"หม่อมฉันก็แค่...ทูลถามดูเท่านั้นเพคะ อย่าได้ถือสาเลยเพคะ" ดวงพักตร์หวานจึงค่อยคลี่คลายความบึ้งตึงลง และแย้มสรวลละมุนละไมออกมา
"เจ้าเหงารึ?"
"ก็แค่...คิดถึงเสด็จพี่เท่านั้นแหละเพคะ มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดอย่าได้กังวลเลยเพคะ"
"ถ้าเช่นนั้นไปชมตลาดล่างนอกราชวังบ้างดีไหม? แม้ไม่สวยสะอาดเท่าตลาดบน แต่ก็มีหลายสิ่งแปลกตาให้เลือกดูได้ไม่น้อย"
คำแนะนำนั้นฟังดูประหลาดนัก โดยราชประเพณีแล้วสาวชาววังโดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์มิค่อยได้เสด็จออกไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นั้นเป็น "ตลาดล่าง" หรือตลาดชาวบ้านนั่นอง ตลาดนี้ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือริมแม่น้ำสามคดฝั่งตรงกันข้ามกับพระบรมมหาราชวัง ยามปกติแล้วนางข้าหลวงกำนัลที่ทำให้ที่ในห้องเครื่อง มักจะหาซื้อผักปลาจากตลาดบนอันเป็นตลาดหน้าเมืองที่อยู่ในขอบรอบรั้วเวียงแก้ว ตั้งห่างจากด่านประตูวังไม่มากนัก ผักผลไม้และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากถูกขนขึ้นเรือมาส่งยังตลาดก่อนฟ้าสางของทุกๆ วัน นานๆ สักคราหญิงชาววังจึงจะออกไปนอกเขตรั้วพระราชฐาน มหิตาเทวีจึงแปลกพระทัยยิ่งนักกับถ้อยดำรัสของพระสวามี
"การออกไปข้างนอกก็ทำให้เราได้เห็นชีวิตชาวเมืองบ้าง ว่านี่คือมนุษย์...เอ้อ...ประชาชนในปกครองของเรา การได้แลเห็นความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นด้วยตาตนเอง ย่อมดีกว่าฟังคำบอกเล่าของเสนาอำมาตย์นัก การเดินทางก็มิได้ลำบากลำบนดอก แค่ข้ามเรือไปเท่านั้นเจ้าพากุสุมาลย์กับศรีดาราและนางอื่นไปเป็นเพื่อน แต่อย่าให้เอิกเกริกนัก"
'ตานี่บ้าหรือเปล่า? มหิตาบอกว่าเหงาให้อยู่ติดบ้านบ้าง ดันบอกให้ไปตลาดแทน'
เคียงฟ้าฟังแล้วต้องขมวดคิ้วให้ยุ่ง ไม่อาจเข้าใจรับสั่งของนาคเจ้าได้ ว่าบัดนี้หทัยทั้งดวงทุ่มเทให้กับการดูแลชาวประชาจุมภะปุระ นคราอันเป็นแผ่นดินประทานจากพระบิดาพญามหิทธราบดีนาคราช
"เที่ยวชมตลาดล่าง คงจะช่วยให้เจ้าหายเบื่อได้บ้างกระมัง...เห็นกุสุมาลย์บอกว่าระยะนี้เจ้าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก กระทั่งนางยังเข้าหน้าไม่ติด"
"พี่กุสุมาลย์บอกหรือเพคะ? นางทูลเสด็จพี่เมื่อใด?" พระชายาคาดคั้นขึ้นมาทันที
"ก็ความเป็นอยู่ของเจ้าทุกประการล้วนเป็นหน้าที่ของนางนี่ เมื่อครู่ก่อนเข้ามาเราพบนางในอุทยานที่หน้าตำหนักนี้เอง"
ผู้ไม่มีชะนักใดติดกายก็ย่อมบอกเล่าได้คล่องชิวหามิมีติดขัดไม่ เจ้าของวรกายทรงสง่าและดวงพักตร์งามปานสลักเสลาก็เช่นกัน ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลไปในขณะที่เอ่ยถึงนางกำนัลคนโปรดของชายาแห่งองค์
"อย่าได้หงุดหงิดเจ้าโมโหโทโสนักเลย ครั้งก่อนนี้นางก็เจ็บตัวเพราะเจ้านี่แผลยังไม่ทันทุเลาเลย อย่าเพิ่งหาเรื่องปวดหัวให้นางนัก"
"หม่อมฉันทำอันใดเล่าเพคะ? ตรัสเหมือนหม่อมฉันเป็นเด็กน้อยจนพี่กุสุมาลย์ต้องไปฟ้อง...แล้วไฉนจึงไม่บอกกล่าวแก่หม่อมฉัน ไยจึงต้องไปลอบฟ้องเสด็จพี่กันเล่า" มหิตาเทวีมีสีพระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาทันที
"ทะเลาะอันใดกับกุสุมาลย์หรือเปล่า?"
