งานราชการ ส่งผลกระทบกับเต่าตัวหนึ่ง

ตั้งแต่มีเรื่อง AEC เข้ามา ผมเริ่มรู้ตัวว่า เป็นเต่า...^___^

[เก่าก่อน] ผมเป็นคนเกียจคร้าน จะทำอะไรต้องให้มีภัยเข้ามาก่อนค่อยเริ่มทำ

เต่าในความหมายของผมคือ มีการตีกรอบตัวเองชัดเจน ไม่สนใจโลกภายนอก

แต่มันก็มีที่มาเหมือนกันนะ วันนี้พูดเรื่อง เต่า ไม่เล่าที่มาของความเป็นเต่านะ

[เข้าเรื่อง] AEC นั้น มาทีหลังการตัดสินใจที่จะพัฒนาตัวเองของผม จริงๆ ผม

ไม่ได้สนใจเรื่องพัฒนาอะไรนั่นเลย ผมแค่เบื่อการทำงาน ที่ขึ้นกับระบบหนู

วิ่งลงรู(ถ้าใครสนใจจะขยายความให้ฟังนะครับ) ผมเลือกจะเรียนโท โดยหวัง

ว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศในการใช้ชีวิต มันช่วยได้นะ เป็นอะไรที่สนุกดี

ผมจะเล่าให้ฟังในมุม++ นะครับ เพราะว่าชีวิตเราเกิดมาตายชาติเดียว

อยู่ไม่กี่ปี ก็ตายกันแล้ว ^^ งานที่ผมทำนั้นเรียกว่าเหมือนเรียน ป.โท ทุกวัน

อยู่แล้ว พี่ๆ ที่ผมทำงานด้วย ก็ ดร. ทั้งนั้น ผมเคยช่วย น้องๆ ที่เรียนโท

ทำวิทยานิพนธ์ก็เคย ที่ผมไม่อยากเรียนตั้งแต่แรก เพราะคิดว่าเสียเวลา

จบมาก็ทำงานเดิมๆ แต่รอบนี้เหมือนดวง เขาให้ทุนเรียน แถมได้เงินเดือนอีก

ได้โบนัสด้วย ^^ เข้าทางล่ะ ..

[เริ่มเรียน] นิสิตใหม่ หน้าแก่คราวน้า มาเรียนกับเด็กรุ่นๆ ห่างกับ ป.โท ปกติ

ก็ปาไป 6 ปีแล้ว ผมไม่ได้มีไฟ อะไรเลย และคิดว่าเรียนง่ายๆ น่าจะจบ

เรื่องเรียนเอาไว้ก่อน(ใครสนใจถามได้นะครับมีเทคนิคเทพๆ เล่าให้ฟัง)

ผมหันหน้าเข้าประเด็นสนใจ ไปลงวิชาที่คิดว่าอยากเรียน ผมไปเรียนวิชา

ป.ตรี สาขาการเงิน ขี้เกียจไปเรียน MBA ไปเรียนก็เหมือนเปิดโลกกระดอง

เต่าของผมทันที มันสนุก มีความสุข ก็ว่ากันไป แค่เปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้นเอง

ผมคนคิด ++ ผมบอก อ. ที่สอนว่าผมลงเป็นเกรดแบบ ผ่าน กับ ไม่ผ่านนะครับ

ไม่นับเป็นคิดเกรด อ. บอกว่า ดีแล้ว จะไปทำให้น้องเขาเกรดตกกัน..ผมก็ขำ

ในใจ แต่ผมเข้าเรียนตลอด มีกิจกรรมก็ทำ มีสอบก็สอบนะครับ นั่นเป็นที่มา

ให้ผมก้าวเข้าสู่โลกของ...ตลาดทุน(สนใจคุยได้ครับจะไปตอบในห้องสินธร)

