ความคิดเห็นที่ 1   ก็คงต้องมองว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนความเจริญด้านต่างๆนั้นคืออะไร ก็ไม่ง่ายนักที่จะตอบให้ชัด ในความคิดผมมองว่า สิ่งที่ขับเคลื่อน ความเจริญด้านวัตถุ คือความอยากรู้เกี่ยวกับ physical universe ส่วนสิ่งที่ขับเคลื่อน ความเจริญด้านจิตใจ คือความอยากรู้เกี่ยวกับจิตใจ(Mind) สองสิ่งนี้ไปในทิศเดียวกันได้ สามารถเสริมซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นจึงไม่น่าจะสรุปได้ว่า มันต้องผกผัน ครับ จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:25:16

ความคิดเห็นที่ 2   มองที่คนต่างหาก คนที่มีมุมมองไปทางความต้องการเจริญด้านวัตถุเพียงด้านเดียว ก็คือพวกวัตถุนิยม ย่อมละเลยไม่สนใจในความเจริญทางด้านจิตใจ และคนประเภทนี้มักเป็นคนจากประเทศที่ค่อนข้างจะด้อยความเจริญทางด้านวัตถุเสียด้วย เมื่อขาดจึงอยากได้อยากเป็น พอได้มาแล้วก็คงไม่อยากหรอก จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:32:26 A:210.86.209.74 X: TicketID:239454

ความคิดเห็นที่ 3   .....ประเทศที่มีความเจริญด้านวัตถุน้อยจะมีความเจริญทางจิตใจสูงเป็นมุมมองที่ถูกต้องเสมอไปหรือเปล่า...... ใช้คำว่า ถูกต้องเสมอไปไม่ได้ เพราะ  เท่ากับว่ายอมรับว่า ที่ผ่านๆมา หรือส่วนมาก ข้อความนี้ค่อนข้างจริง หรือจริง ไปแล้ว   ซึ่งถ้ายอมรับอย่างนั้น  ก็จะทำให้ การมองและอธิบายผิดเพี้ยนไปได้  เช่น ประโยคที่ใครๆหลายๆคนชอบพูดกัน(แต่ขัดใจเรามาก)  คือ  " คนจนไม่ได้เลวหรือต้องเป็นผู้ร้ายเสมอไป "  ซึ่งมัก มีคนยกมาอ้างหรือกล่าว เมื่อมีคนโจมตี หรือเข้าใจใครสักคน ที่ดุจน ดูด้อย แต่กลายเป็น ว่าไม่ใช่ คนอื่นๆเลยเข้ามาอ้างเงสั่งสอน หรือบอกกล่าวผู้อื่น   ซึ่งมันเท่ากับยอมรับว่า คนจนนั้นส่วนมาก เป็นคนไม่ดี จากคุณ : หนูหงอย เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:32:46

ความคิดเห็นที่ 4   คนไทยหน้าบาง ไม่เคยคิดจะยอมรับความจริงอะไรเลย ปลอมประโลมหลอกตัวเองไปวันๆ เราเป็นเมืองพุทธ - สถิติข่มขืนสูงลิ่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งย่ายาย คนพิการซ้ำซ้อน ลูกเด็กเล็กแดงโดนหมด เราเป็นเมืองพุทธ - นิสิต นักศึกษานุ่งสั้นเต็มบ้านเมือง แต่งตัวเหมือนไปอ่อยผู้ชาย ไม่ใช่ไปเรียน เราเป็นเมืองพุทธ - เณรนุ่งโอบิ สะพายย่ามสีสันสดใส อากัปกิริยาตุ๊ดแต๋ว ผู้ใหญ่ในกรมหนึ่งบอกแล้ว แต่คนจะมอง (หลายท่านอาจจะจำได้ เคยออกทีวีหนนึง) ปล. อย่างนี้หรือเปล่าที่เราเรียกว่า ความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:35:17

ความคิดเห็นที่ 5   นี่ใช่ไหม​ ...ความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:36:48

ความคิดเห็นที่ 6   ถ้าจะอภิปรายในประเด็นนี้สิ่งแรกที่เราควรจะทำคือการนิยามคำศัพท์กันก่อน ความเจริญ/ไม่เจริญ ทางวัตถุ หมายถึงอะไรขอบเขตคืออะไร ความเจริญ/ไม่เจริญ ทางจิตใจ หมายถึงอะไรขอบเขตคืออะไร หากไม่นิยามกันก่อนผมเกรงว่าจะพูดคุยกันโดยมีความเข้าใจกันคนละทาง จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:42:17

ความคิดเห็นที่ 7   #5 นั่นมันความไม่รู้ ความงมงาย หรือความโง่ นะครับ ไม่เกี่ยวกับความเจริญ หรือไม่เจริญทางจิตใจแต่อย่างใด จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:50:36 A:210.86.209.74 X: TicketID:239454

ความคิดเห็นที่ 8   จะนิยามเองก็กริ่งเกรงอย่างไรไม่ทราบ ด้วยจะเป็นคำนิยามในมุมมองของตนเองเป็นหลัก หากถูกผิดอย่างไรรบกวนเสริมเติมแต่งให้ด้วย ความเจริญทางวัตถุ คือความเจริญก้าวหน้าด้านระบบ วิทยาการ เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย สร้างสวัสดิภาพและความสุขทางกายให้กับมนุษย์ ความเจริญทางจิตใจ คือความเจริญก้าวหน้าด้านศีลธรรม จิตสำนึก จิตสาธารณะ ความซับซ้อนทางวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ มุ่งเน้นเพื่อสร้างความสุข ความจริงแท้และความสงบทางใจของมนุษย์ จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:51:45

ความคิดเห็นที่ 9   #7 ความงมงาย ----> พุทธศาสนาไม่เคยสอนให้เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ------> ไม่มีจิตสำนึกทางวัฒนธรรม และศาสนา -----> ประเทศไทยคือเมืองแห่งพุทธศาสนา เจริญด้านจิตใจมากกว่าวัตถุ จากคุณ : yabeer เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:20:25

