ความคิดเห็นที่ 1 เพราะถ้าไม่ชอบธรรม ปัญหาที่อาจจะตามมา มันยิ่งใหญ่มาก และ แก้ไขได้ยากมากเลยครับ ^^ จากคุณ : TongNaja เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:07:12

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วจะมีพิธีแต่งงานไ้ทำไมล่ะคะ เรื่องนี้ถ้าจะให้อธิบายก็คงยาว แต่แค่จะให้คุณย้อนกลับไปมอง ว่า ทะเบียนสมรสของ พ่อและแม่คุณ นั้นก็ทำให้คุณกลายเป็นบุตรโดยชอบธรรมตามกฎหมาย และมีสิทธิตามกฎหมายทุกอย่างในส่วนที่เป็นของพ่อและแม่ จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:08:23

ความคิดเห็นที่ 3 มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าชอบธรรมตามอะไร ถ้าตามกฎหมาย ก็ต้องมีทะเบียนสมรส ถ้าตามประเพณี ก็ต้องมีพิธีแต่งงาน ถ้าตามศาสนา ก็ต้องมีผัวเดียวเมียเดียว ยกเว้นอิสลาม ถ้าอยากมีตามใจ แล้วใครจะไปบังคับคุณได้ ความเห็นส่วนตัว เราว่าไม่จำเป็นต้องสมรส แต่ต้องกับคนที่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่ใช่กับใครก็ได้ เท่านั้นก็พอแล้ว เราไม่ได้มองว่ามันต่ำ แต่เรามองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคนที่ไม่ได้อยากให้ใครมายุุ่งหรือรับรู้ด้วย เลยไม่ใช่เรื่องที่ต้องแสดงออกโจ้งแจ้งเปิดเผย แต่ก็นั่นแหละ เราก็ต้องยอมรับ ว่ามันอาจไม่ได้ชอบธรรมตามประเพณี หรือทำให้เกิดสิทธิอะไรตามกฎหมาย ก็เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 03:28:01 จากคุณ : พันธมิตรแห่งรัตติกาล เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:27:29

ความคิดเห็นที่ 4 # 3 ชายหญิง อยู่กินกันฉันสามีภรรยา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากให้กำเนิดบุตรออกมา แล้วฝ่ายชายให้การเลี้ยงดูแลบุตรอย่างเปิดเผย ถือว่า บุตรนั้นเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ในทางกฎหมายถือว่ามีสิทธิรับมรดกของบิดาได้ค่ะ ส่วนกับมารดาทางกฎหมายให้สิทธิบุตรทุกคนที่คลอดจากมารดาเป็นบุตรตามกฎหมายของสตรีคนนั้นๆอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีสิทธิรับมรดกของมารดาด้วยค่ะ จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:35:30

ความคิดเห็นที่ 5 เซ็กซ์ที่ชอบทำ จากคุณ : เพกา คุณไม่เคยหันมามองผมเลย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:38:14

ความคิดเห็นที่ 6 เราเกิดจากเซ็กส์ระหว่าง พ่อกับแม่ ที่มีความรักระหว่างกันเป็นองค์ประกอบหลักค่ะ ตอนเราไปงานแต่งพี่สาว เราก็อวยพรให้เขามีน้องให้เราเร็วๆเหมือนกันนะ แต่มันไม่สำคัญเท่า ขอให้เขารักกันแบบวันแรกตลอดไป (: การที่มองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องบาป ต่ำ ลามก อุจาด ? (สังคมไทย) ปลูกฝังกันมาอย่างนี้ไงคะ ตั้งแตรุ่นคุณทวด คนที่มีพฤติกรรมต่างจากวัฒนธรรมที่ถูกปลูกฝังเลยถูกมองว่าแตกต่าง ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เซ็กส์เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความรักระหว่างคน 2 คน จะชอบธรรมหรือไม่ ขึ้นกับว่า คน2คน นั้น สร้างปัญหาตามมารึเปล่า ? หากท้องแล้วทำแท้ง ย่อมไม่ชอบธรรมจริงไหมคะ ? แต่ถ้า คน2คน ไม่แต่งงานกัน แต่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ไปด้วยกันได้ นั่นก็ถือว่าชอบธรรม เอาง่ายๆ เรื่องแบบนี้อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ สำหรับเรา เราไม่ได้มองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องบาป ต่ำ ลามก หรืออุจาด แต่เรามองว่า เซ็กส์เป็นสิ่งที่พึงมี หลังจากคน 2 คนรักกัน และพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัว จากคุณ : Msmitch เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:40:44

ความคิดเห็นที่ 7 แค่ไม่เดือดร้อนก็พอแล้วมั้ง ไม่ไปบังคับข่มขื่น ไม่ไปแย่งเมียผัวคนอื่นมา ถ้ายินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ก็สนุกได้นิ คนโสดก็ฟินได้ จากคุณ : ดอนกระต่าย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 03:41:47

ความคิดเห็นที่ 8 เซ็กส์โดยธรรมชาติและโดยตัวมันเองไม่ใช่สิ่งต่ำช้าอะไรหรอก แต่มนุษย์นี่ล่ะ ที่มากะเกณฑ์ว่าแบบนี้ชอบธรรม แบบโน้นบาป ส่วนแบบไหนที่เรียกว่าชอบธรรมก็ขึ้นอยู่กับสังคมนั้นๆที่กำหนดกันขึ้นมา ซึ่งแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน อย่างประเทศแถบเอเซียก็จะมองว่าต้องแต่งงานก่อน ในขณะที่ประเทศแถบยุโรปและอเมริกาก็จะมองว่าไม่จำเป็น แล้วแต่คน ถ้าจะมีก่อนแต่งงานก็ไม่ได้ผิดอะไร ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แบบศาสนาคริสต์คือต้องรักเดียวใจเดียว แบบศาสนาอิสลามคือผู้ชายมีภรรยาได้สี่คนโดยชอบธรรม ในเมื่อโลกนี้มันมีหลายแบบหลายกฎเกณฑ์ ก็เป็นหน้าที่ของเราซึ่งเป็นมนุษย์คนนึงในโลก ที่ต้องตัดสินใจว่าอยากจะไปเข้าพวกไหน แล้วก็ทำตามแบบที่คิดว่าเข้ากับตัวเรามากที่สุดก็หมดเรื่อง อย่่างถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบให้ใครแตะต้อง ฝันถึงครั้งแรกในคืนแต่งงาน ก็ถือหลักรักษาพรหมจรรย์ตามประเทศแถบเอเซียไป แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายที่รู้ตัวว่ามีคนเดียวไม่พอแน่ ก็เปลี่ยนไปนับถืออิสลามซะ จะได้มีหลายคนได้โดยชอบธรรม ที่สำคัญคือใครชอบแบบไหนก็เลือกทำไป แต่อย่าไปดูถูกดูหมิ่นคนที่เลือกทำตามเกณฑ์ของสังคมอื่นที่ไม่เหมือนตัวเองพูดง่ายๆคืออย่าเอาเกณฑ์สังคมตัวเองไปตัดสินคนอื่นๆในโลก การแต่งงานมีไว้เพื่อจัดระเบียบสังคมก็จริง แต่มันจะใช้การได้ดีก็ต่อเมื่อทุกคนที่แต่งงานเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีจริงๆ แต่ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่เห็นการแต่งงานเป็นเรื่องเล่นๆ แต่งไปแล้วแต่ดันไม่ให้เกียรติพิธีที่ทำไป ดันไปหาเศษหาเลยข้างนอก ดังนั้นหลายๆคนที่เข้าพิธีแต่งงานก็เข้าไปพร้อมกับความรู้สึกเสี่ยงอยู่ลึกๆ ตัวเองอาจจะรู้สึกว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และตั้งใจว่าจะไม่มีวันนอกใจอีกฝ่าย แต่ก็ต้่องเตรียมใจไว้ตลอดว่าอีกฝ่ายที่เข้าพิธีด้วยอาจจะไม่ได้เห็นว่าการแต่งงานเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์แบบที่ตัวเองมอง ปัจจุบันหลายๆคนในโลกจึงเริ่มเปลี่ยนมุมมองว่าไม่จำเป็นต้องแต่งก็ได้ จะแต่งทำไม ในเมื่อในสมัยนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นการแต่งงานเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อจุดประสงค์ของการแต่งงานคือเป็นตัวช่วยผูกมัดให้คนสองคนอยู่ด้วยกันไปตลอดไม่นอกลู่นอกทาง แต่ในเมื่อเห็นๆอยู่ว่าหลายคู่แต่งไปแล้วก็ยังอุตส่าห์นอกลู่นอกทางได้ ดังนั้นความน่าเชื่อถือในจุดประสงค์ของพิธีแต่งงานจึงหายไปในสายตาของหลายๆคน จากคุณ : foxy little angel (Foxy Little Angel) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 04:04:29

ความคิดเห็นที่ 9 #4 อย่างน้อยในกรณีมีชู้แล้วอีกฝ่ายฟ้องหย่า ฝ่ายที่ฟ้องหย่ามีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากมือที่สามได้ ถ้าไม่จดทะเบียนนี่สิทธิตรงนี้ก็เสียไปใช่ไหมคะ จากคุณ : พันธมิตรแห่งรัตติกาล เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 04:19:09

ความคิดเห็นที่ 10 # 9 กรณีในคห.4 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสตั้งแต่ต้น คืออยู่กินกันแล้วมีบุตรนอกสมรสด้วยกัน ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีชู้จึงไม่ต้องมีการฟ้องหย่าค่ะ (กล่าวให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เมื่อไม่ได้มีการผูกมัดด้วยทะเบียนสมรส การฟ้องหย่าจึงไม่เกิดขึ้น) แต่บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองโดยการเลี้ยงดูอย่างเปิดเผยมีสิทธิรับมรดกได้ตามกฎหมายครอบครัว+กฎหมายมรดกค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 04:38:01 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 04:30:58 จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 04:29:30

ความคิดเห็นที่ 11 ต้องคิดไปอีกครับ แล้วที่โดนบังคับแต่งงานล่ะ สมัยก่อนมีเยอะมาก ยังงั้นมันจะชอบธรรมได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิง(หรือผู้ชาย)ไม่ได้ชอบทำด้วยซ้ำ จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 04:46:11

