ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ากระทู้ยาว... อย่าอ่าน จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 00:51:07 A:1.4.231.157 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 2 เอางี้ เอาเรื่องศาสนาพุทธละกัน ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า "ในโลกนี้มีศาสนามากมาย แล้วอันไหนละที่ถูก หรือบางทีมันอาจจะไม่มีซักอันเลยก็ได้" คุณต้องศึกษาก่อนว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร? ถ้าถามเรา เราคงตอยว่าศาสนาพุทธสอนเรื่องทุกข์ ทุกข์คือะไร สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์คือ อะไร และอะไรคือการดับทุกข์ จากนั้นคุณอากรู้ว่ามันถูกจริงไหม คุณลองปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธดู มันไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องเชื่อิทธิปาฏิหารย์อะไรเลยดว้ยซ้ำ อะไรคือความหมายทีึ่แท้จริงของ ทาน ศีล ภาวนา แล้วคำสอนเหล่าน้ช่วยมให้ดับทุกข์ได้ จริงไหม ไม่ถึงกับต้องถึงขั้นสุงสุดก็ได้ลองปฏิบัติดู หากทำแล้วทุกข์เบาบางลงจริง สงบ ระงับได้จริง แม้จะยังไม่หมดไป แต่ก็ถือว่าได้เดินมาถูกทาง ก็พจะพิสูทืธิ์ได้ว่า หากปฏิบัติ ต่อไป ทางดับทุกข์ได้สงบอย่างราบคาบย่อมทำได้จริง เพราะงั้นคุณต้องเริ่มที่จะศึกษาก่อนว่า ศาสนาแต่ละศาสนาสอนอะไร? สำหรับศาสนาพุทธแล้ว ธรรมทั้งหลายเป็น อกาลิโก หมายความว่าพระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้านั้นให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติโดยไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลทุกเมื่อทุก โอกาส ให้ผลตามลำดับแห่งการปฏิบัติ คือได้บรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น ได้บรรลุถึงระ ดับใหนก็ให้ผลในระดับเมื่อนั้น ทั้งความจริงความแท้แห่งพระธรรมนี้ไม่มีกำหนดอายุกาล จริงแท้อยู่ตลอดกาล จริงแท้อย่างนั้นทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุนี้ พระธรรมจึงได้ชื่อว่า อกาลิ โก (ไม่ขึ้นกับกาล) เป็น สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง อยากรุ้ต้องพิสูทธิ์ค่ะ ปล.โดยส่วนตัวไม่เคยสนใจปาฏิหารย์อะไรนั่นเลยแม้แต่น้อย นับถือพุทธค่ะ แต่ไม่วิ่งตาม กราบเกจิอาจารย์ ไม่ยุ่งอาจารยบ์ไหนดี อาจารย์ไหนขลัง มุ่งแต่ปฏิบัติเฉพาะตนเอง ใคร ทำ คนนั้นได้ ให้ใครมาตัดกรรม สะเดาะเคราะห์เราเองไม่ได้หรอก จากคุณ : บลูดานูป เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 02:00:12

ความคิดเห็นที่ 3 ด้วยความเคารพนะคะจขกท. จากย่อหน้าสุดท้ายของคุณ เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อะค่ะ จะว่ายังไงดีละ มันดูเอาแต่ได้ไปหน่อยน่ะ เหมือนกับว่าคุณอยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ แต่ก็มีลิมิทให้กับตัวเองเล็กน้อยว่าจะพยายามทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนชาวบ้านนะ แต่ในตอนนี้ใครๆก็คิดและเชื่อกันว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่ดีพอและอาจจะได้รับบทลงโทษด้วยซ้ำ คุณเลยอยากจะรู้เพื่อความแน่ใจก่อน ถ้ามีใครมาคอนเฟิร์มได้ว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นมันไม่เพียงพอจริง และคุณก็จะไม่รอดจากการลงโทษ คุณถึงจะเลือกทำในสิ่งที่มันดีกว่าสิ่งที่คุณเคยคิดไว้ สิ่งที่มันดีตามนิยามของคนอื่นๆ ที่เขาทำกันมาก่อนคุณ ในทางกลับกัน ถ้ามีคนมาคอนเฟิร์มได้ว่ามันจะไม่มีบทลงโทษอะไรทั้งนั้น สำหรับวิธีทางหรือแนวคิดแบบที่คุณเลือก ทำเท่านั้นคือเพียงพอแล้ว คุณก็จะทำไปแบบเดิมของคุณ ไม่สนใจที่จะทำอะไรที่มันดีได้มากกว่านั้น เพราะมีคนมาช่วยคอนเฟิร์มแล้วว่ามันไม่จำเป็น ความคิดแบบนี้มันเหมือนเปลี่ยนสีไปได้ตลอดเวลาน่ะ เหมือนว่าจริงๆแล้วไม่มีจุดยืนเลย ต้องรอเช็คว่าจะมีบทลงโทษออกมามั้ย ถ้ารู้แน่ว่าไม่มีก็จะทำตามใจตัวเองเต็มที่ แต่ถ้ามีก็จะยอมฝืนใจตัวเองเพราะกลัวได้รับการลงโทษเท่านั้น เราว่ามันน่าขันออกที่เป็นแบบนี้ เหมือนเด็กๆกลัวครูลงโทษเลยน่ะ คนเรานะอยากทำอะไรตามใจตัวเอง ถ้าคิดว่าดีแล้วก็ทำเลย ไม่ใช่จะมางึกๆงักๆลังเลกลัวการลงโทษของระบบศีลธรรม อย่างน้อยๆบ้านเมืองมีขื่อมีแป มีกฎหมาย ถ้าจะทำอะไรที่ละเมิด เขาก็มีกฎทางโลกไว้ลงโทษอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ถ้าอยากจะทำอะไรที่คิดแล้วว่าในทางกฎหมายเอาผิดอะไรเราไม่ได้ ก็ทำเลยถ้ามันถูกใจ ถ้ากลัวได้รับบทลงโทษทางศีลธรรม ก็แค่ยอมรับซะว่าตัวเองมีความเชื่อ ถ้าใจอยากจะทำ และไม่คิดว่ามีใครหน้าไหนหรืออะไรจะมาลงโทษฉันได้ ก็ทำไปเลย กล้าๆหน่อย งึกๆงักๆทำไมละ เราเองก็ไม่มีศาสนาเหมือนกัน เราคิดง่ายๆแค่ว่าตายแล้วจบ ทำอะไรที่ตัวเองพอใจ การตัดสินใจทำอะไรทุกครั้งจะ based on ความคิดที่ว่าทำให้ตัวเองถูกใจที่สุดและคนอื่นเดือดร้อนน้อยที่สุด พยายามหาจุดบาลานซ์ระหว่างสองอย่างนี้ให้ได้ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่เคยหวังจะหลุดพ้นสังสารวัฏ ไม่เคยแคร์ว่าชาตินี้เราเป็นแบบนี้เพราะมีกรรมเก่าอะไร ไม่เคยคิดมากว่าทุกสิ่งที่เราทำตอนนี้จะส่งผลกรรมอะไรไปยังชาติหน้า ไม่เคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอจนต้องพึ่งใครสักคนตลอดเวลา ไม่เคยคิดว่ามีใครสร้างเราขึ้นมาและคอยวางแผนการทุกอย่างให้กับชีวิตเรา เกิดมาครั้งนึงมีแค่เราที่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เป็นคนแบกรับทุกข์หรือสุขของเราเอง เพราะฉะนั้นทุกๆการตัดสินใจมันอยู่ในมือของเรา ไม่ใช่มือใคร คนที่ลิขิตชีวิตเราก็คือเราเองเท่านั้น จากคุณ : เทเลทับขี้ เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 03:39:49

