บทที่ 7
บ้านของปริวรรตเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น บนที่ดินสองแปลงรวมร้อยหกสิบตารางวาในโครงการจัดสรรขนาดใหญ่ชานกรุงเทพ อยู่ไม่ห่างจากโรงงานและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ด้วยเหตุที่ใกล้กันนี่เอง ทำให้ปริวรรตใช้เวลาไม่มาก เพียงบ่ายสองโมงเศษๆ เท่านั้น เขาก็กลับมาถึงบ้าน
อันที่จริงปริวรรตเคยอยู่บ้านหลังใหญ่โตกว่านี้มากนัก จะเรียกว่าคฤหาสน์ขนาดย่อมๆ เลยก็ว่าได้ ทว่าหลังจากมารดาเสียชีวิต บิดาเกษียณตัวเองย้ายไปทำสวนส้มอยู่ที่แม่อาย โดยบริวารเก่าแก่สองสามีภรรยา น้าจอนกับน้าอุ่นย้ายตามไปด้วยแล้ว ปริวรรตก็ตัดสินใจขายคฤหาสน์หลังเดิม แล้วซื้อบ้านจัดสรรหลังเล็กๆ อยู่แทน
พอลงจากรถแท็กซี่ ยังไม่ทันจะไขกุญแจประตูหน้าบ้าน ปริวรรตก็ยิ้มออกมา เมื่อเห็นรถโฟลค์เต่าอายุมากกว่าเขาเกือบสองเท่าจอดเคียงคู่กับรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด มองดูราวเป็นปู่กับหลานอย่างไรอย่างนั้น
ปริวรรตเก็บกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มันอีก เขาเลื่อนประตูรั้วแล้วเดินเข้าไป ประตูกระจกกรอบอลูมิเนียมของตัวบ้านก็เช่นกัน มันไม่ถูกล็อคใดๆ ทั้งสิ้น
เฮ้ย สบายจริงนะ
ปริวรรตโผล่หน้าเข้าไปทักชายหนุ่มซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา ดูโทรทัศน์จอแบนขนาดห้าสิบนิ้วอย่างสบายอกสบายใจ
อ้าว... กลับมาแล้วเหรอ แหม... ไม่ให้สุ้มให้เสียง
ชายหนุ่มผู้ทำตัวราวกับเจ้าของบ้าน ทักทายกลับยิ้มๆ วางถุงขนมก่อนหยิบรีโมตกดปุ่มเปลี่ยนช่อง
ก็ให้เสียงอยู่นี่ไง ปริวรรตกล่าวพร้อมกับก้าวเข้าไปในบ้าน มานานหรือยังวะ
ดูหนังจบไปแล้วเรื่องนึง เพิ่งเปลี่ยนมาดูโทรทัศน์ เศรษฐ์ตอบอ้อมๆ แล้วบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ทำไมเดี๋ยวนี้รายการโทรทัศน์ถึงไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ทำไมวะ มีเป็นร้อยช่อง หาดูไม่ได้เลยหรือ ปริวรรตหัวเราะ ก่อนหยุดกึกเมื่อนึกขึ้นได้ เฮ้ย... แล้ววันนี้ทำไมไม่ไปทำงาน
วันศุกร์แห่งชาติ เศรษฐ์ตอบหน้าตาเฉย ทำแค่ครึ่งวันก็พอแล้ว
ปริวรรตทำตาปริบๆ มองเพื่อนร่วมๆ นาที
อ้าว... แล้วทีรับเงินเดือน นายรับจากเราเต็ม
ก็ตอนไลน์ผลิตมีปัญหาตอนดึกๆ นายยังเรียกเราไปทำงานโดยไม่จ่ายโอทีเลยนี่หว่า เศรษฐ์เถียง ก่อนท้า ไม่พอใจก็ไล่ออกเลยสิ
ไล่นายก็ไม่ไป ปริวรรตส่ายหน้า แน่จริงลาออกเองสิวะ
ลาออก... นายก็ไปตามเรากลับมาอยู่ดี
แล้วชายหนุ่มทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังลั่น เศรษฐ์เป็นวิศวกรฝีมือดีหาตัวจับยาก หากอารมณ์ศิลป์เกินไปสักหน่อย ปริวรรตไม่คิดว่าจะมีใครทำงานได้ดีกว่าเพื่อน เช่นเดียวกับเศรษฐ์ที่นึกไม่ออกว่าจะมีบริษัทไหนให้อิสระแก่เขามากไปกว่านี้อีกแล้ว
แล้วมาทำไมนี่
ปริวรรตถามขณะลากกระเป๋าไปวางข้างบันได ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมาเทใส่แก้วยกดื่ม
มาเตือนให้นายไปงานน้องเนย
คำตอบของเพื่อนทำให้ปริวรรตวางแก้วน้ำลงทั้งๆ ที่ยังดื่มไม่ถึงครึ่ง
จะต้องมาเตือนทำไมอีก เรารีบกลับมาจากแม่อายก็เพื่อจะไปงานน้องเนยอยู่แล้ว
เรากลัวใจนายว่ะ เศรษฐ์กล่าวพร้อมเอนหลังพิงโซฟาจ้องหน้าเจ้าของบ้าน ไม่ไปไม่ได้เชียวนะ คุณศักดินันท์อุตส่าห์มาเชิญด้วยตัวเอง ย้ำนักย้ำหนากับเรา เขาบอกว่าโทรไปหานายหลายครั้งแล้ว แต่โทรไม่ติด
ปริวรรตนิ่งไปสักพัก ก่อนพูดหน้าตาเฉย
เราเปลี่ยนใจแล้ว
เฮ้ย... เศรษฐ์ชันตัวขึ้นนั่งหลังตรง ไม่ได้นะ เรารับปากแทนนายไปแล้ว
เราเปลี่ยนใจไม่ไปคนเดียวต่างหาก ปริวรรตยิ้มให้คนตาเหลือก นายต้องไปกับเราด้วย
เศรษฐ์ส่ายหน้าดิก
เขาไม่ได้เชิญเรา
เถอะน่า ไปแล้วก็ไม่มีใครไล่ออกมาหรอก