ความคิดเห็นที่ 12 มนุษย์อยากประเสริฐกว่าสัตว์ค่ะ จึงมีค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว ให้แตกต่างจากสัตว์ที่ถึงเวลาผสมพันธุ์ จะผสมกับตัวไหนก็ได้ ที่อยู่รอบข้าง เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ ถ้าหากคิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็มีเซ็กซ์นอกสมรสกับคนที่มีค่านิยมเดียวกันได้ค่ะ คนที่ไม่แคร์กับการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ แต่สำหรับเราไม่ล่ะค่ะ ถึงจะไม่สวยแต่ก็ยังอยากเข้าพิธีแต่งงาน อยากมีสามีเพียงคนเดียวในชีวิตค่ะ เซ็กซ์นอกสมรส เราไม่นิยมค่ะ เซ็กส์ไม่ใช่สิ่งที่โหยหา จนรอทะเบียนสมรสไม่ได้ ไม่ใช่ข้าวค่ะ ที่ไม่มีกินแล้วตาย แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 05:43:48 จากคุณ : CN Silk เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 05:41:46

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าแค่เห็น ชอบ เลยทำ มันก็ผิดซิครับ ทำนองคลองธรรม ความถูกต้องมันต้องมี คิดเวลาเราเป็นฝ่ายถูกกระทำดูบ้าง ถ้าลูกเราหลานเรา อันเกิดจากเซกส์ด้วยความรัก โดนบุคคลอื่นมามีเซกส์ เพียงเพื่อความอยาก เราจะรู้สึกอย่างไร เราไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้มีเซกส์นะครับ ศาสนาพุทธแค่สอนว่า อย่าผิดลูกหรือเมียผู้อื่น กับแฟน กับคนที่เรารัก จะมีเท่าไรก็ได้เช่นกัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่สามทารถเอาสติ และเหตุผล มาอยู่เหนือความรู้สึกและสัญชาติญาณได้ ถ้าเอาสติมาตามสัญชาติญาณอยากสืบพันธ์ของตัวเองไม่ได้ เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐไปก็คงเสียเปล่า จริงไหมครับ จากคุณ : โคตะคุง เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 05:44:37

ความคิดเห็นที่ 14 #10 เราไม่ได้พูดถึงเรื่องมีบุตรเลยค่ะ พูดแค่การเรียกร้องค่าเสียหายค่ะ ถ้าเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีใครมายุ่งกับแฟนเรา ทำได้อย่างดีก็แค่เลิกแล้วกรวดน้ำให้มัน แต่ถ้าเราจดทะเบียน เรามีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้หญิงที่อายุ่งกับสามีเราได้ แต่ต้องหย่าก่อนนะ พอเข้าใจไหมคะ แล้วยังจะสิทธิในการเบิกค่ารักษาพยาบาลของคู่สมรสด้วย ตรงนี้ถ้าไม่ได้แต่งงานแล้วแฟนทำราชการหรือรัฐวิสาหกิจ บังเอิญเราป่วยขึ้นมา เข้าโรงพยาบาล เราจะใช้สิทธิแฟนเบิกอะไรไม่ได้เลย สิทธิตามกฎหมายที่เราคิด คือตรงนี้ และยังมีอีกหลายเรื่องค่ะ เรายังไม่ได้คิดอะไรถึงเรื่องมีลูกเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 05:51:22 จากคุณ : พันธมิตรแห่งรัตติกาล เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 05:48:46

ความคิดเห็นที่ 15 คห 12 อย่าเหมารวมสิคะว่าคนที่มีเซ็กส์นอกสมรสจะเป็นคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ คนที่ไม่อยากแต่งงานก็สามารถรักเดียวใจเดียวได้ น้าเราคนนึงไม่แต่งงาน แต่อยู่กับแฟนคนแรกและคนเดียวมา 30 กว่าปีแล้ว และยังรักกันดี แต่น้าเราอีกคนถือคติต้องแต่งงานก่อน แต่แต่งแล้วหย่ามา 3 รอบแล้ว ตอนนี้สามีคนที่ 4 สรุป คนไม่แต่งงานรักเดียวใจเดียวกว่าคนที่เข้าพิธีแต่งงานซะอีก เห็นชัดๆว่าถึงแต่งก็มีเหตุให้หย่าได้ การแต่งงานไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะมีสามีคนเดียวไปตลอดชีวิตแน่นอน แต่ที่อยากจะย้ำคือ ที่คุณทำนี่ล่ะค่ะ เป็นตัวอย่างของการไปตัดสินคนอื่นที่มีค่านิยมไม่เหมือนกัน คุณอยากมีหลังแต่ง แต่คุณมาเหมาว่าคนที่มีก่อนแต่งเป็นพวกเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ไม่เสมอไป จะก่อนแต่งหลังแต่งมันก็เปลี่ยนคู่นอนได้ทั้งนั้นแหละ ขึ้นอยู่กับนิสัยของคนๆนั้น คุณชอบแบบหลังแต่งก็ไม่มีใครว่า เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ไม่ควรไปว่าคนอื่นค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 06:02:09

ความคิดเห็นที่ 16 #14 เข้าใจค่ะ...ใช่ค่ะ ทำได้อย่างเดียวแค่กรวดน้ำให้มันจริงๆ มีอะไรก็ปรึกษา หลังไมค์ได้นะคะ เราจบเรื่องพวกนี้มา ปรึกษาฟรีไม่คิดตังค์^^ จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 06:14:59

ความคิดเห็นที่ 17 # 15 กิ๊ฟท์หมด จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 06:17:58

ความคิดเห็นที่ 18 จขกท.คงเข้าใจผิดและต้อมทำความเข้าใจใหม่กับคำว่าเซ็กซืและชีวิตคู่  เซ็กซ์เป็นเรื่องของการสืบเผ่าพันธ์ การปลอดปล่อยความต้องการตามธตมชาติ จึงมีเรืองคำตอบแปลกทีว่าไปเตาะฟุตบอลแทนการมีเพศสัมพันธุ์ไม่พร้อม แต่การมีชีวิตคู่ไม่ต้องมีเพศสัมพันธุ์กันตลอดเวลาก็ได้ แต่ทั้งสองสิ่งเป็นเรื่องสวยงานและคงคู่มนุษย์ให้คงอยู่ในโลกนี้ตลอดไปอย่างสันติและมีความสุข จากคุณ : มือหนี่ง เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 07:29:35

ความคิดเห็นที่ 19 sex สำหรับผมในความคิดมันคือเรื่องปกติ จะมีก็มีไป แต่ต้องรับกับสิ่งที่ตามมาได้ในกรณีที่พวกคุณพลาดพลั้ง ผู้ชายก็อย่ามักง่าย ผู้หญิงก็รู้จักระวัง โคโคโค่เย้ส์ จากคุณ : Kaku-Eishi เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 07:55:08

ความคิดเห็นที่ 20 คุณจขกท กำลังตีกรอบแค่ sex ในสังคมไทยรึเปล่าคะ ถ้าแบบนั้นคือกรอบของความขอบธรรมในแง่วัฒนธรรม sex สำหรับเรามันชอบธรรมเมื่อยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ผิดคู่คนอื่น ไม่เกี่ยวกับกม. ไม่เกี่ยวประเพณี วัฒนธรรม อันนี้มองความชอบธรรมเชิงปัจเจกบุคคลนะคะ เรามอง sex มันก็เหมือนกินข้าวนั่นแหละ ฮา ถึงเราจะยังไม่ได้กินมันตอนนี้ก็ตาม จากคุณ : Midnight All Day เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 08:25:46

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท ตั้งใจมาดราม่า แต่ก็เศร้าไปเพราะไม่ดราม่า และตอบดีกันทุกคนเลย ^^ จากคุณ : sadit เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 09:36:06

ความคิดเห็นที่ 22 เซ็ก มีอยู่ทั่วไป แค่มองตาก็มีกันได้ เหมือนมันไม่จริง แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะ คนเรารู็หน้าไม่รู็ใจ สมัยนี้เด็กอนุบาล ก็ใช้ว่าจะไม่รู้จักเซ็กนะ ที่รู็จักเพราะ พ่อแม่นั่นแหละ คิดว่าเด็กไม่รู็เรื่อง ไม่เป็นไรนอนหลับไม่ตื่น  นั่นแหลัตัวดีเลย เด็กรู้นะค่ะ และรู้ว่าพ่อแม่ทำอะไรกัน เด็กมันอยากค่ะไม่ใช่ไม่อยาก มันหาที่ลงกับเพื่อนบ้าง เพื่อนหญิงนะ (อันนี้ฟังมาจากปากเด็กมันเลย อนุบาลด้วย) สมัยนี้ใครว่าอนุบาลซิง ฝันไปเถอะ เด็กมันหาทางออกของมันได้ ปล.อย่ามาดราม่าใส่ฉัน ใครอยากรู้กลับไปเฝ้าดูแลจิ๋มลูกคุณเอาไว้ให้ดี ปล.คนส่วนใหญ่ไม่กล้ายุ่งกับเด็กเพราะกลัวคุก แต่มีคนส่วนใหญ่ชอบเด็กและเด็กก็ชอบ ปล. นอกเรื่องไปเยอะเลยอ่ะ 555555+ ขอให้ จขกท.มีแฟนเร็วๆ นะค่ะ จากคุณ : warunee_AmE เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 10:41:10

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไมคนชอบคิดว่า บุตรที่ชอบธรรม คือบุตรในสมรสเท่านั้น จากคุณ : Yu!eZ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 10:53:05

ความคิดเห็นที่ 24 ใส่ถุงยาง กินยาคุม ก็โอเคแล้วคะ จากคุณ : พี่หมีดาด้า เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 11:45:26

