บทที่ ๑ หุ่นแบบในห้องศิลปะ
หากจะเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์แรกที่ผมประสบ ผมคงต้องเล่าถึงวีรกรรมที่ทวยะทำกับผมเสียด้วย ในวันที่พบกันเป็นครั้งแรก เขาก็ทำให้ผมรู้สึกประทับใจ จนไม่อยากเจอหน้าเจอตากันอีกเลย...
วันนั้นเป็นวันแรกของชีวิตเด็กหอ และผมจะต้องไปรายงานตัวที่ใต้หอพักของโรงเรียนก่อนสิบโมงเช้า
โรงเรียนใหม่ของผมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณกิโลเมตรเศษ ดังนั้นเมื่อลงจากรถไฟแล้ว ผมจึงต้องเดินเท้าต่อไปอีกระยะหนึ่ง ระหว่างที่ผมเดินผ่านริมรั้วของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งโดยมีเป้เดินทางใบใหญ่สะพายอยู่บนหลัง ผมก็ได้ยินเสียงร้องเล็กๆ ของลูกแมวดังอยู่เหนือศีรษะ
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปตามเสียง สายตาของผมก็ปะทะกับลูกแมวสีขาวขนสั้นตัวหนึ่ง มันกำลังหมอบอยู่บนกิ่งไม้ข้างรั้ว อยู่สูงขึ้นไปประมาณสามสี่เมตร พลางชะเง้อมองลงมา นัยน์ตาสองสีของมันทอแววอ้อนวอน พลางส่งเสียงเมี้ยวๆ เล็กๆ ขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ผมเองก็เป็นคนขี้สงสารเสียด้วย อีกประการหนึ่ง เวลานั้นก็เพิ่งจะเก้าโมงเศษ ยังมีเวลาให้ผมเถลไถลได้อีกหน่อย ผมจึงตัดสินใจปลดสัมภาระลงจากกลางหลัง แล้วปีนขึ้นไปช่วยเจ้าเหมียวตัวนั้น
การปีนต้นไม้สำหรับผมไม่ใช่เรื่องยาก ผมมีความชำนาญพอสมควร เนื่องจากบ้านยายของผมที่ต่างจังหวัดนั้น เป็นสวนผลไม้ เพียงแต่หลังจากคว้าตัวลูกแมวเหมียวไว้ได้แล้ว มือซ้ายของผมก็ไม่ว่าง เพราะต้องประคับประคองมันลงจากต้นไม้ให้ได้อย่างปลอดภัย ผมจึงเหลือมือขวาข้างเดียวกอดลำต้นไว้อยู่
ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรดีนั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกันเดินผ่านมา ผมจึงร้องเรียกเขา
เอ้อ...ขอโทษครับ
ได้ผล เขาหยุด และหันมองขึ้นมา... ทว่าน่าแปลก สายตาของเขาดูเย็นชาจนไร้ความรู้สึก แค่มองมาเฉยๆ ก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แทบปล่อยมือตกจากต้นไม้แล้ว
ช่วยรับลูกแมวตัวนี้ไว้หน่อยนะครับ ผมจะได้ปีนลงไป ผมบอก พลางยื่นส่งลูกแมวให้ ทว่าเขากลับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของเขาแล้ว ผมก็รู้สึกราวกับได้ยินคำสมน้ำหน้าลั่นอึงอลอยู่ในโสตประสาท จากนั้นเขาก็เชิดหน้า ลากกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ออกเดินต่อไปโดยไม่สนใจหันกลับมามองอีกเลย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมพบกับทวยะ เพียงแค่นั้นก็ประทับใจจนลืมไม่ลง
อย่างไรก็ตาม วั้นนั้นผมก็สามารถพาเจ้าแมวเหมียวลงมาได้อย่างปลอดภัย แม้จะทุลักทุเล และได้แผลถลอกบ้างก็ตาม
ทว่าความโชคร้ายของผมยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากที่ส่งเจ้าลูกแมวลงสู่พื้นได้แล้ว ผมก็ฉวยสัมภาระที่วางทิ้งไว้ขึ้นสะพาย เตรียมจะวิ่งไปที่โรงเรียน หากลูกแมวน้อยกลับส่งเสียงเมี้ยวๆ พร้อมทั้งเดินตามมาต้อยๆ ดูท่าตั้งใจจะให้ผมรับอุปการะจริงๆ ผมจึงต้องอุ้มมันไปด้วย ทั้งที่ในใจยังหวั่นอยู่ว่า ทางหอพักจะอนุญาตให้ผมเลี้ยงมันหรือไม่
ผมไปถึงอาคารหอพักด้วยอาการกระหืดกระหอบ โชคดีที่หอพักชายของโรงเรียนนั้นหาไม่ยาก จากประตูโรงเรียน เดินเข้าไปจนถึงอาคารเรียนหลังที่สาม แล้วเลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว
เพียงแต่เมื่อผมมาถึง ใต้อาคารหอพักกลับกลายเป็นลานโล่ง ไม่มีใครอยู่แม้สักคนเดียว
ผมยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่นั่นสักพักก็เหลือบไปเห็นกองโต๊ะเก้าอี้วางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ทางซ้าย ใกล้ๆ กันก็เป็นกระดานแปะประกาศสีเขียวขนาดใหญ่พอสมควรสองสามกระดานวางซ้อนกันอยู่ บนกระดานติดกระดาษเอสี่สีขาวเรียงเป็นพรืด ผมจึงเดินเข้าไปดู บนกระดานแรกแปะตารางลำดับการเข้ารายงานตัวไว้ พร้อมกับคำแนะนำว่าให้หาชื่อและหมายเลขห้องของตัวเองบนกระดานถัดไป แล้วจึงไปรายงานตัวที่โต๊ะ
ผมยืนมองข้อความบนกระดาษเหล่านั้นอยู่สักพัก คิดไปคิดมาแล้ว จะอย่างไรก็ตาม ผมควรต้องหาห้องของตัวเองให้เจอก่อน ดังนั้นผมจึงวางเป้สัมภาระกับเจ้าแมวเหมียวลง แล้วเบียดตัวแทรกเข้าไประหว่างช่องว่างของกระดานแรกและกระดานที่สอง จากนั้นก็พยายามไล่นิ้วหาชื่อของตัวเอง
ไทวะ! เสียงทุ้มแฝงอำนาจน่าเกรงขามกระแทกใส่แก้วหูของผม นั่นนายไทวะใช่ไหม
เมื่อผมหันมองไปตามเสียง ก็พบกับชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปี ร่างสูงใหญ่ ผิวออกดำแดง หน้าตากระเดียดไปทางแขก คาดว่าคงเป็นครูท่านหนึ่งของที่นี่
คะ...ครับ ผมตอบรับตะกุกตะกัก
แล้วทำไมมาเอาป่านนี้ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาหรือเราน่ะ แน่ะ...แล้วเข้าไปทำอะไรตรงนั้น ยังไม่ออกมาอีก คำถามที่ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร พ่นออกมาจากปากของเขาราวน้ำไหลจากก๊อกรั่ว
ผมค่อยๆ เบียดตัวกลับออกมา พลางเดินกุมมือก้มหน้าไปยืนตรงหน้าเขา ผมไม่ทราบจะตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไรจึงได้แต่ยืนนิ่งๆ รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงถามราวกับผมมาสายไปสักสามชั่วโมง
เอ้อ... ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือระบบดิจิตอลของตัวเอง มันบอกเวลาสิบโมงยี่สิบนาที ขอโทษที่มาสายไปหน่อยครับ
หน่อยบ้าบออะไร หา! นายมาสายไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว!
หา! ... ผมยืนนิ่งอ้าปากค้างประมาณสองวินาที เมื่อครูคนเดิมชี้ให้ผมดูที่นาฬิกาบนข้อมือของเขา... มันเป็นเวลาบ่ายโมงยี่สิบนาทีจริงๆ
ในสมองของผมค้านเต็มที่ หากจะว่านาฬิกาของผมตายก็ไม่ใช่เหตุผล จำได้ว่าตอนช่วยเจ้าลูกแมวลงมา มันเพิ่งเก้าโมงห้าสิบสี่นาที และผมก็ไม่น่าจะใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงในการเดินทางต่อมาถึงที่นี่
ครูนรินทร์คะ อย่าไปดุเด็กเลยค่ะ เสียงหวานหูดังมาจากทางด้านหลัง ชวนให้ผมหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวสวยน่ารัก อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าปี ผมมาทราบภายหลังว่าเธอคือครูปานลักษมิ์ ครูประจำห้องพยาบาลนั่นเอง
ลับหลังครูปาน ผมมักเรียกเธอเป็นครูนางฟ้า เพราะความน่ารักและอ่อนหวานเช่นนี้เอง ยิ่งเวลายิ้มจะเห็นฟันเขี้ยวสองซี่เล็กๆ ยิ่งดูน่ารัก
...ผิดกับซาตานนรินทร์
เพิ่งมาเป็นวันแรก คงหลงทางล่ะสิ ครูปานถามพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งเป็นคำถามฟังดูเหมือนจงใจจะให้ผมตอบว่า ใช่ ผมจึงพยักหน้านิดหนี่ง
โถ...ถ้างั้นคงเหนื่อยแย่ ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องก่อนดีกว่านะจ๊ะ เธอว่า พลางหันไปมองครูนรินทร์ที่ยืนนิ่งอยู่ พร้อมกับรอยยิ้ม แกอยู่ห้องไหนคะ
ครูนรินทร์กระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบ หกศูนย์เก้าครับครูปาน
ชั้นหก ห้องเก้าจ๊ะ เธอแจกแจง ผมจึงพยักหน้าอีกครั้ง กล่าวขอบคุณ แล้วหันซ้ายหันขวามองหาทางขึ้นอาคารซึ่งทั้งทางด้านซ้ายและขวามือของผมก็มีลิฟท์และบันไดทางขึ้นอาคารอยู่แต่ดูท่าทางขึ้นอาคารด้านซ้ายจะอยู่ใกล้กว่า ผมจึงแบกกระเป๋าเป้เดินไปทางด้านนั้น ส่วนในมือซ้ายยังอุ้มลูกแมวเจ้ากรรมไว้
นายไทวะ! เสียงทุ้มหนักแน่นราวฟ้าร้องยามฝนคะนองเรียกรั้งไว้อีกครั้ง ห้ามเอาสัตว์เลี้ยงขึ้นตึก!