ความคิดเห็นที่ 10   ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุแปรผกผันกับความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ หากคำกล่าวนี้จริง มนุษย์ตอนที่ยังเข้าป่าเข้าดงเอาหินแหลมล่าสัตว์คงมีจิตใจที่ดีงาม และหลังจากนี้มนุษย์เราจะมีจิตใจที่เสื่อมทรามมากขึ้น มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ.... ผมมองว่าไม่จริง หากเรามองอารยธรรมมนุษย์ในระดับกว้างๆ แล้วดูซิว่ามนุษย์ชาติเรานั้นมีช่วงในบ้างในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เราประพฤติตนอย่างมีความเจริญทางจิตใจ ก็คงต้องส่ายหน้าว่ามันมีด้วยหรือช่วงเวลานั้น ในช่วงที่ศาสนากำเนิดขึ้นไม่ว่าศาสนาใดๆ ในยุคที่โลกเรากำเนิดศาสดาซึ่งนับได้ว่าเป็นผู้มีความเจริญทางจิตใจอันสูงส่ง แต่ช่วงเวลาร่วมสมัยก็ยังมีการรบกันอยู่ ดังนั้นผมจึงมองว่าความเจริญทางจิตใจอันดีและความเสื่อมถอยของจิตใจเกิดขึ้นแยกกันคนละหลอด คือความเจริญทางจิตใจที่มากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ความเสื่อมถอยทางจิตใจลดลง(อธิบายยังไงดีคือเหมือนมีกราฟอยู่สองอันมีอิสระซึ่งกันและกัน ไม่ใช่อีกอันเพิ่มแล้วอีกอันต้องลด) ในมุมมองของผมเมื่อความดีความเลวต่างก็เติบโตได้เองอย่างเป็นอิสระต่อกัน เมื่อวัตถุเกิดการพัฒนาจะส่งผลต่อความดีความเลวของคนหรือไม่ ผมคิดว่า"มี" แต่ไม่ได้มีในเชิงปริมาณแต่มีในเชิงคุณภาพ คือคนที่มีจิตใจดีครอบครองเทคโนโลยีคุณภาพสูงก็จะทำให้เค้าทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น อินเตอร์เนตทำให้รู้จักองค์กรการกุศลมากขึ้นมีตัวเลือกที่จะทำบุญมากขึ้น หรือนักบวชใช้อินเตอร์เนตเป็นสื่อในการเผยแผ่ศาสนา การให้คำปรึกษาผู้อื่นโดยฉับพลันโดยใช้เทคโนโลยี ในขณะที่คนเลวครอบครองความเจริญทางวัตุเค้าก็จะมีพลังในการทำเลวมากขึ้น เช่น ตุ๋นคนจำนวนมากผ่านระบบสื่อสาร อาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงขึ้น เมื่อเป็นแบบนี้ผมจึงมองว่าการเร่งพัฒนาวัตถุจึงไม่ได้เกี่ยวว่าจะทำให้จิตใจเสื่อมถอยลง ข้ออ้างข้างต้นเป็นกลไกป้องกันทางจิตรูปแบบหนึ่งคือการหลอกตัวเอง ซึ่งการหลอกตัวเองก็มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน การโทษผู้อื่น ข้อดีของการหลอกตัวเองก็คือสบายใจอย่างฉับพลัน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรดี เลิกหลอกตัวเองซักทีว่าวัตถุทำให้คนเสื่อม ถึงจะเลิกพัฒนาวัตถุคนมันก็ไม่ดีขึ้นมาหรอก ถ้าอยากให้คนเป็นคนดีก็ต้องพัฒนาจิตใจเป็นรายๆไป สุดท้ายอยากจะบอกว่าวัตถุเป็นสิ่งไม่มีชีวิต คิดและแสดงพฤติกรรมไม่ได้ ทำประโยชน์ทำโทษให้กับใครก็ไม่ได้ คนต่างหากที่เป็นผู้กำหนดบทบาทและพฤติกรรมให้กับวัตถุ วัตถุไม่มีดีมีเลว คนเราเท่านั้นที่มีดีมีเลว จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:21:32

ความคิดเห็นที่ 11   ทัศนคติส่วนตัว มองไม่เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนกับความผกผันดังกล่าว อาจจะเกิดกับบุคคลนึง แต่กับอีกบุคคลนึงอาจจะไม่เชื่อมโยงกันเลยก็เป็นได้ ซึ่งจะมาสรุปและสร้างวาทกรรมดังกล่าว "ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุแปรผกผันกับความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ" ออกจะเป็นการกล่าวหาและดูถูกบุคคลฝ่ายหลังอยู่กระไร จากคุณ : ปัจเอนก เจกชน เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:41:39

ความคิดเห็นที่ 12   เฮียขลิบคงกำลงติดตรึงอยู่กับละครชิงชังสินะ... อ้าว... ไม่เกี่ยวหรอ อิอิ จากคุณ : doxday เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:44:26

ความคิดเห็นที่ 13   ไม่มีกิฟนะ ใช้หมดไปแล้ว จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:50:10

ความคิดเห็นที่ 14   เข้ามาดม... ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ = การแก้ปัญหาของมนุษย์เน้นการใช้วัตถุ สมควรจะพัฒนาวัตถุให้ก้าวหน้าขึ้นไม่ว่าศีลธรรมจริยธรรมของมนุษย์จะเป็นอย่างไร (คุณค่าจริยธรรมแปลตามวัตถุ)??? ความเจริญทางด้านจิตใจ = การแก้ปัญหาของมนุษย์เน้นการสร้าง+ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม คุณค่าของจริยธรรมควรจะสูงส่งขึ้นไม่ว่าคุณค่าของวัตถุจะตกต่ำดิ่งเหวลงไปยังไง (คุณค่าวัตถุแปลตามจริยธรรม)??? แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 52 18:01:20 จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 17:58:44

ความคิดเห็นที่ 15   จาก ค.ห. 8 "ความเจริญทางจิตใจ คือความเจริญก้าวหน้าด้านศีลธรรม จิตสำนึก จิตสาธารณะ ความซับซ้อนทางวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ มุ่งเน้นเพื่อสร้างความสุข ความจริงแท้และความสงบทางใจของมนุษย์" พวกศีลธรรม จิตสำนัก จิตสาธารณะ ฯลฯ จะอยู่ใน Ethics ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องของ การอยู่และการยอมรับกันในสังคม (ดี เลว ศีลธรรมเป็น Social judgments ) ดังนั้นผมมองว่าถ้าdefineอย่างนี้แล้ว แสดงว่าทิศทางของความเจริญทางจิตใจ = มันเป็นเรื่องว่าทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งอาจจะได้ความสงบทางใจทางหนึ่ง (คือรู้สึกดีเพราะเหมือนเพื่อน หรือคนส่วนใหญ่บอกว่าดี) แต่ผมว่าน่ามนุษย์จะมีcuriosityในเรื่องที่จะหาความสงบทางใจ เกินขอบเขตมากกว่านี้ ดังนั้นถ้าผมถือเอาจุดประสงค์ก่อน ว่ามุ่งเน้นความสงบ สุข ทางใจของมนุษย์ ตั้ง ดังนั้นความเจริญทางจิตใจ คือการมุ่งค้นหา ความเข้าใจของจิตใจ(Mind) เช่น ส่วนหนึ่งที่ว่ามาแล้วคือ Ethics (การอยู่ร่วมกัน) และจะมีส่วนอื่นๆเช่น How mind operated ไม่ทราบว่าตรงกับที่คุณCryp คิดหรือไม่ จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:32:05