ความคิดเห็นที่ 25 มันผิดตั้งแต่มีคำว่าเสียตัวแล้ว จริงๆนะ คนเราแค่ไม่ข่มขืนกันไม่ลวนลามกันและไม่มั่วเอาไม่เลือก นั่นแหละถือว่าใช้ได้ แต่ของแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ร่างกายของเราดูแลตามสมควรก็พอ เวลามีเซกส์ก็มีให้ถูกคน ไม่ใช่ไปเอากับแฟนชาวบ้าน แล้วก็ถูกสถานที่และเวลาแค่นั้นเองแต่คำว่าเวลามันไม่ใช่ว่าต้องรอหลังแต่งงานนะ การแต่งงานก็ส่วนแต่งงานการมีเซกส์ก็ส่วนมีเซกส์คนละเรื่องกันอะ หรือเราแต่งงานเพราะอยากมีเซกส์หรอ เซกส์สำคัญมากเป็นหัวใจของการแต่งงานขนาดนั้นเชียวหรอแต่คนเราไม่กล้ามีเพราะมันยังมีคำว่าเสียตัวค้ำคออยู่ไงแต่จริงๆมันไม่มีอะไรเสียนะ ถ้ามองกันจริงๆน่ะแล้วหัใจของการแต่งงานมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะเลย อย่างน้อยๆผมว่าการแต่งงานคือการมีบุตรอะ ถ้ามองแบบตื้นๆแล้วนะ จากคุณ : Keichun เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:01:57

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้า sexในสมรสเป็นการกระทำที่ถูกต้อง สร้างจิตสำนึกว่า อย่ามั่วนะ มีปั๋วเป็นตัวเป็นตนแล้ว จากคุณ : แสนรัตน์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:04:30

ความคิดเห็นที่ 27 จขกท เก็บกดมากไม่ดีนะครับ ต้องปลดปล่อยบ้างครับ..อิอิ ปล ล้อเล่นนะครับ.. จากคุณ : luffy&the gang เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:06:44

ความคิดเห็นที่ 28 สำหรับเราเซ็กส์คือเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเอาคำว่าสมรสมากำหนดความชอบธรรม มันไม่ผิดที่เราจะมีเซ็กส์กับคนที่เราคบ กับคนที่เรามองไปถึงการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต แค่ให้มันเกิดขึ้นถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา มีความรู้สึกดีความรักเป็นองค์ประกอบ มีความรับผิดชอบเป็นตัวรองรับการกระทำ แค่่นี้เราก็ถือว่าชอบธรรมแล้ว จากคุณ : Ckatzz-catz เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:47:00

ความคิดเห็นที่ 29 คคหท.15 ยกประเด็นจากมุมมองเดียวแล้วสรุป ผมไม่เห็นด้วย "น้าเราคนนึงไม่แต่งงาน แต่อยู่กับแฟนคนแรกและคนเดียวมา 30 กว่าปีแล้ว และยังรักกันดี แต่น้าเราอีกคนถือคติต้องแต่งงานก่อน แต่แต่งแล้วหย่ามา 3 รอบแล้ว ตอนนี้สามีคนที่ 4 สรุป คนไม่แต่งงานรักเดียวใจเดียวกว่าคนที่เข้าพิธีแต่งงานซะอีก" จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 18:34:08

ความคิดเห็นที่ 30 พ่อแม่เราไม่ได้จดทะเบียนกัน... นี่เราไม่สมควรเกิดมาหรอนี่ T^T โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮอ เข้าเรื่องละ เราว่าเซ็กแบบไม่ชอบธรรมอ่ะ คือเซ็กที่ กระทำโดยไปฉุดเขามา กับผิดผัวผิดมียคนอื่น แล้วก็เซ็กในสายเลือดเดียวกัน นอกนั้นชอบธรรมหมดจ่ะ (สำหรับเราคนเดียวนะ) จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 19:05:04

ความคิดเห็นที่ 31 การแต่งงาน คือ การมีเซ็กส์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากคุณ : LALANG เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 20:45:49

ความคิดเห็นที่ 32 คห 29 ที่สรุปนั้นไม่ได้หมายถึงสรุปว่าทั้งโลกเป็นอย่างนั้น แต่สรุปเรื่องที่เราเล่ามาเท่านั้นค่ะ แต่ประเด็นคือต้องการชี้ให้ คห 12 เห็นว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต เพราะคุณ คห 12 เขียนว่า อยากรอไว้แต่งงานเพราะชีวิตนี้อยากมีสามีคนเดียว ก็แค่อยากจะเตือนว่าถ้าจะเก็บไว้จนแต่งงานเพราะเหตุผลนั้น ก็มีโอกาสที่ความฝันจะพังทลายได้ค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 21:16:35

ความคิดเห็นที่ 33 คห 31 ขอแก้นิดนึงนะคะ เซ็กส์ที่ถูกกฎหมายไม่จำเป็นต้องรอแต่งงานค่ะ ตามที่กฎหมายระบุไว้ เซ็กส์ที่ถูกกฎหมายคือเซ็กส์ที่ไม่ได้เป็นการบังคับข่มขื่น ต้องยินยอมพร้อมใจ และทั้งสองฝ่ายต้องอายุ 15 ปีขึ้นไปค่ะ พูดง่ายๆก็คือถ้าคู่ของคุณยินยอมด้วยความเต็มใจ และอายุมากกว่า 15 ปี ก็ไม่ผิดกฎหมายแล้วค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 21:23:21

ความคิดเห็นที่ 34 เพิ่มเติมครับ ถึงจะ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ กฏหมายข้อนี้มีอยู่ครับ "ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปและกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมนั้น จำเลยมิได้รับอนุญาตจากบิดามารดาและผู้ปกครองดูแลผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง" ปล. ปรับภาษาให้สุภาพให้เหมาะสมกับสังคมแห่งความรู้ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 22:24:10 จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 21:59:18

ความคิดเห็นที่ 35 จะพลากลูกสาวชาวบ้านต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับอนุญาตจากพ่อ แม่ และผู้ปกครองก่อนนะครับ ปล. ปรับภาษาให้สุภาพให้เหมาะสมกับสังคมแห่งความรู้ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 22:21:10 จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 22:07:48

ความคิดเห็นที่ 36 ขอนอกเรื่องนะคะ คุณพันธมิตรแห่งรัตติกาล   ชื่อ log in เราคล้ายกันเลย ^___^ จากคุณ : เคหาสน์รัตติกาล เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 22:09:17

ความคิดเห็นที่ 37 คห 34 อย่างนี้แสดงว่ากฎหมายไทยมันขัดแย้งกันเอง เพราะ มาตรา 277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา 319 ที่คุณ MaxGeo บอกมา อันแรกบอกต้องรับโทษถ้าเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งก็แปลว่าเกินแล้วไม่เป็นไร แต่อันที่สองบอกต้องรับโทษถ้าอายุไม่เกินสิบห้าแต่ต่ำกว่าสิบแปด ถ้าเป็นแบบนี้ จะเขียนไว้ทำไมให้ชาวบ้านงงเล่น ก็เขียนข้อเดียวไปเลย บอกว่าอายุต่ำกว่า 18 ผิดกฎหมายไม่ว่ายินยอมหรือไม่ก็หมดเรื่อง สรุปก็คือ เซ็กส์ถูกกฎหมายในเมืองไทย ต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป และต้องเป็นการยินยอมจากทั้งสองฝ่าย แต่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานก่อน แต่ก็เป็นอย่างที่บอก แต่ละสังคมแต่ละที่ออกกฎไม่เหมือนกัน ที่ไทยอายุ 18 ที่อังกฤษอายุ 16 ที่ฮอลแลนด์อายุ 14 ก็เข้าคำสรุปเดิม อย่าเอากฎเกณฑ์ที่ตัวเองคุ้นเคยไปตัดสินคนอื่นในโลก จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 23:01:11

ความคิดเห็นที่ 38 การแต่งเป็นการประกาศตัวว่า ฉันกับเธอจะซื่อสัตย์ต่อกัน ดังนั้น เซ็กซ์ที่ถูกต้องคือ เซ็กซ์ในชีวิตสมรส ตัวมันเองไม่ใช่ของเลวร้าย แต่เราเอามาใช้ในทางเลวร้ายเองแบบตามใจฉันมากกว่าสนใจความดีงามในจิตใจ เช่น พวกชอบล่ากำไรจากผู้หญิง เอามาเต้นยั่วโชว์ตามงานต่างๆ http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5e001c0cac9e5296 จากคุณ : GoOnThai เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 23:46:09

ความคิดเห็นที่ 39 คห.37 อ่านกฎหมายดีๆครับ มันไม่มีความขัดแย้งกันเลย แต่เสริมกันอีกต่างหาก และคุณหยิบยกเรื่องกฎหมายมาไม่หมดเอง แถมตีความตามความเข้าใจและคุ้นเคยของคุณเองต่างหาก แล้วมาตัดสินกฎหมายไทยว่าขัดแย้งกันเอง คดีแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 227  แต่ผิดตามมาตรา 319 จำคุก 2 ปี แต่รับลดหย่อนเหลือ 1ปีกว่า ครับ หากมีข้อสงสัยในกฎหมาย กรุณาปรึกษาทนาย อย่าตีความเอาตามอำเภอใจ ปล. คุณเคยโพสท์ว่าจบจากนอก ทำอาชีพเกี่ยวกับการเรียนการสอน รายได้เป็นแสน ทางบ้านส่งเสริมให้อยู่ก่อนแต่ง ทัศนคติหรือมุมมองของคุณผมไม่ว่า แต่อย่าเหมาว่าอะไรที่เป็นไทยแล้วมันห่วยไปหมดครับ จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 00:16:02

