วิจารณ์หนังสือแบบปากกัดและตีนถีบด้วย
ไม่รู้ Innocent ของ ฮาร์ลาน โคเบน
แปลโดย คุณมณฑารัตน์ ทรงเผ่า
ผลงานคนเขียนซีรีย์ไมรอน โบลิท่า ซึ่งเป็นงานเดี่ยวชิ้นที่สามแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าซีรีย์ไมร่อน เข้าท่าสุดแล้วเพราะว่ากันตรงๆ ผมไม่ชอบสไตล์การเขียนของ หมอนี่เลยสักทีหรือว่าผมไม่ชอบการแปลของมณฑารัตน์ ทรงเผ่าผู้แปล คงไม่ใช่น่า เพราะเวลาเขาแปลหนังสือของนักเขียนคนอื่นผมก็ไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะเรื่องหญิงๆเราก็อ่านแล้วได้อารมณ์หญิงไปด้วยดี มีแค่งานของหมอนี่ที่นามสกุลเหมือน เคริท์ โคเบน ตำนานแห่ง วงเนอร์วาน่าเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจทุกที
งานของโคเบน(เรียกแบบนี้แล้วกัน) มักจะมาในรูปแบบเดิม เหมือนกับพวกงานที่สร้างขึ้นด้วยอิทธิพลของเรื่องยุคหักมุมที่ต้องพยายามสร้างพล๊อตให้มีการหักมุม แต่บอกตามตรงว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับจากงานของเขาและรู้สึกได้ทุกที คือมันโคตรจะเป็นงานที่จงใจและ พยายามจะ “จริงจัง” เลยว่ะ ทุกอย่างในสไตล์การเขียนของหมอนี่มันดูประดิษฐ์และเสแสร้งไปหมดถ้าเป็นหนังก็เป็นหนังประเภทที่พยายามจะขายฟอร์มจริงจังในขณะที่ตัวเรื่องมันไม่ได้มีอะไรจริงจังเลยจริงๆ แต่แค่พยายามเข้าใจไหม.....
ผมอ่านงานสองชิ้นก่อนหน้านี้คือ หาย และ อย่าบอกใคร มาแล้ว และก็ซีรีย์ไมร่อนโบริท่า สามเล่ม สรุปสุดท้ายเท่าที
อ่านมารู้สึกว่าซีรีย์ไมร่อนดีสุด และเล่มที่สามดีสุด แต่เล่ม 4-6 ผมยังไม่ได้อ่าน และตอนที่อ่านงานเรื่อง “ไม่รู้” นี่ผมก็หวัง
อยู่หลังจากอ่านไอ้คำโฆษณาคำนิยมด้านหลังว่า “ดีที่สุดเท่าที่เขาเขียนมา” ว่ามันจะดีแบบนั้นจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วด้วยราคา 320
บาทและหนาเกือบ 400 หน้าของ อมรินทร์ ผมก็รู้สึกได้ว่าตูก็ได้แค่หวังไปเอง
เพราะสุดท้ายหมอนี่ก็มาในงานแบบเดิมๆ คือ มีตัวละครที่ชอบคิดมากเหยียดหยัน อย่างนู้นอย่างนี้แบบขี้บ่น ชอบมีด้านมืดของ
ชีวิตและผู้คนมาเสนอ และเขียนแบบที่พยายามจะทำให้คนอ่านคิดว่า โอ้นี่มันเป็นเรื่องของนักเขียนที่เข้าใจชีวิตในมุมมืดหรือว่า
ข้างถนนดีเหลือเกิน แต่ผมว่าตาโคเบนนี่แกเอาพวกนี้มาแบบเปลือกๆ จากหนังฮอลลี่วู้ดมากกว่า เพราะสไตล์การพูดของตัวละครต่างๆ
มันช่างซ้ำซากเหมือนกับหลุดออกมาจากบทหนังฮอลลี่วู้ดเกรดรองๆพวกนั้น และอ่านแล้วรู้สึกรำคาญตัวละครเหล่านี้มากกว่าจะทึ่ง
ว่ามันเป็นอะไรที่โอ้ตีแผ่สังคมดีจริง
แต่ถ้ามองในแง่มุมหนึ่งที่ไม่แย่จนเกินไป เจ้าความคิดเกี่ยวกับชีวิตสังคม และเหยียดหยันเกี่ยวกับด้านมืดของมนุษย์นี่ก็เป็นประโยชน์อยู่บ้าง เพราะบอกกันตามตรงถ้าผมเป็นเด็กอายุ 15 ก็อาจจะรู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรดีเหมือนกัน และอาจจะกลัวลึกๆว่าโลกมันโหดร้ายแฮะ แต่พอเราโตแล้วสำหรับผู้ใหญ่มากประสบการณ์ งานเขียนและการสอดแทรกของโคเบนก็ไม่ต่างอะไรจากพวกการจงใจจะสะท้อนด้านมืดมากนักจนเบื่อ และเพราะการพล่ามที่ยืดยาวนี้ทำให้หนังสือหนาโดยไม่มีอะไรจำเป็น
