริงอย่างว่านะ ป่านนี้คนฉลาดคงเต็มบ้านเต็มเมือง เดินชนกันตายไปหมดแล้ว นั้น ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติ(หรือใครไม่รู้) มอบให้มาไม่เท่ากันมากกว่าครับ จากคุณ : แจ้น - [ 16 เม.ย. 49 21:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ............... ฉลาด และโง่ คือคำเปรียบเทียบนะครับ คนฉลาด คือ คนที่ฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่ คนโง่ คือคนที่โง่กว่าคนส่วนใหญ่ อื้ม ถ้าคุณจะบอกว่า ถ้ามันวฝึกได้จริง ป่านนี้ คนฉลาด เดินชนกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ตอบว่า ใช่ ครับ คนที่ฉลาด ตอนนี้เดินชนกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว จุดที่คุณเรียกว่าฉลาดนั่นแหละ..... แต่ในจุดของผม คนฉลาดคือคนที่ฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่ คือคนที่ฉลาดกว่าคนที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยครับ ผมไปเจอกับคนหนึ่ง ผมฉลาดกว่าเขา ผมไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ผมโง่กว่าเขา บังเอิญคนประเภทหลังนี่แหละ ที่ทำให้ผมคิดว่าผมโง่อยู่ จากคุณ : lb'sN (สิงห์เหนือ...เสือสำอาง) - [ 16 เม.ย. 49 21:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นด้วยกะคุณทั้งสองคนละครึ่งครับ ส่วนหนึ่งคงเป็นศักยภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิดจะด้วยเหตุผลทางพันธุ์กรรม หรือ กรรมก็ตามที แต่อีกส่วนหนึ่งต้องมาจากประสบการณ์ที่เรารับเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การสนทนา  การลงมือทำ โดยที่ .. รับประสบการณ์ต่างๆมาแล้วต้องนำเอามาประมวลให้ค่อยๆตกผลึกเกิดเป็นปัญญาขึ้นมา ซึ่งขั้นตอนนี้ล่ะครับซึ่งมีต่างกันในแต่ละคน แต่เชื่อเถอะครับว่าคนเรามันพัฒนาได้ครับ ... คนที่ทำกรรมดีมาก่อน แต่ไม่ร่ำเรียน .. ไม่เคย คิด สังเคราะห์  วิเคราะห์ เลย .. จะฉลาด + มีไหวพริบได้อย่างไร จากคุณ : oscilated - [ 16 เม.ย. 49 23:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จริงๆ นะครับ ของอย่างนี้  มันฝึกกันได้ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน  ก็ต้องพึ่งตนเองนี่ครับ จะรอให้เทพมาเสก ปิ๊งงง จงฉลาดอย่างนี้เหรอครับ จะพึ่งบุญกรรมได้อยางไร พึ่งสิ่งสักสิทธิ์ได้อย่างไร ถ้าไม่พึ่งตนเอง แล้ว มันอยู่ที่ความเพียรพยายาม ที่จะฝึกฝน    ด้วยนี่ ก็คนย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียรนี่ครับ แล้วการเติมน้ำมันตะเกียงมัน ถวายหลอดไฟ ก็เป็นการทำบุญ ถวายแต่สงฆ์ทำนุบำรุงพระศาสนา  เราอย่าหวังผลทำเพื่อฉลาดนี่ครับ จากคุณ : มณีมัณตรา - [ 16 เม.ย. 49 23:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ้าว ถ้าคนเราพัฒนาได้จริง ทำไมยังมีมาตั้งกระทู้แบบนี้เรื่อยๆล่ะครับ เมื่อก่อนก็มีกระทู้แบบนี้ อ่านอะไรถึงจะฉลาด แหม่ ทำยังกะความฉลาดมันเป็นแคปซูลบรรจุเม็ดงั้นแหละ กินเข้าไปเม็ดเดียว ฉลาดทันตาเห็น ถ้าเป็นแบบนี้จริง คนคงฉลาดทั่วบ้านทั่วเมืองกันหมดแล้ว ไม่ต้องมานั่งเรียนหนังสือ มองนกมองไม้เดี๋ยวมันก็ฉลาดขึ้นมาเองแหละ(มั้ง) ตามที่คุณสิงห์ฯว่าไว้ มันเป็นบุญกรรมสั่งสมมาตั้งแต่อดีตมากกว่าครับ ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จงก้มหน้ารับผลกรรมไปเสียดีๆดีกว่า ก่อนตายก็อธิษฐานดีๆว่าเกิดชาติหน้าถ้ากุศลผลบุญพอมีบ้าง ขอให้ฉลาดปราดเปรื่องอย่าให้น้อยหน้าใครก็แล้วกัน จำไว้นะครับ ชาตินี้เกิดมารู้ตัวว่าฉลาดน้อย ก็หมั่นทำความดี ถวายจตุปัจจัยไทยทานเข้ามากๆ ไม่ช้าคงฉลาดขึ้นมาเอง จากคุณ : ทำใจ ทำใจ (แจ้น) - [ 17 เม.