Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[41]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบเอ็ด-


เมื่อนั้น ค่าที่ทรงประทับนั่งหันข้าง ขวางบานหน้าต่าง ทำให้เห็นวรร่างเป็นเงามืด เฉพาะขอบโครงจึงจะสว่างเรืองเป็นเส้นรูป ด้วยแสงจากกากเพชร พราวระยิบขลิบบนโพ้นฟ้านู้น

เรือนเกศายังชื้น ส่งให้แต่ละเส้นจับกันแหลมลู่ บางเส้นเป็นสีเงิน รับกับสีดำเป็นมันขลับ พระนลาฏนูน สืบสู่สันพระนาสิกสูง คม ปลายค่อนข้างแหลม รูปโอษฐ์บาง หากอิ่ม แม้นเมียงเพียงเงาข้าง ยังรู้สึกนิ่มจนน่าสัมผัส พระหนุแหลม เฉียงตัดตรงสู่ลำศอ อันประดับพระกัณฐมณีเป็นลูกเหลี่ยม พระศอใหญ่ดูแข็งแรง ความยาวช่วยเสริมความสง่า โคนจมในโครงรากขวัญสูงชัด ซึ่งถูกคลุมกึ่งๆ ด้วยฉลองพระองค์เนื้อฝ้ายหนา น่าอบอุ่น ยืมจากเจ้าของบ้านฝ่ายชาย

เป็นภาพงามมิแผกรูปสลัก

หากคือรูปสลักแห่งความเดียวดาย

ผู้ฟัง ทั้งทอดพระเนตรตามแต่ต้น เพิ่งทรงตระหนักในความจริง แห่งผู้ประทับอยู่เหนือสุดบนบัลลังก์อะแลมเบิร์ก

ใช่แล้ว...นอกจากภาระหนักหนา ที่ถูกทูนไว้ในพระตำแหน่ง...ตำแหน่งที่ทำให้แทบเอาพระชนม์ชีพไม่รอด! อดีตเจ้าชายไอเนซ...ไม่ทรงเคยมี ‘อะไร’ จริงแท้...

แม้ได้รับถวายความรู้ ทั้งการอภิบาลชิดใกล้จากเจ้าชายวาเลนติน...

คน...ผู้พระมารดา ทรงวางพระทัยเสียยิ่งกว่าพระขนิษฐา...

หากทว่า...กระทั่งผู้อยู่ห่างมายังยินเสียงร่ำลือ

ใช่แค่มิเคยสำแดงความรัก ความอบอุ่น

ผู้อภิบาล ไม่ทรงปรารถนาให้พระยุพราช ทรง ‘รู้จัก’ ความรักด้วยซ้ำ!


ไม่เคยมีใคร ‘อ่าน’ ได้...ลึกลงในพระทัยเจ้าชายวาเลนติน ทรงคิดกระทำการใด

ทั้งที่ความจงรักภักดี อันเนื่องแต่พระบิดาและพระมารดาที่สวรรคต จะยังสืบผลสู่องค์มกุฎราชกุมาร กระนั้น...มาตรว่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ยังไม่สามารถแสดงความห่วงใยโจ่งแจ้ง

อำนาจต่อขั้วในองค์ผู้สำเร็จราชการ ประดุจโล่ขีดกั้น...

ในเมื่อนายสูงสุด มีได้เพียงหนึ่ง

และการเลือกนาย ย่อมหมายถึง การเลือก ‘ความยาว’ แห่งลมหายใจด้วยเช่นกัน

เฉกนั้น ผู้ได้รับความจงรักภักดี ‘ที่แท้’...จึงกลับไม่มีใครกล้าแยแส!

จวบกาลผ่าน การแสดงความเยือกเย็น ยิ่งเข้าใกล้เลือดเย็น กับโรคร้ายที่ไม่มีใครกล้าถวายการวินิจฉัย...เจ้าชายไอเนซถูกกล่าวขานว่า ‘ปราศจากพระทัย’

เป็น ‘หุ่นปั้น’ ที่มิพึงเข้าใกล้โดยสมบูรณ์แบบ!


