ตลาดหุ้นไทยปีหน้า...กับโอกาส ที่มาพร้อม Global Recovery

วันที่ 19 ธันวาคม 2555 04:38
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
The Fundamental View ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ล้วนมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย


สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันเช่นเคยทุกวันพุธที่สามของเดือน ในเดือนที่แล้วผมได้เล่าถึงการไปโรดโชว์หลายประเทศในปีนี้ของผม ที่ผมได้ไปร่วมกับคณะของนายกรัฐมนตรี และได้พบว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ล้วนมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ผมเชื่อมั่นว่าในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง จะยังคงเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นไทย โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากเศรษฐกิจในประเทศ ที่เติบโตได้ดี กำลังซื้อในประเทศที่สูงขึ้น ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และธนาคารพาณิชย์ที่แข็งแรงและพร้อมที่จะให้สินเชื่อ ประกอบกับตลาดหุ้นไทยเองก็ยังคงโดดเด่นและมีโอกาสที่ค่า P/E Ratio จะสูงขึ้นด้วย

ในฉบับนี้ผมจะพูดถึงอีกปัจจัยหลักที่จะเป็นตัวสนับสนุนตลาดหุ้นไทยคือ เศรษฐกิจโลก ในปีหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะมีสัญญาณดีขึ้นในหลายด้านกว่าปีที่ผ่านมา โดยผมมองว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกต่างๆ ได้ถึงจุดต่ำสุดเป็นที่เรียบร้อยในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป และปัญหา Fiscal Cliff ในสหรัฐอเมริกาที่น่าจะมีทางออกที่ดี รวมถึงเศรษฐกิจจีน ที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเชื่อว่าปี 2556 จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น หรือเป็นช่วงของ “Global recovery” เพราะวิกฤติในยุโรปที่ผ่านมานับว่าหนักหนามาก แต่ในปีหน้าจะเป็นปีที่ได้เห็นการฟื้นตัวขึ้นมาอีกระดับ ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศในการลงทุนโดยรวมดีขึ้น

และสิ่งที่ตามมาคือ Fund Flow จากเม็ดเงิน QE โดยเฉพาะ QE2 และ QE3 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เดิมไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ ก็จะย้ายจากตลาดตราสารหนี้ เข้าสู่ตลาดตราสารทุนมากขึ้น

ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ก่อนหน้านี้เม็ดเงินไหลไปอยู่ในตลาดตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อดูตัวเลขย้อนหลังกลับไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา AUM ของตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้น 15% ขณะที่ตลาดตราสารทุนกลับติดลบ 1% นั่นแสดงว่ามีเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้มากกว่า เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกยังกลัวความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก จึงไม่กล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเต็มที่

ดังนั้น ที่ผ่านมา ความเข้าใจที่ว่าตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market รวมถึงตลาดหุ้นไทยเติบโตนั้นเป็นเพราะได้รับผลพวงมาจากเม็ดเงิน QE จึงเป็นความเข้าใจที่ผิด แต่ตรงกันข้าม ตลาดหุ้นที่เม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกมากที่สุด คือตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น เงินลงทุนลดลง 6% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปลดลง 5% และตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็ลดลง 1%

ทำให้เห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนยัง Conservative มาก และยังมุ่งเน้นลงทุนในตลาด Developed Market มากกว่า ขณะที่ตลาดตราสารหนี้กลับได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ไปแล้ว จากเม็ดเงิน QE โดยเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้แถบเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 35% และกองทุนตราสารหนี้ในละตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 103%

ดังนั้นในปี 2556 ผมมองว่าเม็ดเงินจะเริ่มกลับทิศทาง โดยเงินจะไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ เข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น โดยที่ FED ไม่จำเป็นต้องทำ QE รอบใหม่ อาศัยแค่เม็ดเงิน QE เดิมที่เคยพักอยู่ในตลาดตราสารหนี้ จะไหลมาสู่ตลาดตราสารทุนมากขึ้น และจะเป็นปีที่ตลาดหุ้น Emerging Market เติบโตสูงกว่า Developed Market

หากดูตัวเลข MSCI Index ย้อนหลัง 1 ปี จะพบว่าราคาหุ้นใน Developed Market ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5.5% ในขณะที่ราคาหุ้นในตลาด Emerging Market ติดลบไป 1.5% ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและบราซิล ยังมีปัญหาเรื่องภาวะเศรษฐกิจในประเทศอยู่ และตลาด Emerging Market ส่วนใหญ่ มักจะซื้อขาย Commodity กันมาก ดังนั้นเมื่อ Commodity ไม่โต จึงส่งผลกระทบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ใน Emerging Market ด้วย