ความคิดเห็นที่ 4 เชื่ออะไรก็ได้ ครับ แต่ขอให้เชื่อในสิ่งที่เป็นไป "เพื่อละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส" ละกัน ถ้าคุณสามารถทำ 3 ข้อนี้ได้หมดจดสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาตนเองผู้เดียว ผมยินดีคุกเข่ากราบเลยครับ จากคุณ : เช้านี้หนาวมาก เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 04:08:12 A:113.53.2.50 X: TicketID:314652

ความคิดเห็นที่ 5 เชื่ออะไรก้ได้ ถ้า้ 1.  เชื่อแล้วทำให้เราสบายใจ มีความสุขมากขึ้น 2.  เชื่อแล้วทำให้เราเป็นคนดี 3.  อย่าเผยแพร่สิ่งที่เราเชื่่อด้วยวิธีผิดๆ จากคุณ : นู๋นัน เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 07:40:24

ความคิดเห็นที่ 6 คนที่ตอบ ไม่ได้ปฏิบ้ติจนบรรลุหมดทุกคนหรอก แต่ที่เขาเชื่อ เพราะมีคนเคยทำได้มาแล้ว การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นแบบนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องทดลองเองทุกอัน ถึงจะเชื่อ ถ้ามีคนเคยทดลองมาแล้ว วิธีการทดลองเชื่อถือได้ ผลการทดลองได้อย่างไร เขาก็เอามาบอก เอามาตีพิมพ์ เราพิจารณาทั้งหมดแล้วสมควรเชื่อ เราก็เชื่อ และเอาผลการทดลองนั้นเป็นพื้นฐานในการทำการทดลองต่อยอดต่อไป หากมีคนอื่นทำการทดลองนั้นซ้ำๆๆกัน และได้ผลในทำนองเดียวกัน ก็เป็นการยืนยันผลการทดลองก่อนหน้า ถ้าเราทดลองทำด้วยตนเองได้ ก็ยิ่งเป็นการยืนยันความเชื่อนั้น และเป็นสิ่้งที่ดีที่สุด เพราะทำมากับมือ ในทางวิทยาศาสตร์ ผลการทดลองไม่ได้สอดคล้องหรือเป็นไปในทางเดียวกันเสมอไป มีมากมายที่ผลการทดลองออกมาเป็นตรงกันข้าม แต่เราก็มีวิธีการที่จะสรุปผลรวมออกมาจากผลการทดลองที่แตกต่างกันเหล่านั้น ในทางสถิติ มันมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้สองแบบ คือ เรื่องนั้นไม่จริง แต่เราสรุปว่า จริง และ เรื่องนั้นจริง แต่เราสรุปว่า ไม่จริง วิธีการทางสถิติ ก็คือ พิจารณาว่า ทางไหนส่งผลเสียร้ายแรงมากกว่ากัน แล้วพยายามลดค่าความน่าจะเป็นของทางนั้นให้มากที่สุด เช่น ยาชนิดหนึ่งรักษาโรคได้จริง แต่เราสรุปว่า ไม่จริง ข้อเสียคือ คนไข้เสียโอกาสในการได้ยาดีที่รักษาได้ >> ผลร้ายแรง ยาชนิดหนึ่งรักษาโรคได้ไม่จริง แต่เราสรุปว่า จริง ผลเสียคือ คนไข้หลงรักษาด้วยวิธีที่ไม่ได้ผลเป็นเวลานาน >> ผลร้ายแรงกว่า ในทางศาสนา ถ้าการปฏิบ้ติทางพุทธได้ผลจริง แต่คุณสรุปว่า ไม่จริง คุณเสียโอกาสในการพบความสงบสุขของจิต ถ้าการปฏิบัติเป็นเรื่องหลอกลวง แต่คุณสรุปว่า จริง คุณหลงเดินทางในทางที่จะไม่มีวันพาคุณไปถึงจุดหมาย ลองพิจารณาดูนะคะ จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 07:53:53