แย่ล่ะสิ...
เอามาฝากไว้กับครูก่อนก็ได้จ๊ะ ครูปานบอก
ผมมองเจ้าลูกแมวในมือ เห็นมันมองมาด้วยดวงตาอ้อนวอน แต่ก็ต้องตัดใจยื่นส่งให้ครูปาน ถ้าอย่างนั้นรบกวน ฝากดูแลมันด้วยนะครับ
จ๊ะ เธอตอบ พลางรับลูกแมวไว้ แล้วอย่าลืมมาให้อาหารมันล่ะ
ผมพยักหน้า กล่าวขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับยิ้มให้ครูปาน จากนั้นจึงหันเดินไปทางบันได ได้ยินเสียงมันร้อง เมี้ยว เบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่ผมจะแทรกตัวเข้าลิฟท์ไป
---
ผมกดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นหก เมื่อออกจากลิฟท์ก็มองซ้ายมองขวาหาห้องหมายเลขเก้า ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายทางด้านปีกซ้ายของอาคาร
ที่หน้าห้องนั้นผมเห็นรองเท้าอยู่สองคู่ คู่หนึ่งเป็นรองเท้าผ้าใบสีดำคาดขาว อีกคู่หนึ่งเป็นรองเท้าแตะ ผมจึงคิดว่ารูม-เมทของผมคงอยู่ในห้อง จึงเคาะประตูตามมารยาท แล้วหยุดยืนรอให้เขามาเปิด
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รู้สึกถึงลมเย็นๆ โชยออกมาวูบหนึ่ง มันทำให้ผมรู้สึกตัวเบาอย่างประหลาด ราวกับล่องลอยอยู่เหนือปุยเมฆ แต่แล้วเมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตูเต็มตา ผมก็ต้องยืนอึ้ง อ้าปากตาค้างอยู่ที่หน้าห้องนั้นเอง
...เพราะเขาคือเด็กผู้ชายที่ผมพบเมื่อเช้า คนที่ไม่ยอมช่วยผมอุ้มลูกแมว ทั้งยังยิ้มเยาะผมเสียอีก
อะ...ไอ้... ผมพยายามสรรหาคำมาต่อว่าเขาเรื่องเมื่อเช้า ทว่าจะอย่างไรก็พูดไม่ออก
เข้ามาสิ เขาบอกเสียงเรียบ...ไม่เพียงแค่น้ำเสียง ใบหน้าของเขายังไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เขาทำท่าเหมือนไม่เคยเห็นผมมาก่อน...
แต่น่าแปลกที่คำพูดอันแสนราบเรียบของเขากลับทำให้ผมใจเย็นลงอย่างเหลือเชื่อ ผมก้าวตามเข้าไปในห้องแต่โดยดี
เอ้อ... ผมพยายามนึกคำพูดมาทักทายรูมเมทใหม่ของผม แล้วอาจจะเลยไปพูดถึงเรื่องเมื่อเช้าด้วย
จะนอนเตียงไหนก็เลือกเอา เขาชิงตัดบทเอาดื้อๆ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังประตูไม้ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเชื่อมออกไปยังระเบียงด้านนอก
เมื่อเช้า...ขอโทษนะ เขาบอกห้วนๆ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป โดยไม่ได้หันกลับมามองผม ที่กำลังยืนอ้าปากตาค้างด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา...
ประตูแง้มปิดลงช้าๆ เมื่อมันปิดสนิท ผมจึงค่อยรู้สึกตัว แล้วหันกลับมามองสภาพรอบห้อง
ห้องของผมเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านขวามือเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงวางหันหัวไปทางทิศตะวันออก ส่วนชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือสองชุด วางติดกันอยู่ทางด้านซ้าย และยังมีตู้อีกคู่หนึ่งพิงผนังข้างประตูที่รูมเมทของผมเพิ่งเดินออกไป ส่วนห้องน้ำนั้น อยู่นอกระเบียงนั่นเอง
สายตาของผมในตอนนี้เหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทางสีดำขนาดไม่ใหญ่ไม่โตเท่าใด วางอยู่ริมผนังข้างโต๊ะเขียนหนังสือ มันเป็นของรูมเมทผมเอง ผมจำได้เพราะเพิ่งเห็นมันเมื่อเช้านี้ กระเป๋ายังดูตุงๆ แสดงว่าข้าวของที่อัดแน่นอยู่ข้างในยังไม่ได้ถูกรื้อออกมาจัด
ผมปลดกระเป๋าเป้ลงจากบ่าตัวเอง โยนลงบนเตียงหลังที่อยู่ติดกับประตูทางเข้า จากนั้นก็ล้มตัวนอนแผ่บนเตียง คิดสงสัยอยู่ว่าผมจะอยู่ร่วมกับรูมเมทคนนี้ได้รอดตลอดปีหรือเปล่า แต่จากคำขอโทษของเขาเมื่อครู่ ก็ทำให้ผมคิดไปว่า ความจริงเขาก็คงไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านวนไปเวียนมาอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของเขา ราวกับกำลังซุบซิบอะไรกับใครบางคนอยู่ แต่เบามากจนจับความไม่ได้ เมื่อผมเงี่ยหูตั้งใจจะฟังให้ชัดๆ เขาก็เงียบเสียงไปแล้ว จากนั้นจึงได้ยินเสียงเขาเปิดประตูเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
ผมพยายามมองลอดช่องว่างระหว่างลำตัวเขากับกรอบประตู เพื่อดูว่าเขาคุยกับใคร แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ด้านนอก บางที...คนคนนั้นอาจจะอยู่ในห้องน้ำ แต่...ตอนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงน้ำ หรือเสียงอะไรจากในห้องน้ำเลย
ผมสะกดกลั้นความสงสัยของตัวเองไว้ ไม่โพล่งถามออกไป ส่วนรูมเมทของผม เมื่อเข้ามาแล้วก็ฉวยเอากระเป๋าของตัวเองโดยไม่พูดไม่จา เขาวางกระเป๋าลงบนเตียงอีกหลังหนึ่ง นั่งลงบนเตียง แล้วเริ่มรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าทีละชิ้น
ระหว่างนั้นเขาไม่พูดอะไรเลย ไม่แม้แต่จะมองผมด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าไม่มีผมอยู่ในห้องอย่างไรอย่างนั้น ความคิดที่ว่าเขาไม่น่าจะเลวร้าย จึงเปลี่ยนกลับคืนโดยพลัน...
