ลาออกจากงานประจำ มาหุ้นกับเพื่อนทำธุรกิจ กำไรเท่าตัวในหนึ่งปี แล้วความสัมพันธ์ก็จบลง

ชีวิตเปลี่ยนได้ทุกวัน เพียงแค่การตัดสินใจชั่วข้ามคืน

หลายคนมีความคิดที่อยากเป็นเจ้านายตัวเอง ด้วยเหตุผลต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่งานประจำที่ทำอยู่ เงินเดือนไม่ปรับขึ้นตามค่าครองชีพ โบนัสน้อย สวัสดิการไม่มีให้ ขยันทำงานมาตลอดสุดท้ายโดนคนประจบเก่งแซงหน้า หัวหน้างี่เง่า ฯลฯ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำงานประจำมาสองบริษัท เงินเดือนเริ่มต้นหมื่นสาม ผ่านมาห้าปีได้หมื่นแปด หักค่ากิน ค่าเดินทาง แล้วเมื่อไรจะเก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัวเองได้เสียที ในระหว่างทำงานประจำก็มีเพื่อนสมัยเรียนชวนขายของในเนต ทำหน้าที่ส่งของให้ลูกค้ากทม.เพราะบ้านเพื่อนอยู่ต่างจังหวัด และมีเพื่อนที่กทม.อีกคนช่วยทำอยู่เหมือนกัน ช่วยกันทำมาเรื่อยๆมีรายได้เสริมซึ่งบางเดือนมากกว่าเงินเดือนประจำเท่าตัว แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา สินค้าที่ขายกันอยู่ในเนตมีนายทุนคนไทยหลายรายไปขอเป็นตัวแทนจำหน่าย ทางเมืองนอกได้แจ้งมาว่า หากต้องการขายสินค้าต่อ ต้องจัดตั้งเป็นรูปแบบบริษัทและกระจายสินค้าไปขายยังร้านค้าทั่วประเทศไทยให้ได้ ซึ่งเรามองเห็นอนาคตของสินค้าตัวนี้แล้วว่าไปได้อีกไกล แต่ต้องทำงานอย่างมีระบบมากขึ้น ประกอบกับงานประจำที่ทำอยู่ก็เป็นงานขายสินค้าให้ร้านค้าเหมือนกัน มีประสบการณ์ด้านนี้พอสมควรแล้ว จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ มาลุยเปิดบริษัทใหม่ พร้อมหุ้นกับเพื่อนอีกสองคน โดยให้เกียรติเพื่อนที่มาชวนเราขายของตั้งแต่แรกให้เป็นหุ้นส่วนใหญ่สุด สัดส่วน 40:30:30 เพื่อกันปัญหาตอนลงมติที่ประชุม ไม่ผูกขาดคนเดียว แต่ให้เงินเดือนเท่ากันหมด แล้วความสนุกก็เริ่มขึ้น .....

ในความคิดเริ่มแรกของผมที่อยากหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัท เพื่อที่จะได้ช่วยกันใช้ความสามารถของแต่ละคนในการทำงานให้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการเริ่มก่อตั้งใหม่กับการกดดันจากเมืองนอกที่ให้โอกาสเป็นตัวแทนจำหน่าย โดยมีผู้นำเข้าเจ้าใหญ่จ่อคิวอยู่ ในช่วงไตรมาสแรกทุกอย่างไปได้สวย ทุกคนลงมือช่วยกันออกไอเดียอย่างเต็มที่ นำเสนอสินค้าให้กับร้านค้าหลายร้านได้รับผลตอบรับที่ดี หุ้นส่วนใหญ่ก็ลงมาช่วยงานตลอดเวลา แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนเนื่องจากต้องสั่งสินค้ามาสต๊อกจำนวนมาก และต้องลงทุนหลายอย่างในการเปิดบริษัทใหม่ .....

จากคุณ : Beetle7778 [9 ธ.ค. 55 00:53:28 ]
ความเห็นที่ 1

สามเดือนผ่านไป หุ้นส่วนใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัดก็เริ่มลงมากรุงเทพน้อยลง โดยบอกว่ามีภาระที่บ้านต้องช่วยเหลือด้วย เดินทางไกลอันตราย ขับรถเหนื่อย แต่ก็จะพยายามช่วยงานจากทางโน้น ใช้วิธีส่งเมล์หากัน ทำงานผ่านเนตแทน เลยมอบหมายงานเรื่องเวบไซต์บริษัทให้ดูแล จะให้ลงมาช่วยงานที่กทม.เฉพาะตอนเข้าไปคุยกับร้านค้าใหม่ ผมและเพื่อนอีกคนก็ลุยงานที่บริษัทกันต่อ ทำกันทุกอย่างตั้งแต่สั่งสินค้าจากเมืองนอก หาลูกค้าใหม่ นับสต๊อก รับออเดอร์ เปิดบิล ส่งของ เก็บเงิน เคลมสินค้า การตลาด จัดกิจกรรม โบรชัวร์ บัญชี ฯลฯ เหนื่อยมากแต่ก็สนุกกว่าเป็นลูกน้องไม่ต้องทนหัวหน้ามาด่าว่า

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หุ้นส่วนใหญ่ก็เริ่มมากทม.น้อยลงทุกเดือนๆ ทุกครั้งที่มาก็จะมาทำธุระส่วนตัวเป็นหลัก แวะเข้ามาบริษัทเพื่อมาขอดูยอดขายกับจำนวนออเดอร์ใหม่ ชวนกินข้าวแล้วพร้ำเพ้อวาดฝันถึงอนาคตบริษัท พอถามเรื่องเวบไซต์ที่รับไปทำก็บอกว่ากำลังลองทำอยู่ ผ่านไปอีกสามเดือนก็บอกว่าลองทำแล้วไม่สวยเลยลบทิ้งไปหมด เดี๋ยวจะจ้างทำแล้วกัน ผมกับเพื่อนก็เลยบอกไปว่า งานบริษัทตอนนี้เริ่มมากขึ้นแล้ว มาช่วยกันทำหน่อย หุ้นส่วนใหญ่ก็บอกแค่ว่า ให้ช่วยอะไรก็บอกมา เลยมอบหน้าที่ให้ไปช่วยหาร้านค้าใหม่เพิ่ม สินค้าจะได้กระจายได้เร็วขึ้น

ผ่านไปอีกสามเดือน ไม่มีงานใดๆเลยที่มาจากหุ้นส่วนใหญ่ ถามกลับไปก็อ้างว่ากำลังวางแผนทำอยู่ใจเย็นๆ ในช่วงนั้นทางเมืองนอกจะให้บริษัทไปออกงานแสดงสินค้าที่ไบเทค ผมกับเพื่อนอีกคนก็วุ่นวายกับเรื่องจัดงานเพิ่มขึ้นอีก จนกระทั่งงานเริ่มหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่เคยลงมาช่วยเตรียมงาน มาแต่วันจัดงาน ซึ่งผมกับเพื่อนก็อยู่ในงานด้วยตลอด เสร็จงานก็กลับต่างจังหวัดไป แล้วธาตุแท้ของคนก็เริ่มปรากฏขึ้นมา ....