ความคิดเห็นที่ 7 ย้อนไปดูกระทู้แรกมา มันเป็นเรื่องราวทางศาสนาพื้นๆที่เด็กมัธยมหัวไม่ทึบรู้จักหาข้อมูลก็ตอบได้ ไม่ต้องบรรลุธรรมขั้นไดแต่อ่านหนังสือออกเซิซกูเกิลเป็นก็ตอบได้หมด ทำเหมือนคำถามยิ่งใหญ่มากค้นพบสิ่งใหม่ที่โต้แย้งศาสนาได้เชียว ถ้าจะดริปตั้งคำถามเกี่ยวกับศาสนาในห้องหว้ากอควรตั้งที่มันเห็นว่า อืมน่าคิด ไหนลองสืบค้นความถูกต้องหน่อยซิ หรือเป็นคำถามที่ทำให้เกิดปัญญา แต่เหมือนเด็กที่ไม่ได้เรียนพระพุทธ น่าจะเป็นคนศาสนาคริสต์ มาตั้งกะให้นักวิทย์ยำศาสนา แต่แค่บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่น่ามีตัวตนจริงๆนี่ก็แสดงถึงปัญญาของผู้ตั้งว่าไม่ได้ศึกษามาจริงๆ เกิดไม่ทันอริสโตเติลแต่อริสโตเติลมีจริงๆรึเปล่าละ ป.ล.ถ้าเป็นสมัยก่อนตั้งคำถามมาแนวๆนี้คนตั้งโดนด่าครับไม่รู้จักหาข้อมูลมาก่อน จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 08:46:49

ความคิดเห็นที่ 8 "เริ่มสงสัยว่าอะไรจริงไม่จริง หรือจะเชื่อในความ'อะไรก็ได้'แบบที่ปัจจุบันเชื่ออยู่ ไม่สนใจเรื่องศาสนา แต่มันอาจจะจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ กลัวว่าถ้าจริง ตัวเองจะไม่ได้ทำสิ่งที่เหนือกว่าความดีพื้นฐานเพราะนึกไม่ถึงว่ามันจะจริง" -------------------------------------------------------------------- จขกท. กำลังอยู่ในสภาวะ "สับสน" ครับ ผมเช้าใจนะ เอางี้ครับ อย่าไปสนใจว่า "ศาสนา" ว่าไว้ยังไง มโนธรรมของเราเองต่างหากที่สำคัญที่สุด เพราะ "ศาสนา" นั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียง "การเมือง" ในอีกรูปแบบหนึ่งแค่นั้นเอง แต่ ... การที่เราปฏิบัติดี ทำดี ไม่โกรธ เกลียด อาฆาตแค้น จิตเราก็จะผ่องใส ใจเราก็สงบสุข และนั่นแหละ คือแก่นแท้แห่งการทำดี โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจเรื่อง "ความเชื่อ" ทางศาสนา ... ที่มีการบอกว่า ต้องปฏิบัติอย่างนู้นอย่างนี้ถึงจะจริง พวกนี้มีแต่เปลือกครับ ... ทำไมผมกล่าวเช่นนั้น? เพราะเขามุ่งที่การปฏิบัติที่เป็นรูปแบบ หาใช่การปฏิบัติที่เป็นการ "ปล่อยวาง" ไม่ การทำดีทำได้ทุกเมื่อ การสร้างสันติทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องนั่งสมาธิหรอก ... แนะนำลองหา Prayer of St. Francis ในอากู๋มาอ่านดูครับ เป็น "ปรัชญา" ที่เหมือนพุทธมาก จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 09:14:25 A:125.24.27.86 X: TicketID:384229

ความคิดเห็นที่ 9 เราไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริงซักหน่อยนิ กระทู้แรกสุดเราไม่ได้ตั้งด้วยซ้ำ จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 10:20:23

ความคิดเห็นที่ 10 เอ้า...แล้วไม่ตั้งกระทู้ใหม่ละแตกประเด็นมาก็นึกว่าจะมาโต้แย้งชี้แจง จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 10:28:51

ความคิดเห็นที่ 11 ใครอยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะครับ ตราบเท่าที่เราไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นก็เป็นอันใช้ได้ทั้งนั้น คนที่่นับถือและปฏิบัติตามศาสนาพุทธจริงๆนั้นก็มีน้อยมากๆอยู่แล้ว และอีกไม่กี่พันปีศาสนาพุทธนี้ก็จะเสื่อมสลายไปในที่สุด เพราะเมื่อถึงเวลานั้นจะหาผู้ที่จะบรรลุธรรมไม่ได้เลย จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 10:32:03

ความคิดเห็นที่ 12 ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี นั่นแหละคือข้อเท็จจริง ศาสนาอื่นผมไม่รู้นะ แต่ศาสนาพุทธ สำหรับผมมันคือคำสอนที่เป็นสัญชาญญาญของมนุษย์ ที่ไม่ได้ถูกถ่ายทอด ทางพันธุกรรมแบบสัตว์มากกว่า จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 10:54:00

ความคิดเห็นที่ 13 คิดว่าน่าจะดูชื่อแล้วน่าจะรู้ว่ากระทู้แรกสุดไม่ได้ตั้ง คือเราคิดว่าบางทีการที่มนุษย์มีกิเลส ความอยากอะไรแบบนั้นมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่ออยู่ต่อไป คิดว่าการที่มนุษย์มีอารยธรรมจนสมัยนี้ก็ต้องมีความอยากนะ ถึงแม้มันจะเป็นทางโลก แล้วเราก็ไม่คิดว่าจะปล่อยวางจนไม่เหลืออะไร เราอาจจะโง่ไปเองที่พูดแบบนั้น แต่เราคิดว่าเราคงไม่สามารถปล่อยได้ขนาดนั้นหรอก จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 10:54:47