ตอนนั้น อารมณ์อย่างเด็กๆ ของผมก็ปรากฏขึ้น... ในเมื่อเขาไม่พูดไม่คุยกับผม ผมก็จะเงียบบ้าง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ระหว่างผมกับเขา ใครจะอดทนได้นานกว่ากัน
ความอึดอัดรุกรานเข้ามาในความรู้สึก จนผมอดชำเลืองมองสีหน้าท่าทางของเขาบ้างไม่ได้ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้อัปลักษณ์อะไร จัดได้ว่าหน้าตาดีเสียด้วย ส่วนสูงก็น่าจะไล่เลี่ยกับผม แต่รูปร่างเขาออกจะผอมแห้งไปสักหน่อย มือที่กำลังหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋านั้นซูบเรียวเสียจนเห็นเส้นสีเขียวขึ้นปูดโปน
ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน และบางทีผมก็คงต้องยอมรับว่าขีดจำกัดความอดทนของผมค่อนข้างต่ำ ผมทนกับความเงียบได้ไม่นาน ในที่สุดก็ต้องหาเรื่องคุยกับเขาจนได้
ผมผุดลุกขึ้นนั่ง จรดนิ้วเข้าหากัน มองดูเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงโพล่งขึ้น
ฉันชื่อไทวะ นายล่ะ
เขาเงยหน้ามองผมนิดหนึ่ง เวลานั้นเองที่ทำให้รู้สึกว่าผมมีตัวตนอยู่ จากนั้นจึงเห็นเขาก้มหน้าลง หยิบเอาเสื้อยืดสีดำตัวหนึ่งสวมเข้ากับไม้แขวน
ทวยะ เขาตอบออกมาหลังจากผ่านไปชั่วอึดใจ รู้สึกเหมือนการพูดออกมาแต่ละคำสำหรับเขานั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
ทวยะ... ผมทวนคำอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าชื่อนี้แปลกดี แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดจะถามความหมายในชื่อของเขา เพื่อต่อบทสนทนา เขาก็กลับเปลี่ยนหัวเรื่องไปเสีย
เย็นนี้รุ่นพี่นัดให้รวมกันข้างล่างตอนหกโมงเย็น เขาบอกห้วนๆ
นัดทำอะไร ผมถาม พลางมองตามเขาที่กำลังหอบเสื้อผ้าไปแขวนในตู้
กิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนใหม่ เขาบอกเสียงเรียบ
อ๋อ...รับน้อง ผมว่า พลางฉวยกระเป๋าตัวเองออกมารื้อบ้าง
ช่วงสัปดาห์แรกนี้ยังไม่มีเรียน ให้ทำกิจกรรมกับรุ่นพี่เพื่อปรับตัวกันก่อน เขาให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ผมรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างผมกับเขาเริ่มแคบเข้ามาแล้ว แต่ผมรู้สึอย่างนั้นได้ไม่นาน เพราะพอคุยกันไปอีกสักพัก จนดูเหมือนผมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหอพักซึ่งผมพลาดไปในเช้าวันนั้นจนครบถ้วนแล้ว เขาก็ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความเงียบอีก
เวลาผ่านไปช้าๆ และกว่าเราจะเก็บของกันเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงเศษ หลังจากที่ทวยะยกกระเป๋าเดินทางของตัวเองใส่เข้าตู้เรียบร้อย เขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร
ผมมองตามเขาไปด้วยความสงสัย...สงสัยว่าเขาจะไปไหน ไปทำอะไร จะกลับมาเมื่อใด และที่สำคัญ จะกลับมาทันรับน้องหรือ ในเมื่อตอนนั้นก็ใกล้จะได้เวลานัดแล้ว
คำถามข้อสุดท้ายนั้นไม่ยากเลย และผมก็ได้คำตอบหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เมื่อผมรอเขาอยู่ที่ห้องจนกระทั่งหกโมงสิบนาที เห็นว่าเขาไม่มา จึงลงไปรวมกลุ่มกับเพื่อนใหม่ที่ลานกว้างใต้ตึก แต่ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเขา...
