จากอรรถกถา เดียวกับคุณวงกลม ยกมา ย้อนข้อความขึ้นไป อีก พบเรื่องน่าคิด..
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตนในที่นั้น โดยวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า แน่ะแม่ปุณณา วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลายน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ในกาลมีประมาณเท่านี้ เราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ เธอจงรีบไปดูแลเทวสถานโดยเร็ว. นางปุณณาทาสีนั้นรับคำของนางสุชาดานั้นแล้ว ได้รีบด่วนไปยังโคนต้นไม้. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ ในตอนกลางคืนนั้น ทรงใคร่ครวญอยู่ จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พอราตรีนั้นล่วงไป ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ คอยเวลาภิกขาจารอยู่ พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ทรงกระทำโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์.
ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ ทอดพระเนตรดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก. และเพราะได้เห็นต้นไม้ทั้งสิ้นมีสีดังสีทอง ด้วยพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น. นางจึงได้คิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลายเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อจะรับพลีกรรมด้วยมือของตนเองทีเดียว จึงเป็นผู้ถึงความสลดใจ รีบไปบอกเนื้อความนั้นแก่นางสุชาดา. นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้น แล้วก็ดีใจจึงกล่าวว่า วันนี้ ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจงดำรงอยู่ในฐานะธิดาคนใหญ่ของเรา แล้วได้ให้เครื่องประดับทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา. ก็เพราะเหตุที่ในวันจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า การได้ถาดทองมีค่าแสนหนึ่งจึงจะควร เพราะฉะนั้น นางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า จักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง จึงให้คนใช้นำถาดทองมีค่าแสนหนึ่งออกมา ประสงค์จะใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่ลุกแล้ว. ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาด เหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว ฉะนั้น. ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี. นางจึงเอาถาดทองใบอื่น ครอบถาดใบนั้น แล้วเอาผ้าขาวห่อ ประดับร่างกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เอาถาดนั้นทูนบนศีรษะของตน เดินไปยังโคนต้นไทรนั้นด้วยอานุภาพใหญ่ แลดูพระโพธิสัตว์ เกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นเทวดา จึงค้อมกายลงเดินไป จำเดิมแต่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้ว เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ พระโพธิสัตว์. บาตรดินที่ท้าวฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลนานมีประมาณเท่านี้ ได้หายไปในขณะนั้น. พระโพธิสัตว์ เมื่อแลไม่เห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับ. นางสุชาดาจึงวางถาดทองข้าวปายาส ในพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ. พระมหาบุรุษทอดพระเนตรดูนางสุชาดา. นางสุชาดากำหนดอาการแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่เจ้า ขอท่านจงถือเอาสิ่งที่ข้าพเจ้าบริจาคแก่ท่านไปเถิด ไหว้แล้วทูลว่า มโนรถความปรารถนาจงสำเร็จแก่ท่าน เหมือนดังสำเร็จแก่ข้าพเจ้าเถิด นางไม่ห่วงอาลัยถาดทองอันมีค่าแสนหนึ่ง เป็นเหมือนภาชนะดินเก่า หลีกไปแล้ว.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงทำประทักษิณต้นไม้ ถือถาดเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันที่พระโพธิสัตว์หลายแสนจะตรัสรู้ มีท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ (สุประดิษฐ์) เป็นสถานที่เสด็จลงสรงสนาน จึงทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะนั้น เสด็จลงสรงสนานเสร็จ แล้วทรงนุ่งธงชัยแห่งพระอรหัต อันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำปั้นข้าว ๔๙ ปั้นประมาณเท่าจาวตาลสุก จาวหนึ่งๆ แล้วเสวยมธุปายาสมีน้ำน้อยทั้งหมด. ก็เป็นอย่างนั้น ข้าวมธุปายาสนั้นได้เป็นอาหารอยู่ได้ตลอด ๗ สัปดาห์ สำหรับพระโพธิสัตว์นั้นผู้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ที่โพธิมัณฑ์ประเทศ เป็นที่ผ่องใสแห่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้. ในกาลมีประมาณเท่านั้น ไม่มีอาหารอย่างอื่น ไม่มีการสรงสนาน ไม่มีการชำระพระโอษฐ์ ไม่มีการถ่ายพระบังคนหนัก ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุข มรรคสุขและผลสุขเท่านั้น.