อย่างไรก็ตาม ทั้งที่มีโอกาสชิดใกล้ไม่นาน ผู้ประทับอยู่เคียงกัน ณ บัดนี้ ยังทรงมั่นพระทัยยิ่ง

ปลอกนอก กับแก่นใน แทบเรียกได้คือคนละองค์

ในฉาบหน้าแห่งความเฉียบเฉย ไม่สนพระทัย...หลายครั้งทรงมีมุมหวานไหว อ่อนละเอียด

อาจจะจริงอย่างรับสั่ง...คนไม่เคย ‘เห็น’ การแสดงความรัก จะรู้จักสะท้อนความรู้สึกออกมาเช่นไรได้

ไปๆ มาๆ ท่าจะทรงน่าสงสารกว่า ‘เรื่องเล่า’ ของอีตาเนธานอีกนะเนี่ย!

“ฝ่าบาท...” สุรเสียงใส หวาน กังวานขึ้นในความเงียบ

ผู้ถูกทูลเรียก ทรงหันหา เฉพาะประกายพระนัยนา เป็นจุดสว่างกลางเงาตะคุ่ม

“เอาเป็นว่าหม่อมฉันจะถวายการสอนเองเพคะ”

“หืมม์?”

“หม่อมฉันไม่มีพ่อ แต่ยังมีแม่ มีเอลินอร์ มีคนอื่นๆ ในบ้านที่อยู่ร่วมกันด้วยความรัก แล้วก็พวกผู้หญิง...ชอบคุยกันเรื่องความรักมากกว่าอะไร ฉะนั้น...อาจจะไม่ถึงกับชำนาญ...แต่หม่อมฉันคิดว่า น่าจะพอใช้เรื่องที่เคยฟังและพบมา ถ่ายทอดถวายฝ่าบาทได้”

“จริงหรือ?” จุดแววนั้น ยังแสดงพระอารมณ์ไม่มั่นพระทัย
“คนรักกันต้องแสดงออกยังไงบ้างล่ะ?”

“อย่างหม่อมฉันกับแม่ พบหน้ากันตอนเช้า เราจะเอาแก้มแตะแก้มกัน”

“เอ๋...เป็นยังไงนะ?” รูปพระพักตร์ที่เริ่มคลายจากความมืด ค่อยแสดงเค้ารางฉงนฉงาย

“หม่อมฉันก็จะยื่นหน้าไป ฝ่าบาทก็ทรงยื่นพักตร์มา เกือบๆ จะวางพักตร์ลงบนบ่าหม่อมฉันน่ะเพคะ แต่ไม่ต้องถึงกับวาง แค่เอาแก้มสัมผัสกันนิดหนึ่งก็พอ อย่างนี้...”

คนอธิบาย ทรงยื่นวรองค์เข้าใกล้ตามคำทูลถวาย

“อุ้ย!” สะดุ้งนิดหน่อย เมื่อพระปรางรับสัมผัสจากพระฉวีลื่น นุ่มนิ่ม แต่ชุ่มย้อยเล็กน้อย

“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงหันมา แค่ยื่นพักตร์ตรงๆ ก็พอ ถ้าทรงหันมาจะกลายเป็นหอมแก้มนะเพคะ”

“ถ้ายื่นตรงๆ จึงเป็นแก้มแตะแก้ม ถ้าหันด้วยจะกลายเป็นหอมแก้ม”

ความมืดพรางให้ไม่อาจเห็นสีพระพักตร์ที่แท้ แต่จากสุรเสียงทวนรับโดยดี ทำให้ตีความว่า ‘น่าจะ’ กำลังตั้งพระทัยจดจำ

“เก่งมาก งั้นลองใหม่นะเพคะ” คนสอนก็ลืมองค์ นึกว่ากำลังสอนน้องน้อย

คราวนี้ คนทำผิดหลักสูตรเมื่อครู่ ทรงแก้องค์ได้ถูกต้อง ผิวปรางนิ่ม จึงแตะปรางที่เริ่มสากด้วยดี

“ทรงเรียนรู้เร็ว” พระอาจารย์ถวายคำชม เมื่อผละวรร่างห่างมา หลังหัตถ์ข้างเดียวกัน ยังยกขึ้นถูปรางข้างที่ถูกสัมผัส

“แต่จั๊กจี้จัง พระมัสสุคงเริ่มยาวเพราะไม่ได้โกนมาสองวันแล้ว พรุ่งนี้หม่อมฉันจะโกนถวาย...เคยได้ยินว่าภรรยาอาจจะทำให้สามีก็ได้ แต่ฝ่าบาทอาจต้องทรงเสียเวลาสอนหม่อมฉันหน่อยนะเพคะ เพราะไม่เคยทำมาก่อนเลย”

“แล้วถ้าเจ้าเผลอทำมีดบาดเราล่ะ?”