หลังจบงาน ผมกับเพื่อนอีกคนเคลียร์สต๊อกและยอดขายทั้งในงานและยอดรวมทั้งปี ปรากฏว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัวของเงินลงทุน เราดีใจกันมากที่ทำงานกันมาจะได้หายเหนื่อยซะที แล้วจะได้วางแผนขยายธุรกิจกันต่อไปได้อีก จะได้จ้างคนเพิ่มมาช่วยงาน พอหุ้นส่วนใหญ่รู้ว่ามีกำไรเยอะขนาดนั้นรีบลงมากรุงเทพทันที ถามแต่จะแบ่งกันเมื่อไร แต่ต้องแบ่งตามสัดส่วนหุ้นเท่านั้นนะ เรากับเพื่อนอีกคนเลยบอกไปว่า “ครั้งนี้แบ่งตามหุ้นได้ แต่หลังจากนี้ขอเงินเดือนมากกว่าหน่อยเพราะหน้าที่รับผิดชอบทางเรามากกว่า คุณแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนเงินปันผลก็แบ่งตามหุ้นเหมือนเดิม” หุ้นส่วนใหญ่ได้ยินแบบนี้ ตอบกลับมาว่า “ตอนแรกไม่ได้ตกลงกันแบบนี้ เราต้องได้มากกว่าตามสัดส่วนทุกอย่าง อย่างน้อยก็มีค่านำพา เพราะเราเป็นคนชวนอีกสองคนมาทำตรงนี้ จริงๆเราจะทำคนเดียวก็ได้” โดนทวงบุญคุณแบบนี้ถึงกับไปต่อไม่เป็น ดูทรงแล้วท่าจะไปกันไม่รอด เลยบอกไปว่า “ถ้าแบบนี้ปิดบริษัทแล้วแบ่งเงินกันไปเลยแล้วกัน” หุ้นส่วนใหญ่ตอบว่า “ปิดไม่ได้ เสียภาพลักษณ์”

ผมกลับมานอนคิดและปรึกษาหลายคน จนหลายวันต่อมาจึงตัดสินใจไปบอกหุ้นส่วนทั้งสองว่า ถ้าจะไม่ปิดบริษัทก็ขอเงินลงทุนคืนบวกกำไรตามสัดส่วน เพื่อนอีกคนก็บอกว่า ถ้าแบบนี้ขอถอนหุ้นด้วย ซึ่งการถอนหุ้นมันไม่ง่ายเหมือนที่คิด การถอนหุ้นคือการขายหุ้นของตัวเองให้กับคนอื่นแทน ถ้าไม่มีคนซื้อหุ้นก็ถอนออกไม่ได้ หุ้นส่วนใหญ่จึงมาต่อรองว่า เดี๋ยวจะซื้อหุ้นไว้เองทั้งหมด แต่ส่วนกำไรที่ได้คงแบ่งตามสัดส่วนทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องไปกู้เงินมาซื้อหุ้นเพิ่ม สงสารกันบ้างได้มั้ย ในช่วงนั้นเองก็มีการดราม่ากันต่างๆนานา ยกความดีในอดีตมาทวงบุญคุณ พูดให้ตัวเองดูน่าสงสาร ซึ่งทำให้ตัวผมยิ่งรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นไปอีก

ผมจึงตัดสินใจถอนหุ้นพร้อมเงินก้อนหนึ่งที่น้อยกว่าที่ควรจะได้รับ ถือว่าทำบุญให้จะได้หมดบุญคุณต่อกัน เป็นบทเรียนชีวิตที่ห้องเรียนหรือตำราเล่มไหนก็ไม่มีสอน เข้าใจกับสิ่งที่เคยได้ยินมาว่าอย่าทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน ร้อยพ่อพันแม่สันดานคนไม่เหมือนกัน แต่ก็ได้เพิ่มประสบการณ์การทำงานใหม่ให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น จนถึงวันนี้ผมก็ยังค้นหาอยู่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี ลองกลับไปสมัครงานก็ไม่มีใครรับ เรียกสอบข้อเขียนแล้วเงียบไปเลย ไปนั่งช่วยงานออฟฟิศเพื่อนก็ไม่ใช่ตัวเอง


การเริ่มต้นใหม่มันยาก แต่เมื่อได้เริ่มแล้วก็ยากที่จะหยุดเหมือนกัน

จากคุณ : Beetle7778 [9 ธ.ค. 55 00:55:32 ]
ความเห็นที่ 2

ปล. เรื่องทั้งหมดมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ไม่สามารถเจาะลึกได้ ฝากเป็นแนวคิดให้สำหรับคนที่กำลังจะลงทุนร่วมกับเพื่อน

จากคุณ : Beetle7778 [9 ธ.ค. 55 00:57:46 ]
ความเห็นที่ 3

เป็นกำลังใจให้ครับ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตอนนี้ผมยังเปิดบริษัทไม่ได้ เพราะไม่รู้จะหาหุ้นส่วนมาจากไหน จะเอาเพื่อนมาก็กลัวมีปัญหา เลยขอเป็นกิจการเจ้าของคนเดียวไปก่อน

จากคุณ : อาคารกระดาษ (อาคารกระดาษ) [9 ธ.ค. 55 02:10:34 ]
ความเห็นที่ 4

อืม เสียดาย

จากคุณ : Rasia [9 ธ.ค. 55 05:19:28 ]
ความเห็นที่ 5

เสียดายจังค่ะ ขอให้คุณได้เริ่มต้นใหม่เร็วๆนะคะ

จากคุณ : ppmamee [9 ธ.ค. 55 06:59:31 ]
ความเห็นที่ 6

เคยทำงานกับบริษัทของเพื่อน  สุดท้ายผมต้องลาออก

เกือบปีแล้วที่ผมไม่ไปหาและไม่เคยโทรคุยอีกเลย

จากคุณ : THE FINAL 2 [9 ธ.ค. 55 07:22:29 ]
ความเห็นที่ 7

กำไรก็ดี งานบางส่วนถ้าหุ้นส่วนไม่ช่วยน่าจะจ้างคนทำ ตัดเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทไป จะได้ไม่ต้องมีปัญหาว่าทำแค่สองคนแทบตายแล้วสุดท้ายแบ่งตามหุ้นอย่างเดียว

