|
ndia's aircraft carrier hits more troubled waters By Siddharth Srivastava 18/10/2012
รัสเซียเพิ่งแถลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า เรือบรรทุกเครื่องบินที่เป็นเรือรัสเซียเก่านำมาซ่อมแซมปรุงปรุงให้สามารถใช้งานได้อีกครั้ง ลำซึ่งอินเดียสั่งซื้อเอาไว้นั้น คงจะต้องขอเลื่อนเวลาในการส่งมอบอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยน่าที่จะพรักพร้อมประมาณช่วงปลายปีหน้า ทางฝ่ายอินเดียได้ออกปากแถลงแสดง “ความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง” จากการที่โครงการนี้ทั้งยืดเยื้อมานานและทั้งบานปลายต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแดนภารตะยังรู้สึกผิดหวังหนักหน่วงเป็นพิเศษ จากการที่มอสโกขอชะลอการส่งมอบ ในระยะเวลาใกล้ๆ กับที่จีนเพิ่งประกาศนำเรือบรรทุกเครื่องบิน “เหลียวหนิง” ของตนเข้าประจำการ อย่างไรก็ตาม อินเดียนั้นยังคงต้องพึ่งพาอาศัยรัสเซียเป็นอย่างมากในเรื่องการซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ และแทบทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการบ่นว่าคร่ำครวญ
นิวเดลี - อินเดียได้แสดงเจตนารมณ์เอาไว้นานแล้วว่าต้องการจัดซื้อจัดหาเรือบรรทุกเครื่องบินมาใช้งานในตอนนี้สักลำหนึ่ง แต่ความมุ่งมาดปรารถนาดังกล่าวเวลานี้มีอันต้องแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังอีกคำรบหนึ่งเสียแล้ว นับว่าสร้างความเสียหายให้แก่ความพยายามของแดนภารตะที่จะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับอิทธิพลบารมีทางนาวีของจีนซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ ซึ่งอินเดียได้เข้าไปลงทุนเพื่อทำการสำรวจขุดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ทั้งนี้อินเดียได้ขอซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินเก่าของรัสเซียที่มีชื่อว่า “แอดมิรัล กอร์ชคอฟ” (Admiral Gorshkov) โดยขอให้ทางการหมีขาวทำการซ่อมแซมปรับปรุงเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ ปรากฏว่าเรือลำนี้ซึ่งอินเดียขนานนามให้ใหม่เรียบร้อยว่า “ไอเอ็นเอส วิกรมาทิตยะ” (INSVikramaditya) นอกจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมปรับปรุงจะบานปลาย จนเวลานี้เรือลำนี้มีราคาตกในราว 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว รัสเซียยังขอเลื่อนเวลาในการส่งมอบมาแล้วหลายครั้งหลายหน ก่อนที่จะลงเอยให้สัญญาว่าดำเนินการให้เรียบร้อยในปีนี้ แต่แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มอสโกก็แถลงว่าจำเป็นต้องขอชะลอต่อไปอีกอย่างน้อยที่สุด 1 ปี
“เราเชื่อว่าการส่งมอบเรือรบลำนี้จะเกิดขึ้นได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2013 การซ่อมแซมปรับปรุงเรือลำนี้ต้องประสบปัญหาใหญ่ เนื่องจากความบกพร่องทำงานไม่ได้ของโรงกำเนิดไฟฟ้าโรงหลัก และหม้อน้ำ ผมหวังว่าการนำเรือลำนี้ออกทดสอบในทะเลจะสามารถดำเนินการได้อีกครั้งในเดือนเมษายนปีนี้” รัฐมนตรีกลาโหม อนาโตลี เซอร์ดีอูคอฟ (Anatoly Serdyukov) ของรัสเซียบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่กรุงนิวเดลี