“หม่อมฉันสัญญาว่าจะระวัง”

“เอาเป็นว่าถ้ามีดบาด เลือดไหล เราจะให้ไถ่โทษด้วยท่าแก้มแนบแก้มเป็นไง เอาแก้มเจ้าซับแผลให้เรา ส่วนเราก็จะได้ฝึกซ้อมไปด้วย?”

“อืมม์...” ผู้สดับ ย่อมทรงรู้สึกทะ:-)

“ฟังดูแหม่งๆ แต่ฝ่าบาททรงพระปรีชากว่าหม่อมฉัน แสดงว่าอาจจะ ‘เข้าท่า’ ก็ได้เพคะ”

คน ‘ด้อยพระปรีชา’ ทรงหลงนึกไปจริงๆ ว่า การทำโทษชนิดพิสดารกึ่งๆ จั๊กจี๋พิกลนี้ อาจด้วยอีกฝ่าย ทรงหมายให้คนโกน ต้องเพิ่มความระวังหัตถ์ก็เป็นได้

“งั้นท่าต่อไป?”

“ลองหอมแก้มดูก็ได้เพคะ” ผู้สอน ทรงอาศัยท่าที่เพิ่งเกิดโดยไม่ตั้งพระทัยเมื่อครู่

“ฝ่าบาทเกือบจะทำถูกแล้ว แต่ไม่ต้องทรงยื่นโอษฐ์มามาก ใช้แค่ปลายนาสิกแตะแก้มก็พอ”

“ลองสาธิตหน่อย”

พระอาจารย์ จึงค่อยยื่นพระนาสิก สัมผัสแผ่วข้างปรางสากอย่างเพียงลมไล้

“เหมือนแค่แตะมากกว่า ถ้า ‘หอม’ ควรจะทำอย่างนี้”

ไม่ทรงรอพระอาจารย์ตั้งองค์ ลูกศิษย์ทรงทะลึ่งวรกาย ใช้พระหัตถ์หนาใหญ่ กางนิ้วกุมอังสะบอบบางของผู้เบื้องพักตร์ไว้ แล้วกดพระนาสิกสูง คม แทบคลับคล้ายจะงอยเหยี่ยว ฝังลงบนพวงปราง นุ่ม ฉวีเนียนอย่างผืนแพร จากนั้นสูดอัสสาสะฟอดใหญ่จนเป็นเสียง กระสาความหอมละมุนของดรุณีน้อยแรกรุ่น

คนถูก ‘หอม’ โดยไม่ทันระวังองค์ ถึงกับร้อนผะผ่าว กับทั้งแข็งค้างไปทั่ววรร่าง

“อาจารย์ว่ายังไง? เงียบไป...หรือศิษย์ทำผิด?”

อาจารย์มัวทรงตะลึงขึง จนไม่ทันสังเกตแวววะวับในน้ำนิลดำสนิทคู่นั้น เจ้าของพระเนตรสุกวาม จึงทรงฉวยโอกาสหอมซ้ำ คราวนี้พรวดเดียวทั้งสองข้าง

“เอ...น่าจะยังใช้ไม่ได้ ควรจะแก้เป็นอย่างนี้มากกวะ...”

“พอแล้วเพคะ!”
พระอาจารย์หลุดโวย ถอยหนีพระพักตร์ที่แล่นมาใกล้

จึงเป็นอึดใจ...นัยนาต่อพระนัยนา ปลายนาสิกต่างเรี่ยกันหวิวๆ

“แหม...กำลังจะชำนาญแล้วเชียว”

กระแสพระราชดำรัสปานเสียดาย แต่ไม่ยักน่าสงสาร พาลจะน่าหมั่นไส้เสียล่ะมาก!

“ทรงทำผิดต่างหากล่ะ บอกแล้วว่าใช้แค่พระนาสิก ข้างซ้ายนี่ใช้โอษฐ์จนชื้นเชียว!” ว่าพลางใช้หลังหัตถ์ถูปรางหยอยๆ แต่ก็ยังไม่วายอธิบายต่อ

“แบบนั้นไม่ใช่หอม แต่เป็นจุมพิต”

“จุมพิต?” สุรเสียงลูกศิษย์คิดครุ่น

“เหมือนจะเคยได้ยินว่าที่แตะน่ะเป็นริมฝีปากนี่นา อย่างนี้ไง...!”