ถ้าหุ้นส่วนทำงานเองน่าจะตกลงเรื่องเงินเดือนตามเนื้องานที่รับผิดชอบด้วย ใครอยากสบายก็ทำงานน้อยรับเงินเดือนน้อย รอปันผล ใครทำมากก็รับเงินเดือนมากปันผลตามหุ้นก็ยุติธรรม

จากคุณ : rujipars_a [9 ธ.ค. 55 08:21:19 ]
ความเห็นที่ 8

ค่านำพา ถ้าจะให้ชัดเจน ในระบบบริษัทมีส่วนที่เรียกว่าค่าแห่ง goodwill ซึ่งตกลงกันได้ตั้งแต่แรก  ถือเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นก็ได้ เช่น ได้หุ้น 20% โดยไม่ต้องลงเงินในส่วนนั้น แต่การได้หุ้นคือมีผลตอบแทนตลอดไปตามการเติบโตของ"กำไร"ของบริษัท ส่วนจะลงหุ้นที่เป็นเงินอีกเท่าไหร่ก็แล้วแต่

จากคุณ : rujipars_a [9 ธ.ค. 55 08:27:16 ]
ความเห็นที่ 9

ไม่หาความรู้ในเทคนิคการทำธุรกิจเพิ่มเติม พอมีปัญหาเกิดก็แก้ไม่เป็น จุดจบก็คือเลิกกัน มันง่ายดี
เรื่องทำนองนี้มันไม่แปลกเลยที่จะเกิดขึ้นกับผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ

จากเรื่องราวที่เล่ามา ถ้าคุณใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา มันจะไปได้ดีมาก ไม่จบแบบนี้

จากคุณ : preepa11 [9 ธ.ค. 55 08:40:10 ]
ความเห็นที่ 10

ไม่ต้องเพื่อน ญาติ พี่น้อง ก็เปลี่ยนได้

จากคุณ : อ้ายวี [9 ธ.ค. 55 09:19:23 ]
ความเห็นที่ 11

อืมมมมม ** ได้แง่คิดอีกมุมมอง **

จากคุณ : THE FINAL 2 [9 ธ.ค. 55 09:20:15 ]
ความเห็นที่ 12

ลงทุนกับแฟนจะเป็นงี้ป่าวเนี้ย

จากคุณ : สี่สิบดีกรี [9 ธ.ค. 55 10:15:20 ]
ความเห็นที่ 13

มันเป็นเรื่องจริงๆที่ว่าลงทุนกับเพื่อนแล้วจะทะเลาะกัน เจอมาหลายคู่แล้ว
เห็นใจครับและเป็นกำลังใจให้สู้ๆครับ

จากคุณ : เก็บดอกไม้ [9 ธ.ค. 55 10:52:02 ]
ความเห็นที่ 14

ถึงขั้นเป็นตัวแทน เอาของมาขาย กระจายทั่วประเทศ ออกงานใหญ่ๆ ระดับประเทศ

ผมว่าคุณคงเหมาะที่จะเป็นนายตัวเองมากกว่านะครับ ลองดูสินค้าตัวอื่นแทนซิครับ หรือไม่ก็ทำแนวเดิม จะดีกว่า

แต่อย่างน้อย ยังทำให้รู้ว่าเพื่อนอีกคนที่ช่วยงานกันตลอด ยังเป็นเพื่อนแท้นะครับ

อาจจะลองทำกับเพื่อนคนนั้นดูก็ได้ ดีไม่ดีอาจจะดีกว่าที่เคยทำมา

สู้ๆครับ

จากคุณ : Miracle Boy [9 ธ.ค. 55 11:04:50 ]
ความเห็นที่ 15

เห็นด้วยกับความเห็นที่ 14 ความสามารถของคุณรอบด้านขนาดนี้ ให้ไปเป็นลูกน้องคน ก็คงจะัไม่เพียงพอกับความสามารถที่คุณมี คุณควรหาทุนซักก้อน ลงทุนกับสินค้าซักตัวนึง โดยคุณอาจจะทำคนเดียวหรือหาคนมาร่วมทำด้วยก็ได้ เสี่ยงหน่อยแต่คุ้มนะครับ

จากคุณ : Sauce [9 ธ.ค. 55 11:19:02 ]
ความเห็นที่ 16

แล้วทำไมไม่เปิดบริษัทใหม่แล้วลุยงานเดิมต่อล่ะครับ หรือหากเพื่อนอีกคนยังดีอยู่ ก็ร่วมหุ้นกันทำก็ได้

จากคุณ : Morning Star [9 ธ.ค. 55 13:57:35 ]
ความเห็นที่ 17

รวมกับเพื่อน หุ้นเท่ากับ60% ใช้สิทธออกเสียง ไล่หุ้นใหญ่ออกจากกรรมการบีิหาร ตั้งเงินเดือนให้กรรมการ หุ้นใหญ่ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นแทน ส่วนจะปันผลเท่าใหร่ต่อหุ้นให้ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท

จากคุณ : หมอคานู [9 ธ.ค. 55 15:20:42 ]
ความเห็นที่ 18

เป็นกำลังใจให้ครับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆที่หาได้ทั่วไปครับ

จากคุณ : ผมชื่อกานต์ [9 ธ.ค. 55 15:29:43 ]
ความเห็นที่ 19

ผมเคยเตือนเพื่อนว่า เพื่อนบางคนคบสนุกๆ ไปเที่ยวเฮฮาได้ แต่ยุ่งเรื่องผลประโยชน์ไม่ได้

แต่เพื่อนคนนั้นก็ไม่ฟัง ยังโดนความเป็นเพื่อนบังตาอยู่

คุณ จขกท.ดีแล้วล่ะครับ ที่แยกจากกันแต่เนิ่นๆ จะได้หาหนทางที่เหมาะกับตัวเอง

เป็นกำลังใจให้นะครับ

จากคุณ : สุชาญ [9 ธ.ค. 55 18:52:51 ]
ความเห็นที่ 20

ส่วนตัวเราคิดว่าไม่ว่าจะลงทุนกับใคร ถ้ามีคนที่คิดเอาเปรียบ ก็ต้องมีแบบนี้ ไม่ใช่แต่เพียงเพื่อน ญาติ พี่น้อง หรือคนอื่น



การลงทุนร่วมกับเพื่อน แท้จริงบอกไม่ได้ ว่าดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร
แต่เพื่อนสนิท คือคนที่ไว้ใจที่สุดไม่ใช่หรือ