ความคิดเห็นที่ 40 คห 39 เราพูดในมุมมองของมนุษย์ที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ที่มีความรู้ความสามารถด้านอื่นๆ แต่ไม่ได้เรียนจบมาทางกฎหมาย ไม่ได้เรียนการตีความกฎหมายในแบบของทนาย และก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อะไรที่จะต้องพึ่งพาทนายหรือต้องนั่งอ่านกฎหมายอย่างลึกซึ้ง แต่เปิดข้อกฎหมายและลองอ่านดู ก็ตีความมาอย่างที่กล่าวไป เราถึงได้บอกไงว่าข้อกฎหมายบางอย่างเขียนไม่ชัดเจน เพราะโอกาสที่คนธรรมดาจะตีความไม่ถูกหรืออ่านไม่ทั่วถึงก็มีสูง ถ้ากฎหมายมันระบุไว้ชัดเจนขนาดชาวบ้านอ่านเข้าใจได้ง่ายๆและทุกคนสามารถตีความได้เหมือนกัน ป่านนี้ทุกคนคงว่าความคดีของตัวเองไปตามข้อกฎหมายแล้วค่ะ คงไม่ต้องมีอาชีพทนายมาคอยช่วยเหลือคอยให้ความกระจ่างหรอก แต่ก็นะ พี่สาวเราจบกฎหมายในเมืองไทย พี่เล่าให้ฟังว่าตอนเรียน อาจารย์ที่สอนเคยบอกนักศึกษาในชั้นว่าถ้าใครอ่านภาษาอังกฤษเก่งให้ไปเอาหาหนังสือกฎหมายไทยที่แปลเป็นภาษาอังกฤษมาอ่านแทน เพราะการเรียบเรียงคำและประโยคเข้าใจง่ายกว่าภาษาไทยมาก นี่อาจารย์ที่สอนกฎหมายพูดเองนะ แถมพอพี่ลองอ่านดูก็พบว่าภาษาอังกฤษเขียนออกมาเข้าใจง่ายกว่าจริงๆด้วย ทั้งๆที่พี่เราก็พูดอ่านและเขียนภาษาไทยเป็นภาษาแม่ แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าอะไรที่เป็นไทยมันห่วยไปซะหมดนี่คะ เราไม่เห็นด้วยกับค่านิยมรักษาพรหมจรรย์ แต่ค่านิยมรักษาพรหมจรรย์ดัง้เดิมจริงๆมันมาจากอังกฤษ ถ้าเรานิยมของนอกไปซะหมดป่านนี้เราคงทำตามค่านิยมนี้ไปแล้วค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 02:00:14

ความคิดเห็นที่ 41 Sex กับการสมรส มันคนละเรื่องค่ะ แต่ค่านิยมวัฒนธรรม ในแต่ละท้องถิ่นที่อยู่จะมีการจัดการเรื่องความวุ่นวายค่ะ คือการตั้งวัฒนธรรม ประเภณีขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการอะไรให้มันอยู่ในระบบ ระเบียบมากขึ้น ถ้ามีเซกส์ ก็จะมีปัญหาอีกหลายอย่างตามมา ซึ่งปัญหาที่ดีจะมาในเวลาที่ควร คือแต่งงาน ประกาศให้สมาคมชาวบ้านได้รับรู้ว่านี่ผัวใครเมียใครจะได้ไม่มั่วถั่วกัน เวลามีลูกมีทายาทก็จะได้รู้ว่าลูกเต้าเหล่าใคร ซึ่งในสมัยก่อนเราจะอยู่กันเป็นชุมชนเล็กๆไม่ได้เป็นเมืองใหญ่เหมือนสมัยนี้เพราะฉนั้นการแต่งงานก็จะครอบคลุมพื้นที่สังคมทึ่เราอาศัยอยู่ ณ.จุดนั้น ได้รับรู้ ส่วนเรื่องของกฎหมายก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดตามขึ้นมาหลังจากประเภณีเพื่อให้การสมรสนั้นดูมีคุณค่า และคู่ควรแก่การรักษา และก็เป็นการบันทึกสิทธิ์ที่แต่ละบุคลควรจะได้ แต่ถ้าเกิดมีเซกส์แบบไม่พร้อมก็อาจเกิดปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ได้ ปัญหาเหล่านี้เกิดมาจากเซกส์ ก่อนความพร้อม ความพร้อมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันค่ะ อันนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล แต่ในที่นี้ วัฒนธรรมหรือประเภณีต่างๆเหล่านี้ล้วนสร้างมาเพื่อกำจัดความยุ่งยากต่างๆมากมาย ที่จะเกิดขึ้นมา รัก และ เซกส์ ย่อมมาคู่กัน ในที่นี้เมื่อมีเซกส์ย่อมมีปัญหาตามมาไม่มากก็น้อย เลยต้องมีประเภณีการแต่งงานให้ถูกต้องเพื่อกำจัดการมีปัญหาไม่พึงประสงค์ คือทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นนั้นเอง ทำไมจึงต้องเซกส์ในสมรส ถึงจะถูกต้อง ต้องยอมรับว่ามนุษย์เราย่อมซึมซับวัฒนธรรมและการปฎิบัติต่อๆมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีงามและจะลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นจึงได้ยึดถือสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพราะอะไรเซกส์ในสมรสจึงถูกต้อง เพราะในสมัยก่อนการแพทย์ไม่ได้เจริญขนาดนี้ ชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องการคุมกำเนิด และไม่มียาเพื่อคุมกำเนิด เมื่อมีเซกส์ย่อมนำมาซึ่งการตั้งครรภ์ นั่นหมายถึง 1 ชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมาและต้องมีการจัดการให้เข้าอยู่ในระบบ แต่การไม่สมรสอาจทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นบุตรใคร และ จะจัดการเข้าระบบได้ยากลำบาก และพ่อแม่อาจจะขายหน้าได้ เพราะการสมรสนั้นถือเป็นการให้เกียรติ์แก่ฝ่ายหญิงโดยการประกาศว่าหญิงผู้นี้เป็นภรรยาและเป็นญาติของบ้านนี้ด้วย เพราะทุกคนในหมู่บ้านจะได้รับรู้ แต่ทว่าในสังคมปัจจุบันแล้วการแพทย์เจริญก้าวหน้าจนสามารถหยุดยั้งการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ได้แล้ว และในด้านความคิดของมนุษย์สมัยนี้ก็ได้เปลี่ยนไป ทำให้มีความคิดที่แตกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ทั้งนั้น เราขอสรุปง่ายๆ เซ็กส์จะก่อนหรือหลังสมรส ไม่มีความผิดใดๆ ถ้าเราสามารถป้องกันผลกระทบและความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนเรื่องการสมรสนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามที่คู่ควรแก่การกระทำเพราะมันไม่ใช่แค่การประกาศให้คนอื่นรับรู้เท่านั้น มันยังมีอีกหลายอย่างที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่คุณทั้งคู่จะรับรู้ถึงมันได้ เราก่อนแต่งงานก็ไม่เคยคิดว่ามันสำคัญจนกระทั่งแต่งงานมาแล้วและผ่านอะไรหลายๆอย่าง เรารู้สึกว่ามันสำคัญมากจริงๆ ยาวหน่อยนะไม่รู้จะเข้าใจกันไหม จากคุณ : เด็กเก็บศพ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 02:53:34

ความคิดเห็นที่ 42 ... จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 11:17:58

ความคิดเห็นที่ 43 คห. 40 ผมก็เป็นชาวบ้านเหมือนกันผมยังอ่านรู้เรื่อง และหลานผมจบกฎหมายตอนนี้เรียนต่อที่ UEA ที่ Norwich ผมถามตามที่คุณอ้างว่าพี่สาวคุณพูด กฎหมายไทยแปลเป็นภาษาอังกฤษอ่านง่ายจริงเหรอ? ถ้ามันจริงทำไมไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลยล่ะ คำตอบของหลานคือ"ไม่" (ผมอ้างหลานแบบคุณมั้ง มันดูตลกดีไหม) ผมเห็นคุยตอบมาหลานกระทู้ล่ะ เท่าที่เห็นคุณจะอ้างเพื่อเอาชนะ ตามนีิ้ 1. คุณชอบอ้างธรรมชาติ การสมสู่มันจะไปเหมือนสัตว์ทำไมล่ะครับ การร่วมกลุ่มสร้างสังคมจนเป็นชาติของแต่ล่ะที่ จุดกำเนิดมันต่างกันวัฒนธรรมมันก็ต่างกัน การที่คนเขาจะรักษาพรหมจรรย์มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล การที่คุณไปเตือนว่าอย่ามีมันเลยพรหมจรรย์ จะเก็บไว้ทำไม ผมอ่านแล้วตลกครับ 2. ความเจริญของต่างประเทศ ล่าสุดที่อ่านข่าว เอาปืนยิงแม่ตัวเองแล้วไปยิงกราดเด็กนักเรียนที่ไม่รู้อะไรด้วย มันเจริญมากเลยประเทศนี้ 3. สำมะโนครัวของที่บ้านคุณ คุณเคยโพสท์ว่าจบจากนอก ทำอาชีพเกี่ยวกับการเรียนการสอน รายได้เป็นแสน ทางบ้านส่งเสริม กระทู้นี้มีเพิ่ม มีน้าที่ผ่านพิธีแต่งงานและอยู่กันแบบไม่ต้องแต่ง และพี่สาวจบกฎหมายทั้งหมดนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ การเอามาตั้งเป็นเหตุผล ขอถามเลยครับ ตอน thesis defense ถ้าคุณอ้างเหตุผลอ่อนๆแบบนี้ อาจาร์ยจะให้คุณผ่านไปรับปริญญาเหรอครับ อ่านแล้วก็ตลกอีก เหตุผลตลกแบบนี้ลองไปตั้งที่โต๊ะหว้ากอดูสิครับ เหตุผลที่ไม่มีเหตุผล ฟังดูแล้วไม่เข้าท่า คุณว่าจะได้รับอะไรกลับมา จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 18:49:33