“ฝ่าบาท!”

ทีนี้ สุรเสียงตวาด รั้งคนฉวยโอกาสให้ชะงักค้างลงได้

“บางท่าไม่ต้องลองก็ได้เพคะ!”

“ว้า...” ยังทรงวางท่าลากสุรเสียง

“งั้นเปลี่ยนเป็นกอดแทนจะได้มั้ย?”

“ถ้าแค่กอดก็พอดะ...”

ไม่ต้องรอให้จบประโยค เจ้าของวรองค์สูง ใหญ่ ความผ่ายผอมเริ่มถูกแทนด้วยกล้ามพระมังสา ดูจะทรงเอื้อมโอบทันทีด้วยวงพระกรทั้งสองข้าง รวดเร็วราวเกรงว่าผู้ถวายคำอนุญาต จะเปลี่ยนพระทัย และละม้ายทรงเกรง...อึดใจที่ทรงรอคอยมาเนิ่นช้า จะผลัดผ่านเลยไปง่ายๆ

น่าแปลก...ท่าจู่โจมดูรุนแรงมิแผกตอนเริ่มต้น...หอม ทว่ากลับเป็นทั้งสองครั้ง ที่สัมผัสแสนนุ่มนวล อ่อนโยน...

ในครั้งนี้...ทรงค่อยรั้งพระปฤษฎางค์แบบบาง โน้มใกล้ พระหัตถ์ข้างหนึ่งประคองอังสะน้อย ขณะอีกข้างค่อยลูบเรือนพระเกศาหอมกรุ่น และยังค่อนข้างชื้นมิผิดกัน ให้ซบพระปรางอิ่มลงแนบเบื้องอุระกว้าง ผึ่งผาย

เนื้อฝ้ายที่ทอเป็นพระภูษา อุ่น นิ่ม คอเสื้อค่อนข้างกว้าง เปิดให้ข้างปรางส่วนหนึ่งของคนในวงตระกอง แตะพระฉวีตึง เรียบ ที่ทั้งอุ่น และนิ่มยิ่งกว่า กับมีจังหวะแผ่วเต้นเบื้องใต้

จังหวะสม่ำเสมอ คุ้นเคยจากวานวัน

จึงคล้ายเป็นกระแสกระซิบ พระราชทานคำมั่นบางประการร่วมด้วย...

...สม่ำเสมอ...

เมื่อวาน วันนี้

และตลอดไป...


นานช้า...อาจด้วยความง่วงงุน อันเริ่มเกิดผลจากการเดินทางเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน ความสม่ำเสมออัน ‘คุ้นเคย’ จึงดูจะ ‘ออกฤทธิ์’ ล่ากว่าที่ควร

“ฝ่าบาทเพคะ...” ตอนที่รับสั่งเบา เจ้าหญิงพระองค์น้อยเริ่มจะทรงงัวเงียบ้างแล้ว

“หืมม์?”

“ไหนว่าทรงกอดไม่เป็นไง?”

“คง...การวิเคราะห์ต่อเนื่องจากท่าแก้มแนบแก้มล่ะมั้ง”

“แต่เมื่อวานยังไม่ทรงรู้จักท่าแก้มแนบแก้มเลยนี่เพคะ?”

“นั่นสินะ” รับสั่ง แต่ก็ยังทรงลูบศิระคนถามต่อไป ไม่รู้ไม่ชี้

“แสดงว่าทรงแกล้งหลอกหม่อมฉันอีกแล้วล่ะสิ?” กระแสสุรเสียงแผ่วเบา ยานคางลงอีก

“ไม่ได้หลอก...” รับสั่งตอบ กลับมั่นคงจนดูตรงกันข้าม

เจ้าของวงตระกอง ทรงค่อยประคองอังสะที่เริ่มโอนเอน ออกห่าง ปลายพระอังคุฐและพระดัชนี บรรจงช้อนพระหนุมน บาง ให้แหงนเงยสบเนตร ทั้งที่อีกฝ่ายเริ่มปรือหนักขึ้นทุกขณะ

“ที่นำขนมปังไปให้ และที่ติดตามเจ้าไปจนเจอ คือการช่วยเหลือ ที่สะท้อนจากความรู้สึกห่วงใยที่สุดรู้มั้ย?”