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะมีอย่างอื่นที่ดึงเอาความสนใจของผมไปจนหมด นั่นก็คือเรื่องเล่าที่รุ่นพี่เล่าต่อกันมา มันเป็นเรื่องลึกลับเกี่ยวกับหุ่นแบบในห้องศิลปะ ซึ่งเคยมีคนแอบไปเห็นในตอนกลางคืน ว่ามันไม่ได้วางอยู่ที่เดิม และท่าทางของหุ่นก็เปลี่ยนไป แต่พอกลับเข้าไปดูใหม่ในรุ่งเช้า มันก็กลับมาตั้งอยู่ในที่ของมัน อยู่ในท่าทางเดิม ราวกับไม่เคยเคลื่อนย้ายไปไหน!
ผมกลับเข้ามาที่ห้องของตัวเองอีกครั้งในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ด้วยความรู้สึกหลอนๆ กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินได้ฟังมา และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบรูมเมทมนุษยสัมพันธ์เสื่อม กำลังนอนแอ้งแม้งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงของเขา
ทันทีที่เห็นผม เขาก็ทักขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ไง...ไทวะ
ผมอึ้งไปสองวินาที ก่อนจะตั้งตัวได้ หันไปปิดประตูห้อง
ก็...ดี... ผมตอบ พลางเดินไปที่ตู้ เพื่อหยิบเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ ทำไมนายไม่ลงไปด้วยกันล่ะ
เขากระแอมทีหนึ่งก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
ไม่ชอบน่ะ...ไร้สาระ
ไร้สาระหรือ...ผมคิด...นี่เขากำลังบอกว่า ผมเพิ่งไปทำเรื่องไร้สาระอย่างนั้นสิ
ผมไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของเขาเท่าไหร่ จะให้บอกตามตรงก็คือ ไม่ชอบเอามากๆ แต่ก็ไม่อยากต่อความยาว ผมจึงฉวยเสื้อผ้าจากตู้แล้วก้าวยาวๆ ออกไปนอกระเบียง
ผมกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ในชุดเสื้อยืดกางเกงเลขาสามส่วน เส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ ทวยะยังคงนอนอ่านหนังสือในท่าเดิม หนังสือที่เขาอ่านเป็นหนังสือปกสีดำล้วน ไม่มีลาย
มันหนังสืออะไรกัน ไม่มีหัวเรื่อง...ผมคิด ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องหนังสือในมือเขา
บันทึกเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เขาแจงออกมา โดยที่ใบหน้ายังคงถูกหนังสือเล่มนั้นบังไว้อยู่ นายสนใจรึเปล่าล่ะ
เอ้อ...ไม่... ผมตอบ ฉันไม่สนใจหนังสือไร้สาระ ผมตั้งใจเหน็บเขากลับบ้าง
ได้ผล...เขาลดหนังสือลงทันที ดวงตาที่มองมาราวกับเป็นสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ จนทำให้ผมต้องแสร้งลอยหน้าเพื่อหลบสายตา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะออกมา
ฮะๆ...ไร้สาระ... จริงสิ มันดูเป็นหนังสือไร้สาระจริงๆ นั่นล่ะ นี่แปลว่านายไม่กลัวเรื่องลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างนั้นสิ
เรื่องลี้ลับหรือ... ผมทวนคำ... กลัวสิ กลัวมากเสียด้วย ทว่าถ้าผมตอบไปตามตรง ก็จะกลายเป็นว่าผมกลืนน้ำลายตัวเอง เป็นคนไร้สาระไป
ไม่...คือ...ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้น่ะ
อ๋อ...อย่างนั้นหรือ เขาลากเสียงยิ้มๆ พลางลุกขึ้นนั่ง แล้วถ้าฉันบอกนายว่า ฉันเชื่อเรื่องพวกนี้สนิทใจ เพราะฉันมีอำนาจพิเศษ สามารถเห็นวิญญาณ เห็นภูตผีปิศาจได้ล่ะ
อย่าบ้าน่า... ผมร้อง ของหลอกลวงพรรค์นี้มีจริงที่ไหน
แม้จะทำเป็นปากดี แต่ความจริง ขนทั่วร่างผมแอบลุกซู่เลยทีเดียว ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพราะกลัว หรือเพราะเจอคนประเภทเดียวกัน
ทวยะยังคงยิ้มอยู่ แต่ในรอยยิ้มของเขาแฝงเลศนัยอย่างบอกไม่ถูก เขาวางศอกทั้งสองลงบนเข่า มือก็ยกขึ้นท้าวคาง พร้อมกับหรี่ตามองมาที่ผม
นายคงไม่รู้สินะ ที่ด้านหลังนาย มีวิญญาณเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบตามมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว!