ความคิดเห็นที่ 14 ลองตอบคำถามนี้ดูค่ะ หลังจากคุณอ่านทุกคอมเม้นท์ในกระทู้นั้นที่คุณตั้ง คุณทุกข์มั๊ย จิตใจคุณรู้สึกว่าบีบคั้น ทำไม ทำไม ทำไม มีแต่คนบอกไปในแนวทางเดียวกันว่าถูกต้องแล้ว จริงแล้ว... ลองตอบมาอย่างซื่อสัตย์นะคะ ความทุกข์ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ โวยวาย แค่รู้สึกว่า เราคิดไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นคิดไม่เหมือนเรา นั่นก็ทุกข์แล้ว ทุกข์เพราะเราลืมนึกไปว่า แต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง คุณทุกข์เพราะทำไมคนอื่นคิดไม่เหมือนคุณ ในขณะเดียวกัน คนอื่นก็ทุกข์ที่ทำไมคุณคิดไม่เหมือนเค้า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ท่านบอกว่า แต่ละคนเป็นปัจเจก มีความคิดเป็นของตัวเอง นั่นคือธรรมชาติของเราทุกคน ดังนั้น ถ้าเรามัวไปคิดว่า คนนั้นคิดไม่เหมือนเรา แล้วเราทุกข์ ก็แปลว่าเราไม่ยอมรับความเป็นปัจเจกของแต่ละคนสิ สิ่งที่พระองค์สอน ท่านสอนให้เรายอมรับ ยอมรับความจริงข้อนี้ และความจริงอีกหลายๆข้อ ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ ต้องลงมือศึกษาค่ะ ศึกษาให้จริงจัง เอาให้ความสงสัยที่เคยมีมันสิ้นสงสัย บางทีคนเรามีชีวิตสุขสบาย ทุกข์ๆ สุขๆ ปะปนกันไป เราก็ไม่นึกหรอกว่าเรากำลังอยู่ในวังวนของความทุกข์ พอได้มาศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง เราถึงเข้าใจว่า จริงๆแล้วเคนเรามันทุกข์กันทุกอณูจริงๆ จุดเริ่มต้นที่เราหันมาศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง มันเริ่มมาจากหนังสือทางวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ มันเป็นแค่บทความ 1 บท จากหนังสือแปดเล่มที่เราบอกให้น้องเราไปหาซื้อให้จากในงานหนังสือฯ หลังจากนั้น เราก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจังและลงมือปฏิบัติ (นั่งสมาธิ) จนทำให้เราเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการอ่าน (ถ้าการอ่านอย่างเดียวแล้วทำให้เข้าใจ เราคงบรรลุกันทุกคนแล้วค่ะ) หลังจากเราอ่าน+ปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราคิดเอาเองว่าเราเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันไม่ใช่เลย ความเข้าใจที่เราคิดว่าเราเข้าใจ มันไม่ได้สัก 0.1% ของที่เรากำลังเข้าใจอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าสงสัยจริง อยากจะหายสงสัย ลงมือพิสูจน์เลยค่ะ แต่มีข้อแม้ตามนี้ ศรัทธาต้องมาก่อน ศรัทธาต้องเต็ม ศรัทธาไม่เต็ม ทำไปครึ่งๆกลางๆ มันก็จะรู้แค่ครึ่งๆกลางๆ แล้วก็จะออกมาโวยวาย ว่าไม่เห็นจะจริงเลย สำหรับเรา อยากจะบอกสักนิดว่า การจะปล่อยวางอะไร ไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ ลองดูก็ได้ เอาของที่เรารักสุดชีวิต หวงสุดชีวิต ยกให้คนอื่นไป โดยไม่คิดอะไรสักนิดเดียว หรือ ให้อภัยคนที่คุณโกรธที่สุดในชีิวิต โดยที่ให้อภัยแล้วไม่คิดอะไรสักนิดเดียว เอาชนิดที่ว่า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าโกรธเรื่องอะไร ลองมาทำดู แล้วจะรู้ว่า การปล่อยวาง ที่ปากพูดว่าง่าย มันทำยากมากค่ะ ยากจริงๆ ขนาดเรา ลงมาสุดหัวใจ ยังรู้สึกว่า การจะวางอะไรไปทีละอย่าง มันยากหนักหนาสาหัสจริงๆ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 12:50:01 จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 12:44:05

ความคิดเห็นที่ 15 ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง ที่เราทุกข์ใจ เพราะคนอื่นไม่ฟัง เแต่ในราคิดว่า คนเรามีสุขทุกข์ เปลี่ยนสับกันไป ทำไมต้องมาคิดให้เราทุกข์ตลอดเวลา เราคงละทุกข์อย่างไม่ได้ แต่ไม่อยากให้คนมายัดเยียดให้เราศรัทธา คือเหตุผลแรกๆที่ตั้งกระทู้นี้คือ เหมือนโดนยัดเยียดนะ โดยปกติเราอยู่เฉยๆก็คงไม่คิดมากอะไรกับเรื่องพวกนี้หรอก แต่พอมีคนมาพูดมากๆมันเหมือนว่าต้องศรัทธาต้องเชื่อ เราก็คงไม่คิดที่จะพ้นทุกข์หรอก อาจจะเป็นเพราะเราโง่เกินไปที่คิดว่า ยังไงทุกข์มันก็ต้องมีอยู่ดี เราเป็นคนดี100%ไม่ได้หรอกนะ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 13:21:39 จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 13:17:30

ความคิดเห็นที่ 16 งั้นว่า ศาสนาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร กับ จขกท นะ แต่ จขกท ยึดติดกับบุคคลอื่นมากเกินไปมากกว่า สังคม ที่ จขกท อยู่ในตอนนี้เป็นสังคมที่อยู่ในกรอบของศาสนา มาจนแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว ถ้า จขกท รู้สึกถูกยัดเยียด นั่นเพราะยึดติดกับบุคคลอื่นมากเกินไปมากกว่า จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 13:41:35

ความคิดเห็นที่ 17 โดยส่วนตัวไม่มีศาสนาเหมือนกัน แต่อ่านดูแล้วผมคนละพวกกับ จขกท. เหตุผลที่ไม่มีศาสนาเพราะผมไม่ชอบไปชอปปิ้งห้างเดียว ของบางอย่างห้างนี้ก็ดี บางอย่างห้างนี้ก็ดี ผมก็ฟังศึกษา ไม่ได้ปิด และไม่ได้ยอมรับเพียงเพราะพระพูดมันต้องถูก ท่านถือศีล 227 ขอ เราต้องฟัง แบบนั้นมันไม่ใช่ปัญญาครับ ศรัทธาล้วนๆ ผมยังคิดว่าการละชั่ว  และทำความดีสำคัญมากที่จะทำให้โลกของเรา และขอส่วนรวมมีความสงบสุข ส่วนจะทำได้กี่เปอร์เซ็นต์นั้นก็ต้องพยายามให้มันใกล้ 100 ที่สุดเท่านั้นเอง จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 13:53:09