ในเหตุการณ์นี้ อย่าลืมหุ้นส่วนอีกคนที่ร่วมกอดคอลุยกันมา อย่าลืมเขานะคะ

จากคุณ : โดดเดี่ยวผู้น่ารัก [9 ธ.ค. 55 19:02:49 ]
ความเห็นที่ 21

เท่าที่อ่านดู คิดว่าทางออกที่ดีสำหรับทุกคนมากกว่านี้น่าจะมีนะคะ
แต่คิดว่าคุณ จขกท อาจจะไม่ได้บอกปัญหาทั้งหมดออกมา

ขอบคุณนะคะสำหรับมุมมองอีกด้านหนึ่ง

จากคุณ : โกโก้ปั่นใส่กล้วย [9 ธ.ค. 55 19:40:58 ]
ความเห็นที่ 22

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ

หลายความเห็นตรงกับที่ผมเคยคิดไว้ ทั้งออกมาทำแข่ง ดึงสินค้ามาทำต่อเอง ฐานลูกค้าเราก็มีอยู่เพราะเราเป็นคนวิ่งหาลูกค้าเอง ร้านค้าก็ถามว่าไม่ทำต่อล่ะ หาอย่างอื่นมาขายก็ได้ ติดอยู่อย่างเดียวคือ"ศักดิ์ศรี"ครับ ผมบอกกับหุ้นส่วนวันที่ถอนหุ้นว่าผมจะไม่มาทำธุรกิจวงการนี้อีก จะได้จบปัญหาทุกอย่าง ไม่อยากเป็นขี้ปากใครต่อใครด้วยครับ

ลองกลับไปนั่งทำงานออฟฟิศอยู่สองเดือนก็ต้องขอลาออกเลยครับ อึดอัดมากๆ นั่งหน้าคอมวันละแปดชั่วโมง อยู่บนถนนอีกสามสี่ชั่วโมง เจอคนนินทาลับหลัง ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งเจ้านายตลอด มีหลายคนที่รู้ประวัติเราชักชวนให้ไปทำงานด้วยหลายที่

แต่ตอนนี้ขอลองลุยเองอีกสักครั้ง ยุคนี้จะหาสินค้าซักตัวมาขายยากมากครับ พอเราเจอคนอื่นก็สั่งมาขายกันแล้ว สินค้าต่างประเทศก็ไม่ได้มีคุณภาพเสมอไป ปัญหาการเมืองเศรษฐกิจบ้านเราก็เดาทางไม่ถูก บางวันก็มานั่งเครียดซึมเศร้าอยู่คนเดียวเพราะยังมองไม่เห็นอนาคตตัวเอง การทำธุรกิจส่วนตัวไม่จำเป็นต้องฉลาดมาก แต่ต้องเฉลียวและทำถูกที่ถูกเวลาด้วยครับ ตอนนี้ก็ทำใจเย็นๆค้นหาอนาคตอยู่ต่อไปครับ นั่งอ่านพันธ์ทิพย์เรื่อยๆเผื่อจะเจอไอเดียดีๆบ้าง

เพื่อนผมอีกคนก็เข็ดเหมือนกันครับ เลยยังไม่อยากหุ้นกันตอนนี้ แต่ก็ยังคุยกันดีอยู่ทุกอาทิตย์ ตอนนี้ไปลองเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วครับ

จากคุณ : Beetle7778 [9 ธ.ค. 55 20:53:57 ]
ความเห็นที่ 23

ขี้ปากคนอื่นกับธุรกิจตัวเอง อย่าไปแคร์ครับ .... ศักดิ์ศรี กินไม่ได้ ยกวางลงเถอะครับ ...​ทำอะไรที่ตัวเองมีประสบการณ์แบบตัวคนเดียว ...​รับรอง รุ่งครับ เชื่อผม ศักดิ์ศรี วางไว้ก่อนครับ ...

จากคุณ : pwit [9 ธ.ค. 55 21:02:22 ]
ความเห็นที่ 24

ของผมแชร์บ้างครับ

หุ้นส่วนของผมเป็นพี่ที่รู้จักกัน บอกตรๆมองจากภายนอกดูยังไงก็มีแต่คนเตือนผมว่า อย่าเสี่ยงเลย เดี๋ยวจะโดนโกง
ทางเขา เขาก็กลัวว่าผมจะโกงเขาเหมือนกัน
วันไหนมีงานเยอะๆอะไรแบบนี้

เพราะงั้นผมก็เลยคิดวิธีการที่ดีขึ้นมา ในการเข้าถึงหุ้นส่วนครับ

1. เรากับเขาต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน ในทางพฤติกรรม หรือ ใกล้เคียงที่สุดครับ  เช่น ไปกินข้าวบ้านพี่บ้าง
ไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน ไปเล่นกับลูกพี่เค้าบ้าง พูดคุยถามไถ่กับพ่อแม่เค้าเสมอ เหมือนอยู่บ้านเดียวกัน ความสัมพันธ์และการเกรงใจแบบนี้ เราสามารถให้เค้าก่อน อย่าเอาเปรียบเค้า
2. เล่าปัญหาชีวิตของเราให้เค้าฟัง แต่มาตรฐานการทำงานของเราต้องเท่าเดิม ต้องแบ่งปันปัญหากันเสมอ เราพูดให้เขาฟัง และเรารับฟังปัญหาของเขา เพื่อจะได้รู้ว่า อะไรมันกระทบอะไรบ้าง อย่างกรณีของ จขกท ทำไมเขาไม่มาทำที่กรุงเทพเลย เขามีปัญหาอะไร เขาแชร์ให้ฟังหรือไม่ จขกท กับเพื่อนอีกคน เคยไปสัมผัสถึงที่บ้านของเขามั้ย

3. เพิ่มความรู้และทักษะของตัวเองเสมอ รวมไปถึงความรู้เรื่องบริหารจัดการต่างๆด้วย เพราะถ้าวันนึงเราโดนเอาเปรียบแบบนี้ เราจะลอยแพเขาแล้วเราทำต่อ ย่อมสบายมาก

4. เวลาทำงาน จะพูดเรื่องความสวยงามของบริษัท องค์กร ให้น้อยๆ แต่จะพูดเรื่องปัญหา ให้เยอะๆ เช่น เฮ้ยพี่ผมเจอเคสแบบนี้มา จะแก้ยังไง , พี่ ตรงนี้พี่มีความเห็นยังไงบ้าง มันจะเวิร์คมั้ย....