"นางทูลฟ้องอันใดเสด็จพี่กันเล่าเพคะ...ถึงได้ทรงตำหนิหม่อมฉันเช่นนี้ ? "
ทรงยั้งโอษฐ์ไว้ว่าทอดพระเนตรเห็นกุสุมาลย์ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ และพระสวามีก็ปลอบประโลมนางด้วยท่าทีอันสนิทสนมนัก ด้วยความกริ้วจึงมิได้เรียกสรรพนามแทนตัวนางคนโปรดว่าพี่เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
"แล้วเจ้าทำสิ่งใดให้นางฟ้องเราได้รึเด็กน้อย?" ยิ่งเห็นสีพระพักตร์พระชายาก็ยิ่งทรงนึกขำ ราวกับเห็นเด็กน้อยกำลังแง่งอนจนนวลปรางแดงใส
"หม่อมฉันมิได้กระทำสิ่งใดเสียหน่อย...."
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว...เราก็ว่าเรามิเคยจำได้เช่นกันว่า....ได้เอ่ยจะยกกุสุมาลย์ให้เป็นเมียผู้ใด"
พระขนงเข้มเรียงตัวงดงามขมวดขึ้นมาบ้าง เมื่อทรงผินพักตร์มาถามมหิตาเทวี ทำเอาพระชายาทรงนิ่งอึ้งไป ส่วนเคียงฟ้าได้แต่มองคนทั้งคู่สลับกันไปมา และเริ่มที่จะนั่งลงใกล้แท่นบรรทมรอฟังความบ้าง
"เสด็จพี่เรื่องนี้...."
"หากให้นางออกเรือนไปกับผู้อื่น มิได้อยู่ถวายการรับใช้เสียแล้ว เจ้ามิเหงาแย่รึน้องพี่?" มหิตาเทวีมิได้ตอบได้แต่ก้มพักตร์นิ่งอึ้ง จนพระสวามีต้องตรัสถามซ้ำ
"มหิตาแน่ใจแล้วหรือว่าประสงค์ดังนี้? กุสุมาลย์รับใช้เจ้ามาเนิ่นนาน ยากยิ่งจะหาคนรู้ใจเจ้าได้เท่านาง"
คำถามที่ทรงหยิบยื่นให้นั้นมิได้ตำหนิพระชายาแต่อย่างใด คล้ายว่าตรัสถามด้วยความห่วงไย ในขณะที่พระชายาสดับฟังแล้วกลับยิ่งว้าวุ่นสับสนพระทัยนัก ด้วยในดวงหทัยยามนี้มีหมอกควันอันคลุมเครืออัดแน่นอยู่ และพลังอำนาจของจิตฝ่ายต่ำนั้นมีอิทธิฤทธิ์รุนแรงเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิดถึง
"หม่อมฉันเพียงแต่เสียดาย...พี่กุสุมาลย์งดงามออกเพียงนี้ หากต้องมาเก็บซ่อนตัวที่ตำหนักเพื่อรับใช้หม่อมฉันเท่านั้นล่ะก็....เกรงว่าจะเป็นการปิดโอกาสของนาง" หลังทรงเงียบอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็ตรัสตอบออกมาได้
"แต่ความสุขของกุสุมาลย์มิใช่การเป็นออกเรือนกับบุรุษมียศฐาใหญ่โตไม่ อีกทั้ง...อายุอานามขนาดนี้คงหาคู่ที่เหมาะสมคู่ควรกันนั้นคงยากยิ่ง มีเพียงแต่ต้องแต่งไปเป็นเมียรอง...หรือนางห้ามของผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น เรื่องนี้เจ้าได้ถามความเห็นนางหรือยัง?"
