ผมเอง ที่ใช้อยู่ ก็ได้ทำการจัดการน้ำ ตั้งแต่ระบบ ทรีตน้ำประปาซ้ำ
ก่อนส่งน้ำขึ้นหอน้ำ สำหรับน้ำใช้ ทั่วบริเวณ
(คือ ตามขั้นตอนทำประปาซ้ำ ช่วยลดตะกอน ลดสนิมเหล็กและได้ระดับคลอรีนตามต้องการ)
ตลอดจนไปถึง น้ำสำหรับดื่มกิน
ซึ่งที่มีใช้ ก็มีทั้ง ตู้น้ำดื่มแบบ RO และ ก็ เครื่องกรองน้ำของแอมเวย์ e-Spring
จึงพอมีความรู้ตรงเปรียบเทียบให้ฟังได้บ้าง
หลักการกรองน้ำนั้น จำแนกง่ายๆเบื้องต้น มี 2 อย่างครับ
- อันแรก กรองสำหรับน้ำใช้ทั่วไป ซึ่งก็คือ ระดับน้ำประปา
- อันที่สอง กรองสำหรับน้ำดื่ม แน่นอนครับว่าต้องสะอาดมากๆก็จะดี
แบบแรกขอข้ามไป มาสนใจ กระบวนการกรองน้ำดื่ม focus ลงดีกว่า
-----------------------------------
หลักการกรองน้ำดื่มกว้างๆ ทั่วไป มีหลัก 4 หลัก ดังนี้
1. กรองสารแขวนลอยหยาบ ด้วยเยื่ออะไรสักอย่างที่ละเอียดพอประมาณ
ไส้กรองตัวแรกนี้ โดยมากกรองได้อยู่ในระดับที่ 5000 นาโนเมตร
หรือ ดีขึ้นมากหน่อยกรองอีกขั้นด้วย ไส้กรองได้อยู่ในระดับที่ 1000 นาโนเมตร
หรือ จะเป็นด้วย เซรามิค ก็ดี
2. กรองสารเคมีปนเปื้อน คลอรีน กลิ่นออก กรรมวิธีนี้มีหลักการเดียวคือ
ที่แบบชาวบ้านสมัยก่อนๆใช้คือ "ถ่าน"
เพียงแต่ ฝรั่งผลิตให้มีคุณภาพขึ้น เรียกว่า Activated Carbon
หรือ เรียกง่ายๆว่า กรองคาร์บอน
3. กรองสารที่ทำให้น้ำกระด้าง (เฉพาะกรณีที่น้ำกระด้างเท่านั้นปกติไม่จำเป็น)
ด้วย กรองเรซิ่น
4. กรองน้ำ ระดับละเอียดมากๆๆๆขึ้นไปอีก
เช่น หากใช้ ระดับละเอียดเทพสุด คือ กรองเมมเบรน RO ก็จะได้ระดับที่ 0.1 นาโนเมตร
หรือ กรอง ระดับละเอียดมากๆพอประมาณ คือ กรอง UF ก็จะได้ระดับที่ 10 นาโนเมตร
ในขั้นตอนนี้ ครับที่อยากให้ทราบถึงขนาด เชื้อโรคที่เล็กที่สุด
คือ ไวรัสที่มีขนาดเล็กที่สุด มีขนาดอยู่ที่ระดับ 20 นาโนเมตร
5. กรองคาร์บอนคุณภาพ
ขั้นตอนนี้ เพื่อให้ก่อนดื่มจริง เพื่อให้เกิดกลิ่นสะอาดมากขึ้น
6. ฆ่าเชื้อโรค ตลอดจน ฆ่าเชื้อตะใคร่น้ำ ด้วย แสงอุลตราไวโอเลต UV
ก็เป็นอันส่งน้ำออกไป ดื่มกิน ได้
หลักทั่วไปสำหรับการกรองน้ำสำหรับดื่มจะไม่หนีไปจากนี้ ครับ
และ ตู้น้ำดื่ม RO ก็ได้ทำกระบวนการครบทั้งหมด ตั้งแต่ข้อ 1-6
(โดยอาจตัด ขั้นตอนข้อ 3 คือ กรองเรซิ่นออกสำหรับพื้นที่น้ำไม่กระด้าง ก็ได้)
ในขณะที่ เครื่องกรองน้ำดื่ม e-spring
จะยุบ รวม ขั้นตอนที่ 2 คือ กรองคาร์บอน เข้ากับ ขั้นตอนที่ 5 คือ กรองคาร์บอนคุณภาพ เข้าด้วยกัน
ก่อนทำการฆ่าเชื้อ ด้วย UV ในขั้นตอนที่ 6 ก่อนใช้ดื่ม
คือ ไส้กรองทั้งหมดนี้ ถูกผลิตให้เป็นชิ้นเดียว ทำให้เปลี่ยนง่าย
และบังคับ(บันทึกเวลาโดยตัวเครื่อง) ให้ใช้เพียง 1 ปีเท่านั้น
ตามโฆษณาของ e-Spring
ได้โฆษณาไว้ว่า สามารถกรองได้ระดับเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ 300 เท่า