ความคิดเห็นที่ 44 คห 43 คุณอาจจะคิดว่ากฎหมายอ่านง่ายสำหรับคุณ แต่คุณรับประกันได้ไหมว่ามันเขียนรู้เรื่องจนชาวบ้านทุกคนในประเทศอ่านรู้เรื่องกันหมด? คุณรับประกันได้ไหมว่าทุกคนอ่านแล้วจะตีความออกมาเหมือนกันเป๊ะ? งั้นทำไมชาวบ้านทั่วไปถึงต้องพึ่งทนายเวลามีคดีความล่ะ? ก็เพราะช่องโหว่กฎหมายมันเยอะ แต่ละข้อสามารถตีความได้หลายแบบ จึงจำเป็นต้องมีทนายซึ่งถูกฝึำกให้ตีความจากทุกมุมมองเพื่อที่จะอุดช่องโหว่ให้อีกฝ่ายเอาเรื่องไม่ได้ ที่เราติคือไม่ได้ต้องการให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะชาวบ้านที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ แต่คิดว่าน่าจะเขียนด้วยภาษาไทยแบบที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจได้ง่ายกว่านี้ หลานคุณเก่งภาษาอังกฤษแค่ไหน สอบ IELTS ได้เท่าไหร่ ใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนภาษาแม่เลยรึเปล่า ถ้าไม่ มันก็เป็นธรรมดาที่จะคิดว่าภาษาไทยอ่านง่ายกว่า แต่พี่สาวเราใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษเป็นภาษาแม่ โตมากับสองภาษาพร้อมๆกัน พูดกับพ่อภาษาอังกฤษ พูดกับแม่ภาษาไทย ชีวิตอยู่เมืองนอกครึ่งนึง เมืองไทยครึ่งนึง ทั้งสองภาษาพูด อ่าน และเขียนเก่งเท่าๆกัน พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องคิดเป็นไทยก่อน พูดภาษาไทยก็ไม่ต้องคิดเป็นอังกฤษก่อน ดังนั้นเมื่อได้อ่านเปรียบเทียบ ก็สามารถบอกได้ว่าอันไหนง่ายกว่าในมุมมองของคนที่รู้ทั้งสองภาษาในระดับเท่ากัน ส่วนที่คุณพูดมา 1. ที่บอกว่าเซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็เพราะมันเป็นจริงๆนี่คะ คุณเกิดมาได้อย่างไรล่ะ? หรือคุณจะเถียงว่าไม่ใช่? ถ้างั้นคุณเชิญไปเถียงกับเพื่อนเพศผู้กันเองก่อน เห็นหลายคนเค้ายืนยันหนักหนาว่าเป็นธรรมชาติที่จะมีอารมณ์ทางเพศและควบคุมลำบาก สิ่งที่ไม่ธรรมชาติคือกฎหมายต่างๆและพิธีการแต่งงานต่างหาก เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองทีหลัง และคุณอ่านข้อความของเราอย่างหลงประเด็นด้วยค่ะ กลับไปอ่านข้อความที่ 15 ของเราอีกที เราไม่ได้เตือนว่าอย่ามีพรหมจรรย์ เราแค่เตือนว่าอย่าเข้าใจผิดว่าเก็บพรหมจรรย์ไว้หลังแต่งแล้วแปลว่าจะอยู่กันไปตลอดรอดฝั่งต่างหาก เพราะคุณ คห 12 ดูเหมือนจะเข้าใจว่าเก็บไว้หลังแต่งเพื่อจะได้มีสามีคนเดียวตลอดชีวิต เราก็แค่ท้วงว่ามันรับประกันไม่ได้ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้บอกเค้าตรงไหนเลยว่าให้เลิกเก็บพรหมจรรย์ไว้ 2. ไม่ว่าประเทศอะไรจะเจริญขนาดไหน มันก็มีคนเลวทุกประเทศล่ะค่ะ ประเทศอเมริกาใหญ่กว่าเราเยอะ ประชากรก็มากกว่า ควบคุมลำบากกว่า เค้าบริหารประเทศได้แค่นี้ก็เรียกว่าดีแล้ว ลองประเทศไทยมีบริเวณกว้าง จำนวนประชากรเยอะเท่าอเมริกา แต่ยังใช้ระบบบริหารประเทศแบบที่เป็นอยู่อย่างนี้ รับรองเละแน่ค่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ประเทศไทยมีขนาดเล็กแค่นี้ แต่จำนวนคนในประเทศที่มีความเป็นอยู่แบบได้มาตรฐานจริงๆเป็นแค่ส่วนน้อยของประเทศ คนส่วนมากของประเทศยังยากจนกันมาก ในขณะที่อเมริกา ทั้งๆที่ประเทศเค้าใหญ่ แต่คนส่วนมากก็อยู่กินอย่างมีมาตรฐาน ชุมชนแออัดของเค้าก็สภาพไม่ได้แย่เหมือนสลัมบ้านเรา ขนาดประเทศไทยที่อ้างตัวเองว่ามีศีลธรรมอันดีงาม แต่ยังมีอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน โีรงเรียนช่างกลก็ยกพวกตีกันตาย แล้วจะไปหวังให้ประเทศอื่นที่เค้าไม่ได้เน้นระบบศีลธรรมแบบเมืองไทยให้ปลอดอาชญากรรมได้อย่างไร? และเมื่อพูดถึงความเจริญ แน่นอน คนประเทศตัวเองส่วนใหญ่ย่อมพูดเข้าข้างประเทศตัวเอง แต่ลองถามชาวโลกที่ไม่ใช่คนไทยหรืออเมริกันสิ ถามว่าในสายตาเค้า ประเทศไทยหรืออเมริกาเจริญกว่ากัน ดูซิว่าคนประเทศอื่นๆเค้ามองภาพรวมแล้วเค้าเห็นแบบไหน 3. คุณต้องไปอ่านและทำความเข้าใจใหม่นะคะ เหตุผลที่เราใช้ทั้งหมด ทั้งเรื่องประสบการณ์เราเองหรือเรื่องครอบครัวเรา เรานำมายกตัวอย่าง เพื่อที่จะบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ไม่เคยบอกแม้แต่คำเดียวว่าคนทั้งประเทศต้องเป็นแบบนี้หมด อย่างเช่นเราบอกว่าพ่อแม่เราสนับสนุนให้อยู่ก่อนแต่ง ก็เพื่อจะสื่อว่าพ่อแม่แบบนี้ก็มีในประเทศไทยเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ทุกคนจะเป็นแบบนี้ ฝ่ายที่ชอบเหมาหมดคือฝ่ายพวกคุณต่างหาก พวกที่ชอบรักษาพรหมจรรย์บางคนชอบเอาประสบการณ์ตัวเองมาพูดเหมารวมว่าคนอื่นทั้งหมด เช่น มั่นใจว่าอยู่ก่อนแต่งไม่มีพ่อแม่ที่ไหนสนับสนุน หรือบอกว่าพวกอยู่ก่อนแต่งเป็นพวกเปลี่ยนคู่นอนบ่อยทุกคน สิ่งที่เราทำก็คือยกตัวอย่างประสบการณ์ของตัวเองเพื่อค้านพวกเค้าว่า อย่าเหมารวมว่าทุกคนจะเป็นแบบที่เค้าคิด เราไม่ได้บอกเลยว่าทุกคนจะเป็นแบบเรา การเขียน Thesis ก็เหมือนกัน ถ้าเราเขียนแบบพวกคุณบางคนก็คงตกแน่นอน เพราะเอาประสบการณ์ตัวเองแล้วเหมาเอาว่าทุกคนต้องเป็นแบบนี้หมด เช่น สมมติมีคนนึงพูดเหมาว่า ในประเทศไทยทุกคนเลี้ยงหมากันหมด เราก็แค่ออกมาค้านว่าอย่าเหมารวมเพราะบ้านเราเลี้ยงแมว บ้านน้าเราเลี้ยงนก บ้านป้าเราไม่เลี้ยงอะไรเลย แบบนี้เราผิดตรงไหนคะ เราไม่ได้บอกซะหน่อยว่าบ้านเราเลี้ยงแมวดังนั้นบ้านอื่นเลี้ยงแมวกันหมด การยกตัวอย่างประสบการณ์ตัวเองเพื่อค้านว่าไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกันหมด กับ การยกตัวอย่างประสบการณ์ตัวเองเพื่อเหมารวมว่าทุกคนจะเป็นแบบเดียวกันหมด สองแบบนี้ต่างกันมากนะคะ กรุณาแยกให้ออกด้วย แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 01:59:55 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 00:59:57 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 00:45:27

