Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 4 “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่ 1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html
ตอนที่ 3 “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 4 “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ”

เช้าวันต่อมาผมไปเยี่ยมหน่องเหมือนเช่นเคย วันนี้เข้าสู่วันที่ 3 แล้ว แต่ผมไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ทันทีเหมือนเมื่อวาน วันนี้คนตรึมเลย เป็นเพราะฤกษ์ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนคนมาคลอดลูกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายหลายคนเลย ผมทำได้อย่างเดียวคือต้องรอครับแต่ก็ไม่นานมาก รอประมาณ 40 นาทีก็ได้เข้าไปเยี่ยมหน่อง บังเอิญเป็นจังหวะที่หน่องกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพยาบาลอยู่พอดี มันทำให้ผมเห็นความลำบากที่ภรรยาตัวเองต้องประสพอยู่ สิ่งที่หน่อยเคยสามารถทำได้เอง กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้นเพราะมีปัจจัยที่ห้ามไม่ให้หน่องลุกจากเตียง และต้องพยายามอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายสุดๆ คือไม่ต้องขยับตัว ไม่ทำอะไรเลยยิ่งดี ไม่เว้นแม้แต่กิจวัตรประจำวันที่มนุษย์เราต้องทำเป็นปกติ นั่นคือการปวดเบาครับ

หน่องมีอาการปวดเบาในช่วงที่ผมกำลังเข้ามาเยี่ยมพอดี หน่องมีการกดออดเรียกพยาบาลเข้ามาช่วยทันที ก็อย่างที่ผมบอกไว้ก่อนแล้วละครับว่า คุณหมอสั่งให้หน่องนอนเฉยๆพักเยอะๆ นั่นก็หมายความว่า กิจกรรมใดๆหรือจะทำธุระส่วนตัวก็ห้ามลงจากเตียง ถ้าหน่องปวดเบาหน่องก็ต้องจัดการมันทั้งที่นอนอยู่บนเตียงนั่นละ โดยที่ทางพยาบาลจะรู้งานมากๆ ในกรณีของการปวดเบา ทางพยาบาลก็จะรีบไปเตรียมกระโถนสแตนเลสที่มีรูปร่างแบนๆ มารองไว้บนเตียง โดยพยาบาลจะค่อยๆพยุงตัวหน่องขึ้นเพื่อสอดโถไปรองไว้ที่ก้นของหน่องซึ่งต้องค่อนข้างระวังนะครับเพราะอย่าลืมว่าหน่องไม่ควรเกร็งหน้าท้อง มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดอาการท้องแข็งได้ ดังนั้นพยาบาลก็ต้องมีทักษะในการพยุงคุณแม่พอสมควรเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการพยุงผิดท่าได้ หลังจากนั้น พอหน่องลงมือปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้นเรียบร้อย ทางพยาบาลจะช่วยในการเช็ดทำความสะอาดทั้งคนทั้งโถให้หมด

