โบรกฯ แนะ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ปีหน้า

โบรกฯ แนะ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ปีหน้า

วันเผยแพร่ | |



โบรกฯ แนะ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ปีหน้า หลังคาดกำไรพุ่ง 17% ทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน




นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า ฝ่ายวิจัยยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคาร โดยกำลังการเข้าสู่การปรับฐานราคาเทียบกับมูลค่าทางบัญชีขึ้นมาเป็น 1.75-1.9 เท่า จากเดิม 1.5-1.7 เท่า จากอัตราผลอตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้นที่ยังเป็นขาขึ้น โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้นในปีหน้าจะอยู่ที่16.7% สูงสุดตั้งแต่ปี 2549



ฝ่ายวิจัยคาดว่าในปีหน้าสินเชื่อน่าจะโต 11.2%ซึ่งจะชะลอลงจากปีนี้ที่คาดว่าโต 12.9% แต่เป็นการย้ายจากสินเชื่อที่ปีนี้โตในกลุ่มรีเทล แบงก์ เป็นธนาคารที่เน้นคอร์ปอเรท และเอสเอ็มอี ตามวัฎจักรของการลงทุน เราคาดกำไรปีหน้าจะเติบโต 17% ซึ่งสร้างสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน



ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ธปท. ประกาศหลักเกณฑ์ BASEL III ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นไป โดยฝ่ายวิจัยพบว่าธนาคารพาณิชย์ไทยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนจากหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และยังมีมุมมองในเชิงบวกด้านปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และยังคงน้ำหนัก มากกว่าตลาด



จากหลักเกณฑ์ที่ประกาศออกมาดังกล่าวจะพบได้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ซึ่งเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ โดยหากพิจารณาที่ Tier1 Ratio ณ สิ้น 3Q55 ของธนาคารพาณิชย์ที่เราทำการศึกษาอยู่ จะพบว่าส่วนประกอบหลักของ Tier1 เกือบทั้งหมดจะเป็น CET1 อยู่แล้วอยู่ในระดับสูงกว่า 9.0% ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงมาก และเพียงพอที่จะรองรับมาตฐานที่จะบังคับใช้ในปี 2562 ได้ ดังนั้นจึงมีความมั่นใจว่าหลักเกณฑ์เรื่องการดำรงเงินกองทุนใหม่ตามเกณฑ์ใหม่จะไม่ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยในอนาคต



แต่แม้ในระยะสั้นการใช้หลักเกณฑ์ BASEL III ใหม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ แต่ในระยะยาวเราประเมินว่าการใช้หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนที่มีความเข้มงวดขึ้นจะช่วยเสริ้มสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในระบบสถาบันการเงิน แต่ในทางทางกลับกันธนาคารพาณิชย์จะสามารถ Leverage เงินกองทุนที่มีอยู่ได้น้อยลง ซึ่งอาจจะส่งผลถึงอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในระยะยาวได้



ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ ธนาคารพาณิชย์จะสามารถใช้เงินกองทุนและสินทรัพย์ที่มีในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม (ROA) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ซึ่งยังประเมินได้ยากในระยะยาวคงน้ำหนัก มากกว่าตลาด



ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐาน ยังคงมุมมองเป็นบวกสำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเชื่อว่าในปี 2556 จะยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีสำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากด Momentum การขยายตัวของสินเชื่อและผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง



ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในรอบปี 2555 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.25% จากระดับ 376.01 จุดเป็น 534.88 จุด โดยหุ้นแบงก์ทิสโก้(TISCO)เป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด 13.74% รองลงมาหุ้นแบงก์ไทยพาณิชย์(SCB) 9.85% หุ้นแบงก์กรุงเทพ(BBL) 7.65% หุ้นแบงก์กสิกรไทย(KBANK) 3.48% หุ้นเงินทุนธนชาต(TCAP) 2.80% และหุ้นแบงก์ทหารไทย (TMB) 1.08% ขณะที่หุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงได้แก่ หุ้นแบงก์กรุงศรีอยุธยา (BAY) 0.81% หุ้นแบงก์เกียรตินาคิน(KK) 3.54% และหุ้นแบงก์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LHBANK) 2.16

http://www.moneychannel.co.th/index.php/2012-06-30-12-32-32/8299-2012-12-21-02-03-26.html

จากคุณ : แล้วแต่ดวง [21 ธ.ค. 55 09:48:45 ]
ความเห็นที่ 1

ทุบเลยยยย แน่จิงทุบมาเลยยยยยยยยย

จากคุณ : แล้วแต่ดวง [21 ธ.ค. 55 09:49:15 ]
ความเห็นที่ 2

อื้อ มีแต่จะขึ้น

มารับแล้ว รีบขึ้นสิคะ  เดี๋ยวตกรถนะเออ

จากคุณ : Nai1515 [21 ธ.ค. 55 11:13:03 ]