ความคิดเห็นที่ 6 |
|
หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส รพีพัฒน์ทรงเป็นชายาองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หลังทรงหย่าร้างกับ หม่อมคัทริน แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวมิยอมพระราชานุญาตให้ทรงทำการเสกสมรส
หลังจากสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จทิวงคต ในพินัยกรรม ทรงมอบทรัพย์สินมรดกทุกอย่างให้หม่อมเจ้าชวลิตโอภาสเพียงผู้เดียว ทรงมอบพระโอรสให้อยู่ในความดูแลของท่านหญิง และจะมีสิทธิ์ในมรดกก็ในเมื่อท่านหญิงสิ้นชีพิตักษัยแล้วเท่านั้น
พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นด้วยกับพินัยกรรม ความไม่เห็นด้วยสะท้อนมาจาก ทรงยับยั้งพินัยกรรมไม่ให้มีผลบังคับใช้ ดังนั้นแทนที่หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสจะเข้าครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด ก็กลายเป็นว่าทั้งแคทยา ท่านหญิงและพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ต่างได้รับเงินปันผลจากผลประโยชน์ของกองมรดก แต่มรดกส่วนใหญ่ยังอยู่เฉยๆ ต่อมาคือทรงเรียกวังปารุสกวันกลับคืนมาเป็นของพระมหากษัตริย์ ส่วนหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสต้องย้ายไปพำนักที่วังที่ท่าเตียน ซึ่งเคยอยู่มาก่อนจะได้เป็นชายา
หนึ่งปีต่อมา เมื่อหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสจะเสกสมรสใหม่กับหม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ กิติยากร พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นชอบที่จะให้คืนมรดกกลับไปให้พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสียก่อน จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เสกสมรสได้ เครดิต วิกิ ค่ะ
เคยอ่านแคทยากับเจ้าฟ้ากรุงสยาม รู้สึกว่ามันเป็นความอึดอัดใจหลายอย่าง อยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็พยายามปรับตัว หัดใส่เสื้อผ้า หมอบคลาน หัดพูด แต่ท้ายที่สุดเจ้าฟ้าพอกลับมาอยู่บ้านก็เห็นว่าสาวไทยอ่อนหวานกว่า...ฯลฯ เลยหมางเมินกันไป
จากคุณ |
:
p_or (p_or)
|
เขียนเมื่อ |
:
12 พ.ย. 52 01:16:03
|
|
|
|