เขาแถลงเรื่องนี้ภายหลังเข้าพบหารือกับรัฐมนตรีกลาโหม เอ เค แอนโทนี (A K Antony) ของอินเดีย ซึ่งก็ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในโอกาสเดียวกันนี้ว่า เขาได้แจ้งให้ฝ่ายรัสเซียทราบถึง “ความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง” ของอินเดียในเรื่องการชะลอการส่งมอบหลายต่อหลายครั้งแล้วเช่นนี้ การพบปะหารือระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมทั้งสองคราวนี้ ก็เพื่อเตรียมการให้แก่การเยือนกรุงนิวเดลีของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
การเลื่อนเวลาครั้งล่าสุดนี้ บังเกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากที่ในเดือนที่แล้วจีนเพิ่งทำพิธีนำเอาเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของตนที่ตั้งชื่อให้ว่า “เหลียวหนิง” (Liaoning) เข้าประจำการในกองทัพเรือ ในช่วงจังหวะเวลาที่แดนมังกรกำลังเกิดความตึงเครียดกับญี่ปุ่นอยู่พอดี
เรือบรรทุกเครื่องบิน แอดมิรัล กอร์ชคอฟ ระวางขับน้ำ 45,000 ตันของกองทัพเรือรัสเซีย ซึ่งอินเดียขอซื้อต่อและขอให้ซ่อมแซมปรับปรุงลำนี้ ถูกนำเข้าประจำการครั้งแรกในปี 1982 ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมยกเครื่องยกระดับนั้นในตอนแรกๆ ทีเดียวคำนวณกันว่าอยู่ในราว 750 ล้านดอลลาร์ แต่แล้วก็กลับบานปลายออกไปเรื่อยๆ
การชะลอการส่งมอบเช่นนี้ย่อมหมายความว่า อินเดียจะต้องหันมาซ่อมแซมเรือบรรทุกเครื่องบิน ไอเอ็นเอส วิราต (INSViraat) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเพียงลำเดียวที่อินเดียมีอยู่ในปัจจุบัน เรือบรรทุกเครื่องบินเก่าแก่ลำนี้เดิมทีเป็นเรือรบในสังกัดราชนาวีอังกฤษ โดยที่มีชื่อเก่าว่า เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส (HMS Hermes) ต่อขึ้นตั้งแต่ปี 1959 และถูกมอบโอนมาให้อินเดียในปี 1987 ปัจจุบันมันมีสภาพที่เรียกได้ว่าเป็นเศษเหล็ก ทว่าอินเดียคงจะต้องปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อให้พอใช้งานไปได้อีก 5 ปี โดยที่เมื่อถึงเวลานั้นอินเดียคาดหวังว่าคงจะได้เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาแล้ว
รายงานหลายๆ กระแสบ่งชี้ว่า ความพยายามของอินเดียที่จะวิจัยพัฒนาและต่อเรือบรรทุกเครื่องบินของตนเองภายในอู่ต่อเรือของแดนภารตะนั้น ก็มีอันต้องเลื่อนช้าออกไปเช่นกัน และเรือรบดังกล่าวนี้กว่าจะออกปฏิบัติการได้ คงต้องรอไปจนถึงปี 2018
ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานบัญชีกลางและตรวจเงินแผ่นดิน (Comptroller and Auditor General) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระทำหน้าที่สอบบัญชีหน่วยงานภาครัฐของอินเดีย ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงต่อความล่าช้าในการส่งมอบเรือบรรทุกเครื่องบินของรัสเซีย ในรายงานฉบับหนึ่งซึ่งยื่นเสนอต่อรัฐสภาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2009 สำนักงานบัญชีกลางและตรวจเงินแผ่นดินระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า “วัตถุประสงค์ที่จะนำเอาเรือลำนี้ (กอร์ชคอฟ) เข้ามาเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินให้ทันการณ์ เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่ทางด้านสมรรถนะของกองทัพเรืออินเดียนั้น บัดนี้ก็เป็นอันพ่ายแพ้ล้มเหลวไปเสียแล้ว การตัดสินใจที่จะเดินหน้าทำการซ่อมแซมและปรับปรุงยกเครื่องเรือรบมือสองเช่นนี้จึงกลายเป็นคำถามคาใจขึ้นมา เนื่องจากถ้าหากจัดหาเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ไปเลยก็ยังจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก อีกทั้งยังจะมีอายุการใช้งานยาวนานเป็นสองเท่าตัวอีกด้วย”