ย. 49 01:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ก็บอกแล้วว่ามันประกอบกันครับคุณแจ้น จำไม่ได้หรือว่า พระพุทธเจ้าท่านยังกล่าวไว้ถึงบุคคลต่างๆว่า .. บางคน มาสว่าง ไปสว่าง บางคน มาสว่าง ไปมืด บางคนมามืด ไปสว่าง บางคนมามืด ไปมืด นั่นหมายถึงอะไร และถ้าคุณแจ้นไม่ร่ำเรียนเขียนอ่าน ไม่มีการฝึกฝน .. แล้วจะมานั่งใช้คอมพิวเตอร์ตอบ และวิจารณ์ ความเห็นต่างๆได้อย่างไรครับ จากคุณ : oscilated - [ 17 เม.ย. 49 09:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คคห ที่ 22 ไม่ใช่พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครับ จากคุณ : natthaset - [ 18 เม.ย. 49 00:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 25 การอ่านหนังสือเยอะ ทำให้เรามีความรู้มาก แต่ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นนะครับ การเสริมสร้างความฉลาดและไหวพริบนั้น ก่อนอื่น ต้องเริ่มจากการอ่าน การพูดคุยกับคนอื่น การหาประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิต ต่อมาเราก็จะได้ความรู้ เมื่อเราได้ความรู้มาแล้วก็หัดคิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ทำไปเราได้อะไร ถ้าเป็นอย่างโน้น อย่างนี้เราจะทำอย่างไร เมื่อเราฝึกตรงนี้ได้ เราก็จะค่อยๆได้ความฉลาด ส่วนไหวพริบนั้น ผมคิดว่า ต้องอยู่กับสถานการณ์จริงบ่อยๆ แล้วไหวพริบ ก็จะมาเอง มันเหมือนประสบการณ์มากกว่าอ่ะครับ จากคุณ : webew210 - [ 18 เม.ย. 49 00:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จิง ๆ ข้อมูลหรือสิ่งที่เราได้ประสบหรือพบพานมาแล้ว อันไหนที่คิดว่าดี หรือสามารถที่จะพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้นโดยที่ไม่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไรเลย อาจจะช่วยพัฒนาทักษะ วิธีการคิดของเราให้ดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด ปล. ไม่สำคัญหรอกคับว่าเป็นประสบการณ์ของใคร หนังสือของผู้แต่งท่านใด ถ้ามันดี เรานำไปใช้ได้ เท่านั้นก็จบคับ ( who care ) จากคุณ : The Pianist - [ 18 เม.ย. 49 01:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คคห.ที่22ครับ ข้อความทั้ง15 ข้อไม่ใช่พระราชดำรัสของพระองค์ท่านนะครับ แต่จะลองหาหนังสือทั้ง15 เล่ม มาอ่านครับ จากคุณ : ลูกอีสาน - [ 18 เม.ย. 49 12:28:54 A:202.142.193.16 X: TicketID:107212 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นพระราชดำรัสของพระองค์ ผมได้รับจาก Forward Mail มาอะคับ หัวข้อ " ของขวัญจากในหลวง " นี้เลย ใครพอรู้ที่มาจิง ๆ บอกหน่อยนะคับ จากคุณ : The Pianist - [ 18 เม.