Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ประเด็นที่ขยายไปจากกรณี ความผิดพลาดในการกำหนดสถานที่ประสูติ{แตกประเด็นจาก Y13014109} vote ติดต่อทีมงาน

กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก Y13014109

เริ่มต้นจาก การเปิดประเด็นสถานที่ประสูติ ที่เนปาลว่ามีความผิดพลาด กำลังนำไปสู่การ เปิดประเด็นความผิดพลาดอื่นๆ ในการกำหนด สถานที่ตั้งแว่นแคว้นต่างๆ ในอินเดีย โดยนักประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้สนใจในอรรถกถา เช่น

 

ที่ตั้งของแคว้นมัลละ กับอัสสะกะ เพื่อพิจารณาตามนี้

จากอรรถกถา เล่มที่ ๔๗ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

บทว่า โส อสฺสกสฺส วิสเย มุฬกสฺส สมาสเน คือ พราหมณ์นั้นอยู่ในแคว้นใกล้พรมแดนในระหว่างสองแคว้น คือ แคว้นอัสสกะและแคว้นมุฬกะ. อธิบายว่า ในท่ามกลางแคว้นทั้งสอง. บทว่า โคธาวรีกุเล ได้แก่ ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี. อธิบายว่า แม่น้ำโคธาวรีแยกออกเป็นสองสายได้กระทำเกาะในระหว่างประมาณ ๓ โยชน์ เกาะทั้งหมดปกคลุมไปด้วยป่ามะขวิด เมื่อก่อน ณ ประเทศนั้นสรภังคดาบสเป็นต้นอาศัยอยู่. ได้ยินว่า อาจารย์เห็นประเทศนั้นแล้วจึงแจ้งแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า ประเทศนี้เป็นที่อยู่ของสมณะมาก่อน ประเทศนี้สมควรแก่นักบวช. พวกอำมาตย์ได้ให้ทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ แก่พระเจ้าอัสสกะ อีก ๑๐๐,๐๐๐ ให้แก่พระเจ้ามุฬกะ เพื่อถือเอาภูมิประเทศนั้น. พระราชาทั้งสองนั้นได้พระราชทานประเทศนั้นและประเทศอื่นประมาณ ๒ โยชน์ รวมประเทศทั้งหมดประมาณ ๕ โยชน์. นัยว่า ประเทศนั้นอยู่ในระหว่างเขตรัชสีมาของพระราชาเหล่านั้น. พวกอำมาตย์สร้างอาศรม ณ ที่นั้นแล้วและให้นำแม้ทรัพย์อื่นมาจากกรุงสาวัตถีจัดตั้งเป็นโคจรคามเสร็จแล้วพากันกลับไป.

ซึ่งหากดูจากอรรถกถา ข้างต้น ก็จะได้ทราบเหตุการณ์ที่ท่านพาวรีพราหมณ์ออกจากกรุงสาวัตถี ไปถือบวชอยู่ ณ สถานที่ซึ่งเป็นเกาะที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำโคธาวรี ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างแคว้นอัสสกะกับแคว้นมุฬกะ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนักสำหรับชื่อ “แคว้นมุฬกะ” ลองพิจารณาจากอรรถกถาเรื่องเดียวกัน ในบริบทหนึ่ง เพื่อประกอบนะครับ