ไม่เคยเลย ที่จะทรงทอดพระสุรเสียงอ่อนหวานขนาดนี้

“เราคงได้แต่งุนงง สงสัย เหมือนเมื่อนานมาแล้ว ที่ได้พิศวงในการตัดสินใจของเด็กหญิงคนหนึ่ง เราคงไม่รู้ว่า ควรแสดง ‘ความรู้สึกนั้น’ อย่างไร หากไม่มี ‘ใคร’ เคยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง...”

วินาทีนั้น ประดุจผู้ง่วงงุน จะสดับเสียงนกร้องมาจากที่แสนไกล ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้า ตะบึงระทึกลั่น

เอ...ไม่แน่พระทัยเลยว่า เป็นเสียงจริง หรือเพรียกดังจากความฝัน...

“ความประทับใจแรกหรือเพคะ?”

ท่ามกลางความอบอุ่น ละมุนละไม ก่อนพระสติสุดท้ายจะดิ่งหาย คลับคล้ายจะทรงได้ยลพระพักตร์คร้าม ในความมืด กลับดูพริ้มพราย ฉายชัด มลังเมลืองราวต้องละอองทอง

“ใช่แล้ว เพอร์นีเลีย ความประทับใจแรก...สำคัญเสมอ...

. . . . . . . . . .



เปลือกพระเนตรที่เริ่มเผย ต่อมากลายเป็นกะพริบถี่ ทำให้ขนพระเนตรยาว หนา มีลักษณะละม้ายกระพือ ชั่วเวลาเดียวกัน พระขนงเรียว เป็นสีน้ำตาลเข้มกึ่งดำ ถูกกดเป็นรอยตรงหัวเล็กน้อย แนวโค้งคลับคล้ายคันศร จึงพลิกขมวดลงนิดๆ อย่างทรงรำคาญลำสว่างที่เริ่มแยงพระจักษุ

วินาทีที่ทรงพยายามหันหลบ โดยเอนพระเศียรไปเบื้องปฤษฎางค์นิดหนึ่ง นอกจากทำให้ทรงระลึกขึ้นได้ว่า...ท่าบรรทมผิดไป คือมิได้ราบลง หากทว่าเสมือนนั่งเหยียดเอน เอียงพักตร์อิงอยู่ครึ่งๆ ...ยังทรงพบ... ที่กำลังเอนอิงอยู่นั้น...นิ่ม อุ่น และขยับเต้นเป็นจังหวะ...สม่ำเสมอ...

นั่นเอง พระสติจึงพลันพุ่งคืน พร้อมๆ กับพระเนตรเบิกตื่น

อารามตกพระทัย ทำให้กระตุกพระองค์ออกห่าง

หาก...ทำได้ไม่มากนัก เพราะจากพระโสณีเบื้องขนอง ถึงครึ่งของพระอุทร มีท่อนแขน...ค่อนข้างใหญ่ ทั้งแน่นด้วยมัดกล้าม และรกด้วยขนอ่อน ยาว เรียงสลวย วางพาดเกะกะอยู่

เจ้าของแขนคงรู้สึกตัวเพราะแรงเขยื้อนนั้น ข้างพระกรรณ จึงมีลมแตะอุ่นๆ พร้อมเสียงคุ้นๆ

“ตื่นแล้วหรือ?”

“ฝ่าบาท!”

เจ้าของลมอุ่น ทรงยอมยกท่อนพระกรหนักๆ ออกแต่โดยดี ผู้ที่...น่าจะบรรทมอยู่ในอ้อมอุระมาตลอดราตรี จึงค่อยทรงประคององค์เอง นั่งห่างออกมาได้

ตาวันแดงเรี่ยเหลี่ยมเขา เริ่มเจิดจ้า แสงเช้าจึงทอผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาเป็นลำขาว  ขับให้วรร่างที่น่าจะดูยู่ยี่ ด้วยต้องประทับเอนครึ่งๆ ต่างเบาะมาทั้งคืน กลับล้อมด้วยรัศมีละมุนละไมน่าประหลาด