ที่นี่คือห้องคลอดพิเศษ เป็นสถานที่สำหรับการคลอดธรรมชาติของคุณแม่ ความสะอาดของที่นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก พอผมเดินเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความสะอาดของที่นี่ ก็ดีนะครับ ทำให้เรารู้สึกดีและมั่นใจกับกฎระเบียบของห้องคลอดพิเศษมาก เพราะถ้าลูกผมได้มีโอกาสคลอดที่นี่ ผมก็มั่นใจได้เลยว่า ความสะอาดของที่นี่ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนในความรู้สึกของผมเองคือ ความเป็นส่วนตัวของหน่องเองแทบจะหมดไปเลย ไม่เว้นแม้แต่เรื่องง่ายๆแค่ปวดเบา หน่องก็ไม่สามารถทำเองได้ ผมอยากให้ผู้อ่านลองนึกง่ายๆ ว่า คุณเคยไหม มีใครไม่รู้ไม่ใช่ญาติ ไม่รู้จักกันมาก่อน มาจับขาจับก้นจับหน้าท้องคุณเพื่อสอดโถสแตนเลสเข้าไปใต้ก้นของคุณ  ความเย็นเฉียบของโถสแตนเลสที่พอมันสัมผัสกับผิวหนังเราแล้วมันทำให้เรารู้สึกเย็นวาบได้ และพอถึงตอนที่คุณต้องปลดปล่อยภารกิจของคุณไปก็มีคนยืนรอทำความสะอาดให้คุณอยู่ และคนๆนั้นก็เอาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดทุกส่วนที่อาจจะเลอะจากการปฏิบัติภารกิจได้ ทั้งๆที่โดยปกติเรื่องเหล่านี้ เราคงไม่ค่อยให้ใครคนอื่นมาสัมผัสกันนักหรอก โดยเฉพาะตรงนั้นของคุณเอง ถึงแม้จะรู้และเข้าใจว่า มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อลูกน้อยของเราเองก็ตาม แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจนะครับว่า ถ้าคุณต้องเจอแบบนี้ทุกวัน วันละหลายรอบ คุณจะรู้สึกดีกับมันไหมครับ

หลังจากที่หน่องได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ผมถึงได้มีโอกาสเยี่ยมหน่องเสียที หน่องเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนได้หลับยาวเลย ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นนะว่า หน่องน่าจะดีขึ้นแล้วจริงๆ  ดีแล้วละพรุ่งนี้คงได้กลับบ้านตามที่หวังไว้  และโชคดีจริงๆ เป็นจังหวะที่คุณหมออนุวัฒน์ได้เข้ามาเยี่ยมอาการหน่องพอดี

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง” คุณหมอถาม

“นอนจนเมื่อยแล้วค่ะ” หน่องตอบพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย

“อาการขณะนี้ดูดีนะ ไม่แข็งถี่ๆแล้ว” คุณหมอบอก

“แต่เมื่อวานนี้เห็นหน่องท้องแข็งมากเลยนะครับ” ผมรีบพูดเสริมด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่อาการท้องแข็งทุกๆหกนาที มันต้องมีท้องแข็งบ้าง มันเกิดได้ เป็นเรื่องธรรมดา และก็มีเมื่อวานนั่นละที่อาการท้องแข็งค่อนข้างสูงอยู่ระยะนึง แต่หลังจากนั้นก็มีแค่ท้องแข็งแบบเบาๆเท่านั้นเอง” คุณหมออธิบายสบายๆ

“ถ้าอาการแบบนี้ เอาไหม เดี๋ยวหมอจะให้ลดยาดู อาการดีขึ้นแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องให้ยาเยอะๆหรอก ถ้าเป็นแบบนี้พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับบ้านได้” คุณหมอถามหน่องในแนวหยั่งเชิง

“ลดเลยค่ะ หน่องโอเคแล้ว หน่องอยากกลับบ้าน” หน่องรีบตอบทันที ด้วยสีหน้าสดชื่น

“ตอนนี้ให้ยาอยู่ที่ 30 เดี๋ยวหลังทานข้าวปรับเป็น 20 เลยนะ” คุณหมออนุวัฒน์บอกหมอโบว์กับหมอปานวาดที่อยู่ประจำวอร์ทนี้

“แล้วต้องลดถึงตัวเลขไหนถึงกลับบ้านได้ค่ะ” หน่องถามคุณหมอ

“ประมาณ 5 - 10” คุณหมอตอบ

“’งั้นก็นิดเดียวเองไม่น่ามีปัญหา พรุ่งนี้เช้าก็ลดอีก 10 พรุ่งนี้เย็นก็น่าจะกลับบ้านได้ ใช่ไหมค่ะคุณหมอ” หน่องตอบแบบสรุปเองเออเอง

