 |
ความคิดเห็นที่ 112 |
|
มาส่งการบ้านที่ค้างเอาไว้ในกระทู้ที่แล้วอีกครึ่งหนึ่งค่า ^ ^
คราวก่อนรีวิวเรื่องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน คือ 'คอร์รัปชันแบบเบ็ดเสร็จ' ไปแล้ว คราวนี้มาคุยถึงประเด็นสงครามกันบ้าง
(ส่วนเรื่องเจอโรนิโม ขอแปะคุณยาคูลท์เอาไว้ก่อนนะคะ ยังไม่ได้ตั้งต้นอ่านเลย)
----------------------------------------------------
30-4. [แม่ไก่] อ่านหนังสือไทยหรือเทศ 2 เล่ม ที่เนื้อหาเน้น "ผลพวงและพิษภัย" หรือเล่าถึงประเด็นดังต่อไปนี้: สงคราม, ยาเสพติด, คอร์รัปชั่น หรือการทำลายธรรมชาติ(ป่าไม้ ภูเขาแม่น้ำ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ) จะเป็นเรื่องจริงหรือแต่งก็ได้
PLAGUE WARS: A TRUE STORY OF BIOLOGICAL WARFARE ผู้เขียน : Tom Mangold and Jeff Goldberg สำนักพิมพ์ : Pan Books (2000) จำนวนหน้า : 402 หน้า
ปกหลัง Biological warfare - the use of deadly bacteria and exotic viruses to destroy, maim, infect or incapacitate the enemy is now widely acknowledged to be inevitable. In the former Soviet Union the military has perfected smallpox, anthrax and Plague as biological warheads on intercontinental missiles that can reach London, New York and Los Angeles. In South Africa and Zimbabwe, biological weapons have already been used to kill innocent civilians. A millionth of a gram of inhaled anthrax, delivered through a purse-sized atomiser spray, kills one person; a mere kilogram, delivered through an ordinary crop duster, kills an entire city.
Here is a factual account that reads like fiction; a taut investigation behind the headlines which identifies the real Plague Warriors, those behind the new weapons of horror, and the men and women dedicated to defending us against them.
สิ่งที่มาคู่กับสงครามคืออาวุธ เพราะอาวุธเป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์ที่จะนำมาซึ่งชัยชนะจากความสูญเสียของศัตรู เมื่ออาวุธ คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการชนะหรือพ่ายแพ้ การพัฒนาอาวุธรูปแบบต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น หนึ่งในอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ ร้ายแรง และเป็นมฤตยูเงียบที่ทำลายล้างผู้คนได้ในวงกว้าง คือ อาวุธเชื้อโรค
ประเด็นของอาวุธเชื้อโรคในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ถูกจุดประเด็นขึ้นในสงครามอ่าวเปอร์เซีย แต่ความจริงแล้ว การใช้เชื้อโรคร้ายแรงเป็นอาวุธไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องที่วางใจได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก
ใน Plaque Wars ผู้เขียน Tom Mangold ผู้สื่อข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษและ Jeff Goldberg ผู้สื่อข่าวอิสระชาวอเมริกัน เริ่มต้นสารคดีจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นด้วยสถานการณ์สมมุติว่า หากอิรักสามารถผลิตอาวุธเชื้อโรคได้ และนำมาปฏิบัติการก่อการร้ายบนเครื่องบินแทนการใช้ยุทธการระเบิดฆ่าตัวตายอย่างที่ผ่าน ๆ มา จากเหตุการณ์สมมุติ ผู้เขียนได้นำเราไปสัมผัสกับเรื่องจริงที่อ่านแล้วอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแค่ในนิยายเท่านั้น
ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีหลักฐานการทดลองอาวุธเชื้อโรคที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งปรากฏอยู่ ในหน่วยงานที่เรียกว่า Unit 731 ภายใต้การควบคุมของอิชิอิ (Ishii) ที่ทำการทดสอบเชื้อโรคกับมนุษย์ด้วยกัน และทำกระทั่งแพร่เชื้อที่เพาะในเลือดของนักโทษแล้วนำมาให้หมัดกิน แล้วปล่อยหมัดเข้าไปในหมู่บ้านชาวจีน ทำให้ชาวจีนจำนวนมากที่แสวงหาความช่วยเหลือกลับต้องตกเป็นเหยื่อการทดลองอาวุธเชื้อโรคซ้ำอีก หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงโดยญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ความจริงเบื้องหลัง Unit 731 จึงถูกเปิดเผย ผู้ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานดังกล่าวกลายเป็นอาชญากรสงคราม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่องรอยความสูญเสียหายไปไหน แม้ได้รับการเยียวยาจากกระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของเหยื่อที่รอดชีวิต