ความคิดเห็นที่ 45 คห. 44 ประเด็นภาษากฎหมายผมมีข้อสงสัย ผมก็ต้องการคำตอบ ต้องไปฟังจากหลาน และทำใจไว้แล้วว่าต้องโดนพาดพิง ถึงไม่อยากเอาญาติพี่น้องขึ้นมาเป็นข้อมูล แต่คนเข้าไปนั่งเรียนกฎหมายในมหาลัยอังกฤษได้ก็ต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกครึ่งคนไทยแท้ๆ มีความสามารถก็เรียนได้ แต่เรื่องกฎหมายผมไม่ได้ฟังความข้างเดียว ในลิงค์ที่ทำไว้มีคำตอบที่ผมต้องการและยังมีลิงค์ย่อยเกี่ยวกับประเด็นที่คุณว่าทำไมเขียนอ่านยากเพราะมันไม่ใช่เรื่องของภาษาอย่างเดียวมีเรื่องของ Logic เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U13080606/U13080606.html ส่วนเรื่องที่ยังมีปัญหาอยู่ 1. ที่บอกว่าเซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็เพราะมันเป็นจริงๆนี่คะ คุณเกิดมาได้อย่างไรล่ะ? หรือคุณจะเถียงว่าไม่ใช่? ถ้างั้นคุณเชิญไปเถียงกับเพื่อนเพศผู้กันเองก่อน เห็นหลายคนเค้ายืนยันหนักหนาว่าเป็นธรรมชาติที่จะมีอารมณ์ทางเพศและควบคุมลำบาก สิ่งที่ไม่ธรรมชาติคือกฎหมายต่างๆและพิธีการแต่งงานต่างหาก เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองทีหลัง... - การที่คนมาอยู่รวมกัน มันก็มีกฎหมาย ประเพณีเข้ามาควบคุมไม่ใช่เหรอครับ ถ้าไม่มี การที่นกไปกินแมลงกับคนไปฆ่ากันตาย มันก็เรื่องของธรรมชาติทั้งคู่แล้วทำไมคนผิดล่ะครับ? แล้วคนขี่รถฝ่าไฟแดงมีการจับปรับ แต่ในธรรมชาติมันมีม้าวิ่งมาหยุดตรงสี่แยกเหรอครับ? แล้วกฎหมายและวัฒนธรรมอเมริกัน คนมาสมสู่กันที่สนามหญ้าหน้าบ้านกับสุนัขติดสัตว์ ทำไมคนโดนจับในข้อหาอนาจารล่ะครับ ในเมื่อมันก็ธรรมชาติทั้งคู่ และกฎหมายไทยมันก็เอามาจากอังกฤษ วัฒนธรรมไทยมันก็มาจากรากเหง้าของไทยเอง จุดกำเนิดมันก็ต่างจากอเมริกา จะให้เหมือนกันได้ยังไง มันก็เลยมีข้อ 2 2. พูดถึงความเจริญ คุณพูดถึงเด็กช่างกล แล้วระบบ ปวช. ปวส. เอาระะบบการเรียนการสอนมาจากเยอรมัน แล้วประเทศไทยทำไมไม่เจริญแบบเยอรมัน แล้วถ้าเอากฎหมาย, วัฒนธรรมศาสนาของอเมริกันมาใช่กับคนไทย คุณคิดว่าประเทศไทยจะเจริญในเรื่องศิลธรรมเหรอครับ ประเทศญี่ปุ่นก็ไม่มีศาสนา มีวัฒนธรรมของตัวเองก็ยังเจริญ หรือจีนระบอบคอมมิวนิสต์ คุณว่าประเทศนี้ลอกแบบอเมริกันมาเหรอครับ ส่วนระบอบการปกครอง ประเทศอเมริกันเอง ก็มีสงครามกลางเมืองเหนือ-ใต้ ฆ่ากันเอง ส่วนแนวทางระบอบการเมืองไทยมันก็เสรีมากกว่าเดิม  ก็ลองดูทีวีสิ ทั้งยึดสนามบินและเผาเมืองขนาดนั้น ก็เห็นปล่อยเป็นหน้าที่ของกฎหมายนิ ถ้าเป็นสมัยก่อน ศัตรูทางการเมืองถูกลักพาตัวหายไปหมดแล้ว คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าคนไทยทำอะไรต้องเละไปหมด เอาฝรั่งมาเป็นนายเหนือหัวเลยดีไหม? และเรื่องการตรงต่อเวลา การมีจิตอาษา เห็นแก่ส่วนร่วมก่อนส่วนตัว ทำไมไม่เห็นคุณส่งเสริม มีแต่แสดงเรื่องเพศ ผมก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าคนไทยมันฟรี Sex ให้เด็กอายุเกิน 15 ปี จูงมือไปร่วมเพศกัน ประเทศไทยจะเจริญตรงไหน? หรือเป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ต้องแพร่พันธุ์ การบังคับออกกฎระเบียบมันฝืนธรรมชาติเหรอ? หรือคนจะแต่งงานกัน จะมีพิธีกรรมต่างๆ มันผิดตรงไหน? คุณไม่อยากแต่งงานคุณก็ไม่ต้องทำสิ 3. ผมไม่อยากพูดเรื่องญาติพี่น้อง แต่ถ้าคุณใช้เป็นข้อมูลเพื่อเสริมความคิดของคุณ ก็ต้องยอมรับการถูกพาดพิงครับ สุดท้ายขอความกรุณาอย่าเอาผมไปอยู่กลุ่มไหน ผมมองเรื่องเพศเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ใครมีความคิดเห็นแปลกๆ ผมก็ท้วง คุณลองมองกลับไป คห. ด้านบน คุณเอาน้าสองคนมาพูดแล้วสรุป ผมก็ท้วงไป พอคุณอธิบายผมก็เงียบ พอคุณพูดเรื่องกฎหมาย ผมก็ท้วงอีก และไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขอให้มีความคิดเห็นประหลาดๆ หรือเกิดข้อสงสัย ผมมีทั้งตำหนิและทักท้วงหมด จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 13:53:17

ความคิดเห็นที่ 46 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัว มาตรา1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนได้ (เหตุสมควรเช่น ท้องก่อนแต่ง (ยกเว้นโดนข่มขืน) ทั้งนี้ต้องได้รับความยินยอมจาบิดามารดา หรือผู้ปกครอง) การสมรสก็เป็นเพียงแค่การทำให้ดูงดงามถูกต้องตามประเพณีและเป็นการยืนยันสิทธิทางกฎหมายเท่านั้น การสมรสไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคู่สมรสต้องมีความรักให้กันเสมอไป เพราะฉะนั้นการมีSex โดยผ่านการสมรสแล้ว จึงเป็นเพียงที่ค่านิยามส่วนใหญ่เห็นว่ามันดูไม่น่าเกลียดและเป็นสิ่งถูกต้องเท่านั้น จากคุณ : พู่กันสีเขียว เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 18:39:17