ผมก็หาสิ่งที่รู้ใกล้ตัว ตอนสอบผมยกหุ้นมาตัวหนึ่ง ถามเพื่อนที่เป็นเทรดเดอร์

ว่าเล่นหุ้นตัวไหนดี เพื่อนก็บอกว่าเอาที่นายรู้นะล่ะ...ผมก็ทำตามนะ

ข้อแม้การสอบคือต้อง ไปเล่นของจริงสมัครจริง เสียเงินจริง ผมก็ไม่รู้ว่ามัน

จะขึ้นหรือลง ก็ซื้อๆ ทิ้งไป...พอเรียนจบวิชานี้ก็ลืมๆ ตอนนี้มันโต ไป 3-4 เท่า

แล้ว ^^ ปล่อยๆ ขำๆ ไม่สนใจเล่นจริงจัง...แต่ก็ชอบอ่านเป็นอย่างมาก

[2ปีให้หลัง] จบโท แล้ว 2 ปีพอดี จริงๆ ตั้งใจว่าขอซัก 2 ปีครึ่ง แต่ด้วย

อายุมันมากแล้ว จบช้าอายเด็กมัน..ก็เลยต้องกลับไปสู่ระบบหนูวิ่งลงรู

อีกครั้ง รอบนี้พยายามไม่กลับเป็นเต่า และกระแส AEC ช่วยผมได้เป็น

อย่างดี แต่มีเรื่องสนุกๆ เพิ่มมาเยอะ ไว้ผมค่อยๆ เล่านะครับ อาบน้ำก่อน

^^ อ่านคนเดียว แสดงความเห็นคนเดียวผมก็จะเล่า เพราะผมคิด ++ ^^

จากคุณ : yomkippur [14 ธ.ค. 55 22:29:59 ]
ความเห็นที่ 1

รออ่านครับ

จากคุณ : The 12 [14 ธ.ค. 55 23:50:17 ]
ความเห็นที่ 2

กด Like ให้คุณ The 12 ครับ ไม่งั้นโม้ต่อไม่ได้ ^___^

[กลับเข้าสู่ระบบหนูวิ่งลงรู] เปิดหัวเรื่องเช้าวันเสาร์กันเลย เผลอหลับ

เพิ่งตื่นครับ.. เช้าวันหนึ่ง ณ ที่ทำงาน ผมนั่งกินข้าวกับพี่ที่เคารพคนหนึ่ง คุยกัน

เรื่องการทำงานเป็นหลัก คุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงการทำงานในองค์กรณ์

ผมชั้นผู้น้อย แต่คุยกันหัวข้อผู้บริหาร..ส่วนผู้บริหารต้องมาคุยเรื่องชั้นผู้น้อย

โลกมันก็เป็นแบบนี้มานานล่ะครับ ^^ มีคำหนึ่งที่สะดุดหู เรื่องการเข้าประชุม

ประธานที่เป็นผู้บริหาร ที่ได้มาแต่ละคนนั้น ล้วนได้มาจากอายุงานที่มาก

ไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพการทำงาน...องค์กรณ์ที่ผมอยู่นั้น ใครก้าวหน้า

ในหน้าที่การงาน จะถูกพิจารณาให้เป็นผู้บริหาร โดยไม่สนว่าเคยทำงานที่ไหนมาก่อน

(ไม่มีใครหรอกครับอยากรอขึ้นตำแหน่งที่ต้องการเพราะอาจแก่ตายก่อนได้)

พูดง่ายๆ คือ มีตำแหน่งบริหารว่างที่ไหน คนที่ไหนก็ย้ายมาได้ทั้งนั้น ^^

ทำให้ประธานในที่ประชุมแทบไม่มีความรู้เลยเรื่องเนื้อหาประชุม แต่เรื่องนี้

ก็แก้ตัวไม่ได้ว่าไม่มีความรู้ เพราะอย่างน้อยคนที่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ อาจเก่ง