ย. 49 23:30:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านหนังสือทุกประเภทที่คิดว่าดีค่ะ ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ว่าหนังสืออะไรที่ดี ก็ลำบากหน่อย อาจเริ่มจากสำรวจจุดอ่อนของตัวเอง และหาความรู้ในจุดที่อยากเสริมก่อน เช่น ถ้าหากไปคุยกับผู้ใหญ่แล้วรู้สึกหน้าแตกที่ตัวเองไม่รู้ว่าใครคือนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ก็ควรรู้ตัวแล้วว่าตัวเองดูข่าว/อ่านข่าวน้อยเกินไป  และแก้ไขด้วยการดูข่าวให้มากขึ้น (ไม่ใช่แค่ไปดูว่านายกชื่อนี้ แล้วจบ) การฝึกไหวพริบและการมองโลกให้กว้างขึ้น น่าจะเริ่มจากการฝึกใช้ความคิดบ่อย ๆ  และคิดให้เป็นระบบ ซึ่งคงบอกกันสั้น ๆ ไม่ได้ว่าทำอย่างไร  แต่สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือมันมักจะมีพื้นฐานอยู่ที่การอยากเป็นคนดี และคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา  ลองคิดว่าถ้าเราอยู่ในสภาพเดียวกับคนที่มีปัญหาด้านต่าง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง "หัดคิดเผื่อคนอื่น" ก็จะทำให้มองโลกได้กว้างขึ้นได้เหมือนกัน  และการรับฟังคนหลายประเภทพูดถึงแง่คิดของเขาต่อสิ่งต่าง ๆ ก็ช่วยให้เราคิดได้กว้างขึ้นด้วย แต่ตัวเราเองยึดหลักของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ว่าสมองมีความจุจำกัด จึงขอเลือกบรรจุเฉพาะเรื่องที่ตัวเองสนใจและอยากรู้อยากจำ และยอมโง่ในเรื่องอื่น ๆ  เพราะเราไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือหมดทั้งโลกค่ะ จากคุณ : ว้อบแว้บ* - [ 19 เม.ย. 49 12:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นพูดกันมานานแล้วครับเป็นกระทู้แนะนำด้วย รบกวน คคห.ที่28 ตั้งกระทู้ถามที่ห้องนอกเรื่อง ของเฉลิมไทยก็ได้ครับ ผมหาที่เซฟไว้ไม่เจอครับ จากคุณ : ลูกอีสาน - [ 19 เม.ย. 49 13:03:48 A:202.142.193.16 X: TicketID:107212 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สามก๊ก ครับผม จากคุณ : เหงามาก - [ 20 เม.ย. 49 15:12:16 A:124.120.202.55 X: TicketID:119181 ]

ความคิดเห็นที่ 32 หนังสือพิมพ์ ที่มีบทวิเคราะห์ วิจารณ์ แล้วเราก็คิดต่อยอดไป  แล้วก็ว่าไป จากคุณ : ผู้ที่รอคะแนนแอดมิชชั่น (มณีมัณตรา) - [ 21 เม.ย. 49 02:29:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอามาฝากคุณ The Pianist ค่ะ เซฟไว้จากสมาชิกท่านหนึ่งในห้องเฉลิมไทย ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้ เราเอาไว้ส่งกลับไปให้คนที่ส่ง FWD mail นี้มาให้เราแบบ reply all เลยค่ะ เพราะไม่อยากให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะแนวคิดแบบ 7, 10 ไม่อยากจะให้เข้าใจว่าเป็นพระราชดำรัสค่ะ จากคุณ : @dd@ - [ 23 เม.ย. 49 12:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ชอบหนังสือที่คุณความเห็นที่ ๓๓ นำมาให้อ่านกัน โดยเฉพาะ คำว่า "ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตนเอง ไม่ใช่มาตราฐานของคนอื่น" คงจะเป็นคำตอบทีดีที่สุดสำหรับ จขกท. คนเราไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกเราว่า เรา "ฉลาด" หรือ "โง่" หรอก เพราะเราย่อมรู้ตัวเราเองดีที่สุด บางทีการที่พยายามพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราฉลาดทีสุด ก็อาจเป็นความพยายามที่ไม่ฉลาดที่สุดก็ได้ แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 49 20:35:53 จากคุณ : silkywind123 - [ 23 เม.