Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[ชวนคุย] The Holographic Universe (ชวนชาวพุทธด้วยนะ) vote ติดต่อทีมงาน


เราศึกษาพวกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นะ

ที่เน้นๆเลย อยากให้ลองดูเรื่อง Superposition of the electron

และทฤษฎีที่เกี่ยวกับ Space-Time, Gravity(แนวคิดของไอน์สไตน์) และอีกหลายๆอย่างเกี่ยวกับ Cosmos(จักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหมดในหลายๆจักรวาล)

คนพุทธเรา เราจะมีความรู้เรื่องของ "จิต" กับ "กาย" อยู่แล้ว (สัจจะในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่หลายๆคนไม่พิสูจน์เอง คนที่ไม่ได้นับถือพุทธก็จะไม่เข้าใจตรงนี้ แต่คนที่นับถือพุทธจะเข้าใจและรู้อยู่แล้วว่า พวกเราคืออะไร และเกิดมาทำไม)

พอเราดู video ข้างล่างนี้ เรื่อง The Holographic Universe

เราคิดว่า มันเป็นการอธิบายแบบเป็นวิทยาศาสตร์ ว่า.. ตัวตนจริงๆของพวกเราคือ จิตวิญญาณ แต่ร่างกายสังขารเป็นแค่คลื่น เป็นสิ่งที่ เปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา (ถ้าเป็นภาษาแบบคนพุทธ ก็คือ อะไรๆก็ไม่คงอยู่ถาวร แต่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา)

จาก video ข้างล่างนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า คนที่ค้นพบเรื่อง Holographic Universe เขาแค่ค้นพบเฉยๆว่า พวกเราคือ "จิตวิญญาณ" ที่อยู่ในร่างกายเนื้อ

แต่เขายังไม่รู้ว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร?? (ทีแรกเราก็ดูๆไป อยากรู้ว่าเขาจะคิดได้เหมือนพระพุทธเจ้าไหม?) ปรากฏว่า เขาคิดไม่ได้

คนอิยิปต์สมัยก่อน ฉลาดมาก(ฉลาดกว่าที่พวกเราเข้าใจด้วย) เขาหาความรู้โดยผ่านประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ(ที่ทำให้เขาสร้างพีระมิดได้) แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าพวกเราเกิดมาทำไม

แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้ด้วยปัญญา รู้ว่ามนุษย์เกิดมา มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พวกเราเกิดมามีร่างกายแข็งแรงและสดใสในวัยเด็ก จนเราเกิดการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายตัวตนของเรา และเมื่อยามที่เราเริ่มแก่ ผิวหนังเหี่ยว และยามที่เราเริ่มล้มป่วย เราก็จะรู้สึกเสียใจและทรมาน

เวลาเราได้สิ่งของมาชิ้นใหม่ เราก็จะรู้สึกดีใจที่ได้มันมา แต่พอมันเริ่มเก่า หรือถ้ามันโดนขโมย เราก็จะเสียใจ เสียดาย (มันเกิดจากการยึดมั่น ถือมั่น ในวัตถุธาตุและสสารรอบๆตัวเรา)

ในวันที่เราเกิด มีแต่ความสุข ความดีใจ แต่วันที่เราตาย พวกเราทิ้งแต่ความเศร้าเสียใจ ไว้ให้กับคนข้างหลัง

สรรพสิ่ง ไม่มีอะไรที่คงอยู่ถาวร แต่มีการเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา electron ก็มีการหมุนรอบนิวเคลียสอยู่ตลอดเวลา และบางทีมันก็เคลื่อนออกไปอยู่กับโมเลกุลตัวอื่น

ถ้าเรามองไปรอบๆตัวเรา เราจะเห็นว่า ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม ทุกๆสิ่งมันจะเก่าขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันมีการเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา

และทุกๆครั้งที่มันเก่า หากเราไปยึดติดกับมัน เราก็จะเริ่มรู้สึกเสียดาย และเสียใจ

เวลาเรามีความรัก เรามีความสุข เรายึดติดกับมัน แต่เมื่อความรักหายไป เราก็เสียใจ ร้องไห้

นี่คือ หนึ่งในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พวกเรามีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆแม้แต่ร่างกายเนื้อหนังของเรา เมื่อวันที่สิ่งเหล่านี้เริ่มเก่า หรือถูกขโมย หรือเสื่อมสลายผุพัง เราก็จะมีแต่ความเสียใจ

แม้แต่ความรักระหว่างหญิงชาย เราดูหนังดูละคร เขามีตอนจบที่พระเอกนางเอกได้ครองรักกัน แต่ในโลกความเป็นจริง ความรักของทุกๆคู่ไม่ว่าคู่ไหนก็ตาม มีจุดจบอยู่ที่ "จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายตายจากเราไป"

นี่คือความจริงของโลกนี้ ความจริงของชีวิต

ไม่มีความสุขใดที่มั่นคง ยั่งยืน ถาวร และเป็นนิรันดร์

ทุกๆความสุข ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ ตอนทุกข์ก็จะทุกข์มากเป็นทวีคูณ ยิ่งเรารู้สึกชอบโทรศัพท์ที่เราซื้อมามากเท่าไหร่ ตอนเสียมันไปเราจะเสียใจเป็นสองเท่าของตอนที่เราได้มันมา

ตอนรักกับแฟน ยิ่งเรารักเขามากเท่าไหร่ ตอนเสียเขาไป เราจะเสียใจเป็นสองเท่าของช่วงที่เราเคยมีความสุข