พระเกศาดำขลับประดับเทาเงิน เมื่อคืนยังชื้น บัดนี้แห้งสนิท ฟูชี้เป็นปุย ดูน่าขันพอๆ กับน่าถวายการจัดแต่งให้...แน่นอน...ด้วยมืออันอ่อนโยนที่สุด

วงพักตร์แหลม ถูกแดดเผาจนทิ้งรอยแดงเหมือนจะไหม้ เฉพาะนาสิกสูง กดปลายลง ต่อเมื่อเพ่งใกล้จะเห็นปลายผ่าน้อยๆ เริ่มเป็นขุย กระนั้นดูจะมิได้ทรงรำคาญ เพราะริมโอษฐ์บาง ยกเก็บมุมใต้ปรางที่เริ่มอิ่ม แสดงว่ากำลังทรงกลั้นรอยยิ้ม ขณะที่พระจักษุดำ ใหญ่ นอกจากเปล่งแววสดใส ที่บอกว่าคงตื่นพระบรรทมนานพอสมควรแล้ว ยังเพริศด้วยประกายแห่งความสุขจนเกลื่อนไม่มิด

และความสว่างแห่งทิวา ยังส่องให้เห็นชัดกว่าเมื่อคืน...

เจ้าของเสื้อที่ทรงอยู่ น่าจะตัวเล็กกว่าเล็กน้อย แบบผ่าอกลึก จึงกลายเป็นแบะตอนอุระ กว้าง ปรากฏโครงพระรากขวัญ รอยมัดกล้ามอุระ และพระโลมานุ่มบางเป็นไรๆ แขนยาวถดเหลือแค่กลางท่อนพระกร ทำให้เห็นรอยนูนของพระนหารุ ดูแข็งแกร่ง ยังดีที่ชายล่างยาว จึงปิดเลยได้ถึงพระกฏิ ขณะที่กางเกง...สีเลือดนกค่อนข้างเข้ม จึงดูใหม่กว่าสีขาวขุ่นๆ แกมนวลของตัวเสื้อ ทว่าบางชายเริ่มรุ่ยแล้วเช่นกัน ปลายข้อเท้าสั้นขึ้นมาเกือบถึงกลางพระชงฆ์

“อรุณสวัสดิ์ เมียรัก”

ไม่รับสั่งเปล่า ทรงโน้มพระพักตร์เข้ามาด้วยท่า ‘หอมแก้ม’ คล่องแคล่ว คล้ายมิใช่คนเพิ่งฝึกเมื่อคืน

“มาโดไม่อยู่ ไม่ต้องทรงแสดงก็ได้เพคะ” พระสุรเสียงของผู้ถูกหอมไม่สำราญนั้น ท่าจะทรงเพียรใช้กลบพระอาการพักตร์แดงๆ เสียมากกว่า

“ฝึกให้คล่องไว้จะได้ไม่พลาด แล้วเขาก็อาจ...” ประโยคต่อจากนั้นไม่สามารถจับความ เพราะแสร้งขยับโอษฐ์ปราศสุรเสียง

“เพคะ?”

พอถูกถาม ก็ทรงทำถอนพระทัย ยื่นพักตร์มาใกล้อีกครั้งด้วยสีสัน ‘ไม่ได้อยากเอาซะเล้ย!’ เพื่อพระราชทานกระซิบริมพระกรรณ ซึ่งผลพลอยได้คือท่าปรางแนบปรางร่วมด้วย

“เผื่อเขาแอบฟังน่ะสิ!”

“เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก” คนตอบ ทรงตอบหลังจากผละองค์เองออก และที่ระงับโอษฐ์ไว้ได้คือ ‘เขาไม่ทำอย่างฝ่าบาทหรอก!’

“ก็ไม่แน่นะ”

“แต่เราก็คงอยู่ที่นี่กันอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง”

“อาจมีเหตุให้นานกว่านั้นก็ได้”

“แต่หม่อมฉันไม่สะดวกใจ”

“ตรงไหน?” ทรงทำเนตรได้แทบพิสุทธิ์

“ก็ตรงที่รับสั่งเรียกหม่อมฉันอย่างนั้นน่ะสิ”

“เมียรัก?” จากพระนัยนา แสดงว่าทรงตั้งพระทัยแกล้งจริงจัง

ต่อเมื่อทอดพระเนตรเห็นว่า ผู้ถูกเรียก เริ่มจะตีพระพักตร์ตุ่ยๆ ขึ้นมาบ้าง จึงทรงยอมลดรา

“ก็ได้ งั้นยอมให้แค่... ‘น้องพี่’?”