ย. 49 20:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 จะหวังน้ำบ่อหน้าทำไม หากคนไม่ขวนขวาย รอแต่ผลบุญผลกรรมชาตินี้ชาติหน้า ชาตินี้ ก็คงต้องนั่งเป็นง่อยในสมองกันต่อไป.... อยากจะฉลาด ก็ต้องขวนขวาย อ่านหนังสือทั้งในแนวที่คุณสนใจ และแนวอื่น ๆ บ้าง แล้วก็ แลกเปลี่ยนหรือหาประสบการณ์ด้านต่าง ๆ จากรอบตัว (อย่างที่หลายความเห็นข้างบนแนะนำไว้) ส่วนที่เราจะฉลาดหรือโง่กว่าคนอื่น ตัวเองให้คำตอบตัวเองได้ดีที่สุดครับ จากคุณ : แง้วศักดิ์ (=(n.n)=) - [ 24 เม.ย. 49 19:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณแจ้นครับ  ไปทาน อึ เถอะครับ เห็นแล้วรำคาญ ปล.ที่คุณถามว่าถ้าทำอย่างนั้นป่านนี้คนฉลาดไม่เต็มบ้านเต็มเมืองเหรอ <----- ไม่เต็มหรอกครับ เพราะมีคนอย่างคุณไง จากคุณ : addicted to love - [ 25 เม.ย. 49 11:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นด้วยกับ คห 36 อย่างเเรง!!!! จากคุณ : ramai - [ 1 ส.ค. 49 20:26:13 ]

ความคิดเห็นที่ 38 การที่พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันมีความแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เป็นต้นว่า ผู้บริโภคมีการศึกษาสูงขึ้น มีตัวเลือกของสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคยังอยู่ในยุคของข้อมูลข่าวสารมีซึ่งสามารถหาข้อมูลต่างๆที่จำเป็นเพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้าและบริการได้ ดังนั้นรูปแบบการนำเสนอขายสินค้าในปัจจุบันจึงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมา อีกทั้งตัวแทนขายจะต้องมีความรู้ วิธีการและเทคนิควิธีต่างๆเพื่อจูงใจและมัดใจลูกค้าให้ซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น คงเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จในงานขายหากผู้แทนขายขาดความรู้และเทคนิคต่างๆ อันจะนำไปสู่การหาความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายกว่าในอดีต หลักสูตร “กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายอย่างได้ผล” เป็นหลักสูตรที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อ ต้องการให้ผู้แทนขายเรียนรู้ถึงวิธีการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และทราบถึงเทคนิคต่างๆในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความแตกต่างกันเพื่อเพิ่มยอดขายและความประทับใจในการขายและการให้บริการลูกค้า โดยเนื้อหาการอบรมสัมมนาจะเน้นหนักในเรื่อง การนำความรู้จากการอบรมสัมมนาไปประยุกต์ใช้มากกว่าเรียนรู้แต่เพียงภาคทฤษฎี วัตถุประสงค์: 1. เรียนรู้หลักการที่สำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จในการขายสินค้าและบริการเพื่อเพิ่มยอดขาย 2. ทราบเทคนิคเพื่อสร้างความสำเร็จในการติดต่อกับลูกค้าที่มีความแตกต่างกัน 3. เรียนรู้เทคนิคในการค้าหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า 