ผมแอบขำในวิธีการซักถามตามสไตล์ของหน่อง โดยปกติหน่องจะเป็นแนวสดใสร่าเริงดูมีความสุขพูดคุยกับผู้คนได้ทั้งวัน แต่พอเข้าโหมดทำงานหน่องจะจริงจังมาก ชอบเอามาคิด เอามาเตรียมงานที่บ้านอยู่บ่อยๆ ต่อหน้าคนอื่นดูเรื่อยๆไร้สาระบ้าง แต่สิ่งที่ผมเห็นตัวตนของหน่องเป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นเห็นความสามารถของตัวเองที่มีอยู่ ก็จะตั้งใจมาก และมันก็คงมีบ้างที่วิธีการทำงานบางอย่างจะมาติดพันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตส่วนตัวไปด้วย ตราบใดที่มันไม่มากเกินไปมันก็คงไม่เป็นไร

“คุณเองก็ต้องพักผ่อนด้วยนะ ยาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ส่วนสำคัญที่สุดคือตัวคุณเอง กลับไปบ้านได้ยังคงต้องดูแลตัวเอง เพื่อไม่ให้มีอาการท้องแข็งอีก” คุณหมอตอบกลับอย่างอารมณ์ดีและทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย

ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างที่จะชื่นชอบวิธีการตอบของคุณหมอมาตั้งแต่ตอนที่หน่องตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์แล้ว ด้วยความที่เราทั้งคู่มือใหม่มากๆสำหรับเรื่องนี้ ตอนที่เราได้ใช้ที่ตรวจครรภ์มาทดสอบ พอเห็นแถบสีปรากฏชัดเจนมากๆ 2 แถบเราก็รีบมาหาคุณหมอทันที เพื่อให้แน่ใจว่าหน่องท้องแน่ๆหรือเปล่า

“ก็ตรวจมาแล้วไม่ใช่หรือ ....... ก็ตามนั้นละ”  คุณหมอตอบพร้อมอมยิ้มเล็กๆ

“การตรวจก็ใช้วิธีการเดียวกัน นั่นหมายความว่าถ้าคุณเห็นแถบสีปรากฏชัดเจนก็แสดงว่าตั้งครรภ์แน่นอน ไม่ต้องเสียเงินไปตรวจเพิ่มหรอก ”  คุณหมออธิบาย

ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านั้นเรามีแผนการจะไปเที่ยว เชียงใหม่ เชียงรายกันในอาทิตย์ถัดไปพอดี แต่ดันกลับกลายเป็นว่าหน่องตั้งครรภ์ขึ้นมาซะก่อนไปเที่ยว ซึ่งเราก็ได้รับคำเตือนเรื่องสามเดือนแรกเป็นสามเดือนที่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเพราะมีความเสี่ยงจากการแท้งนั่นเอง การแท้งมากกว่าร้อยละ 80 พบในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าตัวเล็กของคุณเพิ่งเริ่มจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้เราทั้งคู่ในเวลานั้นเกิดความไม่แน่ใจว่าเราควรจะไปเที่ยวดีไหม

แต่ด้วยความงกที่ได้จองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน รถเช่าไว้หมดแล้ว แถมผมก็ชวนอ๋อง เพื่อนซี้ไปเที่ยวด้วยกันด้วย ซึ่งเพื่อนอ๋องก็ปฏิเสธคณะท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเพื่อมาเที่ยวด้วยกันเต็มที่ จะให้ยกเลิกไม่ไปก็ยังไงอยู่ ปนกับความอยากเที่ยวที่มีอยู่เป็นทุนเดิม เราก็เริ่มมองกันว่า ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไปปรึกษาเพื่อนอ๋องของผมด้วยว่าโอเคไหม เพื่อนอ๋องมันก็แสนใจดีบอกว่า ก็ได้ ไปเที่ยวก็ระวังหน่อย เดี๋ยวจะขับรถช้าๆให้ ก็น่าจะโอเค