ความคิดเห็นที่ 16   เห็นด้วยครับ จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:33:49

ความคิดเห็นที่ 17   #9 คิดว่าความเจริญด้านจิตใจไม่ได้สัมพันธ์กับด้านศาสนาอย่างเดียว และไม่จำเป็นต้องเอาคำว่าประเทศไทยไปผูกไว้กับพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว การไม่ประพฤติตามวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่ หรือประพฤติตามวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ว่าคนนั้นเจริญหรือไม่เจริญทางจิตใจ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:42:29 A:210.86.209.74 X: TicketID:239454

ความคิดเห็นที่ 18   ผมว่า ความเจริญความวัตถุ กับจิตใจเนี่ย มันไม่ควรจะเอามาเกี่ยวข้องกันตั้งแต่แรกแล้ว คนสมัยก่อนโหดร้าย ไร้ศีลธรรมกว่ายุคนี้เยอะ ประโยคที่ว่า "ประเทศที่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุมากๆจะมีความเจริญทางด้านจิตใจตกต่ำลง" ผมคิดว่าเป็นการปลอบใจตัวเองมากกว่า จากคุณ : StreamRider เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:58:31

ความคิดเห็นที่ 19   ถ้าจะวิเคราะห์ความเจริญทางจิตใจโดยใช้วิทยาศาสตร์คงลำบากเหมือนกันครับ เพราะมันขึ้นกับค่านิยมของแต่ละสังคมด้วย แต่ ณ เวลานี้ ผมเห็นว่าค่า Human Development Index (HDI) ก็พอจะสะท้อนความเจริญทางจิตได้เป็นรูปธรรมในระดับหนึ่ง ซึ่งผลก็คือประเทศที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ก็มีค่า HDI สูงเป็นลำดับต้นๆ เช่นกัน http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_Human_Development_Index สังเกตได้ว่าอเมริกาที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีอยู่ในอันดับ 13 ดังนั้นในความเป็นจริงประเทศเจริญสุดไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอเมริกา สรุป ตอบคำถาม จขกท.ได้ว่า ความเจริญทางวัตถุแปรผันตามความเจริญทางจิตใจ ถ้าใช้ HDI เป็นตัวเปรียบเทียบ จากคุณ : Jacare เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:58:37

ความคิดเห็นที่ 20   สายกลางมั๊ง "คนหิวมักเป็นโจร" "คนเป็นโจรไม่แน่ว่าจะิหิว" ถ้าขาดวัตถุรุนแรง จิตใจก็ต่ำลงได้ง่าย ถ้าแสวงหาวัตถุรุนแรง จิตใจก็ต่ำลงอย่างชัดเจน ถึงบางคนบอกว่า ถ้าใจชนะการขาดวัตถุได้ จิตใจจะแกร่งขึ้น แต่มองมุมกลับ ร่างที่อ่อนแอสุดๆ เพราะขาดวัตถุ ขาดอาหาร จะไปทำอะไรดีๆได้หรือ? สายกลางครับสายกลาง จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:00:06

ความคิดเห็นที่ 21   HDI? คืออะไรเหรอครับ ถ้าแปลตรงตัวแปลว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์? ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นด้านจิตใจนี่ น่าจะหมายถึงเชิงคุณภาพที่เอามาพัฒนาด้านอื่นๆ ซึ่งมองด้านวัตถุเป็นหลัก? จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:06:07 A:210.86.209.74 X: TicketID:239454

ความคิดเห็นที่ 22   ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติ (The UN Human Development Index - HDI) เป็นดัชนีการวัดและเปรียบเทียบ ความยากจน การรู้หนังสือ การศึกษา อายุขัย การคลอดบุตร และปัจจัยอื่น ๆ ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นวิธีการวัดความอยู่ดีกินดีตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน หลายคนใช้ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาตินี้ ในการระบุว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศด้อยพัฒนา ดัชนีดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นมาในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวปากีสถานชื่อ มาฮฺบับ อุล ฮาค และองค์การสหประชาชาติได้ในดัชนีดังกล่าวมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) เป็นต้นมา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C เหมือนคุณภาพชีวิต (quality of life) มากกว่าอ่ะ ซึ่งมองในมิติทั้งกายภาพ จิตใจและสังคม แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 52 19:10:48 จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:10:30

ความคิดเห็นที่ 23   สิ่งที่ ญี่ปุ่นทำกับจีน เกาหลี สิ่งที่ เยอรมันทำกับยิว สิ่งที่ ชาวอเมริกาทำกับอินเดียนแดง หรือสิ่งที่เราทำกับพม่า มลายู เมื่อก่อนมันโหดร้ายกว่าปัจจุบันมากๆ เลิกโทษสื่อ เทคโลโยยีสมัยนี้ซะทีว่าทำให้เกิดความรุนแรง... จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:33:02

ความคิดเห็นที่ 24   เพราะอย่างที่บอกว่า ความเจริญทางจิตใจวัดเปรียบเทียบได้ยากเพราะความแตกต่างด้านค่านิยม จึงใช้ HDI ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามนุษย์มาเป็นเครื่องมือเปรียบเทียบแทน ซึ่งเห็นว่าสามารถใช้แทนได้ในระดับหนึ่ง เช่น คุณภาพชีวิตที่ดี อาจเกิดจากประเทศไม่ได้มีการสู้รบ ความขัดแย้ง ผู้นำและประชาชนมีความกระตือรือร้นที่จะทำให้ประเทศพัฒนามากกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ ก็สะท้อนความเจริญทางจิตใจได้ แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 52 19:40:21 จากคุณ : Jacare เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:37:56

ความคิดเห็นที่ 25   ขอบคุณที่เอามาบอกครับ ดูจากสิ่งที่เอามาวัด ดัชนีนี้น่าจะวัดความเจริญได้มากกว่าจีดีพี แต่ก็ไม่ได้ชี้ว่าเป็นความเจริญด้านไหน ถามคนในกระทู้นี้ต่ออีกหน่อย สำหรับคุณ ความคิด กับ จิตใจ เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ มีจุดร่วม จุดต่างอย่างไร คนที่ยึดถือวัตถุนิยม แต่ใช้ความคิดด้วยเหตุและผล ถือเป็นบุคคลที่เจริญแล้วทางจิตใจด้วยหรือไม่ คนไร้ศาสนา แต่มีจิตสาธารณะ ไม่เอาเปรียบคนอื่น เรียกว่าเป็นผู้เจริญทางจิตใจได้หรือไม่ ที่เห็นไม่ตรงกันเพราะนิยามไม่ตรงกันแต่แรกแล้วรึเปล่า จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 19:49:31 A:210.86.209.74 X: TicketID:239454

