ความคิดเห็นที่ 4
1. Past Simple Tense 1.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง : Subject + Verb 2 ( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 ) ตัวอย่าง : .1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ ) 2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว ) 1.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้ โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1 ( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 ) ตัวอย่าง : 1. He did not ( didnt ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ ) 2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว ) ****ข้อสังเกต : เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย 1.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้ โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1 ( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ) ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ ) - Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา ) - No, he didnt. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา ) 2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ ) - Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น ) - No, they didnt . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น ) 1.4 หลักการใช้ Past Simple Tense 1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค คำ กลุ่มคำ อนุประโยค ago last night when he was young once last year when he was five years old yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo during the war เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ) 2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม ) 3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก ) 1.5 หลักการเติม ed ที่คำกริยา 1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น love - loved = รัก move - move = เคลื่อน hope - hoped = หวัง 2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น cry - cried = ร้องไห้ try - tried = พยายาม marry - married = แต่งงาน ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น play - played = เล่น stay - stayed = พัก , อาศัย enjoy - enjoyed = สนุก obey - obeyed = เชื่อฟัง 3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น plan - planned = วางแผน stop - stopped = หยุด beg - begged = ขอร้อง 4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย occur - occurred = เกิดขึ้น refer - referred = อ้างถึง permit - permitted = อนุญาต ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น cover - covered = ปกคลุม open - opened = เปิด 5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น walk - walked = เดิน start - started = เริ่ม worked - worked = ทำงาน
2.Past Continuous Tense Subject + was/were + Verb ing
Subject ประธาน (ย้ำอีกทำไมนะ) was/ were เป็นช่อง 2 ของ is/am/are Verb ing ก็ verb แท้ช่อง 1 ที่เติม ing 1.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง (บอกว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่ หรือกำลังทำอะไรอยู่ในอดีตที่เจาะจง) เช่น I was studying English this morning. ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่เมื่อเช้า She was standing in front of my house at 2 a.m. ตอนตีสอง หล่อนกำลังยืนอยู่หน้าบ้านฉัน I was going to throw it away. ฉันกำลังจะเอามันไปทิ้ง (ในอดีต) 2. กำลังเกิดเหตุการณ์อะไรอยู่แล้วมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรก (จะพูด Tense นี้ในกรณีนี้บ่อยมากในชีวิตจริง) เราจะใช้ควบคู่ Past Simple และ Past Continuous ครับ โดยที่ Past Continuous เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดและ Past Simple เป็นเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรก เช่น
I was eating my cake then I saw Pat. ฉันกำลังกินเค้กของฉันอยู่ แล้วฉันก็เห็นแพท (I was eating my cake เป็น past continuous และ I saw Pat เป็นpast simple) I was taking a shower then Pat came in. ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ แล้วแพทก็โผล่มา While I was mopping the floor, I found the ring. ในขณะที่ฉันถูพื้นอยู่ ฉันก็เจอแหวน 3.ใช้คู่กัน ด้วย Past Continuous พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันอย่างต่อเนื่อง เช่น Piak was working while Pat was dancing around. เปี๊ยกกำลังทำงาน ในขณะที่ แพทกำลังเต้น(อยู่ได้) ส่วนการเปลี่ยนเป็นประโยคอื่นๆ ก็คล้ายกับ Present Continuous ครับ คำถาม.. ใช้ was หรือ were ขึ้นต้นประโยค เช่น Was she cooking yesterday evening? เมื่อวานเย็น หล่อนกำลังทำอาหารอยู่หรือเปล่า ส่วนปฏิเสธ.. ก็เพียงเติม not หลัง was were เท่านั้นเอง เช่น She was not cooking yesterday evening.