ผมถึงกับสะดุ้งสุดตัว กระโดดขึ้นไปบนเตียงทวยะ ทั้งพยายามเบียดตัวหลบอยู่ด้านหลังของเขา
ปฏิกิริยาของผมทำให้ทวยะระเบิดเสียงหัวเราะเสียดังลั่น ถ้าจะให้ผมอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น คงต้องบอกว่าแทบมุดพื้นหนีเลยทีเดียว
---
เรื่องหลอนชวนผวาพวกนี้ทำเอาคืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ กว่าจะหลับลงได้ก็เกือบฟ้าสาง ทว่าผมเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน รุ่นพี่ก็มาเคาะประตูเรียกน้องใหม่ไปรวมตัวกันที่ใต้หอพัก คราวนี้ทวยะหลบไม่ได้อีก เขาจึงต้องลงไปพร้อมกับผม
ความจริง เช้าวันนั้นผมรู้สึกแปลกใจมากที่ทวยะกลับกลายเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ไปอีก แต่เนื่องจากผมถูกจับแยกกลุ่มกับเขาในระหว่างที่ทำกิจกรรมต่างๆ ผมจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ตกดึก หลังจากที่ผมปลีกตัวมาให้อาหารเจ้าลูกแมวซึ่งฝากไว้กับครูปานแล้ว รุ่นพี่ก็เรียกให้กลับเข้ากลุ่มอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาจัดให้มีกิจกรรมพิสูจน์ความกล้าในห้องศิลปะ ห้องซึ่งพวกเขาเพิ่งเล่าเรื่องหุ่นแบบเขย่าขวัญเมื่อคืนก่อนหน้า พวกเขาจะให้น้องใหม่สองคนเข้าไปในห้องนั้น โดยไม่ให้เปิดไฟภายในห้องแม้แต่ดวงเดียว
โชคไม่ดีเป็นของผม ที่จับได้ไม้สั้น แถมยังโชคไม่ดีซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เมื่ออีกคนที่จับได้ไม้สั้นคือทวยะ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย เมื่อรู้ว่าจะต้องเข้าไปพิสูจน์ความกล้าพร้อมกัน ส่วนผมนั้น หัวใจเต้นโครมจนแทบกระเด็นออกมานอกอกเลยทีเดียว
ผมกับทวยะมายืนอยู่หน้าประตูห้องศิลปะ ซึ่งเป็นห้องที่กินพื้นที่ชั้นล่างสุดของอาคารเรียนหลังที่สามทั้งหมด ทันทีที่ประตูเปิดออก ผมก็รู้สึกเสียววาบที่กลางหลัง ภายในห้องมีแต่ความมืดมิด เห็นวัตถุต่างๆ เป็นเพียงเงาตะคุ่มเลือนราง
ทวยะก้าวเข้าไปก่อน ฝีเท้าของเขาหนักแน่นมั่นคง ท่าทางก็สงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก เห็นเขากวาดตามองไปในความมืดราวกับต้องการสำรวจอะไรบางอย่าง
ผมก้าวตามทวยะเข้าไปติดๆ แม้ว่าสายตาจะยังไม่คุ้นชินกับความมืดก็ตาม ด้วยเกรงว่าตนเองจะทิ้งระยะห่างจากเขามากเกินไปจนทำให้เป็นเป้าโจมตีของอะไรบางอย่าง ซึ่งผมจินตนาการไปเองว่ามันมีอยู่
ผมก้มหน้าก้มตาเดินตามเขา ลึกเข้าไปเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เขม็งเกลียวขึ้นในทุกก้าวย่าง ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะความกลัวในจินตนาการบ้าๆ ของผมเองก็ได้ ยอมรับว่าตอนนั้นมือผมสั่น จึงคิดจะคว้าแขนของทวยะไว้เพื่อความอุ่นใจ หากเวลานั้นเอง เขากลับหยุดฝีเท้าลงเสียเฉยๆ
ผมเงยหน้ามอง ตอนนั้นสายตาผมคุ้นเคยกับความมืดบ้างแล้ว จึงพอเห็นว่าเขาหันมองไปยังช่องว่างที่อยู่ระหว่างเสาห้องกับตู้เก็บอุปกรณ์ ผมมองตามเขา แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่ ตรงนั้นมีหุ่นแบบขนาดเต็มตัวอยู่ตัวหนึ่ง จากเงาที่เห็น ดูเหมือนเป็นหุ่นเทพเจ้ากรีกเพศชาย ซึ่งความจริงซอกมุมเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นที่วางหุ่นขนาดใหญ่แบบนั้น ความหวาดผวาเกาะกุมขึ้นในจิตใจ คิดเอาว่ามันอาจจะเป็นหุ่นแบบที่รุ่นพี่พูดถึงเมื่อคืนก็เป็นได้ เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นทันที ฝ่ามือมีเหงื่อซึมจนเปียกชุ่ม
ทวยะยืนจ้องไปที่หุ่นตัวนั้น ท่าทางของเขาสงบนิ่งและจริงจัง ในขณะที่ผมได้แต่ยืนก้มหน้าก้มตา หลบอยู่ด้านหลัง ครู่ต่อมา เพื่อนผมจึงค่อยสาวเท้าเดินต่อ
เราเดินกันมาจนถึงประตูทางออกอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอาคารเรียน เมื่อประตูเปิดออก และได้เห็นแสงไฟจากภายนอกอีกครั้ง ผมก็ถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งอกและดีใจที่ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างที่ผมจินตนาการไว้ ผมเร่งฝีเท้าปรี่นำหน้าทวยะออกไปทันที
เพื่อนผมยังคงรักษาฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงไว้เป็นอย่างดี จนกระทั่งเดินออกมาจากห้อง ผมเห็นเขาหันกลับมองเข้าไปในห้องอันมืดมิดอีกครั้ง ก่อนประตูจะปิดลง...
