ค่าไฟฟ้าเดือนเมษายนแพงมากเหลือเกิน...

หากหยิบใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าขึ้นมาดู หลายคนอาจจะรู้สึกสับสน และไม่เข้าใจว่า ทำไมมีการเรียกเก็บค่าไฟหลายรายการ จนถึงกับไม่แน่ใจขึ้นมาว่า เป็นกลวิธีการขึ้นค่าไฟฟ้าหรือไม่ ?


สภาพเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายบ้านต้องควบคุมค่าใช้จ่ายของตนเองให้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณูปโภคเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำประปา, ค่าโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ หากเราควบคุมการใช้ให้ประหยัดและใช้อย่างถูกวิธี ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ในระดับหนึ่ง

ปัจจุบันการใช้ไฟฟ้าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปแล้ว การประหยัดไฟฟ้าจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่ท่านต้องจ่ายในแต่ละวันลดลง โดยท่านสามารถคิดคำนวณได้ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดในบ้านของท่าน ต้องเสียค่าไฟฟ้าวันละกี่บาท รวมแล้วเดือนละเท่าไหร่ และถ้าท่านสามารถลดจำนวนเวลาที่ใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดนั้นๆ ลง ท่านจะสามารถประหยัดเงินได้กี่บาท

ก่อนอื่น มาดูกันก่อนว่า ในค่าไฟฟ้านั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง...


อะไรอยู่ในค่าไฟฟ้า ?

ย้อนหลังไปก่อนปี 2535 ใบเสร็จค่าไฟฟ้าจะแสดงเฉพาะราคาค่าไฟฟ้า ที่ท่านต้องชำระเพียงรายการเดียว เช่น ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3 บาท ท่านใช้ 100 หน่วย ก็จ่ายเงิน 300 บาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3 บาทนั้น มีค่าภาษีรวมอยู่ด้วย ต่อมาอีกระยะหนึ่ง รัฐบาลประกาศใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และบังคับให้แยกค่าสินค้าและค่าภาษีออกจากกัน เช่น ค่าไฟฟ้ารวมที่เรียกเก็บ 300 บาท จะแบ่งเป็นค่าไฟฟ้า 280.37 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม (คิดอัตรา ร้อยละ 7) อีก 19.63 บาท รวมแล้ว ราคาที่ท่านต้องจ่าย คือ 300 บาทเท่าเดิม

จนกระทั่งปี 2535 รัฐบาลได้ประกาศราคาเชื้อเพลิงลอยตัวตามราคาตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า เพราะการผลิตไฟฟ้า ต้องใช้เชื้อเพลิงทั้งน้ำมัน และกาซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากการประกาศค่าไฟฟ้าใหม่ทุกเดือน เป็นเรื่องยุ่งยาก และไม่สะดวกทั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและการไฟฟ้า จึงได้มีการแยกต้นทุนเชื้อเพลิง ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการกำหนดค่าไฟฟ้านี้ออกมา และเรียกส่วนนี้ว่า ต้นทุนผันแปร หรือ ค่าเอฟที (Ft : Fuel Adjustment Cost ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Energy Adjustment Cost) และมีการรวมต้นทุนผันแปรตัวอื่นๆ เช่น ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ เข้าไปด้วย ตั้งแต่นั้นมา ค่าเอฟที ก็ปรากฏให้เห็น และมีการแปรผันไปตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป

ฉะนั้น ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2535 ค่าไฟฟ้าจึงมี 3 ส่วน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าฐาน (คงที่) + ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) + ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ต่อมา วันที่ 3 ตุลาคม 2543 คณะรัฐมนตรี มีมติประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ มีวัตถุประสงค์กำหนดให้ค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะเป็นการให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้า ในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ จึงกำหนดให้แยกต้นทุน ในแต่ละกิจกรรมไฟฟ้าให้เห็นอย่างชัดเจน ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก มีการแจกแจงค่าไฟฟ้าของแต่ละส่วนในใบเสร็จค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเพียงการดึงรายการมาให้เห็นอย่างชัดเจน โปร่งใส และสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น


แล้วค่าเอฟที ทำไมถึงปรากฏขึ้นมาอีก ในเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว

โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เป็นโครงสร้างที่ได้รวมค่าเอฟทีของเดือนกันยายน 2543 จำนวน 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้ด้วยแล้ว หลายคนเข้าใจว่า ค่าเอฟทีไม่มีแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น การที่นำค่าเอฟที เดือนกันยายน 2543 รวมไปกับค่าไฟฟ้าใหม่ ทำให้ค่าเอฟทีเหลือ 0 สตางค์ต่อหน่วย ไม่ได้ยกเลิกหรือหายไปไหน และเมื่อครบ 4 เดือน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ค่าเอฟทีปรับขึ้นจาก 0 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 24.44 สตางค์ต่อหน่วย และจะใช้ไปอีก 4 เดือน จนถึงเดือนพฤษภาคม 2544 แล้วจึงพิจารณาค่าเอฟทีใหม่

ขณะเดียวกัน ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 มีค่าบริการปรากฏขึ้นมาใหม่ คำถามคือ ค่าบริการนี้มาจากไหน และทำไมถึงต้องมี ?

ค่าบริการนี้ไม่ใช่เงินที่เก็บเพิ่มขึ้นใหม่ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เดิมรวมอยู่ในอัตราค่าไฟฟ้า การแยกค่าบริการออกมา ทำให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง ชัดเจนและโปร่งใส คล้ายๆ กับสมัยที่มีการแยกภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกจากราคาสินค้าสมัยก่อน

อย่างไรก็ตาม ค่าบริการที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าใหม่ เป็นการสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เช่น ค่าพิมพ์ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ค่าคำนวณการใช้ไฟ ค่าจดมิเตอร์ ค่าจัดส่ง เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นใหม่ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่มีอยู่เดิม ในรูปของค่าไฟฟ้าต่ำสุดของโครงสร้างเก่า เพียงแต่ในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าใหม่ ได้แยกแสดงออกมา เพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นไปตามมติ ของคณะกรรมการกำกับการศึกษาปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า

สรุปแล้ว ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ และปรากฏในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) + ค่าบริการ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม


ถึงตอนนี้แล้ว คงพอจะมองเห็นแล้วว่า มีอะไรบ้างอยู่ในค่าไฟฟ้า ตอนนี้ลองมาคิดคำนวณหาค่าไฟฟ้าภายในบ้านกัน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ขอเสนอวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าดังนี้

ก่อนอื่นต้องทราบจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่ในบ้านก่อน ว่ามีจำนวนเท่าใด และเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ะชนิดกินไฟเท่าไร สามารถสังเกตุได้จากคู่มือการใช้งาน หรือแถบป้ายที่ติดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้า ซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt) หลังจากนั้น ลองคำนวณดูว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้งานในแต่ละวันกินไฟวันละกี่ยูนิต และนำมาเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้า โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้

การใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิต คือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ ที่ใช้งานในหนึ่งชั่วโมง

1 ยูนิต = กำลังไฟฟ้า (วัตต์) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ 1,000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน

ตัวอย่าง - บ้านอยู่อาศัยของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในบ้าน 5 ชนิด เราสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าได้ ดังต่อไปนี้

  1. หลอดไฟฟ้าขนาด 36 วัตต์ (รวมบาลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 46 วัตต์) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้งานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 46 x 10 1000 x 6 = 2.76 หน่วย หรือเดือนละ (30x 2.76) = 82.8 หน่วย หรือประมาณ 83 หน่วย
  2. หม้อหุงข้าวขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบ เปิดใช้งานวันละ 30 นาที (0.5 ชั่วโมง) ใช้ไฟวันละ 600 x 1 1,000 x 0.5 = 0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x 0.3) = 9 หน่วย
  3. ตู้เย็นขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง สมมติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ใช้ไฟวันละ 125 x 1 1000 x 8 = 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30 x1) = 30 หน่วย
  4. เครื่องปรับอากาศขนาด 20,000 บีทียู (ประมาณ 2,000 วัตต์) จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 2000 x 1 1000 x 6 = 12 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30 x 12) = 360 หน่วย
  5. ทีวีสี ขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 4 ชั่วโมง 100 x 1 1000 x 4 = 0.4 หน่วย หรือประมาณ เดือนละ (30 x0.4) = 12 หน่วย รวมการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ประมาณเดือนละ 83+9+30+360+12 = 494 หน่วย

อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณข้างต้น เป็นการคำนวณโดยภาพรวมและประมาณการเท่านั้น อาจมีการคาดเคลื่อนได้ นอกจากนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างที่ทำความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศ หรือตู้เย็น แต่ละยี่ห้อมีอัตราการกินไฟฟ้าไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ทำความเย็นแ ละสภาพแวดล้อม รวมถึงการตั้งอุณหภูมิด้วย

เมื่อทราบจำนวนยูนิตแล้ว ท่านสามารถคำนวณค่าไฟฟ้าได้ โดยเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าได้ดังนี้

ประเภท1.1 การใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน

  • 5 หน่วย (หน่วยที่ 1-5) เป็นเงิน 0.00 บาท
  • 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 6-15) หน่วยละ 1.3576 บาท
  • 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่16-25) หน่วยละ 1.5445 บาท
  • 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35) หน่วยละ 1.7968 บาท
  • 65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 2.1800 บาท
  • 50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 2.2734 บาท
  • 250 หน่วยต่อไป(หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.7781 บาท
  • เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.9780 บาท
  • ค่าบริการรายเดือน เดือนละ 8.19 บาท

ประเภท 1.2 การใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน

  • 150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-150) หน่วยละ 1.8047 บาท
  • 250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.7781 บาท
  • เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.9780 บาท
  • ค่าบริการรายเดือน เดือนละ 40.90 บาท

วิธีคิดค่าไฟฟ้า

สมมุติว่าใช้ไฟฟ้าไป 494 หน่วยตามตัวอย่าง ซึ่งจัดให้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2

150 หน่วยแรก (150 x 1.8047 บาท) = 270.71 บาท
250 หน่วยต่อไป (250 x 2.7781 บาท) = 694.53 บาท
ส่วนที่เกินกว่า 400 หน่วย (494-400 = 94 หน่วย x 2.9780 บาท) = 279.93 บาท
ค่าบริการรายเดือน = 40.90 บาท

รวมเป็นเงิน = 1,286.07 บาท

คิดค่า FT (Energy Adjustment Charge) หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ในแต่ละเดือน โดยดูได้จากใบเสร็จรับเงิน หรือสอบถามการไฟฟ้านครหลวง

การคิดค่า Ft คิดได้โดยการนำเอาค่า Ft ในแต่ละเดือน x จำนวนหน่วยที่ใช้

ค่า Ft เดือน พฤษภาคม 2544 = 24.44 สตางค์ ต่อหน่วย
คิดค่า Ft 494 x 24.44 สตางค์ = 120.73 บาท
รวมเป็นเงิน (1,286.07 + 120.73) = 1,406.80 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = 98.48 บาท

รวมเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ต้องชำระทั้งสิ้น = 1,505.25 บาท

ในกรณีที่คำนวณค่าไฟฟ้าแล้วเศษสตางค์มีค่าต่ำกว่า 12.50 สตางค์ จะทำการปัดเศษลงให้เต็มจำนวนทุกๆ 25 สตางค์ และถ้าเศษสตางค์มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 12.50 สตางค์ จะทำการปรับเศษขึ้นให้เต็มจำนวนทุกๆ 25 สตางค์

สำหรับตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้าดังกล่าวนี้ ท่านสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าของท่านเองได้ โดยเป็นการประมาณการ ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปบ้าง ตามปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตาม การฝึกคิดค่าไฟฟ้า สามารถนำไปใช้ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้า นอกจากนี้แล้ว การประหยัดไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพให้ได้ผล ต้องรู้จักเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ท่านประหยัดลงไปได้อีกมาก

หากยังมีข้อสงสัยอื่นๆ อีก สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง โทรศัพท์ 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


  • พบเห็นความไม่ยุติธรรมในสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบ ร้องเรียนได้ที่ห้องโทรโข่ง เว็บไซต์ Pantip.com
  • ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงของข่าวลือบนอินเทอร์เน็ต ส่ง E-mail มาที่ vorapoat@pantip.com หรือเบอร์โทรศัพท์ 0-2616-9736 ถึง 7 หรือโทรสาร 0-2271-2638 (กรุณาให้รายละเอียดของคำชี้แจงให้ครบถ้วน)



ส่ง E-mail ให้เพื่อน
ชื่อผู้ส่ง :
E-mail ผู้ส่ง :
E-mail ผู้รับ :
สามารถใส่ได้ถึง 5 E-mail โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นแต่ละ E-mail