ความคิดเห็นที่ 18 จากความเห็น จขกท และใน คห. 13 จขกท คงจะสับสนระหว่างชีวิตทางโลกกับทางธรรม (พุทธศาสนา) การที่คุณลังเลใจ จัดเป็นเรื่องปกติวิสัยปุถุชนทั่วไป จริงๆ แล้วชีวิตทางโลกและทางธรรม มีแนวทางการปฎิบัติด้วยความพอดีของมันอยู่แล้ว แต่อาจเกิดจากคุณขาดการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้มากกว่า การนึกคิดไปเองจึงไม่อาจช่วยตอบคำถามต่างๆ ในใจคุณได้ จึงคงเหลือเพียงการปฏิบัติ ซึ่งเริ่มต้นจากการอ่านขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไปก่อนก็ได้ เช่น หนังสือธรรมะที่ให้แง่คิดดีๆ แต่ถ้าคุณต้องการมากกว่านั้น ก็ยังมีให้ค้นคว้าอีกมากมาย จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนที่สนใจศึกษา จึงสามารถเ้ข้าใจพุทธศาสนา โดยไม่ต้องบรรลุอย่างคุณว่าก็ได้ เหลือเพียงการพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองเท่านั้น สงสัยก็ค้นคว้าหรือสอบถาม คุณจะได้ไม่พลาดสิ่งที่ควรปฏิบัติหรือควรจะเป็น อยากที่คุณกำลังกังวล จากคุณ : RWC เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 13:54:12

ความคิดเห็นที่ 21 #15 ลองกลับไปอ่านความคิดเห็นของเราอีกครั้งค่ะ เพราะไม่มีใครสามารถบังคับให้คุณเชื่อ หรือไม่เชื่อได้ ทุกอย่างอยู่ที่เราค่ะ เราคือปัจเจกค่ะ สิ่งที่คุณต้องทำคือ เลิกแคร์ เลิกสนใจ ว่าใครจะว่าเราอย่างไร พอเลิกสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เมื่อนั้นเราจะหายทุกข์ค่ะ เรื่องความเชื่อ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็บังคับคุณไม่ได้ค่ะ คุณไม่เชื่อ แต่คุณทุกข์ นั่นพระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้เช่นกัน ที่เรานั่งพิมพ์ๆอยู่นี่ เราไม่ได้ทุกข์ไปกะคุณนะคะ คุณจะไม่คิดเหมือนเรา เราก็ไม่ทุกข์ แต่คุณจะนั่งอึดอัดใจ ว่ามียัยบ้าคนนึงมานั่งเถียงๆคุณอยู่ นั่นคุณทุกข์เพราะตัวคุณเองค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 55 14:06:24 จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 14:04:53

ความคิดเห็นที่ 22 ผมไม่ได้ตามอ่านทั้งหมดนะ ไม่รุ้ จขกท ต้องการรู้อะไรกันแน่ แต่ผมว่ามันคงไม่ต้องรีบร้อน ชีวิตของคุณเป็นของคุณเอง ไม่มีใครมายัดเยียดอะไรให้ได้ อยากให้คุณลองค่อยๆคิด ค่อยๆแยกแยะ ความคิดความต้องการของตัวเอง ไอ้ที่ผมจะบ่นให้ฟังนี่ก็ไม่รู้ใช่สิ่งที่อยากรู้รึเปล่า วัตถุประสงค์ของทางโลกทางธรรม(พุทธ)นั้นต่างกันสิ้นเชิง วัตถุประสงค์ของสิ่งมีชีวิตและทางธรรมนั้นต่างกันสิ้นเชิง ธรรมชาติ คือการดูดกลืนพลังงาน ปรับใช้ ปรับตัว สืบทอดเผ่าพันธุ์ มีเกิด มีตาย มีชีวิต ซึ่งย่อมมีทั้งสุขทั้งทุกเป็นธรรมดา แต่ทางธรรม คือการละความรู้สึกต่างๆ ละความต้องการ ละบาปแล้วละบุญ ละชั่วแล้วก็ละดี สุดท้ายไม่มีทั้งดีทั้งชั่วอีก ไม่มีรู้สึกอะไรอีก ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ยกตัวอย่างผมกับเพื่อน ผมกับเพื่อนนั้นชอบเรียนรู้ชีวิตต่างๆในธรรมชาติ ทั้งพืช สัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นู่นนี่นั่น ปรากฏการณ์ต่างๆ วิถีต่างๆ ฯลฯ ตัวผมนั้น เรียนรู้เพื่อให้เข้าใจ มองเห็นการไกล เห็นผลกระทบลูกโซ่ไปไกล รู้จักอนุรักษ์ รู้จักปรับใช้ ปรับแก้ หรือแม้แต่จำลองระบบขึ้นมาเอง เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว (กิเลส)  แบบผมนี้ออกแนวทางโลก แต่ก็ช่วยให้เข้าใจทางธรรมด้วย ตัวเพื่อนผมนั้น เรียนรู้เพื่อเข้าใจ ว่ามันเป็นเรือ่งปกติ ธรรมดา แล้วก้ไม่ทุกร้อนกับมัน ความรู้สึกทุกข์ร้อนกับอะไรต่างๆค่อยๆลดลง      แบบเพื่อนผมนี้ออกไปทางธรรม ถ้าสงสัยอะไรคือชั่ว อะไรคือดี ที่คิด่วาดีกันนี่แน่ใจหรือว่าดี ที่คิดว่าชั่วกันนี่แน่ใจหรือว่าชั่ว ความเป็นจริงมันซับซ้อนเกินกว่าจะนิยามคำพวกนี้ได้ชัดแจ้ง บางครั้งดีชั่ว ก็ต้องนิยามด้วยว่า วัตถุประสงค์ของดีชั่วนั้น คืออะไร ทุกสิ่งส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกัน คุณเข้าไปถางพื้นที่รกร้างต้นไม้ทีบ ให้กลายเป็นที่โล่ง ให้ชาวบ้านยากจนเข้าไปทำกิน ในขณะที่สัตว์โลกมากมายหลายชนิดต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยหากิน คุณทำดีหรือทำชั่ว? จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 14:19:21