---
คงต้องบอกว่าคืนนั้นเป็นคืนเลวร้ายคืนหนึ่งของผมจริงๆ
หลังจากกิจกรรมชวนสยองจบลงเมื่อเวลาประมาณสี่ทุ่ม ผมและทวยะก็กลับมาที่ห้อง อาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเข้านอนโดยไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายนัก แต่ผมกลับนอนไม่หลับเลย จนกระทั่งได้ยินเสียงทวยะลุกขึ้นมาในยามดึก
ผมแกล้งทำเป็นหลับเพื่อแอบดูว่าเขาจะทำอะไรต่อไป เห็นเขาลุกขึ้นมายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงคว้าของบางอย่าง ก่อนจะย่องออกจากห้องด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เมื่อเขาออกไปแล้ว ผมจึงลุกเดินตามเขาออกไปบ้าง
ผมติดตามเขาอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเห็นเขาเดินหายเข้าไปในห้องศิลปะ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเย็นวาบที่กลางหลังอีกครั้ง ความกลัวกับความสงสัยของผมกำลังทะเลาะกันอยู่ในสมอง เรื่องของหุ่นแบบที่ได้ฟังมายังสร้างมโนภาพอันน่าหวาดหวั่น แต่ความสงสัยเกี่ยวกับตัวทวยะก็ทำให้ผมติดตามมาจนถึงที่นี่ แล้วจะให้ผมเลิกล้มไปได้อย่างไร...
ในที่สุดก็มีสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ นั่นก็คือเสียงร้องอันน่าสงสารของชายแก่ที่ดังมาจากข้างใน...
อย่า! อย่า...พ่อหนุ่ม! อย่าทำอะไรฉันเลย...ปล่อยฉันไปเถิด...
พ่อหนุ่ม ที่เขาพูดถึงจะต้องเป็นเพื่อนผมอย่างแน่นอน...ผมคิดอย่างนั้น แต่เขาไปทำอะไรคุณลุงที่น่าสงสารนั่น
นี่...เดี่ยวสิพ่อหนุ่ม เธอจะไปไหน กลับมาปล่อยฉันก่อน ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!
ผมเดาเอาจากเสียงร้องของคุณลุงว่า ทวยะคงผละจากไปแล้ว ผมใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเบาๆ ในความมืด ยังคงได้ยินเสียงคุณลุงคนนั้นร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
ผมค่อยๆ คลำทางไปตามเสียง อาศัยว่าพอจะจำตำแหน่งที่เคยเดินผ่านมาพร้อมกับทวยะเมื่อตอนดึกได้ ผมค่อยๆ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ทวยะเคยหยุดยืน และจ้องมองไปยังช่องว่างระหว่างเสากับตู้เก็บอุปกรณ์...
อ้า! ...พ่อหนุ่ม
ผมหันมองไปตามเสียง ก็พบชายแก่คนหนึ่งถูกจับมัดนั่งอยู่กับพื้น ร่างกายท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันปกปิดร่างกายท่อนล่างเอาไว้
พ่อหนุ่ม พ่อเทพบุตร...ช่วยฉันด้วยเถิด...แก้มัดให้ฉันที... เขาร้องโพล่งออกมาด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
เพราะความใจอ่อนเป็นทุน ผมจึงเดินเข้าไป และช่วยแก้มัดให้เขาโดยไม่ลังเล
ทำไมคุณลุงถึงถูกมัดไว้อย่างนี้ล่ะครับ ผมถาม ขณะที่กำลังพยายามแก้ปมเชือกด้วยความทุลักทุเล เพราะบริเวณนั้นเป็นช่องว่างที่ทั้งแคบทั้งมืด
เอ้อ...ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน...เด็กคนนั้น อยู่ดีๆ ก็เข้ามา แล้วจับลุงมัดไว้นี่ล่ะ
ผมพยักหน้ารับรู้ ขณะเดียวกันปมเชือกก็ค่อยๆ คลายออก ผมออกแรงดึงเล็กน้อย ข้อศอกจึงไปกระแทกถูกตู้เก็บอุปกรณ์ที่อยู่ด้านหลัง มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดอะไรมาก หากแต่กระตุ้นให้ผมฉุกคิดได้ถึงสิ่งที่ผมลืมเลือนไป...
หุ่นแบบ...มันเคยอยู่ตรงนี้!
กว่าผมจะนึกได้ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว! ชายแก่นั่นดิ้นหลุดจากพันธนาการ เขาคว้าข้อมือผม มืออีกข้างก็คว้าลำคอผมไว้อย่างรวดเร็ว!
ตอนนั้นเองที่ลำแสงลำหนึ่งฉายเข้าตาของผมอย่างจัง ทำให้ผมต้องหลับตาแน่น
ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ผีนรก!
