วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2555 เวลา 09:58:19 น.
ทันหุ้นออนไลน์



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.54 น. ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 30.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวอยู่ในแดนลบรับข่าวเจรจา fiscal cliff ยืดเยื้อ เน้นขายทำกำไรหลังตลาดหุ้นดีดแรง ฝรั่งเก็บหุ้นแล้ว 1.7 หมื่นลบ.ในเดือนธ.ค. ขณะที่เม็ดเงินกองทุน LTF-RMF รอเข้าตลาด เก็งกำไร PTTGC, BCP, HMPRO, PS, SVI, UWC, BECL และหุ้นที่เป็นเป้าหมายกองทุนได้แก่ PTT, PTTEP, BBL, KBANK, SCB, ADVANC, INTUCH



บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดดัชนีมีช่วงลง หาจังหวะเทรด ต่างชาติ + LTF จำกัดความเสี่ยง โดยระบุว่า KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันพฤหัสฯ เปิดอ่อนตัวลง เป็นจังหวะเข้าเทรดสั้นได้แถว 1,370 จุด โดยแรงกดดันจะมาจาก i) ท่าทีของผู้นำสภาล่างสหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งๆ ต่อการเจรจา fiscal cliff อีกครั้งโดยเขากล่าวว่าจะผลักดันนโยบายขึ้นภาษีคนรวยที่มีรายได้เกิน 1 ล้านเหรียญฯ ต่อปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะมีสัญญาณประนีประนอมระหว่าง 2 พรรคการเมือง ii) ตัวเลขเริ่มสร้างบ้านในสหรัฐฯ เดือน พ.ย.ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และ iii) Fitch Ratings ออกมาเตือนว่าสหรัฐฯ อาจเสียอันดับเครดิต AAA หากไม่สามารถแก้ปัญหา fiscal cliff ได้ ด้านปัจจัยในยุโรปค่อนข้างดี ดัชนีความเชื่อมั่น Ifo ของเยอรมันเดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นและน่าจะหนุนหุ้นพลังงานในSET ได้บ้าง ทั้งนี้ราคาน้ำมัน WTi ปรับขึ้นหลังจากสำรองน้ำมันกลั่น (ซึ่งรวม heating oil อยู่ในส่วนนี้ด้วย) ลดลงผิดคาด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงฤดูหนาว

อย่างไรก็ดี KGI มองว่าหาก SET อ่อนตัวจะไม่มากและเป็นโอกาสเข้าเทรด เนื่องจากปัจจัยลบส่วนใหญ่ที่ออกมาเมื่อคืนนั้นไม่ได้ลบจริง เราคาดว่านักการเมืองสหรัฐฯ จะยื้อกันเช่นนี้ถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะตกลงกันได้เรื่อง fiscal cliff ในขณะที่เรื่องอันดับเครดิตของสหรัฐฯ นั้น ทาง S&P ลดเครดิตสหรัฐฯ ไปแล้วกว่าหนึ่งปี จึงไม่ได้เป็นประเด็นใหม่ต่อตลาด นอกจากนี้เราคาดว่าหากตลาดหุ้นปรับลดลง จะมีประชาชนผู้รอซื้อกองทุน LTF จำนวนมากส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดหุ้น โดยขณะนี้เหลือวันเทรดเพียง 7 วันในปี 2555 และตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้จังหวะซื้อ LTF มีน้อย

กลยุทธ์: แนะถือพอร์ตหุ้นต่อเช่นเดิมจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของปี และเราจะ update กลยุทธ์อีกครั้ง และหากดัชนีฯ อ่อนลงตามคาดให้หาจังหวะซื้อหรือซื้อเก็งสั้นในหุ้นที่แนวโน้มจะรายงานกำไรไตรมาส 4 แข็งแกร่ง เช่น PTTGC, BCP, HMPRO และ PS

บล.ฟิลลิป ระบุว่า แนวโน้มตลาดวันนี้: ผันผวน ระวังแรงขายทำกำไรมากขึ้น กลยุทธ์การลงทุน: เลือกหุ้นรายตัวเป็นหลัก

การดีดตัวขึ้นของตลาดอย่างต่อเนื่องยังถูกขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ท่ามกลางความคาดหวังทางบวกเกี่ยวกับการเจรจาของสภาคองเกรสสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหน้าผาการคลังให้ได้ข้อสรุปให้ทันสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดี การเจรจายังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ล่าสุดนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาสหรัฐกล่าวในการแถลงข่าวว่าพรรคของเขาจะอนุมัติข้อเสนอซึ่งปธน.โอบามาได้ขู่ที่จะทำการวีโต้ จึงต้องติดตามดูต่อไปอย่างใกล้ชิด จากนี้ไปคาดจะมีความผันผวนของตลาดมากขึ้น จากความถี่ของกระแสข่าวที่มากตามระยะเวลาที่ใกล้สิ้นสุด และแม้จะสามารถได้ข้อสรุปทันกำหนด แต่ก็ต้องจับตาดูรายละเอียดว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยเพียงใดต่อไป อีกทั้งต่างชาติกลับมาซื้อ/ขายสลับกันในตลาดอนุพันธ์มากขึ้น จึงทำให้ภาพบวกจากแรงซื้อในตลาดหุ้นอาจลดทอนลงบางส่วน มองกรอบเคลื่อนไหววันนี้ระหว่าง 1370-1385 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: ยังเน้นการเลือกหุ้นรายตัว อิงกับหุ้นที่ยัง laggard กลุ่ม/ตลาด และเน้นธีมการบริโภคภายใน/ใช้จ่ายปลายปีเป็นหลักและให้ทยอยทำกำไรบางส่วนแถว 1385+/-แนวต้าน : 1385, 1390 แนวรับ : 1370, 1365

การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 50% : เงินสด 50%

ถือต่อในพอร์ต : SAT, RML, TCAP, BIGC, CPF, KTC, THCOM

หุ้นที่แนะนำ : BECL ซื้อหุ้น TTW จาก CK เพิ่ม 11% ทำให้จะได้รับส่วนแบ่งกำไรมากขึ้นจากเดิมรับเป็นรูปปันผลเท่านั้น ระยะสั้นมองต้าน 36 รับ 32 Cut loss 30.5 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ตลาดบวกต่อเริ่มทยอยขายทำกำไร ส่วนถ้าจะเข้าเทรดดิ้งใหม่ให้รอลง...

กลยุทธ์: แนะนำให้เริ่มทยอยขายทำกำไรเมื่อ SET ขยับแกว่งตัวอยู่ภายในกรอบ 1370-1390 จุด เพราะคาดว่าหลังจากนั้นต้องระวังการปรับพักตัวลงของตลาดในรอบถัดไป อย่างไรก็ตามในระยะสั้นยังสามารถเลือกหุ้นซื้อในช่วงตลาดปรับตัวลงได้ แต่เป็นการซื้อเพื่อเทรดดิ้งสั้นตามรอบเท่านั้น

หุ้นเด่นทางเทคนิค  SVI, UWC, MINT (SBL)

แนวโน้ม แม้ว่าช่วงก่อนหน้านี้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Fiscal cliff จะมีความคืบหน้าบ้าง แต่ความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันกับ ปธน.สหรัฐก็ยังมีให้เห็น ทำให้ความกังวลต่อวิกฤติการคลังของสหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ยังคงกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวย้อนลงมาอีก และคาดว่าจะส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย หลังจากวานนี้ SET ดีดบวกขึ้นแรงพอควรต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้าที่แกว่งขึ้นมามากแล้ว ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมากดดันให้ SET แกว่งตัวผันผวนอีกครั้งได้ จนกว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหา Fiscal cliff ออกมาให้เห็นในช่วงถัดไป อย่างไรก็ตาม FSS คาดว่า SET ยังมีโอกาสที่จะอยู่ในลักษณะแกว่งตัวขึ้น-ลงภายในกรอบ 1350-1390 จุดก่อนได้ ดังนั้นถ้าปรับตัวลงใกล้กรอบล่างก็ยังสามารถเลือกหุ้นเข้าซื้อเทรดดิ้งได้ เพื่อลุ้นเม็ดเงิน LTF, RMF จากงานมหกรรมกองทุนในท้ายสัปดาห์นี้ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยผลักดันตลาดได้ใหม่ในสัปดาห์ถัดไป

แนวรับ  1375-1370 , 1366-1360 จุด   แนวต้าน 1380-1382 , 1387-1393 จุด

บล.ไทยพาณิชย์ระบุว่า ต่างชาติซื้อหุ้นเก็บทะลัก เดือนธ.ค. สะสมไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ทั้งปี 55 ซื้อสะสม 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจัยนี้เป็นเหตุผลหลักที่ SET Index แรงแล้วก็แรงได้อีก ซึ่งแทบจะไม่เหลือ Upside ให้เล่นในปี 56 โดยส่วนใหญ่ตลาดมองเป้าที่ดัชนี 1,450-1,500 จุด ทำให้เรามองว่าหากผ่านเดือนธ.ค.ไปได้ ตลาดหุ้นม.ค. 56 เสี่ยงที่จะเจอแรงขาย ซึ่งตามสถิติหุ้นไทยเดือนม.ค. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปรับลงราว 3-8% ซึ่งในปีที่ลงแรง 8% พบว่าในเดือนธ.ค. ของปีก่อนหน้า ตลาดปรับขึ้นไปถึง 12% เรายืนยันให้ถือหุ้นเท่าที่มี และแนะนำให้ขายหุ้นออกมาให้ต่ำกว่า 50% ของพอร์ต

SET - หุ้นไทยพุ่งทะยานฝ่าทุกแนวต้าน เราไม่แนะนำให้ซื้อตาม ณ ระดับปัจจุบัน และให้เน้นการลดพอร์ตหุ้นลงมาต่ำกว่า 50% ของพอร์ตรวม ตามสถิติในปี 2007-2011 หุ้นไทยเดือนธ.ค. จะปรับเพิ่มขึ้นแรง ในขณะที่ในเดือนม.ค.ของปีถัดไป จะปรับลงแรงราว 3-8% โดยในปีที่หุ้นเดือนม.ค. ลงแรงถึง 8% พบว่าในเดือนธ.ค. ปีก่อนหน้า ตลาดปรับขึ้นไปถึง 12% หุ้นที่แนะนำให้ซื้อและถือข้ามปีได้แก่ AAV BTS AOT GFPT CPF SAMART PTTEP GLOW และ BCP

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้นที่เราเลือกวันนี้จึงแนะนำหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของกองทุนต่าง ๆ สูง เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีจะมีแรงซื้อ LTF เข้ามามาก เช่น PTT, PTTEP, BBL, KBANK, SCB, ADVANC, INTUCH

ขอบคุณมากคร๊าบบบบบบบบ