5. ไม่โกหก เน่าคือเน่า , พังคือพัง , เสียคือเสีย ด่ากันไว้ทีหลัง แก้ปัญหาต้องมาก่อน

คนทุกคนเวลาพูดเรื่องผลประโยชน์ จะพูดแต่เรื่องโลกสวยทั้งนั้นครับ เพราะอยากได้เงิน



เคสของผมที่ยกตัวอย่าง อาจจะไม่ถูกทั้งหมดหรอกนะครับ แค่เล่าประสบการณ์เฉยๆ พี่ของผมทั้งสองคนเป็นคนที่แก้ปัญหา ไม่ยึดติดอะไรทั้งสิ้น ไม่เคยเซ็นสัญญาจ่ายเงินอัตราส่วนอะไร ผมก็ยอมรับได้ในเงินส่วนที่ผมได้ และผมไม่เคยเรียกร้องเพิ่มเติมอะไร

เพราะผมต้องพึ่งฝีมืออีกด้านนึงของเค้า ซึ่งมันสำคัญกับองค์กรมาก
เค้าต้องพึ่งฝีมือของผม ซึ่งมันก็สำคัญไม่แพ้กัน
ต่างคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความเกรงใจมันจึงส่งผลออกมาจากการกระทำเสมอ ทำให้เราเหมือนเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและผมก็ภูมิใจ ทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกันกับพี่ อาหารอีสาน หรือผัดหอย หรือต้มแซบ จะสนุกสนานมาก ได้คุยกินกันเฮฮาเสมออย่างจริงใจครับ

แม้กำไรจะไม่เยอะ แต่ยอดงานตอนนี้ 9แสน6 แล้วครับ (เปิดมาตอนเดือน มี.ค. ปีนี้)


สำหรับปัญหาหุ้นส่วน ผมคิดว่า เราต้องลงลึกไปถึงปัญหาส่วนตัวของหุ้นส่วนคนๆนั้นเลยครับ ว่ามันมีผลกระทบต่อองค์กรไหม ปัญหานั้นๆมีผลกระทบต่อการทำงานไหม

ถ้ามี - เขาสามารถทำงานได้เท่าเดิมไหม คุณภาพงานยังเหมือนเดิมมั้ย
   - ได้ - แฟร์
   - ไม่ได้ - ต้องให้ออกจากหุ้นส่วน

ถ้าไม่มี - เขาควรจะทำงานได้เท่าเดิม (ไม่มีปัญหาส่วนตัวแล้วนี่ ก็ทำงานได้เต็มที่สิ)
      -ถ้าทำได้-รวย
      -ถ้าทำไม่ได้-เอาเปรียบและโกงครับ ควรตัดออก

จากคุณ : sillygang [9 ธ.ค. 55 21:45:09 ]
ความเห็นที่ 25

ควรทำตาม คห 17 นะครับ
แต่ก็ผ่านไปแล้ว
คราวหลังถามในพันทิปนี้ก่อน ดีที่สุดครับ

จากคุณ : ukawamail [9 ธ.ค. 55 23:17:20 ]
ความเห็นที่ 26

ผมว่าคุณทิฐิมานะมากเกินไป

สิ่งที่พวกคุณทำกันมา อยู่ในตลาดได้แล้ว ทั้งตลาด ทั้งสินค้า

การที่คุณถอยออกมา ขออภัยถ้าบอกว่า "ไม่ฉลาดนัก"  เพราะสิ่งที่คุณทำ ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า  lost-lost

คือคุณก็ไม่ได้อะไร หุ้นส่วนใหญ่คนเก่าก็ไม่ได้อะไร  เหมือนสามคนช่วยกันต่อเรือ  พอแบ่งเรือกันไม่ลงตัว ก็เจาะเรือรั่ว แล้วก็โดดขึ้นฝั่งกันหมด 3 คน แล้วไม่เจอหน้ากันอีก

กรณีเก่าที่คุณเจอ  คุณและเพื่อถือหุ้นรวมกัน 60%  คุณสองคน ควรขอซื้อหุ้นต่อจากเพื่อนคนนั้นมากกว่าที่จะขายให้เขา

เพราะเสียงผู้ถือหุ้น คุณรวมกันก็มากกว่าเขาอยู่แล้ว

หนทางที่ต่อรองมา น่าจะไม่มีใครได้อะไรจริงๆ

น่าเสียดายครับ

แต่อยากให้กำลังใจว่า ปัญหาเหล่านี้ เจอกันมาแทบทุกคนที่ทำหุ้นส่วนนะ มากบ้างน้อยบ้าง  เพื่อนบางคน คบหา รู้นิสัยกันดีสุดตอนทำธุรกิจที่มีผลประโยชน์ต้องแบ่งกันเนี่ยแหละครับ

ผมเองก็เคยเจอ  ผมเป็นตัวตั้งตัวตี แต่สุดท้ายผมลุยคนเดียวแทบทั้งหมด หุ้นส่วนที่หวังว่าจะช่วยกัน ไม่ออกมาลุย ฝีมือไม่ถึง สุดท้าย ผมคืนหุ้นให้ทุกคน หลังหักค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์สำนักงานแล้ว แล้วลุยต่อคนเดียว  ผ่านมา 20 ปี ไวเหมือนโกหก ตอนนี้ผมสบายแล้วครับ

อยากให้คุณเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆด้วยตนเองอีกครั้งครับ  เพราะที่คุณเล่ามา คุณมีพื้นฐานในการหาลูกค้าอยู่แล้ว  เพียงแต่ ต้องเริ่มจากเล็กๆ แล้วระหว่างนั้น จะเห็นช่องทางไปเองครับ  ขอให้โชคดี

จากคุณ : ป้อม (Bgate) [วันรัฐธรรมนูญ 55 00:50:33 ]
ความเห็นที่ 27

ระหว่างช่วงตัดสินใจ ผมกับเพื่อนก็คุยกันว่าจะซื้อหุ้นมาลุยต่อเหมือนกันครับ
แต่พอลองคำนวณปัจจัยหลายๆอย่างแล้ว ไม่อยากเสี่ยงที่จะลงทุนเพิ่ม เพราะเราเป็นคนลุยงานเองจะรู้ปัญหาต่างๆ เลยเสนอให้ปิดบริษัทแบ่งกันไปเลย ส่วนอีกคนมองแต่ตัวเลขรายรับ ไม่ได้ลงรายละเอียด ตอนนี้สินค้าตัวนั้นก็ไปอยู่กับเจ้าอื่นแล้วครับ

ส่วนเรื่องศักดิ์ศรี กินไม่ได้ แต่ทำให้ความจริงปรากฏได้ครับ ทำให้ผมยังไปสังสรรค์กับเพื่อนในกลุ่มได้เหมือนเดิม ไม่ต้องเสแสร้งสร้างภาพ เรื่องราวมีรายละเอียดอีกเยอะครับ ที่พิมพ์มาเป็นเพียงบทสรุปสั้นๆเท่านั้น

ผมเห็นคนที่หุ้นกับเพื่อนทำงานแล้วประสบความสำเร็จร่วมกันก็มีครับ คล้ายกับความเห็นที่ 24 เลยครับ กินนอนเที่ยวมากกว่าอยู่กับครอบครัวเสียอีก

จากคุณ : Beetle7778 [วันรัฐธรรมนูญ 55 01:35:47 ]
ความเห็นที่ 28

ไม่ทราบว่าปรัชญานี้มีมานานแล้วหรือยัง
รู้แต่ว่า ชอบมาก ..