จนกระทั่งเรามาพบคุณหมออนุวัฒน์เพื่อฝากครรภ์นี่ละที่เปลี่ยนความคิดของเราไปเลย

“มีธุระสำคัญหรือเปล่า ถึงต้องไป” คุณหมอถาม

“ไปเที่ยวค่ะ จองไว้นานแล้วแต่ไม่รู้ว่าหน่องนั่งเครื่องบินได้ไหม มีผลกระทบอะไรกับลูกหรือเปล่า” หน่องตอบ

“ปกติช่วงสามเดือนแรกก็ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ   ถ้าถามว่านั่งเครื่องบินได้ไหม........นั่งได้อยู่แล้วไม่เป็นอะไรหรอก แต่คุณไปแบบนี้คุณก็ต้องระวังตลอดการเดินทางเลยนะ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ไปแวะที่ไหนบ้าง สภาพถนนเป็นยังไง ทุกอย่างที่คุณทำมีความเสี่ยงทั้งนั้นละ” คุณหมอตอบ

คุณเลือกที่จะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงก็ได้นะ ถ้าคุณทั้งคู่อยากไปก็ต้องยอมรับความเสี่ยงได้” คุณหมอตอบด้วยความใจเย็น

“ก็เราจองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว” หน่องอธิบาย

“แล้วคุณคิดว่าคุ้มไหมกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น” คุณหมอตอบ

“คุณมีเวลาเที่ยวอีกเยอะ ไม่ใช่หรือ” คุณหมอตั้งคำถามให้ตอบเอาเอง

และนั่นคือคำตอบสุดท้ายครับ ผมตัดสินใจทิ้งตั๋วเครื่องบินไปหนึ่งใบ ............... ใช่ครับแค่หนึ่งใบเพราะผมยังคงไปเชียงใหม่ เชียงราย กับเพื่อนอ๋องของผมโดยให้หน่องพักอยู่ที่กรุงเทพก่อน เราเห็นตรงกันว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะผมไม่ต้องการให้เพื่อนผมผิดหวัง ปนกับความงกเล็กน้อยของพวกเรา แต่หน่องก็มีเงื่อนไขนะ เงื่อนไขของหน่องมีง่ายๆ คือ ให้ถ่ายรูปมาให้หมดว่าไปไหนมาบ้างถึงหน่องไม่ได้ไป แต่พี่ก็ต้องถ่ายรูปมาให้หน่องดู

พอไปถึงที่เชียงใหม่จำได้ว่า ผมไปนั่งอยู่ที่ร้าน Mont Blanc Patisserie ติดถนนนิมมานเหมินทร์ นั่งกินกาแฟและเค้กกับเพื่อนอ๋อง แล้วก็ถ่ายรูปของกินขึ้น Facebook บอกว่า “แอบหนีภรรยา มานั่งชิลล์ชิลล์ที่เชียงใหม่” เท่านั้นละครับ สาวกคนรักหน่องก็กระหน่ำเข้ามาใหญ่เลยว่า

“ทำไมไม่พาภรรยาไปด้วย”

“กล้านะเนี่ย”

“โอ๊ะโอ.....”

“บอกว่าหนีภรรยามาชิลที่เชียงใหม่ แต่มีอาหารสองชุดหมายความว่า....!!???”...............................

แหม! ไปกันใหญ่เลย ก็อย่างว่าละ ปกติผมกับภรรยาไปไหนเราไปด้วยกันตลอด ก็เลยมีฮือฮากันบ้าง  และเราก็ไม่ได้บอกใครในช่วงนั้นเลย เพราะเราเองยังไม่อยากบอกใครในทันที เราตั้งใจไว้ว่าประมาณ 3 เดือนแล้วเราค่อยบอกให้ทุกคนรู้ว่า "หน่องกำลังจะมีน้องแล้ว"