“ค่อยดีขึ้นหน่อยเพคะ”

อีกครั้งที่ทรงทำพักตร์อย่าง ‘ไม่ได้อยากเอาซะเล้ย!’ แต่แล้วก็ไม่วายรับสั่งถามต่อ

“ดีขึ้นแล้ว ทำไมยังหน้านิ่ว?”

ไม่ว่าสิ่งใดของอีกฝ่าย และไม่ว่าละเอียดเล็กน้อยแค่ไหน ดูจะทรงสังเกตได้ และสนพระทัยเสมอ

“หม่อมฉันเพียงแต่กังวล...”

ท่ากลืนเขฬะกับแววพระจักษุไม่มั่นคง หมายว่าคำถัดไปคงเอ่ยได้ลำบาก

“ว่ามาเถอะ ‘พี่’ ฟังอยู่”

การจ้องพระเนตรแน่ว แต่มีแววแจ่มใสอย่างเอาพระทัยช่วย...ที่เชื่อได้เลยว่าไม่เคยทรงทำแบบนี้กับใคร ทำให้ผู้รับสั่ง ค่อยมั่นพระทัยมากขึ้น

“หม่อมฉัน...อาจจะ...ท้อง...”

“ท้อง?”

ริ้วฉงนเห่อขึ้น หากคงมิอาจกลบประกายหฤหรรษ์อยู่นั่นเอง

ครั้นแล้ว ทรงกวาดสายพระเนตร สำรวจอาภรณ์ขององค์เอง และคนกังวล...ทั่วทั้งวรร่าง

อืมม์...ก็ยังเรียบร้อย บริบูรณ์มิดชิดเสียด้วยซี...

“ก็...ฝ่าบาทกับหม่อมฉันดื่มน้ำไรอาทาร...ถือเป็นการเข้าพิธีวิวาห์อย่างของโมลาสโม่โดยสมบูรณ์แล้วนี่เพคะ จะทำยังไงดี ถ้าหม่อมฉันมี...เด็ก...ขึ้นมา หม่อมฉันเกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่ง ไหนจะเจ้าหญิงเอลีโอน่ากับพระมารดาอีก โธ่...ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ!”

การยกพระหัตถ์ตบพระนลาฏตอนท้าย แสดงว่าผู้รับสั่งกำลังหนักพระทัย เพราะหาทางออกไม่ได้อย่างแท้จริง

นั่นทำให้คนฟังสงสาร แต่ก็ถึงกับหลุดสรวลเสียงดังอย่างไม่ทรงเคยเป็น

“อย่าห่วงเลย น้องพี่” ต้องทรงพยายามสะกดกลั้นยิ่งยวด ในเมื่อคนถูกขัน เริ่มเปลี่ยนจากการคับข้อง เป็นเริ่มขึ้ง

“เราจะยังไม่มีลูกตอนนี้แน่ๆ”

สายพระเนตรให้คำมั่น กลับก่อความสนเท่ห์ ผู้ให้คำตอบจึงต้องทรงเริ่มใหม่ โดยกระแอมกระไอนำเล็กน้อย

“คืออย่างนี้...” อีกครั้งที่ทรงโน้มเข้าไปกระซิบใกล้

“เรายังทำตามขั้นตอนไม่ครบ!”

สิ่งที่ไม่ทรงทราบว่า ควรจะดีพระทัยหรือเสียพระทัยดี คือหลังจากอีกฝ่ายสงสัยต่อไปไม่นาน เจ้าตัวก็ดูจะผุดกระบวนการอย่างวานก่อน อันได้แก่ไล่เลียง...ถามเอง ตอบเอง จนหาข้อสรุปได้ จากนั้นสุรเสียงใสๆ ที่ทรงสดับ จึงคือ

“จริงด้วยสิ...ก็มาโดยังว่า ตามขั้นตอนต้องถูกขังอยู่ในห้องหอด้วยกันนานสามวันนี่นะ เฮ่อ! ค่อยยังชั่ว อย่างนี้คงไม่มีอะไรในท้องแล้ว!”

. . . . . . . . . .