ความคิดเห็นที่ 23 ผมไม่ได้ตามอ่านทั้งหมดนะ ไม่รุ้ จขกท ต้องการรู้อะไรกันแน่ แต่ผมว่ามันคงไม่ต้องรีบร้อน ชีวิตของคุณเป็นของคุณเอง ไม่มีใครมายัดเยียดอะไรให้ได้ อยากให้คุณลองค่อยๆคิด ค่อยๆแยกแยะ ความคิดความต้องการของตัวเอง ไอ้ที่ผมจะบ่นให้ฟังนี่ก็ไม่รู้ใช่สิ่งที่อยากรู้รึเปล่า วัตถุประสงค์ของทางโลกทางธรรม(พุทธ)นั้นต่างกันสิ้นเชิง วัตถุประสงค์ของสิ่งมีชีวิตและทางธรรมนั้นต่างกันสิ้นเชิง ธรรมชาติ คือการดูดกลืนพลังงาน ปรับใช้ ปรับตัว สืบทอดเผ่าพันธุ์ มีเกิด มีตาย มีชีวิต ซึ่งย่อมมีทั้งสุขทั้งทุกเป็นธรรมดา แต่ทางธรรม คือการละความรู้สึกต่างๆ ละความต้องการ ละบาปแล้วละบุญ ละชั่วแล้วก็ละดี สุดท้ายไม่มีทั้งดีทั้งชั่วอีก ไม่มีรู้สึกอะไรอีก ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ยกตัวอย่างผมกับเพื่อน ผมกับเพื่อนนั้นชอบเรียนรู้ชีวิตต่างๆในธรรมชาติ ทั้งพืช สัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นู่นนี่นั่น ปรากฏการณ์ต่างๆ วิถีต่างๆ ฯลฯ ตัวผมนั้น เรียนรู้เพื่อให้เข้าใจ มองเห็นการไกล เห็นผลกระทบลูกโซ่ไปไกล รู้จักอนุรักษ์ รู้จักปรับใช้ ปรับแก้ หรือแม้แต่จำลองระบบขึ้นมาเอง เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว (กิเลส)  แบบผมนี้ออกแนวทางโลก แต่ก็ช่วยให้เข้าใจทางธรรมด้วย ตัวเพื่อนผมนั้น เรียนรู้เพื่อเข้าใจ ว่ามันเป็นเรือ่งปกติ ธรรมดา แล้วก้ไม่ทุกร้อนกับมัน ความรู้สึกทุกข์ร้อนกับอะไรต่างๆค่อยๆลดลง      แบบเพื่อนผมนี้ออกไปทางธรรม ถ้าสงสัยอะไรคือชั่ว อะไรคือดี ที่คิด่วาดีกันนี่แน่ใจหรือว่าดี ที่คิดว่าชั่วกันนี่แน่ใจหรือว่าชั่ว ความเป็นจริงมันซับซ้อนเกินกว่าจะนิยามคำพวกนี้ได้ชัดแจ้ง บางครั้งดีชั่ว ก็ต้องนิยามด้วยว่า วัตถุประสงค์ของดีชั่วนั้น คืออะไร ทุกสิ่งส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกัน คุณเข้าไปถางพื้นที่รกร้างต้นไม้ทีบ ให้กลายเป็นที่โล่ง ให้ชาวบ้านยากจนเข้าไปทำกิน ในขณะที่สัตว์โลกมากมายหลายชนิดต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยหากิน คุณทำดีหรือทำชั่ว? จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 14:20:27

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ต้องเชื่อ หรือนับถืออะไรก็ได้ แต่คุณต้องรู้สึกตัวเห็นสภาพความจริงที่เกิดตรงหน้า ได้อย่างหมดความสงสัยใดๆในโลก จากคุณ : lostman เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 18:50:23

ความคิดเห็นที่ 25 ผมก็ปฏิบัติ จนบรรลุว่า การบรรลุนั้นน่ะ มันไม่มีจริงหรอก ผมเคยสั่งสมาธิ เกิดฌาณ เห็นเป็นภาพ ควบคุมภาพนิมิตได้ ผมดีใจมาก...คิดว่าบรรลุแล้ว ไปดูสารคดีฝรั่ง เรื่องการควบคุมความฝัน เฮ้ยยย เหมือนกันกับเราเลย แต่ทำไมเขาไม่งมงายเหมือนเราฟะ... เอาใหม่ พยายามใหม่ หลายเดือน และแล้ว วันที่เข้าฌาณอีกครั้งก็มาถึง พิจารณาดู เหมือนฝัน เหมือนความฝัน เพียงแต่ควบคุมมันได้แค่นั้น... หรือผมปฏิบัติไม่ถึง อันนี้ผมไม่รู้ แต่จากเหตุการณ์นั้น ผมไม่เชื่อเรื่องคนทรงเจ้าหรือคนเข้าฌาณอีกเลย... ผมจึงได้เชื่อพระพุทธเจ้าว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากจิตของเราปรุงแต่งทั้งนั้น มันไม่มีอะไรเลย เราคิดไปเอง เห็นภาพไปเอง แต่ ความเชื่อ ศาสนา การเมือง ถ้าเห็นไม่ตรงกัน อย่าเปิดประเด็น จขกท. น่าจะรู้ดี เพราะมัน ไม่มีประโยชน์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 19:34:18

ความคิดเห็นที่ 26 น่าจะเป็น  วรรณคดี  เรื่องพระพุทธเจ้านะ   ผมเชื่ออย่างนั้น จากคุณ : sanyakong เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 20:06:11