4. เรียนรู้วิธีการในการเจรจาต่อรองกับลูกค้าและเทคนิคในการขจัดข้อโต้แย้งกับลูกค้าเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในที่สุด 5. เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสัมมนาสามารถนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานขายได้จริง หัวข้อการฝึกอบรม/สัมมนา: 1. ประเด็นสำคัญที่นักขายต้องทราบ 2. เทคนิคการเสนอขายที่สร้างความประทับใจลูกค้า · ขายสินค้า หรือ ประโยชน์ของสินค้า 3. เทคนิคการค้นหาความต้องการของลูกค้า 4. กระบวนการที่สำคัญในการสร้างความสำเร็จในงานขาย · การวางแผนก่อนการขาย · การติดต่อและการเจรจาระหว่างการขาย · การปิดการขายเมื่อถึงเวลาอันควร 5. เทคนิคการติดต่อลูกค้าเพื่อสร้างความสำเร็จในการขาย 6. การวิเคราะห์ลูกค้าเพื่อสร้างความสำเร็จในงานขาย · ลักษณะของลูกค้าแต่ละประเภท · แนวทางการเจรจา · สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง 7. เทคนิคการขจัดข้อโต้แย้ง 8. กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย 9. ใครผู้ที่ประสบความสำเร็จในการขาย 10. สรุป คำถามและคำตอบ จากคุณ : คน - [ 31 ก.ค. 50 10:17:46 A:222.123.100.58 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณแจ้นครับ มาดูด ดอ ให้หน่อยเด่ จากคุณ : ทักษิณ - [ 31 ก.ค. 50 10:18:27 A:222.123.100.58 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 อย่าขี้เกียจ บางสิ่งบางอย่างเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราไม่แสดงมันออกมา มันก็อยู่แต่ในความคิด บางทีสิ่งที่เราเรียกว่า "sense" เกิดขึ้นมาในสมอง แต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่สนใจมัน ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่แสดงมันออกมา หรือ ไม่ทำ คนอื่นเค้าก็จะมองว่าเราโง่ได้ มันก็เหมือนกับนิทานเรื่องหนึ่ง ผมจำไม่ได้ทั้งหมด แต่มีความหมายประมาณว่า "มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนฉลาด แต่วัน ๆ เค้าก็จะไปนอนเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ลมเย็น ๆ ทุก ๆ วัน เป็นประจำ วัน ๆ นึง ได้แต่นอนฝันจินตนาการ โดยไม่ได้ลงมือทำอะไรซักอย่าง ทุกอย่างอยู่แต่ในความคิด ลองนึกภาพดูเด็กชายคนนี้ และ ลองตัดสินใจด้วยตัวคุณเองว่า เด็กคนนี้ ฉลาด หรือ โง่" นอกจากเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว คนเราก็ไม่ควรประมาท ละเลยสิ่งอื่น ๆ อีก ยกตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือ ไม่รู้ก็ให้ถาม คบคนฉลาด จิตใจที่หนักแน่น(การประสบความสำเร็จ หากฉลาดแล้ว แต่ปราศจากจิตใจที่หนักแน่น หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้างได้ง่าย ออกนอกทิศทาง ก็เรียกว่า ไม่ฉลาด เพราะ ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตนเองต้องการ ฯลฯ สรุปคือ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น หรือ ความรู้ข้อหนึ่ง เราไม่ควรไปถือเอาว่าความคิดไหนดีกว่ากัน แต่มันเป็นแค่ความรู้ข้อหนึ่งเท่านั้น จากคุณ : พอง บิน /เจ - [ วันจักรี 15:02:22 A:118.172.94.16 X: ]