จากอรรถกถา เล่มที่ ๓๒ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

อยู่มาวันหนึ่ง พาวรีพราหมณ์อยู่ในที่ลับก็สำรวจดูสาระในศิลปะ ก็ไม่เห็นสาระที่เป็นไปในภายหน้า คิดว่า เราจักบวชอย่างหนึ่ง เสาะหาสาระที่เป็นไปในภายหน้า แล้วก็เข้าเฝ้าพระเจ้าโกศล (มหาโกศล) ให้ทรงอนุญาตการบวชแก่ตน. พาวรีพราหมณ์นั้นได้รับราชานุญาตแล้ว มีมาณพ ๑๖,๐๐๐ คนแวดล้อม ก็ออกไปเพื่อต้องการบวช. แม้พระเจ้าโกศลก็ทรงส่งพระราชทรัพย์ ๑๐๐๐ กหาปณะไปพร้อมกับพาวรีพราหมณ์ นั้น ด้วยดำรัสสั่งว่า อาจารย์บวชอยู่ในที่ใด พวกท่านจงไปที่อยู่ของอาจารย์ แล้วให้ทรัพย์ในที่นั้น. พาวรีพราหมณ์ประสงค์จะสำรวจสถานที่อันผาสุก ก็ออกไปจากมัชฌิมประเทศ ให้สร้างสถานที่อยู่ของตน ตรงคุ้งแม่น้ำโคธาวรีระหว่างเขตแดนของพระเจ้าอัสสกะและเจ้ามัลละ.

คราวนี้ก็คงพอจะคาดเดาได้บ้างว่า “แคว้นมุฬกะ” น่าจะเป็นแคว้นใดใน มหาชนบท ๑๖ แคว้น เพราะข้อความที่ว่า “ตรงคุ้งแม่น้ำโคธาวรีระหว่างเขตแดนของพระเจ้าอัสสกะและเจ้ามัลละ” ย่อมหมายเอาได้ว่า พระเจ้าอัสสกะครองแคว้นอัสสกะ และ “พระเจ้ามัลละรองแคว้นมุฬกะหรือแคว้นมัลละนั่นเอง”

เมื่อเป็นดังนี้
นั่นก็หมายความว่าในครั้งสมัยพุทธกาลแคว้นอัสสกะกับแคว้นมัลละมีเขตแดนติดต่อกัน เพียงแต่คั่นด้วยแม่น้ำโคธาวรีเท่านั้น

หรือที่ตั้งของแคว้น มคธ อังคะ และ กุรุ ดังนี้

อรรถกถา เล่ม ๔๒ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตก-สุตตนิบาต กล่าวไว้ว่า

พระศาสดา (เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน) ประทับนั่งบนกองทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "พหุง เว สรณัง ยันติ" เป็นต้น.

อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง ๒ รัชกาล
ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้น ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล. ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศลทรงดำริว่า "ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา" จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งนั้นนั่นแล ด้วยความเคารพ ในเวลาเขามาสู่ที่บำรุงของพระองค์ทรงทำการเสด็จลุกรับ. รับสั่งให้พระราชทานอาสนะเสมอกัน ด้วยพระดำรัสว่า "อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้."

อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา
อัคคิทัตนั้น คิดว่า "พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่างเหลือเกิน, แต่เราก็ไม่อาจเอาใจของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาลเป็นนิตย์เทียว; อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย, ชื่อว่าความเป็นพระราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแล เป็นเหตุให้เกิดสุข; ส่วนเราเป็นคนแก่, เราควรบวช." เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด ๗ วันแล้ว บวชเป็นนักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว.
อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้น, ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่งๆ จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้." พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ในเวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกองทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาวอังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆ เดือน.

ดังนั้น จากอรรถกถา ที่ผมได้ยกมาแสดงข้างบนนี้ ทำให้ทราบได้ว่าแคว้นอังคะ แคว้นมคธะ และแคว้นกุรุ ทั้ง ๓ แคว้น มีอาณาเขตติดต่อกัน ชาวเมืองไปมาหาสู่กันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อนำเครื่องสักการะไปถวายทานแก่พวกนักบวชที่มีท่านอัคคิทัตเป็นหัวหน้า หาได้มีที่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นพันกิโลเมตรและถูกคั่นกลางอยู่ด้วยแคว้นกาสี โกสละ เจตี วังสะและปัญจาละ ดังปรากฎในแผนที่ที่นักโบราณคดีตะวันตกเขียนให้ชาวโลกเชื่อตามแต่อย่างใด

แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 55 15:59:46

 
 

จากคุณ : ศรีวรุณะอิสโร
เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 55 15:56:28




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com