"....มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เปรยปรึกษากับพี่ศรีดาราดู ยังไม่ได้เห็นชอบเรื่องนี้แต่อย่างใดเพคะ" ตรัสตอบไม่เต็มสุรเสียงนัก
"อ้อ! งั้นแม่ม้าศรีดาราคงตกอกตกใจ จนรีบโหนโยนทะยานไปบอกกุสุมาลย์ โดยมิทันได้ถามไถ่เจ้าให้แน่ชัดสินะ" เสียงถอนหทัยดังขึ้นมาพร้อมๆ ภูวิษะเจ้ากับส่ายพระพักตร์ด้วยความหน่ายหทัย
"...ฟังความยังมิทันครบจบกระบวนดี ก็บอกเล่ากันไปเสียใหญ่โต...เฮ้อ"
"อย่าโทษพี่ศรีดาราเลยเพคะ หากกริ้วก็ตำหนิหม่อมฉันเถิดเพคะ เป็นหม่อมฉันเองที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่รอบครอบ ทำให้พี่กุสุมาลย์เสียใจร้อนถึงเสด็จพี่ไปด้วย"
ถ้อยดำรัสนั้นแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำฤทัย หากแต่พระสวามีมิทันได้ฉุกคิด พระองค์เห็นเป็นเพียงเรื่องของการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนกระบวนความ จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปเท่านั้น
"ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็สบายใจ หากไม่มีสิ่งใดแล้วก็เข้านอนกันเถิด...วันนี้เราเหนื่อยนัก พรุ่งนี้ก็ต้องไปเฝ้าพระแม่เจ้าแต่รุ่งสาง ทรงดำริจะทำพิธีบวงสรวงใหญ่ถวายพระบิดาเรา...เอ้อ...พญามหิทธราบดีนาคราช ที่ทรงบันดาลชัยชนะแก่จุมภะปุระ พรุ่งนี้เราคงต้องไปเฝ้าถวายอาหารให้เจ้าจิตตะด้วยอีกคน...ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
ตรัสแล้วก็ทรงเผลอส่งสุรเสียงสรวลออกมาเสียเอง เมื่อดำริไปถึงงูเผือกตัวใหญ่ที่นาคาสถานแล้วก็อดขำมิได้ นาคเจ้าคาดว่าเจ้าจิตตะคงทำหน้าเหรอหราให้ขบขันเมื่อพบว่าเป็นผู้ใดมาทำการบวงสรวง และคงรีบตรงรี่เข้ามาหาเป็นแน่แท้ หากเป็นยามปกติแล้วมหิตาเทวีคงจะสรวลตามด้วยความขบขัน แต่ยามนี้ในพระทัยถูกหมอกอันมัวสลัวปกคลุมดวงฤทัยเสียจนหม่นหมอง จึงได้แต่แย้มโอษฐ์เล็กน้อยยิ้มรับเท่านั้น
เมื่อมิมีความใดแล้วพระองค์จึงเสด็จเข้านิทราไป ปล่อยทิ้งให้หญิงสาวต่างชาติภพสองนาง หมกมุ่นกระวนกระวายต่อไปตามลำพัง เคียงฟ้ารู้สึกหงุดหงิดที่มหิตาเทวีปิดบังความทุกข์ในพระทัย ไม่ตรัสถามองค์สวามีไปให้แน่ชัดเสีย ส่วนพระนางนั้นเล่าได้แต่ลืมเนตรโพลงไปตลอดราตรีนั้น
นานๆ ครั้งภูวิษะเจ้าจะทรงขยับวรกาย เมื่อทอดพระเนตรผ่านมามืดเห็นพระชายายังไม่บรรทม ก็ทรงดึงวรองค์แสนเสน่หานั้นมากอดรัด แม้นไม่ทรงทราบแน่ชัดว่ามหิตาเทวีกำลังดำริสิ่งใดอยู่ แต่ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าชายาของพระองค์นั้นดูมีความนัยพระทัยบางประการ หากแต่เจ้านาคราชมิได้ตรัสถามเนื่องด้วยอ่อนเพลียเป็นสำคัญ จึงเพียงแค่ปลอบประโลมด้วยวงพาราและแผ่นอุระอันอบอุ่น ให้มหิตาเทวีได้ซุกวรกายอ้อนแอ้นเข้าแนบชิดเข้ามาในฤทัยนาคเจ้าเท่านั้น
ภูวิษะเจ้าแม้นจะเป็นพญานาคผู้มากฤทธีและปรีชาสามารถเพียงใด แต่กลับมิเคยทราบว่าดวงใจสตรีนั้นยากแท้หยั่งถึง อีกทั้งยังเชี่ยวลึกไหลวนยิ่งกว่าสายนทีใดๆ ในโลกา จึงมิทันได้เฉลียวใจว่าการศึกสงครามใดนั้นจะสร้างความทุกข์ได้เท่าศึกแห่งหทัย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 55 09:24:34