ความคิดเห็นที่ 27 คห25 อันนั้นเป็นความรู้ระดับสมาธิ ความรู้ทางพุทธยังมีระดับปัญญาอีกต่อ ที่ยังมีคนไปต่อได้จนจบ ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ไม่เล่นเนต ปัญหาคนรุ่นใหม่ในไทยคือ เราไม่รู้จะเชื่อข้อมูลอะไรดี เพราะศาสนาผ่านการใช้งานมานานหลายรุ่น ข้อมูลมีมากมายที่หาแหล่งอ้างอิงไม่ได้มาปะปนเรื่อยๆ จนคนกลุ่มใหม่จะศึกษาความรู้ก็ก้าวเข้าไปลำบาก เพราะจะมีอคติกับรูปแบบความเชื่อต่างๆที่คนรุ่นเก่าสร้างขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวกับแก่นธรรม ที่จริงก็อยากให้อ่านพระไตรปิฏกเอง แต่ก็ถือว่าลำบาก เพราะสำนวนความรู้มันคนละยุค แล้วจะให้อ่านเพื่อพิสูจน์ก่อนมีศรัทธาในความรู้นั้น มันต้องเป็นคนที่กล้าเปิดใจพ้นอคติเก่าๆ ถ้าจะให้แนะนำหนังสือที่ย่อยง่ายลงมาว่าศาสนาพุทธสอนอะไร ผมแนะนำอ่านพุทธธรรม โดยพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ส่วนตัวผมก็มีอคติตอนต้นเหมือนๆกัน เจอคนรุ่นเก่ามาป้อนๆเราจะรู้ได้ยังไงว่าดีกับเราจริง เราจึงต้องอ่านเองให้เยอะ อ่านให้ถูกเล่มว่าแต่ละศาสตร์ต้องการเป้าหมายอะไรกันแน่ จนพบว่าใครจะรู้ว่าคนไทยใกล้เกลือกินด่างขนาดนี้ จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 22:15:16 A:58.64.107.91 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเองก็ไม่ได้บรรลุคุณธรรมวิเศษอะไร แต่ข้อปฏิบัติทุกอย่างในศาสนาพุทธมีเหตุผลอยู่ว่า ทำไมถึงควรทำ ในตอนแรกๆอาจจะต้องฝืนใจตัวเองนิดหนึ่ง แต่พอทำไปสักพักจะรู้เองว่าเป็นอย่างไร... ------------------------------------------- ความดี คือสิ่งที่ทำแล้ว ตัวเองไม่เดือดร้อน และ ผู้อื่นไม่เดือดร้อน ความชั่ว คือสิ่งที่ทำแล้ว ตัวเองเดือดร้อน หรือ ผู้อื่นไม่เดือดร้อน ดังนั้นถ้าหากไม่อยากจะเดือดร้อน พึงทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ในเบื้องต้น จากนั้น พึงทำใจให้บริสุทธิ์ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง -------------------- ขอยกตัวอย่างสั้นๆละกัน ทำทาน -> เพื่อละความตระหนี่ รักษาศีล -> เพื่อรักษา กาย วาจา ให้บริสุทธิ์ (จะได้ทำใจให้บริสุทธิ์ง่ายขึ้น) เจริญสมถ (นั่งสมาธิ) -> เพื่อให้ใจสงบ นิ่ง (จะได้ทำขั้นต่อไปได้ดีขึ้น) วิปัสสนา -> พิจารณาสภาพตามความเป็นจริง เพื่อให้ใจ บริสุทธิ์ จากคุณ : locomotion เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 23:21:57

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เป็นไรครับ คห.27 ต่างคนต่างก็มีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้ เอาเป็นว่าผมเชื่อของผมแบบนี้ครับ...เพราะผมเชื่อแบบนี้ผมสบายใจ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 23:23:13

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบ จขกท. อันแรกเป็นบัตรผ่านมันแยกแยะไม่ได้หรอกครับสำหรับคนตั้ง ที่บอกผมให้แก้นั้นผมก็พยายามแก้ให้แล้วนะครับ แต่แก้ไม่ได้มันขึ้นว่ามีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากตลอดเลย สงสัยแอดมินจะเอาเซิฟไปใส่เวปใหม่หมด จขกท.ก็โต้แย้งแล้วไม่เป็นไรหรอกมั้งคนอ่านคงเข้าใจ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 02:38:27

ความคิดเห็นที่ 31 อย่าเชื่ออะไรง่ายๆดีกว่าครับ คนหมู่มากเห็นว่าดี อาจจะไม่ดีจริงก็ได้ ลองศึกษา ปฏิบัติเองดีสุดแล้วค่อยเลือกว่าจะเชื่อไม่เชื่อ การบรรลุธรรมก็มีหลายระดับนะครับ จนขั้นสูงสุดคือไม่ต้องเกิดตายอีก (บรรลุนิดๆหน่อย หรือนึกว่าบรรลุแล้ว ยังเล่นเนตอยู่ก็เยอะแยะ การทำสมาธิ เข้าฌาณนี่มีมาก่อนพุทธศาสนาครับ พระองค์ก็ลองทำมาก่อนที่จะพบว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น จากคุณ : semplice เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 08:31:48