เรื่องการบริหารก็เป็นได้ แต่คำพูดของพี่ที่เคารพ ให้แนวคิดนี้ผมมาคือ

>>พวกเราคิดเหมือนหนู พอมีรูให้วิ่งเข้า ก็ไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นรูไหน

นึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงเกมส์ของคนรุ่นผม(แก่ๆหน่อย) ในงานวัด

จะมีกระบะวงกลมใหญ่เจาะรูไว้รอบๆ แล้วปล่อยหนูไว้ตรงกลาง หนูจะวิ่ง

เข้าไปในรู และคนเล่นก็จะทายว่าหนูจะเข้ารูไหน ทายถูกก็ได้รางวัลไป<<

[การปรับตัว สมัยเข้าทำงานใหม่ๆ]

แต่ก่อนตอนผม จบ ป.ตรี ใหม่ๆ (7ปีที่แล้ว) ไฟการทำงาน

เยอะมาก เจอพี่ที่ทำงานเก่งๆ มุ่งมั่น ช่วยให้ผมทำงานได้ดี และพัฒนา

ตัวเองได้มาก มันเป็นเรื่องดีที่คุณจะได้อยู่กับคนดีๆ แต่มันก็เป็นเรื่องแย่

ถ้าคุณไม่พัฒนาตนเอง เพราะคุณจะแตกต่างทันที เป็นข้อเปรียบเทียบได้

ทุกทางเลือก คุณเลือกได้... ผมเองก้าวไปในทางตรงข้ามในช่วงแรกๆ ^^

ผมคบกับกลุ่มกลางๆ ไม่ถึงกับเก่งมาก เพราะผมคิดว่ามันช่วยให้ผมไม่

กดดัน แต่พอเวลาผ่านไป ช่องว่างของผมที่เลือกอยู่กับกลุ่มกลางๆ นั้น

มันเริ่มห่างจากกลุ่มแรก ผมเลยตัดสินใจที่จะเลือกไม่มีกลุ่ม และซุ่ม^^

พัฒนาตัวเองอย่างลับๆ ...สิ่งที่เกิดขึ้นในสายตาคนอื่น... ผมกลายเป็น

คนแปลก ทำอะไรคนเดียว กินข้าวคนเดียว เที่ยงบางทีไม่กินข้าว

ชอบสิงในห้องสมุดเวลาพัก พูดน้อยลง ถามน้อยลง ...มนุษย์เป็นสัตว์

สังคมไม่แปลกที่ใครๆ จะคิดและเข้าใจผมแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ

ผมโชคดีที่เกิดมาคิดน้อย(บางเรื่อง) ความคิดผมคือ สัตว์ที่เป็นผู้นำในป่า

ไม่ว่าเสือ สิงโต หรือสัตว์ที่แข็งแกร่งมักไม่รวมฝูง จะหากินตัวเดียว ^^

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ประสิทธิภาพในการทำงานผมเพิ่มขึ้นชัดเจน ผมยังเฝ้า

รอพัฒนาตัวเองให้อยู่ในระดับต้นๆ เพื่อเข้ากลุ่มกับพี่ๆ ที่มีคุณภาพ และ

ตัวเองต้่องไม่เป็นภาระด้วย คือต้องทำงานได้ และต้องเปิดสมองเพื่อรับ

ฟังความรู้ใหม่ๆ อย่างตั้งใจ

[การปรับตัว ครั้งใหญ่และรอยต่อที่สำคัญ]

ตอนนั้นที่ทำงานผมบอกว่า ถ้าอยากเป็นผู้บริหาร ต้องจบ โท นะ สาขาที่เป็นได้คือ

MBA ไม่ก็วิศวะ เป็นคำพูดลอยมากลางอากาศ แต่ผมก็จำมันได้ดี ผมไม่ได้สนใจอะไร

เวลาผ่านไป...จากวันนั้นนานพอที่จะทำให้พี่ๆ ที่เก่งๆ ได้เริ่มขยับตัวเพื่อก้าวหน้า

ในหน่วยงานผม มีพี่อยู่ 3 ท่าน ที่จัดว่าเก่งแนวหน้าขององค์กรณ์เลย อันนี้ไม่ได้ชมกัน