มันคือ "ความจริง"

พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ หนทางแห่งการดับทุกข์ วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์

แต่.. พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสรู้เพียงแค่นั้น พระองค์ยังตรัสรู้เรื่อง ชาติภพ การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม โครงสร้างของจิตวิญญาณ และที่มาที่ไปของการมาเกิดเป็นมนุษย์ และเป้าหมายที่แท้จริงที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์

---

กระทู้นี้ อยากชวนชาวพุทธพูดคุยกัน

video ข้างล่างนี้ เขาสามารถอธิบายเรื่อง จิตวิญญาณ ได้แบบลึกซึ้งมาก (ประมาณว่า ถึงคนนั้นไม่เคยนั่งสมาธิ และไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับประสาทสัมผัสที่ 6 ก็ยังสามารถเข้าใจได้ว่า พวกเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ แต่ตัวตนจริงๆของเรา คือจิตวิญญาณ เราแค่มาขอยื้มร่างกายเนื้อเพื่อมาเล่นละครของแต่ละชาติภพเฉยๆ)

นอกจากนี้ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ทฤษฎีต่างๆ ก็เริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Superposition of Electron รวมไปถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ (เรื่องความเร็วสัมพัทธ, ความเร็วแสง, และ Gravity and Space-Time)

สนุกมากนะ ถ้าเราศึกษาสิ่งเหล่านี้ ไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นวิทย์สาขาฟิสิกส์และเคมี, เรื่องการทำงานของสมอง การสร้างภาพ และประสาทสัมผัสต่างๆโดยเซลประสาทในสมอง, รวมไปถึง ธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า

---

แต่เรื่องเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องสนุกของคนที่ ยังเข้าถึงธรรมะได้ไม่เกิน 50% (เราเองแหละ 55555+ ^0^) เพราะคนที่เขาเป็นนักปฏิบัติธรรมตัวจริง คนที่เขานำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจริงๆ เขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องทางโลกแล้ว

แต่เราเข้าถึงธรรมะได้ไม่ถึง 50% เราเลยยังมี.. จิตส่วนหนึ่ง ที่ยังยึดติดอยู่กับเรื่องทางโลกอยู่

เอาเป็นว่า เราชวนคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้ มาคุยกัน ศึกษาร่วมกัน

คนที่เคยคิดว่า "ผี ไม่มีจริง" เรากล้าฟันธงเลยว่าคุณไม่เคยศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์แน่นอน

เราไม่เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกคนไหน ออกมาพูดว่า ผีไม่มีอยู่จริง (แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ามี เขาแค่บอกว่า มันอาจจะมี หรือไม่มี แต่เราจะไปฟันธงว่าไม่มีไม่ได้หรอก) เพราะแม้แต่ "แสง" ยังมีความเร็วคงที่ ไม่สัมพัทธกับความเร็วของวัตถุธาตุใดๆในจักรวาล

แม้แต่มนุษย์เหมือนกัน ยังมีความสามารถในการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหกที่ไม่เท่ากัน (คนกับสัตว์ ก็ไม่เท่ากัน)

แม้แต่ Gravity ยังทำให้ Space-Time เกิดการโค้งงอได้ (Space-Time เป็น Hidden Dimension)

แม้แต่ Universe ยังมีตั้ง 11 มิติ (แต่เราหาเจอแค่ 4 มิติ)

แม้แต่ Electron ยังมีตัวตนอยู่ได้หลายๆตำแหน่งในคราวเดียวกัน จนก่อให้เกิดเป็นทฤษฎีจักรวาลคู่ขนาน (เพราะฉะนั้น อย่าสงสัยเรื่องชาติก่อนชาติหน้า ว่าวิญญาณมากมายไปเกิดที่ร่างมนุษย์คนไหน? เพราะมีร่างมนุษย์และสัตว์รอให้ดวงวิญญาณไปเกิดอยู่มากมายเป็นอนันต์)

และแม้แต่สภาวะ Singularity เขายังบอกว่า มีความหนาแน่นของมวลต่อปริมาตร เป็นอนันต์ (ไม่อยากจะบอกว่า บางทฤษฎียังบอกอีกว่า ก่อนหน้า Singularity ทุกอย่างคือ Emptiness ขนาดวิทยาศาสตร์เองยังพูดอะไรไม่ make sense ฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย มาบอกเราว่า ก่อนหน้านี้ มีแต่ความว่างเปล่า แต่อยู่ดีๆ สสารก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วมารวมกันอยู่จนเกิดเป็นสภาวะ Singularity แล้วค่อยเกิดการระเบิด Big Bang เนี่ยนะ o.O)

แล้วมีหรือ ที่.. เราจะมาฟันธง 100% ว่า "ผี ไม่มีอยู่จริง"

เรื่องของจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่ "มีอยู่จริง"

สรรพสิ่ง วัตถุธาตุในจักรวาล มันจะไม่มีความหมายหรอก ถ้ามันไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างเราๆท่านๆมาคอยรับรู้ว่ามันมีอยู่ และสิ่งมีชีวิตนั้นต้องไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่.. "มีความรู้สึกต่อสสารเหล่านั้นด้วย" สสารเหล่านั้นถึงจะมีความหมายและเสมือนว่ามันมีตัวตนอยู่

แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 55 16:43:52

แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 55 16:33:02

แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 55 16:15:52

จากคุณ : Gretchen
เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 16:07:00




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com