ก็พระโพธิสัตว์ ครั้นเสวยข้าวข้าวปายาสนั้นแล้ว จับถาดทองทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ไซร้ ถาดของเราใบนี้ จงลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็น จงลอยไปตามกระแสน้ำ. ครั้นทรงอธิษฐานแล้วได้ลอยถาดไป. ถาดนั้นลอยตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ณ ที่ตรงกลางแม่น้ำนั่นแล ได้ลอยทวนกระแสน้ำไป สิ้นสถานที่ประมาณ ๘๐ ศอก เปรียบเหมือนม้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยฝีเท้าอันเร็วไว ฉะนั้น. แล้วจมลงที่น้ำวนแห่งหนึ่ง จมลงไปถึงภพของกาลนาคราช กระทบถาดเครื่องบริโภคของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ มีเสียงดังกริ๊กๆ แล้วได้วางรองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น. กาลนาคราชครั้นได้สดับเสียงนั้นแล้ว กล่าวว่า เมื่อวานนี้ พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้วองค์หนึ่ง วันนี้ บังเกิดอีกองค์หนึ่ง. จึงได้ยืนกล่าวสดุดีด้วยบทหลายร้อยบท. ได้ยินว่า เวลาที่มหาปฐพีงอกขึ้นเต็มท้องฟ้า ประมาณหนึ่งโยชน์สามคาวุต ได้เป็นเสมือนวันนี้หรือวันพรุ่งนี้แก่กาลนาคราชนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพักผ่อนกลางวัน อยู่ในสาลวันอันมีดอกบานสะพรั่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ. เวลาเย็น ในเวลาดอกไม้ทั้งหลายหลุดจากขั้ว ได้เสด็จบ่ายหน้าไปยังโพธิพฤกษ์ ตามหนทางกว้างประมาณ ๘ อุสภะ ซึ่งเทวดาทั้งหลายตกแต่งไว้ ดุจราชสีห์เยื้องกราย ฉะนั้น. นาค ยักษ์และสุบรรณเป็นต้น ได้บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นอันเป็นทิพย์ หมื่นโลกธาตุได้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกัน มีระเบียบดอกไม้เป็นอันเดียวกัน และมีเสียงสาธุการเป็นอันเดียวกัน. สมัยนั้นพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ เป็นคนหาบหญ้า ถือหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของมหาบุรุษจึงได้ถวายหญ้า ๘ กำ พระโพธิสัตว์รับหญ้าแล้วเสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑ์
พระโพธิสัตว์ เมื่อรับข้าวมธุปายาส เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ เมื่อเสวยมธุปายาส ลอยถาดทวนน้ำไป แล้ว พักผ่อนในเวลากลางวัน จนเย็น จึงเสด็จบ่ายหน้า ไปยังโพธิพฤกษ์ สวนทางกับพราหมณ์โสตถิยะ
๑. ไม่มีการข้ามแม่น้ำเนรัญชรา บ้านนางสุชาดาก็อยู่ฟากฝั่งเดียวกับ โพธิมณฑลที่ตั้งโพธิพฤกษ์
๒. จากโคนต้นไม้ที่รับทธุปายาส ไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา จนเวลาเย็น เสด็จบ่ายหน้าไปโพธิพฤกษ์ ไม่ตรัสว่า ได้เสด็จลุยน้ำข้ามฝั่ง
๓. แขกหรือฝรั่ง มั่วนิ่มมั๊ย ที่กำหนดให้บ้านนางสุชาดา อยู่อีกฝั่ง จึงทำให้เข้าใจว่า พระโพธิสัตว์ต้องลุยน้ำข้ามมา โพธิพฤกษ์
แผนที่ข้างล่างนี้ ผิดพลาดหรือเปล่า?
แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 00:30:58
แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 55 23:15:15
แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 55 23:12:08