หลังจากนั้น เจ้าของคำคาดการณ์ ผู้มั่นพระทัยในความแม่นยำขององค์เองยิ่งยวด ถูกบังคับให้เสด็จไปสรงก่อน

กระนั้น ยังต้องเสียเวลากันอีกพอควร กว่าการแย้งวาทะในหัวข้อ ‘ความเหมาะสมของผู้ลำดับก่อน – หลัง’ กับทั้ง ‘ความเหมาะสมของคนที่ควรเป็นฝ่ายจัดแจงวราภรณ์’ จะจบลงได้โดยไม่ผิดความคาดหมาย คือผู้เคยทรงเถียงแพ้มาอย่างไร ก็ยังแพ้อยู่อย่างนั้น สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายต้องยอมเสด็จไป ทิ้งให้อีกฝ่ายทรงกระทำหน้าที่ ‘พ่อบ้าน’ ด้วยความเต็มพระทัยเสียเหลือเกิน

หลังจากเตรียมฉลองพระองค์ตัวเก่า พาดไว้เรียบร้อยสำหรับทั้งคู่ ผู้ที่คงแย้มน้อยแย้มใหญ่ในวงพักตร์ จึงยุรยาตรมาหยุดข้างบานหน้าต่าง ทอดสายพระเนตรทัศนาภายนอกโดยเพลิน

แสงสว่างที่เริ่มจัดขึ้นมากแล้ว ดุจจะเผยม่านทะมึน ที่คลี่ครอบอยู่แต่รัตติ ให้เห็นฉากตระการเกินกว่าคิดไว้

ไกลออกไป เนินดินลาดลงเป็นจังหวะลูกฟูก หมู่ไม้สลับสีเรียงราย โขดเขินน้อยใหญ่กระจายเกลื่อน ธาตุในเนื้อสะท้อนแสงอยู่วิบๆ ท่ามกลางผืนหญ้าสีตอง แต้มดอกเต่ง เนื่องไปจนสุดอาณา ซึ่งทอดจ่อม จมลงในแผ่นเงิน มีระลอกพลิ้วเป็นระยะมายิบๆ ต่อเมื่อห่างฝั่งไปไกลๆ จึงเรียบกริบละม้ายแผ่นกระจก จำลองภาพเทือกสิงขรสลับซับซ้อน สีเทาจางตัดขอบด้วยเส้นทอง มีเมฆสีกลีบกุหลาบลอยฟ่องหนุนโค้งฟ้า

สะพานดารกาลับเลือน

แทนที่ด้วยทิวทวิชาชาติ

สำเนียงแห่งชีวิตแว่วจากมุมนั้นมุมนี้ เหมือนโลกทั้งใบกำลังตื่นตระการ

ไก่ป่าขันมาโต้งๆ เสียงหึ่งๆ ของภมรเหนือหมู่ดอกไม้ ที่ถูกเลี้ยงสะพรั่งไว้ริมหน้าต่าง อีกไม่ช้า ทั้งตรงนี้และในทุ่ง จะค่อยขยับกลีบบานอย่างเกียจคร้าน สำเนียงหวานแห่งปักษะคลอเสนาะ ต่อเมื่อเงี่ยดีๆ ดุจจะมีเสียงหนึ่งคุ้นๆ กระนั้น

เสียงที่ผู้เคยเป็นเจ้าของ คงต้องคิด...

‘มัน’ ขับขานมาจากสรวงสวรรค์...

ไม่ทันเหลือบชะแง้ให้แน่พระทัย ความผ่อนคลายในพระอารมณ์ กลับถูกกระชากคืนด้วยอีกเสียง

สุรเสียงระทึกก้อง!

“มาโด?! มาโด!!!”

ต่อเมื่อทรงกระวีกระวาดมาถึงจุด ที่ผู้ตระหนกทรงหยุดวรกายสั่นอยู่ ผู้คุ้นชินต่อ ‘ลูกไม้’ เท่านั้น...ทรงรู้...

ก็อย่างที่เพิ่งรับสั่งนั่นล่ะ...

‘อาจมี ‘เหตุ’ ให้นานกว่านั้นก็ได้’

เกมใหม่ เริ่มต้นแล้วโดยสมบูรณ์!
. . . . . . . . . .
ปราปต์
4/11/12
.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 20:20:27




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com