"การเริ่มต้นใหม่มันยาก แต่เมื่อได้เริ่มแล้วก็ยากที่จะหยุดเหมือนกัน"

เจ๋อ

จากคุณ : เจ๋อหน้าจอ [วันรัฐธรรมนูญ 55 09:34:06 ]
ความเห็นที่ 29

เจอปัญหาที่ตรงกันข้ามหนะคะ  เป็นประสบการณ์ของคุณพ่อ
หุ้นส่วนกับเพื่อน  คุณพ่อจบ ป.7 แต่ทำงานและศึกษามาโดยตลอด
พอมาเปิดบริษัท  คุณพ่อทุ่มเทกับบริษัทมาก  เวลามีประชุม จะหาข้อมูลและปัญหามาถกตลอด
ส่วนเพื่อนๆคุณพ่อ ที่เป็ฯหุ้นส่วน  เนื่องจาก จบสูงกว่า ต้นทุนดีกว่า แต่ประสบการณ์อาจจะน้อยกว่า
ทำให้เค้าไม่พอใจที่คุณพ่อทุ่มเทงานมากเกินไป  เลยเกิดเป็นปัญหา ภาษาผู้หญิงเค้าคงเรียกว่าประมาณ หมั่นไส้ มั้งคะ
แล้วบริษัทก็เลยต้องปิดตัวลง  ด้วยปัญหาหยุมหยิม แค่เนี้ยะ
พอเลยมาเปิดเองซะเลย  ^^

และพ่อก็พูดตลอดว่า คนไทยทำงานเป็นทีม ยาก
สาเหตุมันมาจากอะไรน้อ  ทำไมบริษัทใหญ่ๆ ที่มีผู้ร่วมหุ้นเยอะๆ  เค้าไม่มีปัญหาบ้างหรือ

จากคุณ : Himawari_Chang [วันรัฐธรรมนูญ 55 15:45:29 ]
ความเห็นที่ 30

ตั้งบริษัทเอง คนเดียว

ติดต่อบริษัทต่างประเทศ เจ้าเดิม

บอกไปตรงๆ ว่า แยกทางกัน จะขายให้เรามั๊ย

แล้วทำเองต่อ ฐานลูกค้าเดิมก่อน

ไม่สนใจใครทั้งสิ้นครับ...

จากคุณ : afood [วันรัฐธรรมนูญ 55 19:41:00 ]
ความเห็นที่ 31

ขออ่านเป็นความรู้นะครับ

จากคุณ : disketjet (disketjet) [วันรัฐธรรมนูญ 55 20:24:35 ]
ความเห็นที่ 32

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ

จากคุณ : squeezy [วันรัฐธรรมนูญ 55 22:23:40 ]
ความเห็นที่ 33

ผมว่าเพื่อนคุณก็คงไม่ทำต่อหรอก อยู่ต่างจังหวัดงานทางโน้นท่าทางจะเยอะ ร้างลาจากธุระกิจนี้ไปนานจากที่ปล่อยให้คุณลุยเอง ผมว่าลองดูสักพักถ้าเค้าไม่ทำคุณก็น่าจะกลับมาทำต่อนะครับ แต่ระหว่างนี้สานสัมพันธ์กับคู่ค้าเอาไว้นะครับอย่าให้ขาด ผมว่าสมัยนี้ connection สำคัญมากครับถ้าทิ้งไปเลยเสียดายครับ

ว่าแล้วผมยังอยากจะร่วมกับ จขกท. ทำเลยผมอยากได้ connection ที่มีอยู่แล้ว

จากคุณ : tailup [วันรัฐธรรมนูญ 55 22:25:38 ]
ความเห็นที่ 34

ขาดทุนเงินที่หุ้นไป แต่กำไรชีวิตที่ได้คือ
1. คุณได้เพื่อนแท้ที่ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆนานามาด้วยกัน
2. คุณได้เห็นธาตุแท้เพื่อนผู้นำพา ที่มิได้นำพา

กำไรเห็นๆเลย.....ยังไงก็สู้ๆนะคะ เราว่าผ่านมาได้ขนาดนี้
เริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการเองได้ไม่ยาก

จากคุณ : เกาเหลาเส้นใหญ่ไม่ใส่ผัก [11 ธ.ค. 55 00:48:49 ]
ความเห็นที่ 35

น่าเสียดายครับ อุตส่าห์ทำธุรกิจมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว เป็นผม ผมคงบอกหุ้นส่วนอีกคนที่อยู่ ต่างจังหวัดให้ถอนหุ้น หรือ ให้เขาเลือกครับว่า จะยังอยู่ก็ได้นะ แต่ได้แค่ปันผลเท่านั้น นอกนั้นไม่มีให้ ทั้งเงินเดือน และ อื่น ๆ

ถ้ายอมก็ทำต่อไป ถ้าไม่ยอมก็ต้องให้ถอนหุ้น ก็ให้เขา่เลือกครับ

จากคุณ : chang_kung [11 ธ.ค. 55 08:38:58 ]
ความเห็นที่ 36

จขกท เดี๋ยว ก็ หา ที่อยากทำเจอแหงๆ

เคย ทำได้ ขนาดนั้นแล้ว จะ เริ่ม อีก คงไม่ยาก

จากคุณ : ก้นกบ [11 ธ.ค. 55 10:45:59 ]
ความเห็นที่ 37

เข้ามาดู ...

จากคุณ : D_YONG [11 ธ.ค. 55 10:59:25 ]
ความเห็นที่ 38

นิสัยคนเราเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนพวกยิว มันทำสัญญากันตายตัวและเซ็นกันไว้เลย
ไม่มีพวกขายฝัน เอาเงินมาลงแล้วมาเอาส่วนแบ่ง

มองแบบนี้ ถ้าทีแรกควรจัดการแบบ เอาเงินมาลง แบ่งเป็นหุ้นละกี่บาทก็ว่ากันไป ได้ไปตามสัดส่วนคนที่ลง เหมือนขายหุ้น IPO

จัดเงินเดือนกันตามปกติ เอาเงินที่ลงหุ้นมาเตรียมจ่ายเงินเดือน ทำ Cashflow ออกมา

ใครไม่ทำ หักเงินเดือนไป ไม่เกี่ยวถือหุ้นเยอะน้อย เดี๋ยวกำไรก็รอโหวตให้เอาปันผลออกมา

ตอนกำไร หากกำไร 100% จะปันผล 20-30-50% ก็ว่าไป เงินที่เหลือเอาไว้ทำทุนต่อ .. หุ้นใหญ่ ถ้าไม่ถึงครึ่งก็ต้องโหวตแพ้หุ้นที่เหลือ ....