ความคิดเห็นที่ 32 ผมเป็นคนหนึ่งนะ ที่ไม่ศรัทธา แต่พอดีครูสอนแต่เด็ก ให้ฝึกสมาธิ ลมหายใจ ก็ฝึกตามๆไป พอดีว่าเชื่อครู เป็น10ปี ก็ไม่รู้ว่าฝึกไปทำไม (ไม่ได้ใส่ใจทำ แต่บางทีนอนไม่หลับ ก็ทำไปเล่นๆ) บางส่วนก็ทำสมาธิเพื่อการเรียน อ่านหนังสือ จนวันนึง ที่เจอทุกข์หนัก จึงหาตำรามาอ่าน เป็นเรื่องเป็นราว เอาง่ายๆคือ มันทำได้จริง เห็นได้ชัด ทำไร จิตใจทุกข์ หรือสุข ขณะทำก็เห็นได้ชัด มีสติ ก็ปรับแก้ไป อะไรที่ทำให้ทุกข์ ก็เลิกทำ อะไรทำแล้วสุข ก็เห็นๆอยู่ ส่วนตัว ยังไม่บรรลุธรรมหรอก กรรม ตัวตนของเราอะมีอยู่ ก็พอๆจะเห็นอยู่ มีสติห้าม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำไปเต็มที่แหละ แต่ลมหายใจแห่ง ทุกข์ กับสุข มันเป็นจอบางทางตลอด ว่าควรจะเดินไปทางไหนที ไม่เคยศรัทธาครับ ก็ยังคิดเสมอว่า ไม่แน่ว่า จะมีหักมุมตอนจบมั้ย แต่ตลอดเส้นทาง รู้ได้ว่า เป็นเส้นทางที่สบายใจ เป้าหมาย ภพหน้า นั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้วหละ ปล.ตามอ่านต้นทางทั้งหมด ไม่ไหวอะนะครับ ถ้าว่างจะไปตามตอบเต็มๆให้ เราเป็นคนดี100%ไม่ได้หรอกนะ ถ้าผมพูดประโยคนี้ ความหมายผมคือ เพราะผมมีกรรม ความยึดติดบางอย่าง ซึ่งทางพุทธแล้ว ความยึดติด ก็จะนำไปสู่ทุกข์ เช่น ถ้าคุณเป็นคนเจ้าชู้ ติดยึดในกาม หนักไป การยึดติดนั้น ก็จะทำความทุกข์ ความไม่สบายใจ ทำให้คุณละเมิด ศีล ทำลาย สมาธิ หมดสติ ปัญญาถูกบดบัง อย่างที่บอกว่า ผมไม่ใช้ศรัทธา วิธีผม ก็คือ ก็ลองๆข้ามเส้นดู เดี๋ยวก็ค่อยๆเห็นเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นการทดลอง แต่ทำไปตามปกติ ตัวตนการติดยึดของเราตามปกติ ทุกข์มันก็จักต้องโผล่มาให้เห็น ผู้ฝึกมา ก็จะมีสติ เห็นเร็ว และถ้าสะสมกรรม พอมีปัญญา(ทางพุทธ)มา ก็จะรีบใช้สติ ขับไล่ ความทุกข์ หรือการปฏิบัติเพื่อเป็นทุกข์นั้นๆไป สรุปความคือ ไม่ต้องเชื่อใคร ด้วยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ซึ่งต้องหนีความทุกข์และความตาย (มาตั้งแต่สมัยที่มีแค่เซลลเดียว) มันจึงถูกเรียกว่า คือ ความดี ที่สมควรจะเกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ว่าจะตัดสินใจเลือก อย่างไร ส่วนตัว ผมเป็นแนว passive คือ ไม่เริ่มก่อน แต่ก็ติดบ้าหนังจีน ใครทำไม่ดีกับเรา ก็คิดว่า ควรจะต้องสนองไปเหมือนๆกัน เหมือนกับตัวเองเป็นกระจก ผมไม่ได้อยากจะยอม ไม่ได้อยากจะผ่อนลงให้ พูดดีสนองการพูดไม่ดี ผมเล่นเกมสงครามการเมืองมา และตอบโต้กันหนัก รู้หลักการเอาจุดแข็งของเรา กระแทกเข้าที่จุดอ่อนของศัตรู อย่างในพันทิพย์ พอผมเริ่มจะเขียนอะไรไม่ดี จะกระแทกกลับ ผมเจ็บ ผมรู้สึกแย่ เอาง่ายๆว่า ผมพูดดีกับฝั่งตรงข้าม ก็ไม่ใช่เพราะ อยากให้เค้ารู้สึกดี แต่เพราะ เวลาผมพูดไม่ดี ผมจะรู้สึกเจ็บหนักๆ และซ้ำๆด้วย ส่วนหนึ่งของการฝึกมา คือจะเจ็บหนัก แต่ก็จะหายไว มีสติ หยุดกระทำเพื่อความเจ็บนั้น ไว ไม่ต้องมาเจ็บเรื้อรัง ผมละการตอบกลับความรุนแรงในพันทิพย์ได้ซักครึ่งปีละ แรกๆมีเผลอหลุด ก็ต้องลบบ้าง ขอโทษเค้าตามไปบ้าง (ก็บอกตรงๆว่าเพื่อความสบายใจของเราเองนี่แหละ (แก้ให้เค้าสบายใจได้ เราก็สบายใจตาม)) ตอนนี้ ฝึกมาตัดไฟแต่ต้นลม เห็นสิ่งนี้ สิ่งนั้นแล้ว ไปรู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่ (จนต้องทำอะไรบางอย่าง ทำไปทำไม) อะไรที่ทำแล้วทุกข์ หยุดทำ ก็หยุดทุกข์ สั้นๆ ง่ายๆ อาจจะเหมือนกับที่จขกท.บอกอยู่(ไม่รู้ใช่ป่าว) บางอย่างหยุดยาก หยุดไม่ได้ ก็บรรเทา ลดความแรงลง ก็บรรเทา ลดความทุกข์ลง สุดท้ายจริงๆ ผมก็เป็นคนไม่ชอบโดนยัดเยียดเหมือนกัน มีโทรมาขายประกัน นิสัยผม ก็อยากจะพูดขายอะไรกลับไปบ้าง มีอะไรดีๆ แลกเปลี่ยนกันครับ ไม่ชอบไม่ถูกใจ ไม่ว่ากัน อีกนิด โดยส่วนตัว ผมว่าผมมีสมองส่วนสะท้อน จินตนาการความรู้สึกคนอื่นที่ค่อนข้างหนัก เลยอาจจะทำให้อินกับพุทธได้มาก(ใจเขาใจเรา กรรมสนองกรรม) ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะไปเหมาะกับแบบอื่นมั้ย (แต่สมองส่วนนี้ ก็มีกันทุกคนนะ) อะไรใช้แล้วดี ก็ใช้ไปเถอะ อย่าคิดมาก หลักพุทธคือ อะไรที่ทำแล้วสบายใจ ก็จะทำแล้วสบายใจ อะไรที่ ก่อนทำ สบายใจ ขณะทำสบายใจ ทำไปแล้วก็จะสบายใจ (ไปจนวันสิ้นโลก) ก็คือ สิ่งที่เค้าสั่งสอนให้ฝึก ให้ทำกัน ไม่จบ พอดีเจอคีย์เวิร์ดหลายคำ ทิ้งคำว่าศรัทธาไป แล้วมองตรงกันข้ามว่า พุทธเป็นศาสนาที่ท้าให้ลอง ก็ได้เหมือนกัน ลองทำตรงกันข้ามก็ได้ ขอข้อเดียว ให้ มีสติ รู้ด้วยว่า กำลังทำอะไรอยู่ ทุกข์ สุข เดี๋ยวเห็นชัดกันเอง (และ ถ้าจะลองทำทุกสิ่งอย่างแบบไร้สติ ก็ย่อมจะได้ เช่นเดียวกัน เพราะพุทธ ทำไง ก็ได้งั้น ทำเองได้เอง (ผมไม่เกี่ยว) ) จากคุณ : ฟฟ7 เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 11:21:44 A:58.137.93.6 X: TicketID:375732