เหล่าผู้บังคับบัญชากองทัพเรือของอินเดียนั้น ใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อให้คณะผู้นำทางการเมืองยินยอมเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้อจัดหาเรือบรรทุกเครื่องบินอย่างน้อยที่สุด 3 ลำ นั่นคือสำหรับประจำการทางฝั่งทะเลด้านตะวันออกและด้านตะวันตกด้านละลำ ส่วนลำที่ 3 นั้นอาจจะปรับปรุงยกระดับขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ ในอาณาบริเวณที่แผ่กว้างจากชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกามาจนถึงช่องแคบมะละกา
เรือบรรทุกเครื่องบินจะเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญอย่างยิ่งในความพยายามเพื่อการปรับปรุงกำลังทหารให้ทันสมัยของอินเดีย ซึ่งประมาณกันกันว่าจะต้องใช้จ่ายในระดับ 100,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า การปรับปรุงดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายอันสำคัญยิ่ง 2 ประการเคียงคู่กันไป ได้แก่การสร้างแสนยานุภาพเพื่อการป้องปรามซึ่งมีประสิทธิภาพในระยะยาวเพื่อไว้ใช้รับมือกับจีน และการเตรียมพร้อมทำสงครามสู้รบกับปากีสถานเมื่อเกิดความจำเป็นขึ้นมา
สำหรับการชะลอการส่งมอบเรือกอร์ชคอฟ ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความยากลำบากที่อินเดียต้องประสบ เมื่อยังต้องการที่จะดำเนินปฏิสัมพันธ์ทางการทหารกับรัสเซียต่อไป หลังจากที่ได้สร้างความสัมพันธ์เช่นนี้มาอย่างยาวนานย้อนหลังไปได้ถึงยุคสงครามเย็น ถึงแม้ในระยะหลายๆ ปีหลังมานี้ บทบาทอันมีมาหลายสิบปีของรัสเซียในฐานะที่เป็นผู้จัดส่งจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์รายสำคัญที่สุดให้แก่อินเดีย กำลังค่อยๆ ลดน้อยลง และถูกแทนที่โดยประเทศเฉกเช่นอิสราเอล, ฝรั่งเศส, ตลอดจนสหรัฐฯในระยะใกล้ๆ นี้
ทั้งนี้เมื่อตอนต้นปี 2007 อินเดียได้ซื้อเรือรบเก่าอายุ 36 ปีลำหนึ่งจากสหรัฐฯ เรือรบลำนี้ซึ่งมีชื่อว่า ยูเอสเอส เทรนตัน (USSTrenton) แล้วอินเดียเปลี่ยนนามเสียใหม่เป็น ไอเอ็นเอส จาลัชวา (INS Jalashwa) มีระวางขับน้ำ 16,900 ตัน และมีราคา 50 ล้านดอลลาร์ ไอเอ็มเอส จาลัชวา นับเป็นเรือรบลำแรกที่อินเดียซื้อหาจากสหรัฐฯ และก็เป็นเรือรบขนาดใหญ่เป็นอันดับสองที่แดนภารตะมีอยู่ในครอบครองเวลานี้ โดยเป็นรองก็แต่เรือบรรทุกเครื่อบินลำเก่าแก่อย่าง ไอเอ็นเอส วิราต เท่านั้น
นอกจากแสดงความหงุดหงิดผิดหวังจากการที่โครงการเรือบรรทุกเครื่องบินกอร์ชคอฟต้องล่าช้าออกไปแล้ว อินเดียก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เนื่องจากแดนภารตะได้ลงทุนเป็นเงินก้อนมหึมาในการซ่อมแซมปรับปรุงเรือรบลำนี้ไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น นิวเดลียังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยกล้าทำให้มอสโกเกิดความไม่พอใจ เพราะถึงแม้ความสำคัญของแดนหมีขาวในการเป็นซัปพลายเออร์จัดหาจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้แดนภารตะ จะลดทอนลงไปมากแล้ว แต่อินเดียยังคงต้องพึ่งพาอาศัยรัสเซียเป็นอย่างมากในการซื้อหาฮาร์ดแวร์ทางการทหารสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 5 ที่มีเทคโนโลยีหลบหลีกเรดาร์ (stealth), จรวดร่อนแบบบราห์มอส (BrahMos cruise missile), เรือรบผิวน้ำประเภทต่างๆ, เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์, และกระทั่งรถถัง