เองนะ คนทั้งหมดในองค์กรณ์ทราบเรื่องนี้ดี หน่วยงานผมเป็นหน่วยงานระดับต้นๆ ที่

ได้พิจารณาให้ก้าวหน้าก่อน หน่วยงานอื่นๆ... และแล้ววันที่ไม่คาดฝันก็มา

พี่ๆ ที่เก่งๆ ได้ย้ายไปส่วนงานอื่นเพื่อก้าวหน้า...ช่องว่าง ขนาดใหญ่ผมถูกปิดลง

ถึงแม้อยู่องค์กรณ์เดียวกัน แต่คนละหน่วยงาน การทำงานที่ต่างกัน ไม่อาจพิจารณา

เปรียบเทียบกันได้... ช่องว่างของผมกับพี่ๆ ถูกปักธงลง และผมเองก็ต้องก้าวเข้าไป

ให้ใกล้ช่องว่างนั้น ซึ่งง่ายกว่าแต่ก่อน เมื่อพี่เขาหยุดยืนรอ ส่วนผมเดินและวิ่ง

ไม่มีทางที่ผมจะตามไม่ทัน...แต่ไฟในตัวผมเองก็หมดลง การได้สนทนากับคนเก่งๆ

การได้มุมมองใหม่ๆ ขณะที่พี่เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในสิ่งที่พวกเราสนใจก็หยุด

ผมก็เลยหยุด (ผมเป็นพวกที่ขับเคลื่อนฝันด้วยตัวเองไม่ได้่ ต้องมีตัวช่วย)

ช่วงนั้นเบื่อสุดๆ ผมเลยหาทางออกด้วยการไปเรียน โท แบบมีรางวัลติดปลายนวม

ไปด้วยนิดๆ

.... "ต้องไปเดินๆ รับอากาศเช้าๆ เดินให้เหงืออกนิดๆ ซักหน่อย เดี๋ยวมาบ่นเพิ่มนะครับ

ชอบไม่ชอบยังไงก็ แสดงความเห็นไว้นะครับ ..อยากโม้ต่อ อยากได้แรงขับเคลื่อน ^^

แต่คนคิด++ ยังไงไม่มีคนเม้นก็จะมาล่ะ ระบายๆ กันหน่อย"

จากคุณ : yomkippur [15 ธ.ค. 55 07:11:32 ]
ความเห็นที่ 3

อ่านแล้วยังไม่ทราบเลยว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร
เรียนโทไม่เห็นกี่ยวกับอายุเลยครับ ที่ทำงานผมรุ่นพี่อายุ 43 เพิ่งไปเรียน ปีก่อนก็ป้าอายุ 53 ไปเรียน

เรียนเพื่อเอามาปรับวุฒิ ปรับเงินเดือน และเอาไว้เผื่อใช้สมัครในตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมจบ ป.ตรี มา 9 ปีแล้ว นานกว่าคุณอีก แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่เลยครับ มันอยู่ที่ in my mind , in your mind อยู่ในจิตใจมากกว่า ว่าเราจะทำตัวแก่ หรือทำตัวหนุ่มตลอดเวลา และยิ่งประบการณ์เราเยอะ เรายิ่งได้เปรียบรุ่นใหม่ๆนะครับ ถ้างานราชการไม่ต้องห่วงว่าความแก่จะเป็นอุปสรรคในการก้าวหน้า กลับกลายเป็นว่ายิ่งดี เพราะเรารู้จักทุกอย่างในองค์กรเราเป็นอย่างดี