กติกาเหมือน หลักการบริษัทในตลาดหุ้นไปเลย แฟร์ๆ ไม่ใช่ลงเงินแล้วทำเจ๋ง มีดราม่า พอกำไรจะเอาเงิน พอเจ๊งด่าคนทำงาน

....

จขกท. เก่งมากนะครับ ผมว่าต้องไปได้ดีแน่ในอนาคต

จากคุณ : KENG76 [11 ธ.ค. 55 13:57:14 ]
ความเห็นที่ 39

leaf



ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ
เชื่อว่า คุณจขกท.ได้เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองแล้วล่ะค่ะ ^^

เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ flower

...

จากคุณ : Spirited A's way [11 ธ.ค. 55 18:44:34 ]
ความเห็นที่ 40

ขอให้เจอเพื่อนแท้ครับ

เพื่อนที่ร่วมกันทำ2 คน

น่าจะเป็นคนดีน่ะ

จากคุณ : phanyanukul [11 ธ.ค. 55 20:06:55 ]
ความเห็นที่ 41

น่าเห็นใจนะคะ
มีเรื่องเงินๆทองๆ ผลประโยชน์ ขนาดเป็นพี่-น้อง กันยังฆ่ากันได้
ยังงัยคุณมีความรู้และประสบการณ์ น่าจะหาช่องทางใหม่ได้ไม่ยากคะ

เอาใจช่วยนะคะ

จากคุณ : poo_oor [11 ธ.ค. 55 20:10:59 ]
ความเห็นที่ 42

มาหุ้นกับผมแทนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมช่วยขาย ช่วยทำเว็บให้
^^

จากคุณ : ตี๋น้อยน้อย [11 ธ.ค. 55 20:33:03 ]
ความเห็นที่ 43

ริจะทำงานใหญ่ ใจต้องเข็มแข็ง  ถ้ายังไม่ได้ดูโดเรม่อน อย่าริทำการใหญ่ ....อิอิ คลายเครียดครับ ตอนนี้คุณได้มาหนึ่งอย่างแล้ว นั่นคือประสบการณ์ครับ  ขอให้สู้ต่อไปนะครับ

จากคุณ : อารี (eed99) [11 ธ.ค. 55 20:47:44 ]
ความเห็นที่ 44

เสียดาย

จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ [11 ธ.ค. 55 23:30:06 ]
ความเห็นที่ 45

เสียดาย ทำต่อไปเถอะ ขอร้อง

จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ [12 ธ.ค. 55 01:14:41 ]
ความเห็นที่ 46

ขอยืนยันอีกคนว่า อย่าทำธุรกิจร่วมหุ้นกับเพื่อน ถ้าคุณเป็นคนไทยและนิสัยแบบไทยๆ
ผมก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว ชะตากรรมก็แบบเดียวกัน แต่ผมจอดเร็วกว่า ...555 ไม่รู้น่าดีใจหรือเปล่าที่จอดก่อนแจว ถ้าออกตัวไปแล้วล่มกลางอ่าวคงอาการหนักกว่า
ไม่รู้ว่าพวกฝรั่งต่างชาติเค้าทำกิจการใหญ่โตระดับคับโลกได้ยังไง บางแห่งอยู่มาเป็นร้อยปี
อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักคำว่า"เกรงใจ"หรืออะลุ้มอะหล่วย หยวนๆกัน ทำอะไรก็แฟร์ๆ แชร์กันทุกอย่าง ตรงไปตรงมา
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเจ๊งแบบเรา และของเราก็ไม่ใช่จะไม่มีใครทำได้สำเร็จ แต่สัดส่วนเจ๊งเราเหนือกว่าเขาเท่านั้น
จขกท.เดินมาเองได้ขนาดนี้ ก็น่าจะเดินหน้าต่อไปครับ

จากคุณ : FreeWing [12 ธ.ค. 55 09:23:34 ]
ความเห็นที่ 47

เล่าบ้างนะ แต่ขอเล่าแบบกว้างๆ

นึกถึงตอนทำงานใหม่ๆ ผมเป็นลูกน้องตัวเล็กๆ ในบริษัทเปิดใหม่ ของพี่ที่รู้จักกลุ่มนึง
พี่กลุ่มนี้เขาชวนกันมาหุ้นเปิดบริษัททำออร์กาไนซ์ คนที่เป็นตัวนำ คือพี่ที่ผมสนิทที่สุด เขาทำก่อน แล้วชวนเพื่อนๆ มาร่วมหุ้นต่อมา จากนั้นก็ชวนผมมาเป็นลูกน้องคนแรกๆ ของบริษัท เพราะผมเพิ่งจบใหม่ๆ ไปไหนไม่ถูก ค่าตัวกระจึ๋งเดียว ความที่รู้จักกัน ผมก็ทำ

ทำๆ ไป บริษัทใหญ่ขึ้น งานเยอะ เงินดี กำไรมาก เกือบทั้งหมดเลยออกจากงานเก่า มาทุ่มให้บริษัทที่ตั้ง แต่พี่ที่ผมสนิท แกออกไม่ได้ บริษัทที่ทำประจำให้เงินเดือนดี ทำไปทำมา หุ้นส่วนทั้งหมดเลยให้ทางเลือกแกว่า จะออกจากงานประจำมาทำ หรือไม่งั้นก็ต้องถอนหุ้นออกไป (จากบริษัทที่ตัวเองเป็นคนตั้ง)  ...สุดท้ายพี่เขาเลยต้องถอนหุ้นออกไป กลับมาทำงานประจำของตัวเอง ตอนนั้นผมก็งงๆ นี่หรือคือโลกธุรกิจ รู้สึกประหลาดๆ เลยเฟดตัวเองออกมา เป็นลูกน้องทำงานบริษัทเล็กๆ ดีกว่า

...สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมจะบอกคนที่รู้จักเสมอ อย่าทำธุรกิจอะไรกับเพื่อน ยิ่งเพื่อนสนิท จะเสียเพื่อนกันง่ายๆ ทุกวันนี้ทั้งกลุ่มแตกกันหมด บริษัทกลายเป็นของพี่ที่ผมไม่สนิทด้วย แต่เขาบริหารดี ซึ่งผมก็ชื่นชมนะที่เขารักษาบริษัทไว้ได้ แถมยังขยายมันจนเติบใหญ่ แต่ก็รู้สึกใจหาย โลกธุรกิจมันเป็นแบบนี้เอง เป็นครูที่ดีครับ สำหรับการเคยเป็นลูกน้องของพวกพี่ๆ เขา