ความคิดเห็นที่ 47 คห 45 ประเด็นเรื่องภาษาคือ คนที่น่าจะตัดสินได้ใกล้ความจริงที่สุดในการเปรียบเทียบว่าภาษาใดง่ายกว่า ก็น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถด้านภาษาแบบ Bilingual ก็คือมีความรู้ทั้งสองภาษาอยู่ในระดับดีพอๆกัน คนไทยทั่วไปถึงแม้จะสามารถใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่เข้าไปนั่งเรียนมหาวิทยาลัยกับฝรั่งได้ก็ยังไม่ถึงขั้น Bilingual ค่ะ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ใช้สองภาษาเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เล็กๆ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยคงมีคน Bilingual เต็มไปหมดแล้ว ตอนสมัยเราเรียน คนไทยที่สอบผ่านวัดระดับมาเข้ามหาที่เมืองนอกมีเยอะแยะ แต่คนที่เก่งภาษาจริงๆและเข้าใจถ่องแท้มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เก่งบนกระดาษ สอบผ่านการวัดระดับเพราะมีการเตียมตัวติวข้อสอบมาเยอะ อย่างคนสอบ IELTS ผ่านแล้วมาเรียนได้ก็จริง แต่ก่อนสอบคนไทยส่วนมากก็ไปติวมา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้บอกถึงความสามารถภาษาที่แท้จริง เพราะใช้ภาษาในชีวิตจริงไม่มีการติวก่อนล่วงหน้าค่ะ เพราะฉะนั้นคนที่เรียกว่า Bilingual จริงๆก็น่าจะเป็นพวกที่สามารถผ่านข้อสอบ IELTS ได้คะแนนสูงๆโดยไม่เคยติวมาก่อนล่วงหน้าเลย 1. ต้องแยกกฎหมายและประเพณีออกจากกันค่ะ คนละเรื่องกัน กฎหมายคือสิ่งที่ใช้จัดระเบียบคนและเป็นข้อบังคบไม่ให้คนทำสิ่งไม่ดี ประเพณีคือสิ่งที่คนทำต่อกันมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันดีหรือถูก เช่นในเผ่าแอฟริกามีพิธีฆ่าคนไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นประเพณีที่ทำต่อกันมานาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันดี ปัจจุบันก็เริ่มหายๆไปแล้วเพราะคนเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ถูกและเลิกหลับหูหลับตาทำตามประเพณี ตัวอย่างที่คุณหยิบยกมาว่าทำไมต้องออกกฎห้ามทั้งๆที่เป็นเรื่องธรรมชาติ ก็เพราะแต่ละอย่างที่คุณหยิบยกมาอ้างล้วนสร้างความเดือดร้อนหรือเสียหายให้ผู้อื่น เช่นขับรถฝ่าไฟแดง ฆ่าคนตาย ที่ฆ่าคนตายต่างจากนกกินแมลงเพราะนกกินแมลงมันคือธรรมชาติ เป็นโซ่อาหาร แต่คนฆ่ากันเองมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นมันก็ชัดเจนว่าไม่ควรทำ แต่เรื่องเซ็กส์ ตราบใดที่คนสองคนทำกันแล้วไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นก็ไม่น่าจะผิดอะไร 2. คนไทยเอาระบบการศึกษามาจากเมืองนอก แต่ไม่เจริญแบบเค้า ก็เพราะไม่ได้เอาระบบเค้ามาทั้งหมด หนังสือหรือระบบอาจจะใช้แบบเดียวกับเมืองนอก แต่วิธีการปฏิบัติตนระหว่างครูกับนักเรียน วิธีการสอนไม่เหมือนเค้า หลายครั้งที่มีคนตามกระทู้บอกว่าเด็กไทยวุฒิภาวะต่ำกว่าเด็กฝรั่ง จึงไม่ควรปล่อยให้อิสระแบบเด็กฝรั่ง แต่ต้องย้อนถามว่าคนเราจะพัฒนาวุฒิภาวะได้อย่างไร คำตอบก็คือในการพัฒนาวุฒิภาวะ คนเราต้องมีโอกาสคิดเองทำเอง ตัดสินใจเอง ลองผิดลองถูก ช่วยเหลือตัวเอง ปัญหาคือวิธีการเลี้ยงดูแบบไทยเป็นการส่งเสริมให้เด็กพัฒนาวุฒิภาวะช้า เพราะของไทยเน้นการปกป้อง ห้ามปราม ดูง่ายๆ อย่างช่วงอายุ คนไทยสองคำก็ยังเด็กอยู่ อะไรๆก็ยังเด็กอยู่ ฝรั่งพออายุ 18 เค้าก็ถือว่าคนๆนี้พ้นจากวัยเยาวชนและเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ของไทย คนอายุ 24 ยังเรียกเป็นเยาวชนอยู่เลย พูดง่ายๆ สังคมไทยเลี้ยงดูแบบไม่ยอมให้โตเป็นผู้ใหญ่ จะคิดจะตัดสินใจอะไรในชีวิตตัวเองก็ต้องถามผู้ใหญ่ ทั้งๆที่ตัวเองอายุก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อวันก่อนได้ดูสารคดี มีครอบครัวนึงเด็กดื้อมากๆ ไม่มีความเป็นระเบียบเลย เด็กๆไม่มีมารยาท ด่าพ่อแม่ ชกต่อยกันเอง ก็เลยต้องให้พี่เลี้ยงที่เป็นนักจิตวิทยาเข้าไปช่วยเหลือ ผลออกมาว่า ปัญหาอยู่ที่วิธีการเลี้ยงดู พ่อแม่คู่นั้นเลี้ยงลูกแบบโอ๋มาก ไม่ยอมให้เด็กทำอะไรเองตามที่อายุของเด็กควรจะทำได้ เช่น ลูกหกขวบแล้วไม่ยอมให้หวีผมเองเพราะกลัวลูกหวีไม่เรียบร้อย ลูกคนโตอายุสิบสองแต่ไม่ยอมให้ลูกเลือกเสื้อผ้าเอง ทั้งๆที่อายุเท่านี้เค้าควรจะทำได้แล้ว พอทำการทดลอง โดยการให้พ่อแม่ปล่อยให้ลูกทำเอง ความประพฤติของเด็กๆเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ นักจิตวิทยาอธิบายว่า การที่คนเราถูกปิดกั้นไม่ให้ทำในสิ่งที่อายุตัวเองควรจะทำได้ คนเราก็จะทำตัวเหมือนมีวุฒิภาวะอยู่แค่นั้น เช่นเด็กอายุ 12 แต่ถูกเลี้ยงเหมือนเด็ก 6 ขวบ เด็กคนนั้นก็จะโตแต่ตัวและมีวุฒิภาวะเท่าเด็ก 6 ขวบ ก็เหมือนกับวิธีที่คนไทยเลี้ยงลูก ลูกอายุ 23 แต่ได้รับอิสระเท่ากับเด็กอายุ 15 เพราะฉะนั้นลูกก็จะทำตัวเหมือนเด็กอายุ 15 นั่นแหละค่ะ แถมเจ้าตัวเองก็จะเข้าใจไปผิดๆว่าตัวเองยังเด็กอยู่และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร เราจะเห็นได้บ่อยๆ บางทีเห็นคนไทยอายุ 25 พูดว่า ทำไม่ได้หรอก หนูยังเด็กอยู่เลย! ถ้าเป็นเมืองนอก หากคนอายุ 25 มาพูดว่า I can't do this, I'm still a child คนรอบข้างฟังแล้วต้องบอกไอ้นี่มันบ้าแน่นอน ทีนี้ลองนึกภาพว่าประเทศเต็มไปด้วยคนที่ถูกเลี้ยงดูแบบโตแต่ตัว เต็มไปด้วยคนที่อายุบรรลุนิติภาวะแล้วแต่วัยวุฒิยังเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่เลย ก็แปลว่าประเทศเราเต็มไปด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ทำตัวไร้ความรับผิดชอบเหมือนเด็ก ก็แน่นอนว่าประเทศจะพัฒนาช้า พฤติกรรมหลายๆอย่างเช่นการตรงต่อเวลา การมีจิตอาษา เห็นแก่ส่วนร่วมก่อนส่วนตัว และมีเซ็กส์อย่างปลอดภัย คนที่จะทำได้ก็คือคนที่มี sense ของการรับผิดชอบ ปัญหาก็คือถ้าคนเราเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม ไม่ให้โอกาสให้เด็กตัดสินใจเอง ทำผิดเอง รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วโตไปเค้าจะรู้จักการรับผิดชอบได้อย่างไร คุณกลับไปดูก็ได้ ทุกๆกระทู้ที่เราเขียน เราไม่เคยไปด่าว่าหรือสั่งให้คนอื่นเลิกเก็บพรหมจรรย์ เราแค่ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการเก็บพรหมจรรย์ก็เท่านั้นเอง การกระทำทุกอย่างมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละค่ะ ปกติคนเราก่อนจะตัดสินใจอะไรก็ต้องเอาข้อดีและข้อเสียมาวางไว้ตรงหน้า ชั่งน้ำหนัก แล้วตัดสินว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง แต่ผู้หญิงไทยส่วนมากมักจะถูกปลูกฝังให้เห็นแต่ข้อดีของการแต่งก่อนอยู่ พ่อแม่น้อยคนที่จะชี้ให้ลูกเห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ผู้หญิงหลายคนที่ตัดสินใจเก็บพรหมจรรย์ไว้ ก็มักจะเป็นการตัดสินใจจากข้อดีที่ถูกปลูกฝังมาเท่านั้น ตัดสินใจจากข้อมูลข้างเดียว บางคนใสซื่อจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีข้อเสียอยู่ด้วย เวลามีคนตั้งกระทู้ถามคำถามพวกนี้ เราถึงได้มาชี้ให้คนเห็นข้อเสียบ้าง คนมาอ่านที่เคยรู้มาแค่ข้อมูลด้านเดียวก็จะได้มีโอกาสรับรู้อีกด้านบ้าง แล้วจะได้นำข้อมูลสองด้านไปชั่งน้ำหนัก ตัดสินใจว่าที่เก็บพรหมจรรย์มาตลอดนั้นควรจะเก็บต่อไปมั๊ยหลังจากได้รู้ข้อเสียด้วยแล้ว ถ้าเค้าชั่งน้ำหนักดูแล้วยังคิดว่าควรเก็บเพราะเค้าเห็นว่าข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย อันนั้นก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเค้า ว่าแต่คุณเดือดร้อนอะไรคะ รู้สึกว่าคุณเดือดร้อนและไม่พอใจทุกครั้งเลยที่เราออกความเห็นชี้แจงให้คนเห็นถึงข้อเสียของการเก็บและให้คุณค่ากับพรหมจรรย์ เราไม่ได้ไปบังคับใครให้อยู่ก่อนแต่ง เราแค่ชี้แจงข้อเสีย ส่วนคนตัดสินใจก็คือคนที่เข้ามาอ่าน เค้าจะทำยังไงกับชีวิตเค้าก็เรื่องของเค้า หรือว่าคุณมีส่วนได้ส่วนเสียต่อค่านิยมเรื่องพรหมจรรย์ของผู้หญิง ถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ต้องการให้ผู้หญิงได้รับรู้ข้อมูลข้อเสียของค่นิยมรักษาพรหมจรรย์? ต้องการให้ผู้หญิงตัดสินใจชะตาชีวิตตัวเองจากการฟังความข้างเดียวต่อไปเรื่อยๆ? และที่เราเห็นว่าสังคมทำไม่ถูกมากๆก็คือ การไปดูถูกหรือตัดสินคนอื่นที่มีเซ็กส์ก่อนแต่ง ประณามว่าไม่ดีบ้าง ผิดบ้าง ไม่มีค่าบ้าง ทั้งๆที่คนทำอายุเกิน 18 แล้ว ซึ่งถ้ากฎหมายเค้าขีดเส้นไว้่ที่อายุ 18 พอคนอายุเกินนี้ เราก็ควรจะเคารพกฎหมาย เคารพในสิทธิ์ส่วนตัวของเค้า เค้าอยากจะทำก็ไม่ควรไปต่อว่าอะไรเค้าแล้วเพราะเค้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ถ้าจะอ้างว่าคนอายุเกิน 18 หลายคนก็ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ก็ต้องกลับไปแก้วิธีเลี้ยงดูเด็ก ให้เด็กไทยมีพัฒนาการทางวุฒิภาวะให้เข้ากับอายุมากขึ้น ไม่ใช่แก้ไขด้วยการเพิ่มเกณฑ์อายุที่อนุญาตให้มีเซ็กส์ได้อย่างถูกกฎหมาย ส่วนสิ่งที่เราทำ เราอยู่ก่อนแต่ง เราอายุเกิน 18 เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน เวลามีคนออกความเห็นเหมารวมในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น เราก็ออกมาค้านว่าไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบที่คุณคิดนะ เวลามีคนออกความเห็นถามว่าอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่ดีกว่ากัน เราเห็นว่ามีคนพูดข้อดีเยอะแล้ว เราก็ออกมาพูดข้อเสียให้ฟังบ้าง จะได้สมดุลย์ แต่ไม่เคยไปสั่งหรือบังคับใครให้ตัดสินใจตามเรา ส่วนเวลามีใครที่ไม่เคารพสิทธิ์การตัดสินใจของเรา เช่นมาด่าว่าไร้ค่าเพราะเราไม่รักษาพรหมจรรย์ เราก็ว่าเค้ากลับ ที่เราทำทั้งหมดนี้มันผิดตรงไหนหรือ มันแปลกประหลาดตรงไหน คุณถึงได้ต้องมาทักท้วง? แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 55 01:35:07 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 01:32:11

ความคิดเห็นที่ 48 คห. 47 ในเรื่องภาษาผมมองเป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง การที่จะเก่งมีความสามารถระดับ Bilingual จำเป็นไหม ผมก็มองว่าไม่จำเป็น เพราะองค์ประกอบอย่างอื่น เช่น ตรรกะความคิด การจินตนาการ ของแบบนี้ถูกฝึกมาต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือปล่าว ยกประเด็นกฎหมาย คุณมั่นใจไมว่า Bilingual รู้ความหมายของกฎหมาย แล้วทำไมตอนคุณยกกฎหมายมาอ้าง คุณบอกคุณเป็นชาวบ้านไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่อ่านกฎหมายไทยที่แปลเป็นภาษาอังกฤษล่ะครับ จะได้เข้าใจ หรือคนที่ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นมาเรียนวิศวะ จำเป็นต้องเก่งภาษาระดับ Bilingual ถึงจะอ่านตำราของญี่ปุ่นได้ ทั้งที่ตำราเนื้อหา มันเป็นคณิตศาสตร์ทั้งนั้น แล้วคนญี่ปุ่นไม่เก่งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ทำไมมาลงทุนในไทย คิดเป็นร้อยล่ะ 40 ของบริษัทข้ามชาติ แล้วยังลงทุนในอาเซียนเป็นลำดับต้นๆ ถ้าจะต้องมีระดับภาษา Bilingual ต้องอยู่ต่างประเทศ 10 ถึง 20 ปี หรือต้องเป็นลูกครึ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วล่ะครับ มันก็แค่เครื่องมือ แต่ผมเห็นด้วยกับคุณที่ว่าการเรียนภาษา ต้องคิดแบบเจ้าของภาษา เพราะผมมาอยู่ต่างประเทศ ใช้ Dictionary ญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ พัฒนาการด้านภาษาช้ามาก ต้องเปลี่ยนเปลี่ยนไปใช้ของเจ้าของภาษาถึงดีขึ้นมา 1. ประเด็นกฎหมายไทยคุณยอมรับไหมว่าไม่ได้ปิดหรือขวางธรรมชาติ ประเด็นวัฒนธรรมไทย ยกไปประเด็นที่ 2 2. ความเจริญของฝั่งตะวันตก มีการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเซีย เมื่อไม่เกิน 40 ปี ที่ผ่านมา การเร่งพัฒนาโดยไม่สนใจลักษณะสังคมไทยที่เป็นระบบครอบครัวใหญ่ ทำให้สังคมเละแบบปัจจุบัน เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการโอ้ลูกหรือการสั่งสอนไม่ดีอย่างที่คุณเข้าใจ เพราะการดูแลลูกของสังคมไทยแท้ๆ เขาให้ลูกไปบวชเป็นสามเณรครับ และการเป็นสามเณรคือการฝึกช่วยเหลือตนเองและความอดทน คุณคงรู้นะครับว่าวันหนึ่งฉันข้าวได้กี่มื้อ และการเรียนศาสนามันอบรมจิตใจ แล้วสิ่งที่เคยเคร่งคัดมันก็เสื่อมตามความเจริญ เพื่อที่ต้องการเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ตัวอย่างนอกจากเมืองไทย ก็เวียดนามกับจีนที่เร่งพัฒนา มีแต่ความเจริญภายนอกแต่จิตใจเสื่อม และขอถามสารคดีที่คุณดูของประเทศในครับ? ใช่เด็กไทยหรือปล่าว? ถ้าใช่นั่นก็แสดงว่าสื่อไทยมีความคิดแล้ว ซึ้งผมจะดีใจมาก แต่ผมเดาว่าไม่ใช่ 3. หายไป ผมเองไม่ได้ทำงานอยู่สำนักทะเบียนราษฎร์ ผมก็ไม่สนใจ ในประเด็นอื่น เวปบอร์ดสาธารณะ ผมสงสัยผมก็ถาม หรือผมไม่มีสิทธิ์ในการทักท้วง หรือการที่ผมจะแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ผิด จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 12:24:24