จากสงครามโลกครั้งที่สองมาถึงสมัยสงครามเย็นระหว่างฝ่ายสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ถึงเป็นสงครามที่ปราศจากการใช่อาวุธเข้าทำลายล้างกันเช่นแต่ก่อน ทว่าการแข่งขันพัฒนาอาวุธก็ไม่ได้ยุติลง สหภาพโซเวียตได้ตั้งศูนย์การวิจัยทางชีววิทยาขึ้นเพื่อทดลองผลิตเชื้อโรคร้ายแรงที่จะนำมาบรรจุในหัวรบ แม้ว่าในขณะนั้นจะมีการลงนามในสนธิสัญญายุติการทดลอง ผลิต และใช้อาวุธชีวภาพระหว่างกันแล้วก็ตาม ถึงจะปฏิเสธว่าไม่มี แต่เหตุการณ์การรั่วไหลของเชื้อแอนแทรกซ์จากแล็บที่ Sverdlovsk ในปี 1979 จนเป็นเหตุให้มีคนตายนับสิบ และปากคำของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่เดินทางไปอังกฤษ ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ความลับที่รัฐบาลสหภาพโซเวียตพยายามปกปิดถูกเปิดเผย ทั้งสหรัฐและอังกฤษ ภายใต้การนำของโรนัลด์ เรแกน และมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ต่างพยายามกดดันโซเวียต ให้ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และแม้จะมีท่าทีอ่อนข้อให้ โดยให้ความร่วมมือยินยอมให้ไปตรวจห้องปฏิบัติการ หากในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตก็พยายามเดินเกมถ่วงเวลา เบี่ยงเบนประเด็นไปพร้อมกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว การพยายามหักไหวชิงพริบกันในสงครามเย็นก็สงบลงด้วยการลงนามในสัญญาสามฝ่าย ทว่าในช่วงทศวรรษที่ 1990 สถานการณ์เกี่ยวกับการทดลองอาวุธชีวภาพของรัสเซียหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ก็ยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจนนักว่า รัสเซียแอบมีการทดลองอาวุธประเภทนี้อยู่ที่ไหนอีกหรือไม่
อาวุธเชื้อโรคหรืออาวุธชีวภาพไม่เพียงแต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบที่เลวร้ายในเอเชียหรือยุโรปเท่านั้น ในปี 1978 ก่อนเหตุการณ์ที่สเวิร์ดลอฟส์กฺ ผลจากเชื้อแอนแทรกซ์และเชื้ออหิวาตกโรคที่ถูกปล่อยลงในแหล่งน้ำ เพื่อทำลายฝูงสัตว์เลี้ยงของคนผิวดำในโรดีเซีย หรือ ซิมบับเวในปัจจุบันซึ่งตกค้างในดินและน้ำก็ปรากฏผลให้เห็น นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยจากนักไวรัสวิทยาบางคนอีกด้วยว่า ไวรัสอีโบลา ซึ่งคร่าชีวิตคนในแอฟริกา อาจเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาสายพันธุ์ไวรัสดั้งเดิมให้มีความรุนแรงขึ้น ไม่ใช่การกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ และไม่เพียงแต่การใช้เชื้อโรคมาเป็นอาวุธเท่านั้น ยังปรากฏว่ามีการทดลองใช้สารเคมี เช่น สารออร์กาโนฟอสเฟต ซึ่งตามปกติแล้วจะใช้เป็นสารเคมีสำหรับกำจัดแมลงมาเป็นอาวุธในการลอบสังหารด้วย
แม้จะมีการดำเนินการจับกุมกวาดล้างการพัฒนาอาวุธเชื้อโรค ชีวภาพรวมถึงอาวุธเคมี แต่การทดลองที่ท้าทายศีลธรรม มนุษยธรรมดังกล่าวก็ไม่ได้สิ้นสุดหยุดลง โดยการทดลองล่าสุดที่ปรากฏ ในข้อมูลการข่าว คือ การวิจัยอาวุธเชื้อโรคในประเทศอิรัก ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียและสงครามอิรัก
ในขณะที่มีผู้ต้องการพัฒนาอาวุธชีวภาพ ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามตรวจสอบ ขัดขวางการกระทำนั้นเช่นกัน และในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนก็ได้แนะนำให้เราได้รู้จักคณะทำงานของ UNSCOM หรือ The United Nations Special Commission on Iraq ซึ่งทำการตรวจสอบการผลิตอาวุธชีวภาพ ในประเทศอิรัก โดยในขณะที่หนังสือตีพิมพ์นั้น ภารกิจการตรวจสอบของพวกเขาก็ยังไม่เสร็จสิ้น และยังไม่อาจคาดการณ์ต่อไปได้ว่า อนาคตของสงครามอาวุธเชื้อโรคที่อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไร
ตอนแรกก็ไม่ทันนึกถึงหนังสือเล่มนี้ที่ซื้อมาดองไว้นานมาก แต่บังเอิญคุยกับเพื่อนคนหนึ่งถึงเพื่อนอีกคน แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เพื่อนคนหลังเล่าให้ฟัง ถ้าจำไม่ผิด เจ้าตัวเล่าเรื่องที่คนสมัยก่อนใช้เครื่องดีดหิน ดีดเอาศพของคนที่เป็นกาฬโรคหรืออะไรสักอย่างเข้าไปในเมืองของศัตรู เป็นอาวุธเชื้อโรคยุคโบราณ ก็เลยมานึกได้ว่า เราเคยซื้อเรื่องเกี่ยวกับอาวุธเชื้อโรคเอาไว้นี่หว่า เป็นอันว่าได้ฤกษ์ปัดฝุ่นหนังสือไปอีกเล่มค่ะ
ส่วนตัวแล้วใช้เวลานานมาก กว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ไม่ใช่เพราะหนังสือไม่ดีนะคะ Plague Wars เป็นหนังสือสารคดีเชิงข่าวแนวสืบสวนสอบสวน (Investigative Report) ที่ดีมาก ๆ มีการบรรยายที่เห็นภาพ เรียงลำดับเหตุการณ์และเนื้อหาได้ชัด อ่านสนุกกว่านิยายบางเรื่องอีก และมีนิยามศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ทั้งชื่อโรคและหน่วยงานเอาไว้ให้ด้วย แต่เพราะความที่มีข้อมูลแน่น รายละเอียดเยอะ และตัวหนังสือเล็กทรมานลูกตาคนสายตาสั้นเอาเรื่อง ทำให้ต้องอ่านกันนานหน่อยเท่านั้นเอง และโดยภาพรวมแล้ว ข้อมูลค่อนข้างเป็นกลางใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าอ่านบางช่วงบางตอนแล้ว รู้สึกว่าอเมริกากับอังกฤษดูเป็นพระเอกแล้วรัสเซียเป็นผู้ร้ายไปหน่อย (แต่พอจะยกประโยชน์เรื่องสำนึกรักประเทศเกิดให้ได้แหละ)
เรื่องที่โหดที่สุดของเล่มนี้ คือ เรื่อง Unit 731 ค่ะ อ่านแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมคนจีนถึงเคืองญี่ปุ่นที่ไปเคารพ ศาลเจ้ายาสุกุนิเอามาก ๆ เพราะญี่ปุ่นทำกับเขาไว้เยอะจริง ๆ ปฏิบัติกับเชลยเหมือนสัตว์ทดลองดี ๆ นี่เอง (อ่านแล้วนึกถึง C.M.B. เล่ม 7 ที่พูดถึงข้อมูลการวิจัยด้วยการทดลองฉีดเชื้อโรคเข้าไปในมนุษย์แล้ว แล้วสังเกตอาการบันทึกเก็บไว้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และร้ายยิ่งกว่าแค่สังเกตอาการธรรมดา เพราะมีการนำเอาผู้ที่ป่วยจากเชื้อโรคที่ฉีดเข้าไป ไปผ่าชันสูตรตั้งแต่ยังไม่ตายเลยด้วยซ้ำไป)
ส่วนกรณีของรัสเซียกับซิมบับเว ถึงจะไม่โหดร้ายเท่ากรณีของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก แต่ผลของเชื้อโรคที่นำมาทดลองเพื่อใช้เป็นอาวุธที่หลุดออกไปโดยไม่ตั้งใจ และแบบที่ตั้งใจใช้เป็นอาวุธ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาล โดยเฉพาะกับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามแต่ต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ
ถ้าหามาอ่านได้ (คิดว่าคงเป็นมือสองแล้วนะคะ เพราะเช็คจากเว็บ Pan-Macmillan เรื่องนี้หมดสต็อกไปละ) ก็อยากให้อ่านเรื่องนี้ดูค่ะ แต่ถ้าหาไม่ได้ หรือไม่สันทัดภาษาอังกฤษแต่อยากทราบเรื่องอาวุธเชื้อโรค มีอีกเล่มหนึ่งที่อ่านง่ายกว่า และเจาะจงถึงลักษณะอาการที่เกิดจาก อาวุธเคมีชีวภาพแต่ละอย่างลงไปเลย คือเรื่อง มหันตภัยอาวุธชีวภาพและอาวุธเคมี ของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ น.พ. ประเสริฐ ทองเจริญ ค่ะ เล่มนี้มีทั้งประวัติการใช้อาวุธเชื้อโรค โรคและสารเคมีแต่ละชนิด และการรับมือกับสถานการณ์ เนื้อหาค่อนข้างเป็นวิชาการหน่อย แต่อ่านไม่ยาก ทำให้รู้จักภาพกว้าง ๆ ของอาวุธเชื้อโรคที่ได้รับคำนิยามว่า เป็น อาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงเป็นรองเพียงอาวุธนิวเคลียร์ ชนิดนี้ดีขึ้นอีกมากทีเดียวค่ะ
ป.ล. สำหรับคนที่อยากอ่านเรื่องแนวนี้แบบนิยาย แนะนำเรื่อง Cobra Event ของ Richard Preston นะคะ เพราะนิยายเรื่องนี้สนุกและสมจริงมาก ๆ และเป็นเรื่องที่ถูกเอ่ยถึงใน Plague Wars ด้วย ^ ^
แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 52 02:43:06
จากคุณ |
:
ปิยะรักษ์
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ส.ค. 52 02:26:53
|
|
|
|
 |