ผมจำเสียงกวนประสาทนั้นได้...ทวยะ!
ปล่อยให้โง่เรอะ... เสียงแหลมเสียดแก้วหูดังอยู่ข้างๆ ถ้าข้าปล่อย แกก็จะจัดการกับข้าน่ะสิ...อีกอย่าง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้...เนื้อเด็ก!
ผมค่อยๆ ลืมตาเหลือบมองไปที่ชายแก่ซึ่งกำลังกำคอผมอยู่หลวมๆ แสงไฟจากกระบอกไฟฉายในมือทวยะทำให้ผมเห็นโฉมหน้าของเขาชัดตา...เขาไม่ใช่ชายแก่ แต่เป็นปิศาจหน้าตาน่าเกลียด เนื้อตัวเหี่ยวย่น ศีรษะล้าน ใบหูยาวและเรียวแหลม
ทวยะเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแกว่งกระบอกไฟฉายไปๆ มาๆ ที่หน้าผม ทำให้รู้สึกแสบตาจนอยากเบือนหน้าหลบ แต่ก็ทำไม่ได้ ผมจึงได้แต่หลับตาแน่น และชำเลืองมองเขาเป็นระยะ
แกคิดว่าจับไอ้ตัวยุ่งนี่ไว้แล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้งั้นหรือ... คิดผิดแล้ว... เขาว่า แล้วก็หยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีก ใกล้จะได้เวลาแล้วสิ
เห็นรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาเล็กน้อย แสงจากไฟฉายก็ดับวูบลง ทุกอย่างมืดสนิท ยกเว้นประกายสีเขียวสว่างวาบขึ้นในดวงตาคู่ดำสนิทของทวยะ หลังจากนั้น...
ว๊าก! ...
เสียงหวีดร้องบาดหูดังขึ้น พร้อมกับร่างปิศาจที่อยู่ๆ ก็หายวับไปจากข้างตัวผมอย่างไร้ร่องรอย
ทวยะ! ผมโผเข้าไปหาเขาเพื่อจะขอบคุณที่ช่วยผมไว้ ทว่ามันกลับเป็นการเสนอหน้าให้เขาชกอย่างถนัดถนี่ จนผมต้องล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น
เฮ้! นี่มันอะไรน่ะ ผมร้องถาม รู้สึกปวดแปลบที่แก้มซ้าย ราวกับฟันจะหักไปทั้งแถบ
ก็แล้วแกทำอะไรลงไปล่ะ! เขาตะคอกถามกลับ
ผมก้มหน้าลง พอจะรู้ความผิดของตัวเองอยู่ ก็เพราะผมดันไปปล่อยปิศาจที่เขาอุตส่าห์จับไว้น่ะสิ
แกเกือบตายไปแล้ว รู้รึเปล่า! เขาตะคอกใส่ผมอีก
ขอโทษ... ผมบอกเสียงเบา แต่ยังไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา
ได้ยินเขาส่งเสียงขึ้นจมูก ช่างเถอะ นายอย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีกก็แล้วกัน เขาว่า พลางเริ่มสาวเท้าก้าวออกจากบริเวณนั้น ผมก็รีบลุกเดินตามไปเงียบๆ
---
เอ่อ...ทวยะ...นายว่า ไอ้ปิศาจนั่นมันใช่หุ่นแบบที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังเมื่อคืนรึเปล่า ผมตัดสินใจถามทำลายความเงียบ ในระหว่างที่กำลังเดินกลับหอพักด้วยกัน
ฉันไม่เคยฟังเรื่องที่รุ่นพี่เล่า เขาตอบ น้ำเสียงบ่งบอกว่าอารมณ์ของเขายังคงกรุ่นอยู่ แต่ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ถ้ามันมาอยู่ที่นี่จนเป็นเรื่องเล่าได้แบบนั้นล่ะก็ โรงเรียนนี้กลายโรงเรียนร้างไปแล้ว!
ทำไมล่ะ
นายไม่ได้ยินหรือ มันกินเนื้อเด็กน่ะ
คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นทันที ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนคำถามที่ทำให้ตนเองสบายใจขึ้น
แล้วมัน...มันหายไปไหนแล้วล่ะ
ไปนรก เขาตอบเสียงห้วน
นรก! ผมทวนคำด้วยความตระหนก
มันเป็นปิศาจในนรก ก็ต้องกลับไปอยู่ในนรกน่ะสิ
เอ่อ...ที่ฉันสงสัยก็คือ มันกลับไปนรกของมันได้ยังไง นายทำให้มันกลับไปหรือ นายมีพลังหรืออำนาจพิเศษอะไรอย่างที่นายบอกจริงๆ น่ะหรือ
เขาหยุดเท้านิดหนึ่ง หันมามองผมด้วยสายตาแสดงความรำคาญอย่างที่สุด
แล้วนายอยากจะรู้ไปทำไม! เขาตวาด พลางสาวเท้าเดินนำลิ่วออกไป ปล่อยให้ผมวิ่งตามด้วยความหวาดผวา กลัวว่าจะมีใครอีกคนตามผมมาหรือไม่...
จากคุณ |
:
ตรีพันธ์
|
เขียนเมื่อ |
:
3 พ.ย. 55 21:38:46
|
|
|
|