ความคิดเห็นที่ 49 ... กด Vote ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 14:55:04

ความคิดเห็นที่ 50 คห 48 ที่เราบอกว่าคนเข้าใจกฎหมายจำเป็นต้องเชี่ยวชาญภาษาด้วย ก็พื้นฐานการอ่านกฎหมายมันคือภาษาและความเข้าใจสำนวนรูปแบบประโยคของภาษานั้นๆ ภาษาไม่ใช่ คณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ที่สามารถเรียนได้แม้ไม่เก่งภาษา คุณทราบไหมว่าเวลาเด็กไทยมาเรียนต่างประเทศโดยที่ภาษายังไม่แข็ง วิชาที่ทำได้ดีที่สุดมักจะเป็นวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และวิชาที่เรียนได้แย่ที่สุดคือวรรณคดี การละคร หรือวิชาอะไรก็ตามที่พื้นฐานคือภาษา ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกวิชาแบบวิศวะ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถทางด้านภาษามากนัก ไม่ว่าประเทศไหนในโลก 2+2=4 เหมือนกันหมด แต่วิชาเช่นการละคร จำเป็นที่จะต้องนั่งวิเคราะห์รูปประโยคและความหมายหลายๆมุมมองจากประโยคเดียวของภาษานั้นๆเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่องที่จะแสดงอย่างถ่องแท้ ดังนั้นถ้าไม่เก่งภาษาก็จอดป้าย กฎหมายอาจจะไม่ต้องรู้ลึกขนาดการละคร แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเข้าใจในภาษาและความสามารถในการวิเคราะห์ภาษาเช่นเดียวกัน อย่างเราเองไม่ใช่ Bilingual เพราะความสามารถสองภาษาไม่เท่ากัน เราเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าไทย ภาษาไทยของเราก็พอๆกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ไม่ใช่ระดับที่ไปวิเคราะห์อะไรลึกซึ้ง สิ่งที่เราพูดตั้งแต่แรกก็คือ เราคิดว่าจะดีมากหากกฎหมายภาษาไทยน่าจะเขียนด้วยภาษาไทยแบบที่คนมีความสามารถภาษาไทยระดับชาวบ้านอ่านเข้าใจง่ายกว่านี้ ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเค้าเขียนไว้โดยใช้ภาษาที่ชาวบ้านธรรมดาอ่านก็อ่านรู้เรื่อง พี่เราที่เป็น Bilingual ตัวจริง อ่านสองภาษาแล้วเทียบออกมาว่า เวอร์ชั่นภาษาไทย คนต้องมีความรู้การตีความภาษาไทยค่อนข้างดีถึงจะอ่านรู้เรื่อง แต่เวอร์ชั่นภาอังกฤษความสามารถภาษาระดับชาวบ้านธรรมดาก็อ่านรู้เรื่องแล้ว 1. ก็ใช่ไงคะ เราถึงบอกว่าขนาดกฎหมายยังไม่ปิดกั้นธรรมชาติเลย ที่ปิดกั้นคือวิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่ต่างหาก เช่น กฎหมายบอกว่าถ้าอายุ 18 ขึ้นไปแล้วยินยอมทั้งสองฝ่ายก็ไม่ผิดแล้ว แต่พ่อแม่หลายคนก็ยังไม่ยอมให้ลูกทำ ทั้งๆที่ในหลายกรณีลูกก็อายุเกิน 18 ไปหลายปีแล้ว แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่เคารพสิทธิ์ตามกฎหมายของลูก ประเทศอย่างอังกฤษ ตามกฎหมายให้ได้ตั้งแต่อายุ 16 และคนที่นั่นส่วนใหญ่ก็เคารพกฎหมาย พอลูกอายุเกิน 16 พ่อแม่ก็จะไม่ห้ามแล้ว เพราะเป็นที่รู้กันว่าต้องเคารพสิทธิ์ตามกฎหมายของลูก 2. อืม ถ้าพื้นฐานสังคมไทยไม่ได้เลี้ยงลูกแบบโอ๋อย่างที่คุณพูด แล้วทำไมเราถึงได้เห็นคนเลี้ยงลูกแบบนั้นเต็มไปหมดล่ะ? เช่นภาพพี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ตามป้อนข้าวเด็กอายุมากกว่าสองขวบ ไม่ยอมให้ลูกแยกห้องนอนทั้งๆบ้านก็มีห้องเหลือตั้งหลายห้อง ทำไมหลายๆบ้านห้ามลูกมีแฟนจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ทั้งที่ความรักแบบปั๊บปี้เลิฟตามธรรมชาติของวัยมัธยมก็เป็นส่วนนึงที่จะช่วยเสริมการพัฒนาวุฒิภาวะ หรือ Social Maturity ทำไมคนไทยหลายๆคนโดยเฉพาะผู้หญิง จบมหาวิทยาลัยออกมาทำงานแล้ว แต่ยังอ่อนต่อโลกมาก สังเกตุจากกระทู้บางกระทู้ที่คนวัยทำงานเข้ามาตั้งขอความช่วยเหลือเช่น จะนอนกับแฟนดีมั๊ย จะท้องหรือเปล่า แสดงว่าคนวัยทำงานหลายคนแค่ชีวิตของตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ แถมยังดูเหมือนไม่ค่อยมีความรู้ด้านเพศศึกษา ทำอะไรไปกับใคร ป้องกันหรือไม่ ก็น่าจะรู้ตัวแล้วว่าน่าจะท้องหรือไม่ แต่ก็มาตั้งกระทู้ถามแบบนี้ ทำไมมีคนอายุเป็นผู้ใหญ่หลายคนชอบออกตัวว่าทำไม่ได้หรือไม่กล้าทำอะไรสักอย่างเพราะตัวเอง'ยังเด็กอยู่เลย' เหตุการณ์แบบนี้เห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วในเมืองไทย ก็ไม่เข้าใจว่าเลี้ยงกันแบบไหนถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้ รายการที่ดูเป็นของอังกฤษค่ะ ดูออนไลน์ได้ ก็เพราได้ดูรายการนี้แหละ ทำให้เราเห็นว่าการเลี้ยงลูกแบบประคบประหงมไม่ปล่อยให้เป็นไปตามอายุจริงๆก็มีแต่ผลเสีย  ในสารคดีบอกว่า ถ้าทำกับลูกวัยเด็กก็จะดื้อมากและทำตัวเด็กกว่าอายุช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น ถ้าทำกับลูกวัยรุ่นก็จะเกิดอาการยิ่งห้ามยิ่งยุขั้นหนัก คือพ่อแม่พูดอะไรจะต่อต้านไปทุกเรื่อง หรือบางคนร้ายลึก ดื้อเงียบ ต่อหน้าำ่พ่อแม่ก็ทำดีเพื่อเอาตัวรอด แล้วไปแอบทำสิ่งที่อยากทำทีหลัง ถ้าทำกับลูกวัยผู้ใหญ่ ลูกก็จะเป็นลูกแหง่ ตัดสินใจอะไรไม่เป็นแม้แต่เรื่องของตัวเอง และไม่มีภูมิต้านทานต่อโลกภายนอก เราดูแล้วก็รู้สึกว่า นี่มันกำลังบรรยายลักษณะของคนหลายๆคนในสังคมไทยชัดๆ ทำให้รู้ว่า ต้นตอปัญหาก็คือ การเลี้ยงดูแบบปกป้องเกินไปนี่เอง 3. เราไม่ได้ใช้เรื่องของญาติพี่น้องมาเสริมความคิดตัวเอง แต่เอามาเสริมความเป็นจริงต่างหาก พวกที่ชอบเหมารวมต่างหาก คือพวกที่ทำแบบที่คุณว่า เพียงเพราะพ่อแม่ตัวเองไม่สนับสนุน ก็เอาครอบครัวตัวเองเป็นที่ตั้งและไปคิดเหมารวมว่าทุกครอบครัวจะเป็นแบบนั้น เราก็แค่เถียงโดยใช้ข้อเท็จจริงว่าอย่าคิดเหมารวมเอง เพราะครอบครัวที่ไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่ แบบนี้เราใช้่เสริมความคิดตัวเองยังไงเนี่ย? คนที่พูดโดยอ้างอิงหลักฐานความเป็นจริงสมควรโดนพาดพิงหรือ? แล้วพวกที่เค้าชอบเหมารวมคนอื่นไปหมดทำไมคุณไม่ไปทักท้วงเค้าล่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 03:35:58