รออ่านต่อนะครับ ขอให้จบไวๆ และได้ใช้งานจริงๆ

จากคุณ : BKforever บีเค ฟอร์เอฟเวอร์ [15 ธ.ค. 55 09:17:05 ]
ความเห็นที่ 4

เห็นด้วยครับกับความเห็นของคุณ BKforever บีเค ฟอร์เอฟเวอร์
การเรียนรู้  ต้องมีตลอดครับ อายุไม่ใช่อุปสรรค และซักวันสมองเราก็จะเป็นห้องสมุดที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า และคุณภาพ สำหรับคนอื่นและที่สำคัญสำหรับรุ่นต่อไปในอนาคต

ยังไงก็รออ่านต่อนะครับ

จากคุณ : Sommai_r (Sommai_r) [15 ธ.ค. 55 09:41:21 ]
ความเห็นที่ 5

เพิ่งจบโทครับ คุณ BKforever บีเค ฟอร์เอฟเวอร์ ทำงานเป็นวิศวกร ดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า

ครับ ^^ เห็นด้วยกับเรื่องการเรียนรู้ไม่มีวันหมดอายุเลยครับ คุณ  Sommai_r (Sommai_r)

ตอนนี้ผมกำลังขับเคลื่อนความฝันด้วยตัวเองให้ได้อยู่ครับ ติดนิสัยรอแรงกระตุ้นอยู่เลย

...เช้าอีกแล้ว วันหยุดแสนสุข นาฬิกาชีวิต ผมมันปลุกให้ตื่นเวลานี้ประจำ ไม่ว่าจะนอน

เวลาไหนก็ตาม มันก็ดีเพราะเช้าๆ แบบนี้ อากาศดีครับ

[สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป]

ผมจบโท ก็กลับมาชดใช้กรรมต่อ ก็ทุนมันผูกไว้ ^^ รากบุญไม่นำพาวาสนาไม่นำส่ง

หมดกรรมอายุ 40 ต้นๆ เอาล่ะ จบมามีไฟนิดหน่อย มีเรื่องอะไรน่าสนใจมั่ง

เริ่มต้นด้วย ร้านกาแฟ รอบๆ ที่ทำงาน มันผุด มาเต็มไปหมด ร้านขายของก็เยอะ

ร้านอาหารใหม่ๆ ก็แยะ กลับมาเรื่องใกล้ตัวมั่ง เดี๋ยวนี้ในลิฟมีทีวี ติดตั้งไว้ด้วย

ก่อนนี้ผมก็คิดเหมือนกันว่า พอคนเข้าลิฟ มันก็เงียบไปหมด (แอบตดก็ไม่ได้^^)

ที่ทำงานผมคนเยอะ กว่าจะขึ้นได้แต่ละชั้นใช้เวลา ช่วงเวลาคนเข้างาน จะช้าเป็น

พิเศษ กลับมารอบนี้ น้องๆ ในที่ทำงานหน้าใหม่กันหมด คนหน้าเก่าๆ ก็โยกย้ายกัน

ไปเยอะพอสมควร ลักษณะงานที่ทำเมื่อ 2 ปีก่อน ก็เหมือนเดิมทุกประการ

จำได้ว่าผู้บริหารให้นโยบายใหม่ๆ แล้ว แต่ความเข้าใจในเนื้อหาอาจคลาดเคลื่อน

ไป  ทำให้งานเดิมๆ ก็ยังมีอยู่.. ไม่ว่ากันคนเราลืมกันได้ บางคนก็มีขีดความสามารถ

จำกัด จำเป็นต้องมีตัวช่วย...เหมือน...เล่าปี่ ที่ต้องการกุนซือ...เรื่องแบบนี้มีมานาน

หลายพันปีแล้ว ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว

[ประชุมครั้งสำคัญในรอบ2ปี(งานคืนสู่เหย้า)]

มีงานน่าสนุกอยู่เรือง จริงๆ แล้วไม่ใช่งานยากอะไร แต่มันสนุกตรงที่ คนเข้าประชุม คือ

.... to be continued

จากคุณ : yomkippur [16 ธ.ค. 55 06:46:43 ]