..เล่าแบบไม่รู้ว่าประเด็นคืออะไรละกัน แค่อยากเล่า

จากคุณ : น้องหยิก [12 ธ.ค. 55 11:08:00 ]
ความเห็นที่ 48

มาอ่านเพื่อเปิดโลกทัศน์ครับ ยินดีกับประสบการณ์ เสียดายกับการตัดสินใจ และเสียใจกับสัมพันธ์เพื่อนครับ ใช่ว่าจะเป็นแค่เพื่อน ถึงมาจากไหนไม่ใช่เพื่อนก็ทำกันได้ โบราณเค้าจึงแบ่งเพื่อนเป็นหลายกลุ่ม เพื่อนกิน,เพื่อนเที่ยว,เพื่อนตาย และเพื่อนฯลฯ ขอให้บทเรียนนี้เป็นบทเรียนที่มีค่าในการทำธุรกิจต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้ครับ สู้!

จากคุณ : Liamtepb [12 ธ.ค. 55 15:03:09 ]
ความเห็นที่ 49

คนเก่งอย่างคุณ อยู่ที่ไหนก็ดี

เป็นผมผมก็ออกมา  ไม่อยากอยู่กับคนเห็นแก่ตัวหว่ะ


ปล.แต่ที่ฟังมามันฟังด้านเดียวนะ  อีกฝั่งออกมาพูด คดีอาจพลิก

จากคุณ : ไหวปะ (paradoxe) [12 ธ.ค. 55 19:59:41 ]
ความเห็นที่ 50

ทำเองต่อไปดีกว่า

จากคุณ : credor [12 ธ.ค. 55 22:56:58 ]
ความเห็นที่ 51

เริ่มต้นใหม่ เคยทำแล้วไม่ยากหรอกครับ

จากคุณ : พี่ชาลี [12 ธ.ค. 55 23:50:15 ]
ความเห็นที่ 52

แหมม หุ้นรายใหญ่ต้องถือ 51% สิ

ถือ 40/30/30 แบบนี้ หุ้นรายเล็กอีกสองคนรวมหัวได้นะ

จากคุณ : กระเฉดหมูกรอบ [13 ธ.ค. 55 01:11:55 ]
ความเห็นที่ 53

เห็นด้วย ว่าไม่น่ายอม  แต่ถ้ายอมไปแล้ว สู้ไหม่นะ หาสินค้าดีๆ มาทำเองเลย

จากคุณ : `จุ้น (Juneosk102) [13 ธ.ค. 55 08:36:54 ]
ความเห็นที่ 54

ขอให้พบหนทางของคุณไวๆนะครับ

จากคุณ : ดีไซเนอร์รุ่นเล็ก [13 ธ.ค. 55 13:20:08 ]
ความเห็นที่ 55

...
กด Vote ครับ

จากคุณ : okb [13 ธ.ค. 55 14:22:24 ]
ความเห็นที่ 56

ชี้ไปที่ คห.14 ครับ สู้ๆครับ

จากคุณ : Good Times Good Days [13 ธ.ค. 55 15:56:42 ]
ความเห็นที่ 57

ต้องสู้อย่างเดียวค่ะ ที่ผ่านมาเราได้ประสบการณ์นะคะ ล้มแล้วลุกได้เสมอค่ะ
ขอให้ประสบความสำเร็จ มีเพื่อนคู่คิดและช่วยทำงานที่ดีและถูกใจนะคะ

จากคุณ : ป้าโอเด้งค่ะ [13 ธ.ค. 55 20:41:40 ]
ความเห็นที่ 58

ธุรกิจ ใช้อารมณ์

มีแต่เจ๊ง

หมายถึงตัวเองนะ ไม่ใช่บริษัท

จากคุณ : high_voltage_XL [14 ธ.ค. 55 01:17:42 ]
ความเห็นที่ 59

ขอบคุณที่แชร์ค่ะ

โลกเดี๋ยวนี้น่ากลัว  คนเข้มแข็งเท่านั้นที่อยู่ได้

จากคุณ : นางสาวยิ้มหวาน [14 ธ.ค. 55 16:32:31 ]
ความเห็นที่ 60

เราเองไม่เคยทำธุรกิจ
แต่พอจะเข้าใจอยู่ลางๆ ว่าคงไม่อยากทำต่อเพราะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
แล้วถ้าจะทำต่อไปแล้วไม่สบายใจ มันอาจจะไม่คุ้มกับยอดขายที่ได้มา
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

จากคุณ : ZzIqka [14 ธ.ค. 55 20:37:55 ]
ความเห็นที่ 61

เรื่องเงินๆทองๆเดี๋ยวนี้มันไม่เข้าใครออกใคร อยู่แล้วครับ ขนาด ญาติพี่น้องกันเอง ยังมีฆ่ากันตายแล้วเยอะแยะถมเถก็มีอยู่ให้เห็น

จากคุณ : GanzKuhls [15 ธ.ค. 55 11:06:39 ]
ความเห็นที่ 62

ความคิดเห็นที่ 22
ติดอยู่อย่างเดียวคือ"ศักดิ์ศรี"ครับ ผมบอกกับหุ้นส่วนวันที่ถอนหุ้นว่าผมจะไม่มาทำธุรกิจวงการนี้อีก จะได้จบปัญหาทุกอย่าง ไม่อยากเป็นขี้ปากใครต่อใครด้วยครับ

มองในแง่นี้ อิชิตัน คงไม่มีขาย

ไม่ได้สนับสนุนน่ะ ผมก็ไม่ชอบชาเขียวยี่ห้อนี้ แต่ปากท้องมี ชีวิตต้องก้าวต่อไป

จากคุณ : คนบ้าบิต [15 ธ.ค. 55 12:16:10 ]
ความเห็นที่ 63

lose-lose-lose

มองในแง่ดีทำให้มีประสบการณ์

จากคุณ : พลเมืองหน้าแป้น [15 ธ.ค. 55 14:33:11 ]
ความเห็นที่ 64

ทำธุรกิจ กับเพื่อน อาจะผิดใจ แต่ทำไมทำกับแฟน เรื่องแนวนี้เกิดขึ้นน้อยละ

จากคุณ : kokusen [15 ธ.ค. 55 16:27:59 ]
ความเห็นที่ 65

ทำต่อไปเลย ทำกับเพื่อนที่เคนทำมากันก่อนดีกว่านะ

จากคุณ : บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม [16 ธ.ค. 55 00:30:29 ]