ไม่อยากจะเล่าเรื่องหรอกเอาเป็นว่าเรื่องมันก็ซ้ำๆแบบเดิมแบบที่ตานี่เขียนมาแหละ ประมาณว่าชายคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ดีๆ โดยไม่นึกว่าวันหนึ่งจะมีอะไรบางอย่างมากระทบเขา และเพราะคนใกล้ตัวเขาเองมีอดีตซ่อนอยู่ ซึ่งจะว่าไปมันก็ซ้ำๆกับไอ้สองเรื่องที่เขาเขียนมาก่อนแล้วนั่นแหละ เหมือนหนังโครงสร้างเดิมเปลี่ยนรายละเอียด ว่ากันจริงๆหมอนี่ไม่คิดจะสร้างอะไรใหม่บ้างเลยเหรอ หรือว่าเป็นเอกลักษณ์นะ แต่น่าเสียดายเป็นเอกลักษณ์ที่ผมไม่ชอบแฮะ แต่นักอ่านในอเมริกาและทั่วโลกหลายคนก็คงชอบมั้งเพราะหนังสือเขาก็ขายดีทีเดียว แค่ดูในอเมซอนก็รู้แล้ว
องค์ประกอบของงานหมอนี่สุดท้ายมาแบบเดิมๆ (ต้องพูดคำนี้อีกกี่รอบเนี่ย) คุ้นไหม เช่นตัวละครที่ชอบพูดแซวกันแบบเหมือนกับเป็นพวกแร๊ปเปอร์ กวนตีนๆตลอดเวลา ตัวละครผู้หญิงที่มีบุคลิกแบนๆ มีสองแบบคือตัวผู้หญิงฝ่ายตำรวจหรือนักสืบที่จริงจังและพยายามสืบคดี กับตัวละครผู้หญิงธรรมดาที่บางคนก็ทำตัวมีความลับ แต่ถ้าเป็นยามปกติก็จะพูดและมีชีวิตประเภทว่า “โอ้ที่รัก ฉันรักคุณเหลือเกินค่ะฉันโชคดีที่มีคุณเคียงข้าง” อะไรแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งนังผู้หญิงคนนี้หายหัวไปหรือสร้างเรื่องให้รู้ว่าที่ผ่านมาเจ๊แกทำเป็นไร้เดียงสาและทำให้พระเอกเราเดือดร้อน ตัวประกอบที่คอบช่วยเหลือพวกตัวเอกที่มักเป็นคนข้างถนน หรือเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่มักจะเป็นคนที่ทำตัวจงใจแปลกอย่าง คนจีนที่อยากพูดแร๊พๆๆ หรือว่าคนจรจัดที่...เออ เอาเป็นว่าจงใจแปลกแล้วกัน
สุดท้ายแล้วถ้ามองในแง่ของมาตรฐาน ผมว่าหนังสือมันมีมาตรฐาน แต่ผมคาดหวังว่ามันจะเจ๋งและอ่านแล้วทึ่งกว่านี้ แต่หลังผมอ่านไปพ้น 250 หน้าผมก็พบว่าตัวเองสามารถเดาได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นและก็อ่านแบบข้ามๆแค่หน้าละแป๊บเดียว และเชื่อไหมผมไม่ตกหล่นอะไรไปเลย เพราะอะไรละ ก็เพราะตัวเรื่องจริงๆมันไม่มีอะไรเลยอ่ะดิ ไอ้อะไรที่ว่าซับซ้อนหนักหนา หักมุมนั่นมันก็แค่ความพยายามทั้งนั้น มีแต่ตัวละครที่ทำอะไรแบบไร้เหตุผลเต็มไปหมด เอาแค่สุดท้ายเรื่องเจ้าตัวคนร้าย 1 และ คนร้าย 2 ที่ซ้อนอยู่อีกทีนั่นน่ะ โอ้พระเจ้ามันช่างเป็นเรื่องแบบ พออ่านแล้ว อยากจะพูดคำว่า “แหม พวกเอ็งอุตสาห์สร้างเรื่องกันเพราะเหตุผลแค่เนี้ย” คือมันพยายามทำตัวแน่แก๊งสะเตอร์.......กันแทบตายแต่สุดท้ายแล้วเรารู้สึกว่า มันอ่อนว่ะ ไอ้เหตุผลที่มันสร้างเรื่อง พอๆจะเอาไปทำเป็นเรื่องน้ำเน่าได้เลยนะ และเรื่องการตามหา “เจ้าสิ่งนั้นที่เหมือนกับคลิปลับในเมืองไทยยุคนี้” ก็เหมาะกับให้เป็นพล๊อตของเด็กมัธยมนักสืบมากกว่าจะอยู่ในเรื่องแบบนี้นะพี่โคเบน เพราะบอกตามตรงไอ้เจ้าคนร้ายที่อุตสาห์พยายามตามหาไอ้สิ่งนั้นมาให้ได้เนี่ย มันโง่และเอาหน้าที่การงานมาทิ้งแท้ๆเลย
สรุปสุดท้าย ผมรู้สึกโกรธนิดหน่อยที่พี่โคเบน ทำให้ผมต้องเสียเงินและเวลาที่ควรจะเหลือแค่สักครึ่งหนึ่งก็พอแล้วสำหรับเรื่องของเขา แต่สุดท้ายผมก็ซื้อมาอยู่ดี และขอมอบ 7 เต็ม 10 ให้กับเรื่องนี้ อย่างที่บอกมันเป็นงานที่โอเคและได้มาตรฐานแต่มันไม่ได้เป็นงานที่ให้รู้สึกทึ่ง และสุดท้ายมันก็เป็นงานที่ประดิษฐ์และจงใจไปหมด ถ้าใครชอบงานเขาละก็ พี่เขาก็เหมือนกับนักดนตรีที่สร้างงานมาแบบเดิมๆนั่นแหละ สำหรับตัวผมเองผมว่าเอาเงินไปซื้อ อากาธา คริสตี้ ตอนตามล่า หาสายลับ เอ็มกับ เอ็นนั่นสนุกกว่ามากเลยนะ ในราคาที่ถูกกว่าและบางกว่า ..........
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 50 23:03:38
จากคุณ :
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
- [
4 เม.ย. 50 15:03:51
]