ความคิดเห็นที่ 26   ออกความเห็นมั่ง ความเจริญด้านวัตถุจะเกิดขึ้นแปรตามความเจริญด้านจิตใจ ถ้าจิตใจสูง->ความเจริญด้านวัตถุก็จะสูงตามไปด้วย และในทางตรงข้ามก็เช่นเดียวกัน ผมมองว่าทุกวันนี้เรามีจิตใจสูงกว่าคนในอดีตมาก มีความคิดความอ่านดีกว่า มีคุณธรรมสูงกว่า นี่ว่ากันโดยรวมนะครับ ถ้าเรามองผ่านสายตาของประวัติศาสตร์ลงไป จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 20:50:15

ความคิดเห็นที่ 27   ในความเห็นผม จริงๆแล้วตัวแปร2ตัวนี้(วัตถุ กับ จิตใจ) มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เป็นการเกี่ยวข้องแบบตัวแทน ไม่ใช่โดยตรง กล่าวคือ มันมีปัจจัยตัวกลางที่เกี่ยวข้องส่งผ่านจากวัตถุ ไปถึงจิตใจ มีมากต่างๆนาๆ ..การศึกษา ค่านิยมที่มาพร้อมกับวัตถุ ความเชื่อ เหตุผล อำนาจที่จะทำให้ประจักษ์ บลาๆๆๆ เยอะแยะไปหมด และตัวแปรย่อยเหล่านั้นมีมาก และแปรปรวนได้ แต่หลักๆคร่าวๆ ที่เห็นในโลกแล้ว ผมเชื่อว่าไม่ผกผัน ออกจะแปรผันตามด้วยซ้ำ ความเจริญทางวัตถุ ด้านหนึ่งมันเกี่ยวกับความเจริญทางปัญญา หรือความเจริญทางปัญญา ก็ผลักดันให้ต้องเจริญวัตถุ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(ไม่ว่าใครก็เน้นวัตถุ -- จีน เวียต) เมื่อกลุ่มคนมีปัญญา มีอำนาจ วัตถุก็จะตามมา ในสันดานมนุษย์ ในสันดานของกลุ่มมนุษย์ สิ่งนี้เกิดง่ายกว่าการบรรลุธรรม สำหรับนิยามศีลธรรม บางคนตีความว่าศีลธรรมคือค่านิยมเก่าๆ ความเชื่อของคนแก่ บางคนอาจบอกว่าคือศาสนา แต่ผมยกให้ปัญญา ทั้งนี้ผมก็เห็นว่าศาศนากับปัญญา เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกัน สิ่งที่ดูเหมือนความเจริญทางจิตใจ บางครั้ง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากพลังของจิตใจ แต่เกิดจากกฎระเบียบ กฎหมาย ค่านิยม ความพร้อม สิ่งแวดล้อม และการจัดการในโลกเสรี ใครมีเงินมาก มีความเหนือกว่าทางอำนาจ ก็จะจัดการพวกนี้ได้มาก ตัดวงจรแพร่พันธุ์ของความเถื่อน มีเวลาซีเรียสกับการศึกษา ถ่ายทอดค่านิยมแห่งการพัฒนา ปัญญา และอื่นๆ กฎหมายแข็ง นิยามของจิตใจที่ดีนี้  เกิดจากการผลักดันของสัคม สังคมจะผลักดันคนเข้าสู่ปรัชญาด้วยอีกที   และกันเขาให้ออกห่างจากปีศาจอีกที สังคมที่มีอำนาจมากกว่าจะผลักดันสิ่งเหล่านั้นได้ดีกว่า มันเกี่ยวข้องกับจิตวิทยา คนจนอำนาจ มีวัตถุน้อย แน่นอนว่าจะใจสงบอย่าก เหมือนสัตว์ที่หิวโหย จะถูกปลุกสันดานเถื่อนง่าย แต่สำคัญคือการเปรียบเทียบ หากเขาอยู่ในสังคมที่มีคนระดับเดียวกัน จนเหมือนๆกัน(เช่น คิวบา) อาจจะไม่มีนิสัยอัทธพาลนัก ถ้าเทียบกับ คนที่อยู่รายล้อมกับคนที่เหนือกว่า จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:05:20