.............................. แล้วเสียงของหน่องดังขึ้น ทำให้ผมหยุดคิดโน้นคิดนี่

“พรุ่งนี้พี่ตี้อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้ามาให้หน่องด้วยนะ จะได้กลับบ้านด้วยเสื้อผ้าใหม่” หน่องบอกด้วยน้ำเสียงที่ดีใจจะได้กลับบ้าน

“เดี๋ยวคืนนี้พี่จะเตรียมไว้ให้” ผมตอบด้วยความรู้สึกเดียวกัน

จากนั้นคุณหมอก็ออกไปจากห้องเพื่อตรวจคนไข้ห้องอื่นต่อ ทางพยาบาลก็เริ่มมาเหล่ผมเป็นนัยยะว่า ผมก็หมดเวลาเยี่ยมแล้วเช่นกัน

“จริงๆแล้ววันนี้พี่กลับเร็วหน่อยก็ได้นะ ไม่ต้องมารออยู่ข้างนอกหรอก รอไปหน่องก็ไม่เห็น” หน่องเสนอ

ผมมองหน้าหน่องด้วยอาการเคืองเล็กๆก่อนจะตอบว่า “ไม่ต้องให้พี่รีบกลับหรอก พี่ก็นั่งเล่นอยู่ข้างหน้านี่ละ วันนี้พี่ไม่อยู่ถึง สองสามทุ่มหรอก เย็นๆพี่ก็กลับเองแหละ เผื่อหน่องนึกอะไรได้ พี่จะได้เอามาให้หน่องพรุ่งนี้ไง”

“พี่ตี้  หน่องจะได้กลับบ้านแล้ว ”หน่องบอกด้วยความรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกอีกครั้ง

“หมอบอกเองนี่ หน่องก็พักผ่อนก่อน ทำใจให้สบาย” ผมก็โผเข้ากอดหน่องให้หน่องรับรู้ว่าหน่องไม่ต้องห่วงอะไร

“ไปละ โดนเหล่อีกแล้ว” ผมพูดขำๆให้หน่องรู้ว่า กำลังโดนพยาบาลกดดันด้วยสายตาอยู่

ส่วนผมก็รออยู่ข้างนอกตามเดิม สักพักคุณแม่หน่องก็มาถึงและจัดเตรียมอาหารมาให้หน่องด้วย  ท่านได้เข้าไปเยี่ยมหน่อง  ส่วนผมก็ยังรออยู่หน้าห้องนั่นล่ะ จนกระทั่งคุณแม่หน่องกลับบ้านไป  จนถึงเย็นๆผมจึงกลับบ้าน คืนวันนั้นผมกลับถึงบ้านไป จัดเตรียมของทุกอย่างให้หน่องตามที่หน่องบอก ด้วยความอ่อนล้าจากการนอนน้อยมาสองคืนติดกัน ทำให้คืนนั้น ผมหลับสนิทมาก รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว

วันต่อมา.....วันที่สี่ของหน่องที่ศิริราช มันเป็นวันอาทิตย์ คนน้อยลง ผมหาที่จอดรถได้ง่ายขึ้น ในใจก็คิดว่า “โชคดีจัง จอดรถได้ตรงนี้เวลาพาหน่องมาที่รถก็สะดวกดี ไม่ลำบาก“  เนื่องจากวันนี้ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นวันที่ผมจะได้พาหน่องกลับบ้าน  แต่วันนี้นี่เองที่ทำให้ผมได้รู้ว่า นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น อะไรๆจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ห้องนอนของผมก็จะเป็นห้องที่ไม่มีหน่องนอนต่อไปอีกนาน และบทพิสูจน์ของความรักที่แม่มีต่อลูกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วอย่างจริงจัง