เศรษฐ์ยังคงส่ายหน้าไม่หยุด จนปริวรรตอดหัวเราะไม่ได้
งานนี้มีสาวๆ เพื่อนน้องเนยหลายคนนะจะบอกให้ แล้วก็ไม่ใช่ว่านายจะไม่คุ้นเคยกับอาศักดินันท์ ตัวน้องเนยเองก็เห็นคุยกันดีไม่ใช่หรือ ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยเถอะ ว่าไง... ตกลงมั้ย
ไปก็ไป คนเพิ่งหยุดส่ายหน้าอมยิ้ม เราตัดสินใจตั้งแต่นายพูดประโยคแรกแล้ว
ค่ำวันนั้น รถโฟล์คเต่าสีขาวรุ่นปี ค.ศ. ๑๙๖๓ ก็แล่นช้าๆ เข้าไปในคฤหาสน์ของนายศักดินันท์เจ้าของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์รายย่อม ชายหนุ่มคนขับชะเง้อมองเหลียวซ้ายแลขวาหาที่จอดรถ
เศรษฐ์รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าของก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในบริเวณคฤหาสน์หลังนี้
แรกเริ่มเดิมทีปริวรรตจะขับรถของตนเองมา หากถูกคัดค้านอย่างหนักหน่วงจากเศรษฐ์
เอาเจ้าเฮอร์บี้นี่แหละไป
ปริวรรตมอง เจ้าเฮอร์บี้ แล้วส่ายหน้า
อย่าเลย เราขี้เกียจช่วยนายเข็นรถ
ไว้ใจได้น่า มันไม่งอแงมานานแล้ว
เศรษฐ์รับรองแข็งขัน พร้อมกับใช้กำปั้นทุบหลังคารถดังตึงๆ แสดงความหนาของเหล็ก ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องยนต์เลย
และในที่สุด ปริวรรตก็ต้องยอมจำนนโดยสารมาในรถโฟล์คเต่า ด้วยเหตุผล
ให้เรามีทางออกบ้างเถอะ เผื่อเขาไม่ต้อนรับ จะได้อ้างว่าเรามาส่งนายเท่านั้น
ถึงแม้ว่าปริวรรตจะเชื่อว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ต้องยินยอมเพื่อความสบายใจของเพื่อน และหากเจ้าเฮอร์บี้เกเรขึ้นมา การขึ้นรถแท็กซี่ต่อก็ไม่ไช่เรื่องยากเย็นใดๆ
มาผิดวันหรือเปล่านี่ ทำไมถึงเงียบอย่างนี้
เศรษฐ์รำพึงเบาๆ สายตากวาดไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่ผ่านประตูรั้วอัลลอยขนาดใหญ่ซึ่งมียามรักษาความปลอดภัยเปิดให้ เข้ามาตามถนนคอนกรีตผ่ากลางสนามหญ้าผืนมหึมา จวนเจียนจะถึงตัวคฤหาสน์แล้ว เขายังไม่เห็นผู้ใดอีกเลย
ไม่ผิดหรอก ก็นี่มันหน้าบ้าน
คำพูดของปริวรรตทำให้เศรษฐ์เลิกคิ้วขึ้นสูง
ยังไงกัน
ปริวรรตไม่ตอบ หากพยักพเยิดให้คนสงสัยขับรถอ้อมตัวคฤหาสน์ไปทางด้านหลัง แล้วดวงตาของเศรษฐ์ก็เบิกโพลง เมื่อเห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้าน
สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ว่ากว้างใหญ่แล้ว บริเวณที่จัดเป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจยังกว้างขวางไม่ต่ำกว่าสองเท่า
โอ้โห... คนเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรกอุทาน นี่มันบ้านหรือสวนสาธารณะกันแน่
แล้วเศรษฐ์ก็ขับรถไปยังลานจอดซึ่งมีรถยนต์ของผู้มาร่วมงานจอดอยู่บ้างแล้ว หากเมื่อโฟล์คเต่าหยุดสนิท แทนที่เขาจะเปิดประตูลงมา กลับนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่
ปริวรรตพอเดาออกว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร จึงตบบ่าเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
ไป... เข้าไปในงานกันเถอะ มาด้วยกันจะไปหวั่นอะไรเล่า
คนนั่งถอนหายใจทำสมาธิอยู่อีกสักพักก็ตัดสินใจก้าวลงจากรถ ก้มมองชุดลำลองเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีครีม กางเกงสแล็คสีน้ำตาลของตัวเองแล้ว ไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไร ว่าจะเหมาะสมกับงานและสถานที่หรือไม่
ปริวรรตเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ ผายมือทั้งสองเข้าหาตัวเองให้เพื่อนดูว่าชุดของเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปกว่ากันเลย
--- มีต่อ --->
จากคุณ |
:
นายตั๋ม เจ้าสำราญ (คั่วกลิ้ง)
|
เขียนเมื่อ |
:
1 พ.ย. 55 10:19:59
|
|
|
|