ความคิดเห็นที่ 28   (มีการทดลองจิตวิทยา เรื่องเด็กที่อยู่ในห้องที่กันแผงกั้นไว้ ห้องของเด็กมีของเล่นพังๆ  เด็กก็เล่นอย่างสบาย แต่พอแผงกันถูกเปิดออก แต่ยังมีตาข่ายกั้นไว้ เปิดให้เห็นอีกห้องที่มีของเล่นที่พร้อมกว่า สมบูรณ์ เด็กจะ มีอาการโกรธเกี้ยว เพราะต้องการ บลาๆๆ) บางครั้งความเป็นคนดี การที่เราเป็นคนดี เพราะว่าเราเกิดมาบนสิ่งที่ดีกว่าเขา เราไม่รู้ว่าเราจะเป็นคนดีได้มั้ยถ้าเราเป็นแบบเขา เราจะเป็นแว้นซ์รึเปล่า เราจะเก็บกดจนต้องแสวงหาด้านมืด เพื่อเต็มเต็มชีวิตรึเปล่า สิ่งนี้ทำให้สงสัยว่าเราเป็นคนดีจริงหรือไม่? แต่แน่นอนสังคมอาจสงบสุขกว่า นั่นอาจไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนดี สิ่งสำคัญของมนุษย์คือการเลื่อมล้ำ คนเกาหลีเหนือที่ถูกล้างสมอง ก็คงไม่อยากหนีมาเกาหลีใต้ หากไม่รู้ว่าเกาหลีใต้เป็นอย่างไร คนจน คงไม่รู้สึกว่าถูกดูถูก ถ้าไม่รู้ว่ามีคนรวยอยู่ มิเช่นนั้นมนุษย์ดบราณคงอกแตกตายเพราะไม่มีรถ ไม่มีมือถือ คิวบา ประเทศที่ถูกพี่กันบล็อกการค้า ยากจน (วัตถุต่ำ) แต่สถิติการศึกษาสูง97% กว่าครึ่งประเทศจบตรี และไม่ว่าคนจนแค่ไหน ก็ไม่ต้องกลัวการเข้าโรงบาล มีหมอเยอะบานเบอะจนส่งไปช่วยแอฟริกาใต้ได้เป็นพันๆคน (อเมริกา0คน) เพราะคิวบาอยู่ในกรอบหนึ่ง ไม่ต้องดูโฆษณา ไม่ต้องฟังว่ามะกันทำอะไรได้ ไม่รู้อะไร ปัญหาหลักของสังคมมันเกิดจาากตรงนี้ ที่เมกา มีกลุ่มคนผิวสีจอมก่อเรื่อง ไทยมีแว้นซ์ที่มีฐานะทั้งทางวัตถุ และทางสัญลักษณืต่ำ ผมยังไม่ค่อยเห็นแว่นไหนขับดูคาตี้ หรือบิ็กไบท์ต่างๆ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือปัรชญาไหนที่จะอยู่ได้ยาว เราจะ"ดี"โดยมีวัตถุน้อยๆได้เหรอ หากวันหนึ่งเราตามเขาไม่ทัน  มะกันทำให้คนบินได้ ต่อแขนขาได้ มีความบันเทิงสุดขั้วหัวใจ บลาๆๆๆๆๆๆ...ๆๆๆๆๆๆๆๆ พวกที่วัตถุน้อยๆ จะอยู่อย่างสงบจริงเหรอ (ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ไทยเลิกทาส สร้างรถไฟ เพราะอะไร?) เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น แต่เรื่องความเจริญทางวัตถุ ผมถือไปไฟท์บังคับ และแน่นอนว่าไม่มีทางเสมอกันง่ายๆได้หรอก แต่ต้องเป็นไป เราทำได้แค่ทำให้ดีที่สุด และอย่าลืมความดี วัตถุต้องคู่กับปัญญา การเรียนของเราในมัยม มหาลัย นั้นแค่เพื่อสร้างแรงงาน ปัญญาจริงๆนั้นยังน้อย ถ้าหากน้อย คุณจะเห็นถึงความวิปริตได้มากมายก่ายกอง และจะดึงทุกอย่างลง บางทีถ้าเราสร้างการเรียนรู้แบบปัญญา ปูพื้นแน่นๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม และถือว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราจะเจริญราบรื่น ผู้คนจะรู้ว่าใครควรเป็นรัฐบาล รู้ว่าควรเรียกร้องเรื่องอะไร และรู้ว่าชีวิตต้องทำอย่างไร จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:05:34

ความคิดเห็นที่ 29   แถมหน่อย ในยุคมืดที่ผู้คนถูกศาสนาครอบงำ แต่ละคนหวังจะไปสวรรค์ ศีลธรรมเป็นยังไงไม่รู้ แต่วัตถุต่ำแน่นอน อาจารย์ผมเคยฉายเพาเวอร์พ้อยท์ของจิตกรรมในยุคนั้น เป็น10ๆภาพ ตำราบอกว่ายุคมืดผู้คนทุกข์อย่างไร(ทุกข์จนชิน?) ดูได้จากรูปวาด แต่ละรูปจะมีส่วนเหมือนๆกัน -ผู้คนดูผอม -หน้าตาเศร้าๆ ไม่เว้นแม้ภาพถ่ายพระเยซู -จะหม่นๆ และก็เป็นแบบนี้ทุกรูป (เทียบกับยุคเรเนซองต์นี้ต่างลิบลับ /เรเนซองค์ชอบหญิงอ้วน) ผู้คนยุคนั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย ไม่รู้ว่าขุนนางที่ตนเองสังกัดเมื่อไหร่จะถูกฆ่า ผู้คนอยู่ไปวันๆ ทำนา รีดนม เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ สมกับคำว่ายุคมืดจริงๆ (และมันครอบงำมนุษยืได้เป็นพันปี!) ศีลธรรมอยู่ตรงไหน? เพื่ออะไร? จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:17:48

ความคิดเห็นที่ 30   แถมหน่อย ในยุคมืดที่ผู้คนถูกศาสนาครอบงำ แต่ละคนหวังจะไปสวรรค์ ศีลธรรมเป็นยังไงไม่รู้ แต่วัตถุต่ำแน่นอน อาจารย์ผมเคยฉายเพาเวอร์พ้อยท์ของจิตกรรมในยุคนั้น เป็น10ๆภาพ ตำราบอกว่ายุคมืดผู้คนทุกข์อย่างไร(ทุกข์จนชิน?) ดูได้จากรูปวาด แต่ละรูปจะมีส่วนเหมือนๆกัน -ผู้คนดูผอม -หน้าตาเศร้าๆ ไม่เว้นแม้ภาพถ่ายพระเยซู -จะหม่นๆ และก็เป็นแบบนี้ทุกรูป (เทียบกับยุคเรเนซองต์นี้ต่างลิบลับ /เรเนซองค์ชอบหญิงอ้วน) ผู้คนยุคนั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย ไม่รู้ว่าขุนนางที่ตนเองสังกัดเมื่อไหร่จะถูกฆ่า ผู้คนอยู่ไปวันๆ ทำนา รีดนม เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ สมกับคำว่ายุคมืดจริงๆ (และมันครอบงำมนุษย์ได้เป็นพันปี!) ศีลธรรมอยู่ตรงไหน? เพื่ออะไร? จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:18:22

ความคิดเห็นที่ 31   อีกรูป นี้ขนาดรูปกษัตริย์นะ จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:18:51

ความคิดเห็นที่ 32   ดูเศร้าๆ หม่นๆ ไม่มีน้ำมีนวลกันเลย จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:20:56

ความคิดเห็นที่ 33   ขึ้นอยู่กับระบบการศึกษาว่า มีการปลูกจิตสำนึก มีการสอนหลักความจริง ให้เด็กเข้าใจได้มากแค่ไหน เพราะพอโตแล้ว มันแก้ไม่ได้ เช่น บางคน มือถือจะออกมากี่รุ่นกี่แบบ เอาใครมาโฆษณา เขาก็เฉยๆ เลือกซื้อตามที่จำเป็น เห็นมันเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง บางคน ต้องเปลี่ยนกันทุกเดือนสองเดือน เพราะคิดไปเองว่า มันทำให้ตัวเองเด่น มีคนสนใจ ทำให้ตนเหนือกว่าคนอื่นๆ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:28:57