3.Past Perfect Tense 3.1 ประโยค Past Perfect Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง : Subject + had + verb 3 ( ประธาน + had + กริยาช่อง 3 ) ตัวอย่าง : 1. He had gone. ( เขาได้ไปแล้ว ) 2. She had studied Thai. ( หล่อนได้เรียนภาษาไทย ) 3.2 ประโยค Past Perfect Tense เชิงปฏิเสธ เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้ โครงสร้าง : Subject + had + not + Verb 3 ( ประธาน + had + not + กริยาช่อง 3 ) ตัวอย่าง : 1. He had not (hadnt ) gone. ( เขายังไม่ได้ไป ) 2. She had not studied Thai. ( หล่อนยังไม่ได้เรียนภาษาไทย ) 3.3 ประโยค Past Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้ โครงสร้าง : Had + Subject + Verb 3 ? (Had + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? ) ตัวอย่าง : 1. Had he gone ? ( เขาได้ไปแล้วใช่หรือไม่ ) -Yes, he had. ( ใช่เขาได้ไปแล้ว ) -No, he hadnt. ( ไม่เขายังไม่ได้ไป ) 2. Had she studied Thai ? ( หล่อนได้เรียนภาษาไทยแล้วใช่หรือไม่ ) - Yes, she had. ( ใช่หล่อนได้เรียนแล้ว ) - No, she hadnt. ( ไม่ หล่อนยังไม่ได้เรียน ) 3.4 หลักการใช้ Past Perfect Tense 1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ ดังนี้ เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Tense เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense เช่น - We went out for a walk after we had eaten dinner. ( พวกเราออกไปเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหารเย็น )
4.Past Perfect Continuous Tense โครงสร้าง Subject + had + been + V ing + ..........
เช่น He had been working. I had been running. You had been staying. They had been going.
Past Perfect Continuous Tense มีวิธีใช้เช่นเดียวกันกับ Past Perfect Tense แต่ประโยคที่ใช้ Past Perfect Continuous Tense จะได้ความดีกว่า Past Perfect Tense ก็ตรงที่ "มีการเน้นถึงความต่อเนื่องของเวลาได้ดีกว่า" เช่น
Past Perfect Tense :
The telephone had rung for ten minutes before it was answered. โทรศัพท์ได้ดังเป็นเวลา 10 นาที ก่อนที่จะมีผู้รับ
Past Perfect Continuous Tense :
The telephone had been ringing for ten minutes before it was answered. โทรศัพท์ได้ดังต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 นาที ก่อนที่จะมีคนรับ
ประโยคแรกเพียงแต่บอกว่า โทรศัพท์ได้ดังมาเป็นเวลา 10 นาที ไม่ได้เน้นถึงความต่อเนื่องของการดังแต่อย่างใด แต่ประโยคหลังได้เน้นให้รู้ว่าโทรศัพท์ได้ดัง "ติดต่อ" กันมาเป็นเวลาถึง 10 นาที
Past Perfect Tense :
He had slept for two hours when we called on him. เขาได้นอนหลับมา 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเราโทรศัพท์ไปหาเขา
Past Perfect Continuous Tense :
He had been sleeping for two hours when we called on him. เขาได้นอนหลับต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อตอนที่เราโทรศัพท์ไปหาเขา (ขณะที่โทรศัพท์ไป เขาก็ยังนอนหลับอยู่)
อย่างไรก็ตาม การใช้ Past Perfect Continuous Tense นั้น ควรใช้กับกริยาที่ทำได้นาน (long action) เท่านั้น ถ้าเป็นกริยาที่ทำอยู่ไม่นานก็ให้ใช้ Past Perfect Tense แทน และที่สำคัญก็คือ จะต้องใช้ควบกับการกระทำหรือเหตุการณ์ 2 อย่างเสมอ ไม่นิยมใช้กับเหตุการณ์อย่างเดียว คำเชื่อมระหว่าง Past Perfect Continuous Tense กับ Past Simple Tense ก็ได้แก่ when, after, before, that เหมือนเดิม
จากคุณ :
Aloha-zeez
- [
5 ม.ค. 53 20:09:49
]
|
|
|