ผมตรงไปที่อาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีฯชั้นแปด แผนกห้องคลอดพิเศษเหมือนสองสามวันที่ผ่านมา ซึ่งผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เหมือนเมื่อวาน  มันก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่  แต่ผมรอจนถึงเที่ยงก็ยังไม่ได้เยี่ยม ทั้งๆที่มันเป็นวันอาทิตย์ และคนไข้ก็ดูบางตา  เอ มันก็ไม่น่าจะนานขนาดที่ผมยังเข้าเยี่ยมไม่ได้สักที ผมอดทนรอไม่ไหว เลยลุกไปกดออดติดต่อหน้าห้องคลอดพิเศษ เพื่อติดต่อขอเข้าเยี่ยมหน่องทันที  

“คุณแม่มีอาการท้องเกร็งอีกค่ะ ขณะนี้เรากำลังดูอาการอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องห่วงนะคะ” พยาบาลอธิบาย

“แต่ยังให้คุณพ่อเยี่ยมไม่ได้นะคะ ยังไงคุณพ่อรอก่อนนะคะ เดี๋ยวคงได้เยี่ยมค่ะ” พยาบาลตอบผมอย่างสุภาพ

พยาบาลเดินกลับเข้าไป ทิ้งให้ผมเฝ้ามองดูจากด้านนอกอีกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มกลับไปเหมือนเดิม ผมมองจากด้านนอกเข้าไปที่บริเวณที่ห้องหน่องอยู่ ผมเริ่มสังเกตเห็นแต่คนใส่ชุดอนามัยสีเขียว เข็นอุปกรณ์เดินเข้าออกไปมาตรงห้องนั้นตลอด

“เอาอีกแล้ว ทำไม ทำไม ทำไม !!!!!!!!!!!!!!” ผมบ่นพึมพำและหงุดหงิดกับอารมณ์ของตัวเองด้วยความไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“นี่ผมเตรียมเสื้อผ้าให้หน่องมาใส่กลับบ้านด้วยนะ หน่องดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อวานอาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ ลดยาแล้วนี่ แล้วทำไมไม่ให้เยี่ยม ทำไมผมเห็นแต่คนใส่ชุดอนามัยสีเขียวเดินเข้าออกห้องหน่อง” ความสับสนวุ่นวายในใจของผม มันพุ่งพล่านไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย

ผมต้องอดทนรอคอยอีกเป็นชั่วโมงได้  ในที่สุดคุณหมอก็เดินออกมา ผมเดินเข้าไปสวัสดีคุณหมอพร้อมยืนรอฟังสิ่งที่คุณหมอจะบอก

“คุณแม่มีอาการท้องเกร็งอีกแล้วนะ มีอัตราการเกร็งค่อนข้างสูงมาก” คุณหมอบอก

“ครับ” ผมตอบพร้อมกับตั้งใจฟังสิ่งที่คุณหมอกำลังจะพูดต่อ

“ตอนนี้ร่างกายของคุณแม่สามารถจับลักษณะทางอารมณ์ที่คุณแม่เป็นได้แล้ว” คุณหมอเล่า

“หมายความว่ายังไงครับ” ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หมายความว่า ร่างกายคุณแม่สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ถ้าคุณแม่มีอาการไม่ว่าจะตื่นเต้น ดีใจ เสียใจ โมโห ที่มากไปเพียงนิดเดียว ร่างกายก็จะส่งความรู้สึกนี้ ตอบสนองออกมาเป็นอาการเกร็งหน้าท้องอย่างที่เห็น ซึ่งมันคืออาการมดลูกบีบตัวนั่นเอง”  คุณหมออธิบาย

“ปกติร่างกายคนเรา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพอารมณ์ลักษณะนี้โดยง่าย นั่นหมายความว่าปกติคนเรา มดลูกจะไม่บีบตัวบ่อยขนาดนี้ แต่ขณะนี้ร่างกายของคุณแม่เริ่มจับ Pattern แบบนี้ได้แล้วร่างกายจะ Conform ปฏิกิริยาตอบสนองออกมา ก็จะทำให้อาการมดลูกบีบตัวเป็นได้ง่ายขึ้น ถี่ขึ้น ดังนั้นการใช้ยาควบคุมด้วยจึงเป็นสิ่งจำเป็น” คุณหมออธิบายรายละเอียด ในขณะที่ผมรับฟังอย่างกังวล