ความคิดเห็นที่ 36   นึกได้อีก ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆที่ล้าหัง เช่น ผีตองเหลือง ผีตองเหลืองมีอายุขัยเฉลี่ยสั้ย แค่40-50ปี กินรังผึ้งบ้างอะไรบ้าง "ล้าหลังด้านวัตถุ" แต่ก็เห็นรวมกลุ่มกัน ไม่ได้ทะเลาะ ข่มขืน ฆ่า หรือดูว่ามีความขัดแย้งยืดเยื้อ เรื้อรังเป็นปัญหา ...................... ส่วนตัวผมฟันธงว่าปัญหาเกิดจากความเลื่อมล้ำมากกว่า คนต่างเผ่า คนรวย จน คนที่แตกต่าง หากคุณเป็นคนจน หมดหนทางโดยกำเนิด "ไม่ค่อย"มีทางให้พัฒนาต่อ  คุณอาจจะเป็นอย่างไร... (ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการเอาเปรียบจากคนสูง) อย่าไปเชื่อคำพูดกระแสหลักจากสื่อต่างๆว่าทุกคนมีทางไปต่อ ทุกคนมีทางพัฒนา ทุกคนถ้าขยัน มีสติ คนรักดีจะไปรอดเอง คนที่มีคุณธรรมจะดี  คุณธรรมนำชาติเจริญ บลาๆๆๆ ในบริบทของความเป็นจริงที่ซับซ้อน สิ่งนี้เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งสำหรับผม บางที ช่องทางของสังคมในโครงสร้างหนึ่งๆ มีการเปิดรับคนที่อยู่ต่ำแค่1คนจากร้อยคน และโฆษณาว่าใครๆก็อัพได้หมด ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น ไม่มีทางเป็นได้เลย "ในโครงสร้างนี้" ไม่มีทาง ถ้าไม่ปฏิวัติระบบอย่างยิ่งใหญ่เป็นแบบอื่น อ่า ทีนี้ถ้าหากยอมรับได้ว่า ในกรอบที่เราอยู่ ถ้าเราต้องต่ำ อาจจะตลอดไป คุณจะเลวได้ง่ายรึเปล่า หนึ่ง บรรยากาสของการดูถูก สิ่งนี้สำคัญสำหรับมนุษย์ เราทุกคนอยากมีเกียรติ ศักดิ์ศรี มันสำคัญมากๆๆ เกรียติที่ว่าหมายถึง เราดูเป็นคนมีค่าในสายตาคนอื่นๆ ไม่ว่าค่านิยมสั่งคมนั้นจะเป็นคนมีเงิน คนเจ๋ง คนเก่ง ผมพบว่าเราโน้มเอียงไปทางเงินมากพอดู สื่อที่แสดงออก หนัง ละคร โฆษณากระตุ้นความอยาก บลาๆๆๆ (ทำไมไม่ค่อยเห็นพระเอกแสดงวิ่งดีงามจนน้ำตาไหลให้เราเห็นบ่อยๆ มันสร้างค่านิยมได้) คนหมดโอกาส ความเถื่อนยอมเกิดง่าย เมื่อเกิดแล้ว ย่อมสร้างกลุ่มเถื่อน และค่านิยมเถื่อน เรียนไม่ได้ดีก็ ไม่เอาหรอกความเก่ง เอาไม่ได้   ผู้หญิงไม่เอาก็ข่มขืนซะ  ไม่มีตังค์ก็ขายตัวเงินน้อยต้องโกง บางคนเงินมีกินมีใช้เหลือเฟื่อ แต่ก็ยังโกง เพราะมีคนรวยกว่า เพราะยิ่งรวยยิ่งเจ๋ง มีอำนาจนู้นนี้ ผู้คนไหว้ บลาๆๆๆๆ ถ้าจะพูดตามภาพรวมแล้ว ความเลวมีอยู่ในคนทุกระดับ แต่โอกาสแสดงออกมากน้อยต่างกัน หมอฆ่าเมียก็มี ถ้ากดดันมากๆ จริงอยุ่ว่าพันธุกรรมเถื่อนมีจริง แต่ก็มีได้ในคนทุกระดับ มีทั้งในคนฉลาด และคนโง่ (จริงๆอยากบอกว่าผมก็อาจจะเถื่อน) ปัจจุบันนี้ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เรื่องความดีที่เราสร้างเองแล้ว แต่เป็นว่า สังคมนั้นจะเปิดโอกาสให้สิ่งดีเกิดขึ้นได้ง่ายแค่ไหน มันซับซ้อนมาก ธรรมชาติมนุษย์ ยังไงก็ยังต่างเป็นระดับ ผู้อยู่ล่างก็ยังมี แต่เราจะยกระดับขึ้นมา ให้กลุ่มคนที่เลวที่สุดทำแค่การฝ่าไฟแดงจะได้หรือไม่ ศีลธรรมเป็นหน่วยเล็กๆ ที่จะถูกผลักดันโดยโครงสร้าง และระบบ หากเราอยากให้คนดี แต่เราไปหมุนเฝืองเล็กๆอย่างศีลธรรม ทั้งๆที่เฝืองตัวใหญ่ยังหมุนไปแบบเดิม  มันจะเป็นไปได้หรือ? มันเป็นแบบนี้มานานแล้วครับ ตั้งแต่มนุษย์อยู่กันเป็นสังคม ไม่มีศีลธรรมไหนยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้คนเกิดการทำดีพร้อมๆกันได้ โอกาสเริ่มมาจากโครงสร้าง ปรัชญาพื้นฐาน เรารวมเป็นสังคมแล้ว สังคมคือเนื้อเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน เราต้องเน้นภาพใหญ่ ศีลธรรมของสังคม ต่างกับมนุษย์ สังคมมีระบบเป็นจิตใจ เราอยากพัฒนา ต้องพัฒนาระบบ และสังคมต้องเดินถูกที่ ต้องคิดข้ามชั่วคน และผมคิดว่า เราต้องตามวัตถุ ส่วนคำถามเรื่องมายาคติ ถ้าหากมีคนมาพูดว่าพวกที่เน้นวัถตุ มักไม่เจริญทางจิตใจ สิ่งนี้ไม่จริงแน่นอนครับ ในความเห็นผม จากคุณ : INFINITE ONE เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:58:05

ความคิดเห็นที่ 37   ประเทศไม่เจริญ ก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เอาวะ สร้างมายาคติน้ำขุ่นๆ ว่าประเทศไม่เจริญแต่จิตใจดีงามละกัน ทั้งๆที่ พูดถึง ถนน รัชดา  คิดถึงอะไรกัน  ไปซ่อง ใช่ไหม  ซ่องเต็มถนนเลย   เหอๆๆ พัฒพงศ์  พัทยา  คิดถึงอะไร ลูกมะพร้าว หรือโชว์ปิงปอง ลูกค้าไปปอยเปต ส่วนใหญ่คนอะไร คนไทยใช่ไหม ประเทศไทย บ้านช่อง ต้องติดเหล็กดัด รั้วต้องทำสูง แถมด้วยกรวดแก้ว เหล็กแหลม ไปดูบ้านที่ อเมริการ ออสเตรเลีย ว่าเขาต้องมีเหล็กดัดแบบนี้ไหน (ไม่ใช่เอาไปเปรียบกับย่าน บร๊องซ์ นะ  ) จากคุณ : OL Girl เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 23:35:14