ในเรื่องเรือดำน้ำ รัสเซียได้ให้อินเดียเช่าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำหนึ่ง ซึ่งก็คือ เรือ ไอเอ็นเอส จักรา (INS Chakra) อีกทั้งช่วยเหลือแดนภารตะต่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของตนเองขึ้นมา ซึ่งก็คือ เรือดำน้ำ ไอเอ็นเอส อาริหันต์ (INS Arihant) ที่ช่วยยกระดับเพิ่มพูนสมรรถนะในการโจมตีใต้น้ำและในการตรวจการณ์ใต้น้ำของอินเดียไปอีกหลายขั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันของอินเดียนั้น จำนวนมากทีเดียวต้องพึ่งพาอาศัยอะไหล่, บริการด้านต่างๆ และการซ่อมบำรุงจากหน่วยงานภาครัฐของรัสเซีย นิวเดลีกับมอสโกยังมีสายสัมพันธ์กันในด้านพลังงานและไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยที่ในปัจจุบันรัสเซียกำลังดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คูดันคูลัม (Kudankulam nuclear power project) ในรัฐทมิฬนาฑู ทางภาคใต้ของอินเดีย ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งและถูกต่อต้านจากหลายๆ ฝ่าย
ในเดือนตุลาคมนี้เอง จีเอไอแอล อินเดีย (GAIL India) รัฐวิสหากิจสาธารณูปโภคด้านก๊าซของอินเดีย ได้ลงนามทำข้อตกลงอายุ 20 ปีกับ กาซปรอม (Gazprom) รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก๊าซของรัสเซีย โดยที่ฝ่ายแดนภารตะจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากแดนหมีขาวปีละ 2.5 ล้านตัน ทางด้าน บรรษัท ออยล์ แอนด์ เนเชอรัล แก๊ส คอร์ป (Oil and Natural Gas Corp หรือ ONGC) รัฐวิสาหกิจด้านสำรวจหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอินเดีย ก็กำลังเข้าไปลงทุนในทรัพย์สินด้านน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย
เมื่อพิจารณาจากภาพรวมเช่นนี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จวบจนถึงเวลานี้นิวเดลียังไม่ได้ผลักดันเพื่อดำเนินการลงโทษใดๆ ตามสิทธิที่จะกระทำได้ สืบเนื่องจากความล่าช้าในการส่งมอบเรือบรรทุกเครื่องบินกอร์ชคอฟ ทั้งนี้อินเดียดูจะได้แต่วาดหวังให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่เป็นผลดีที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้น
ข่าวเก่า ไปค้นมาตามที่บอกครับ สรุปน่าจะเพราะว่าอินเดียพึ่งรัสเซียมากก็เลยไม่กล้าแตกหัก ส่วนที่ รัสเซียขูดโหดขนาดนี้คงเพราะไม่พอใจ การตีตัวออกห่างของอินเดีย
เหมือนไทย ที่แค่ปันใจหน่อย โดนยื่นโนติสมาเลย อุตสาหกรรมอาวุธนี่มันการเมืองระหว่างประเทศ หนักจริงๆ
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 55 14:39:38
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 55 12:39:21
จากคุณ |
:
Pongkm (Pongkm)
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 55 12:35:06
|
|
|
|
|