ทีนี้ ลองมามองตลาดหุ้นไทยกันบ้าง ในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น สวนทิศทางกับ Emerging Market ที่ติดลบ ผมมองว่ามาจากปัจจัยภายในประเทศเราเป็นหลัก โดยเมื่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี แน่นอนว่านักลงทุนอาจจะไม่ทุ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหมด แต่เลือกลงทุนแบบ Selective ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในสายตานักลงทุน ก็เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวมาก รัฐบาลมีเสถียรภาพ และราคาหุ้นยังไม่แพง ตลาดหุ้นไทยจึงปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30% กลายเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในเอเชีย และเป็นที่สองของโลกในปีนี้

ในปีหน้าตลาดหุ้นไทยก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ยังดีอยู่ GDP น่าจะเติบโตได้ราว 4.5 - 5% และการลงทุนของภาคเอกชนจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนรัฐบาลก็มีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2 ล้านล้านบาท และการบริโภคในประเทศก็ยังคงเติบโตจากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกับประเด็นที่ว่า ปีหน้าเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้น Emerging Market มากขึ้น แน่นอนว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นราว 10- 15% หรือดัชนีเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,450 - 1,500 จุด

ส่วนหากจะมองลงไปใน Sector หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับปีหน้า ผมมองว่า Sector ที่น่าสนใจที่สุด คือ พลังงาน โดยซื้อขายกัน P/E Ratio ที่ 7 - 11 เท่า เทียบกับ P/E Ratio เฉลี่ยของทั้งตลาดอยู่ที่ 11 - 13 เท่า ก็นับว่ายังเป็นหุ้นกลุ่มที่ราคาไม่แพง ประกอบกับถ้ามุมมองของผมที่ว่าเศรษฐกิจโลกได้ถึงจุดต่ำสุดเรียบร้อยแล้วเป็นความจริง ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็น่าจะอยู่ในจุดที่ต่ำสุดด้วยเช่นกัน ดังนั้นราคาน้ำมันในตลาดโลก และ Commodity อื่นๆ ก็น่าจะมีโอกาสปรับขึ้นได้ด้วย

ซึ่งในปีหน้า เมื่อเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้น นักลงทุนต้องมองมาที่หุ้นกลุ่มพลังงานก่อน เพราะเป็น Sector ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีสภาพคล่องสูงสุด ดังนั้นหุ้นกลุ่มพลังงานจึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมาก

อีกกลุ่มคือ ธนาคารพาณิชย์ นักลงทุนจะพิจารณาจาก Price to Book Ratio โดยหุ้นที่มี P/B Ratio เกิน 2 เท่า จึงจะนับว่าราคาหุ้นเริ่มแพง ซึ่งจากการทำ Valuation พบว่ามีเพียง 2 ธนาคารเท่านั้นที่มีราคา P/B Ratio เกิน 2 เท่า ดังนั้นหุ้นธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังเป็นหุ้นที่ราคาไม่แพงและน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตได้ดี และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ธนาคารพาณิชย์ก็น่าจะยังคงมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

และสุดท้ายคือ Consumer Sector หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะยังคงเติบโตได้ดีอีกนาน อย่างไรก็ดี หุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวมีราคาแพง ซื้อขายกันที่ P/E Ratio 20 - 25 เท่า แพงกว่า P/E ของตลาดถึง 100% ซึ่งต้องพิจารณาถึงกำไรในอนาคตของหุ้นนั้นๆ ด้วย หุ้นในกลุ่มนี้มักมีอัตรากำไรที่เติบโตมากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้นหากจะลงทุนในกลุ่มนี้ ก็ต้องพิจารณาให้ดี ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้นนั้นมี P/E Ratio 20 เท่า เมื่อเทียบกับอัตรากำไรในอนาคตก็ควรสูงมากกว่า 20% เช่นกัน เป็นต้น

พบกันใหม่ปีหน้า สวัสดีปีใหม่ 2556 ครับ

จากคุณ : Wild Rabbit [20 ธ.ค. 55 21:39:47 ]
ความเห็นที่ 1

ขอบคุณครับ

จากคุณ : SpiderM [21 ธ.ค. 55 11:34:26 ]