ความคิดเห็นที่ 38   ^ ให้กิฟท์ไม่ได้เลยวุ้ย  อมยิ้มโทรศัพท์ จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 23:41:46

ความคิดเห็นที่ 39   คห.36 ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆที่ล้าหัง เช่น ผีตองเหลือง ผีตองเหลืองมีอายุขัยเฉลี่ยสั้ย แค่40-50ปี กินรังผึ้งบ้างอะไรบ้าง "ล้าหลังด้านวัตถุ" แต่ก็เห็นรวมกลุ่มกัน ไม่ได้ทะเลาะ ข่มขืน ฆ่า หรือดูว่ามีความขัดแย้งยืดเยื้อ เรื้อรังเป็นปัญหา ----------------------------------------------------- สารคดีชนเผ่าในแอฟริกาที่ล้าหลังแบบที่คุณบอกน่ะแหละ ผู้ชายไปเอาสาวคราวลูกมาเป็นภรรยาน้อย สาวไม่เต็มใจ เลยพาผู้ชายไปฆ่านอกหมู่บ้านแล้วหนีไปอยู่กับผู้ชายอื่น หนำซ้ำผู้ชายเป็นหัวหน้าเผ่าต้องรีบตั้งคนมาแทนหัวหน้าที่ตาย เพราะเผ่าที่อยู่ใกล้ๆจ้องจะเข้ามาโจมตี "ไม่ได้ทะเลาะ ข่มขืน ฆ่า หรือดูว่ามีความขัดแย้งยืดเยื้อ เรื้อรังเป็นปัญหา"???? จากคุณ : เด็กหลงทาง เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 00:45:22 A:202.139.223.18 X: TicketID:041703

ความคิดเห็นที่ 40   รู้สึกว่าปัญญาในการเข้าถึงหลักธรรมกับปัญญาในการออกแบบใช้งานวัตถุนี่มันจะไม่ได้ไปด้วยกันนะ ดังนั้นสมมุติฐานที่ว่าถ้าวัตถุเจริญแล้วจิตใจจะเจริญตามเพราะทั้งสองอย่างต่างใช้ปัญญาเหมือนกันมันก็จะเป็นสมมุติฐานที่ผิดนะคับ ถึงจะใช้ปัญญาเหมือนกันแต่มันใช้ปัญญาคนละตัว ปัญญาในการใช้งานวัตถุเป็นปัญญาเชิงลึก แต่ปัญญาในการเข้าถึงหลักธรรมเป็นเชิงกว้าง ถ้าหากว่าคุณไม่คิดถึงคู่ครองคุณก็จะเป็นคนสำส่อนได้ ถ้าคุณไม่คิดถึงพ่อแม่คุณก็จะเป็นลูกทรพีฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้ ถ้าคุณไม่คิดถึงเพื่อนฝูงคุณก็จะทรยศเพื่อนขายเพื่อนได้ ถ้าคุณไม่คิดถึงลูกเต้าคุณก็จะขายลูกขายเต้าได้ ดังนั้นถ้าคุณจะบรรลุธรรมได้คุณจะต้องคิดถึงทุกสรรพสิ่งคิดให้หมด ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดคุณก็จะไม่บรรลุธรรมแล้วจะเลวแล้ว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะคิดเรื่องทั้งหมดได้เพราะคุณจะต้องรับปัญหาทั้งหมดไว้กับตัวซึ่งผิดธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพยายามปัดสวะให้คนอื่น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ปัญญาในการบรรลุธรรม (เพราะคุณใช้ปัญญาในการปัดสวะ) คุณจะต้องใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณเองพิจารณาเอาว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิดถึงจะบรรลุธรรมซึ่งคนละสายกับปัญญาเลย ดังนั้นถ้าวัตถุเจริญขึ้นแล้วจิตใจจะเจริญขึ้นตามก็ไม่ถูกเพราะมันคนละสายกัน... จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 03:24:56

ความคิดเห็นที่ 41   #4 การอยากดูฉากซิซูกะอาบน้ำ บ่งบอกความเจริญของจิตใจ???? ขอคำอธิบายทีสิว่าทำไม ไม่เห็นจะเข้าใจ ในเมื่อเรื่องอื่นๆ เช่น Totoro ก็ไม่มีเซ็นเซอร์ หรือยิ่งหนักไปกว่านั้น The End of Evangelion ก็ไม่เซ็นเซอร์ขนาดเห็นกันจะๆ (ขนาดที่ไม่กล้า เอารูปมาโพส เดี๋ยวอมยิ้มกระเด็น) ฉากอาบน้ำใน โทโทโร่ เพื่อนรัก จากคุณ : .eAT เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 06:53:48

ความคิดเห็นที่ 42   ผมว่าคำถามมีแนวโน้ม โน้มให้คนตอบตอบในทิศทางเดียวกัน ถ้าจะมีคำถามที่คล้ายๆกัน ก็คงเป็น คุณคิดว่า ความสามารถในการคิดค้นและการสร้าง : ด้านวัตถุ แปรผันหรือแปรตาม กับความเข้าใจตัวเอง ความเข้าใจคนอื่นหรือไม่ : ด้านจิตใจ - จะให้ใกล้เคียงกระทู้ ด้านวัตถุต้องรวม ผู้ที่ชอบใช้เทคโนเข้าไปด้วย - ถามกลับกันก็ได้ จากคุณ : มะละกอ มะละกอ มะละกอ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 10:44:13 A:203.113.105.129 X: TicketID:238381