จากเท่าที่เช็คจาก Wiki พบว่า เส้นผมมนุษย์อยู่ที่ระดับ 17,000 นาโน - 180,000 นาโน
( http://en.wikipedia.org/wiki/Hair )
ดังนั้น ความสามารถในการกรองของ
e-Spring ของแอมเวย์จึงอยู่ที่ ความละเอียด 57 นาโน - 300 นาโนเมตร
หากเทียบกับ ไวรัสที่เล็กที่สุด อยู่ที่ 20 นาโนเมตร
หากเทียบ กับกรองแบบ UF ได้ความละเอียดที่ 10 นาโนเมตร
หากเทียบกับ กรองแบบ RO ได้ อยู่ที่ 0.1 นาโนเมตร
--------------------
มาถึงคุณภาพน้ำที่ผ่านการกรองแบบต่างๆ
ผมได้ใช้ เครื่องวัดสารละลายปนเปื้อนที่อยู่ในน้ำโดยรวม
หรือที่เรียกว่า เครื่อง TDS ที่เป็นเครื่องมือขั้นตอนหนึ่งสำหรับวัดคุณภาพน้ำ
ปรากฏว่า น้ำประปาที่ผ่านการทรีตประปาซ้ำ
พบสารละลายที่ปนเปื้อนในระดับที่ 78 PPM (PPM=ส่วนในล้านส่วน)
พอผ่าน e-Spring
เท่าที่วัดด้วย TDS พบว่า ได้ในระดับที่ 72 PPM (ลดลงไม่มาก)
ส่วนตู้น้ำ RO เท่าที่วัดได้ ได้ในระดับราว น้อยกว่า 7 PPM
(ในความจริงสามารถลดได้เหลือ 2-5PPM )
แต่ที่วัดได้ ก็อยู่ในระดับที่พอใจมากๆๆแล้ว
-------------------------------------
สรุปในฐานะผู้บริโภค และทดสอบใช้อยู่
คือ
1. ข้อดี e-Spring เหมาะสำหรับติดตั้งในพื้นที่ ที่ ดูสวยงาม ดู hi-so
ไส้กรอง มีเวลาบังคับเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือใช้ดื่มถึง 5 คิว
โดยทำยุบเหลือเพียงชิ้นเดียว
ซึ่งข้อดี ทำให้ ผู้ใช้ไม่ต้องรู้อะไรมาก ก็ถอดเปลี่ยนได้
โดยศักยภาพการกรองได้ระดับพอประมาณสำหรับดื่ม แต่ไม่ค่อยต่างจากประปาที่ผ่านการทรีตแล้วเท่าไหร่ ตามคำโฆษณาเพื่อได้เหลือแร่ธาตุไว้
ส่วนข้อเสีย .. แน่นอน ก็ตรง ที่ราคาแพง เกือบ 30,000 บาท
นอกจากนี้ ไส้กรองถูกบังคับให้ใช้ 1 ปี ต้องเปลี่ยน
ซึ่งค่าไส้กรองอยู่ที่ ราว 4-5 พันบาท
ซึ่งเฉพาะราคาไส้กรองสามารถไปซื้อเครื่องกรองน้ำ RO แบบใช้ในครัวเรือน
(ไม่ใช่เป็นตู้น้ำดื่ม RO ) ก็อาจจะได้สักเครื่องดีๆแล้วครับ
2. สำหรับ การกรองแบบ RO ที่ได้คุณภาพไม่ปนเปื้อนที่สุด
คือ เล็กขนาด 0.1 นาโน เล็กกว่า ไวรัสเฉพาะที่เล็กที่สุดถึง 200 เท่า (ที่ใหญ่ๆไม่ต้องพูดถึง)
เมื่อได้น้ำที่ดีมากๆแล้ว หากกลัวว่าไม่ได้แร่ธาตุ
ก็สามารถ ซื้อกระบอกกรองที่ใส้ไส้กรองเพิ่มแร่ธาตุได้ครับ
ข้อเสีย ที่นึกออกคือ
- มีไส้กรองหลายชิ้น คนใช้ทั่วไป ใช้ และเปลี่ยนทีคงเกิดอาการงงสับสนได้
- ไส้กรองคาร์บอน มีหลายเกรด หลายยี่ห้อ อาจเลือกไม่ถูกว่าจะใช้อย่างไร
(แต่เลือกแพงสุดก็ยังถูกว่าของแอมเวย์)
- หลอด UV มีอายุราว 1 ปี เปลี่ยน ราคาอยู่ระดับราว 400-600 บาท
- หากติดตั้งใช้ในพื้นที่ที่เน้นสวยงาม จะดูไม่ hi-so
ส่วนข้อดี
คือ ราคาไม่แพงเลยสำหรับครัวเรือน, ไส้กรองถูก
ได้ระดับความปนเปื้อนที่เหลือในน้ำ ดีกว่า การกรองอื่นๆทุกชนิด