“ด้วยอาการของคุณแม่ หมอจึงมีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นของยาคลายมดลูกเกร็งตัวโดยเพิ่มยาจากปกติที่ให้ 30ไปที่ 60” คุณหมออธิบายเป็นลำดับ

“เมื่อวานนี้ลดเหลือ 20 แล้วไม่ใช่หรือครับ” ผมถาม

“ใช่แล้ว เมื่อวานมีการลดยาให้คุณแม่ แต่ด้วยอาการที่เกิดขึ้นวันนี้ หมอก็ต้องให้ยาเพิ่มขึ้นเพื่อลดอาการบีบตัวของมดลูกก่อนเพราะมันจะมีผลกับการบาง และการขยายตัวของปากมดลูก” คุณหมอบอก

“วันนี้หน่องคงไม่ได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมครับ” ผมถามเข้าประเด็น สีหน้าผมคงดูเศร้า

“ให้คุณแม่อยู่ที่นี่ดีกว่า ที่นี่มีคนดูแลเยอะ” คุณหมอตอบ ยิ้มอย่างเห็นใจ

“อาการท้องเกร็งของคุณแม่เกิดจากทุกอารมณ์ที่คุณแม่แสดงออก  จากนี้ไปคุณแม่ต้องไม่เสียใจมากเกินไป ตื่นเต้นมากเกินไป ดีใจมากเกินไป หรือโมโหมากเกินไป” คุณหมอสรุปสั้นๆ

“หน่องต้องอยู่นานแค่ไหนครับ”  ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ

“อย่าไปคิดถึงตรงนั้น อยู่ไปเรื่อยๆ ให้สบายใจก่อน ไม่เครียด ให้อาการดีขึ้นก่อน”  ฟังคุณหมอตอบแบบนี้ ผมก็ประเมินได้แล้วว่า งานนี้ยาวแน่ๆ

“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวคุณแม่เอง คนใกล้ชิดจะมีผลต่ออารมณ์คุณแม่แน่นอน คุณต้องทำให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายนะ เพื่อไม่ให้มีการแสดงออกทางด้านอารมณ์มากจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดอาการเกร็งขึ้นมา”  คุณหมอย้ำถึงความสำคัญที่มาคุยกับผมก่อน

จากนั้นคุณหมอก็อนุญาตให้ผมเข้าไปเยี่ยมหน่องได้ ระหว่างที่ผมต้องสวมชุดอนามัยสีเขียวและเปลี่ยนรองเท้าอยู่ ทุกๆอย่างดูเหมือนชาๆ ตื้อๆ ไปหมด ความคิดอันแสนวุ่นวายแล่นเข้ามาอีกแล้ว ผมจะแสดงสีหน้ายังไงดี ผมจะพูดอะไรที่ทำให้หน่องรู้สึกแย่ไปกว่านี้หรือเปล่า ผมรู้ดีว่าหน่องไม่อยากมาพักอยู่ที่โรงพยาบาลหรอก หน่องอยากกลับบ้าน มันเป็นสิ่งที่ผมรู้ดีแกใจเลยว่า หน่องต้องเสียใจมากแน่ๆเมื่อรู้ว่า ตัวเองไม่ได้กลับบ้าน  ผมต้องบอกกับตัวเองให้เข้มแข็งและมีสติกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เราอยู่ในสถานะที่จะช่วยให้หน่องสบายใจขึ้น  ผมต้องไม่เครียดไปอีกคน  ผมต้องเป็นกำลังใจให้หน่องจริงๆ  คิดไปคิดมา ผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องหน่องแล้ว ผมสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนลมหายใจออกช้าๆ  มือจับอยู่ที่ประตูสักครู่ จากนั้นเปิดประตูเข้าไปหาหน่อง ...........................

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 5 “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 15:15:23

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 15:04:12




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com