ความคิดเห็นที่ 43   เมื่อมองจากรากของความเจริญแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ต่างกันเพียงสนใจเรื่องภายนอก หรือภายในเท่านั้นเอง ถ้ารากของความเจริญได้เติบโตแล้วทั้งสองสิ่งก็จะเดินไปพร้อมๆกัน เว้นเสียแต่ว่าจะเพ่งเล็งไปที่ด้านใดด้านหนึ่งจนมองว่าอีกด้านเป็นด้านที่ไม่ดีหรือไม่ ประเด็นการเพ็งเล็งผมมองว่าเป็นเรื่องของทวิลักษณ์ สภาวะสองขั้ว กล่าวคือเมื่อมองว่าวัตถุดี ก็มองวว่าจิตใจไร้สาระ ถ้ามองว่าจิตใจดี ก็มองว่าวัตถุไม่มีคุณค่า ค่านิยมตรงนี้มีผลให้ทั้งสองสิ่งดูจะขัดกันเอง ทั้งๆที่ถ้ามีรากฐานของความเจริญแล้ว ทั้งสองอย่างก็ไปด้วยกันได้ รากฐานของเจริญนั้น ได้แก่ ความใคร่รู้ใฝ่ศึกษา สนใจสิ่งต่างๆ การตั้งคำถาม การหาความสอดคล้อง การหาความจริง ฯลฯ สำหรับกรณีภายในประเทศที่มองว่าวัตถุได้เข้ามาทำลายคุณค่าทางจิตใจ ประเด็นนี้ขอลองมองดูก่อนว่า ในอดีตประเทศไทยมีรากฐานของความเจริญหรือไม่ เท่าที่ทราบกรณีที่ยกมาเด่นๆจะเป็นคุณค่าจิตใจทางศาสนา ส่วนด้านวัตถุนั้นไม่เด่นชัดนัก หากแต่คุณค่าจิตใจทางศาสนานั้นประเทศไทยได้สนใจเรื่องความเป็นอยู่ ความดีความชั่ว หรือการค้นหาสัจธรรม พอมาถึงปัจจุบัน เมื่อเรามีรากของความเจริญน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำว่าเราจะไม่เจริญด้วยมายาคติต่างๆ เช่นว่าต้องเจริญให้เหมือนตะวันตก จนหลายๆครั้งเป็นการนำแนวคิดเขามาโดยไม่วิเคราะห์ถึงสภาวะที่แท้จริงของตนเอง กลายเป็นการตอบปัญหาไม่ตรงคำถาม ซึ่งนอกจากจะก่อปัญหาเพิ่มแล้ว ก็ยังไม่ได้ก่อปัญญาใดๆเลย สรุปผมมองว่าความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจไม่ได้ขึ้นต่อกันโดยตรง แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติหลักที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ่งออกมาในรูปแบบไหน ถ้ามีรากฐานของความเจริญโดยไม่มีทวิภาวะ ทั้งสองก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้ามีทวิภาวะทั้งสองสิ่งก็ขัดแย้งกัน และถ้าไม่มีรากฐานของความเจริญ ทั้งสองสิ่งก็ไม่สามารถพัฒนาได้เลย แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 52 19:44:12 จากคุณ : ทะเลคราม (blueocynia) เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 13:49:53

ความคิดเห็นที่ 44   ตอบ เชื่อว่าความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุไม่มีความสัมพันธ์กับความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ ประสบการณ์ส่วนตัว ทำงานให้บริการ มารยาทและความมีเหตุผลของผู้รับบริการในประเทศแถบแสกน อเมริกาและญี่ปุ่น จะมารยาท/น้ำใจดีกว่าชาวเอเชียมาก (ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย) และกลุ่มฮ่องกง/บลาๆ มารยาทดีกว่าประเทศไทยมากๆ แต่คนไทย มารยาทดีกว่าชาวจีน(แผ่นดินใหญ่) และอินเดีย เพราะฉะนั้น มองว่าไม่เกี่ยวกันเลยยยยยย ปอลอ ปอลิ่ง พูดถึงน้ำจิตน้ำใจ คนไทยน่าจะอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ดีไม่แย่นะ แต่ถ้าถามว่าคนไทยน้ำใจดีสุดๆไหม ส่ายหัวดิ๊กๆๆๆๆ ละกัน จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 20:32:15

ความคิดเห็นที่ 45   สมมุติเราจะฆ่าสัตว์ (ไม่รู้สะท้อนการมีจิตใจตกต่ำหรือเปล่า) สมัยก่อนตอนที่ยังไม่เจริญ ใช้หิน(?) สมัยนี้ที่เจริญกว่า ใช้ปืน(?) จากคุณ : Zero_Zero เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 21:34:36

ความคิดเห็นที่ 46   ^ ^ คห44 อีกมุมนึง ที่จริงผู้ประกอบการคนไทยชอบดูแลฝรั่งต่างชาตินะครับ บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าเรามีสองมาตรฐาน เราชอบเห็นรอยยิ้มฝรั่ง แอบลุ้นให้เค้ามีความสุขที่เค้าได้กินอาหารไทย เอาใจใส่คนต่างชาติ แต่กับคนไทยกันเองเราเฉยๆ ฝรั่งที่มาอยู่ไทยแบบฉาบฉวยแบบนักท่องเที่ยวนี่รักประเทศไทยอยู่แล้ว แต่พวกที่มาอยู่นานๆ เค้าจะรักคนไทยอีกแบบ คนญี่ปุ่นนี่สุดยอดเลย ให้เกียรติสูง อยู่ในจิตวิญญาณเค้า คนอินเดียก็ดีนะ ถ้าไม่คุยเรื่องการต่อรองราคาสินค้าที่จะต่อไปเรื่อยๆๆๆ เป็นพวกรักเพื่อนพ้อง ซื่อสัตย์ คนไทย จะแสดงความสุดยอดออกมาต่อเมื่อ เราให้ผู้ใดเป็นทุกข์กว่าเรา เรามีจิตสาธารณะที่สูงนะ แต่เสียตรงไร้ระเบียบ(เพราะชอบระบบอะไรที่ง่ายๆ) ดูอย่างตอนสึนามิ ลึกๆผมกลับคิดว่าคนไทยนี่แหละ น้ำจิตน้ำใจไม่ได้อยู่กลางๆหรอก มีเยอะมากๆระดับหัวแถวของประเทศในโลกนี้แน่ๆ ดังนั้นจะมองจากมุมผู้ประกอบการอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะเวลาเราส่งลูกหลานเราไปเรียนเมืองเค้า เค้ากลับมองลูกหลานเราอีกแบบ ไม่เหมือนตอนที่เค้ามาเที่ยวบ้านเรา ที่เค้ารู้สึกอีกอย่าง ทั้งประหยัด อาหารหลากหลาย มีความสุข ถ้าจิตวิญญาณเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆคนไทยไปเรียนเมืองนอกทำไมดันมีปัญหาโดนกีดกัน แบ่งแยก ดูถูก ไม่ให้เกียรติ ไม่เหมือนกับตอนที่เค้ามาเมืองไทยแบบนักท่องเที่ยว??? เพราะรู้ว่านั้นคือบ้านเค้า และเค้ารู้สึกว่าเหนือกว่าเรา และปลอดภัยที่จะดูถูกคนอีกกลุ่มในบ้านตัวเอง จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 21:49:28 A:58.64.63.204 X: TicketID:173601