Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลมหวนรัก ตอนที่ 3 + 4 (20%) vote ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 3



รักคือการเสียสละ หรือ เสียสละเพื่อให้ได้รัก




สายลมพลิ้วใบไม้ปลิวไสว หญิงสาวหลับตาเงยหน้าสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องลงกระทบดอกทานตะวันที่ปลุกอยู่เรียงรายเต็มทั่วทุ่ง สีเหลืองอร่ามตาดูเจิดจ้าสวยงามมากกว่าเวลาปกติยิ่งนัก นพรดาลืมตามองดูดอกไม้แสนโปรดโยกตัวไปมาตามสายลมคล้ายเต้นรำ ผุดยิ้มเมื่อเห็นเจ้าผีเสื้อตัวน้อยบินร่อนดอมดมดอกไม้เพื่อหาน้ำผึ้งแสนหวานไปสร้างรัง


อันที่จริงเธอจำไม่ได้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน หญิงสาวหันมองซ้ายขวาอย่างสงสัย แต่เมื่อหันหลังกลับไปมองเธอเห็นบ้านไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่ง หัวใจเต้นแรงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ก่อนจะได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักดังมาจากในบ้าน นพรดาขมวดคิ้วเมื่อจำได้ว่าเสียงหัวเราะนั้นคือเสียงของนิดาวรรณลูกสาวตัวน้อยของเธอ แต่...เสียงปริศนาอีกเสียงคือเสียงของใครกันล่ะ?


ว่าแล้วหญิงสาวไม่รอช้ารีบเดินตรงไปยังบ้านไม้ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขึ้นบันได ประตูไม้บานใหญ่หน้าบ้านถูกเปิดออก พร้อมกับนิดาวรรณกำลังถูกใครบางคนจูงมือเดินออกมา ทั้งสองพูดคุยถูกคอถึงแม้จะต่างวัยกันก็ตาม


หญิงสาวเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ส่องสว่างไสวกว่าเดิมคล้ายเป็นคำเตือน แสงสีขาวทำให้ดวงตาของหญิงสาวพร่ามัว นพรดาหรี่ตาพยายามมองว่าบุคคลปริศนานั้นคือใคร ก่อนจะเห็นขายาวของชายหนุ่มเดินคู่มากับนิดาวรรณ


ทั้งสองเดินลงบันไดตรงมาหาเธอ แต่เพราะแสงจากดวงอาทิตย์ที่สว่างเกินไปจึงทำให้หญิงสาวตาพร่ามัว แม้จะพยายามมองหน้าชายหนุ่มให้ชัดเจน แต่ทว่าเธอยิ่งกลับไม่สามารถลืมตาให้ได้มากกว่านี้ แสงส่องทั่วทุกมุมขาวโพลน ก่อนจะเห็นแค่ชายหนุ่มตรงหน้าส่งยิ้มให้เธอ


ทันใดนั้นคล้ายโลกทั้งใบดับมืดลง ภาพชายหนุ่มเด็กหญิงวับหายไปเหมือนไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก นพรดาใจเต้นแรงเมื่อไม่เห็นลูกน้อยยืนอยู่ที่เดิม หญิงสาวเอื้อมมือไปด้านหน้า พยายามไขว่คว้าค้นหาลูกน้อยสุดที่รักกลับคืนมา ตะโกนสุดเสียงด้วยความกลัว


“หนูนิด...หนูนิด!”


เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตนเอง น้ำใสคลอหน่วยอยู่บนนัยน์ตาหวาน ก่อนจะรินไหลลงมาอาบแก้ม


“หนูนิด...หนูนิด...ฮือๆ...ฮือๆ”


หญิงสาวร่ำไห้หนักขึ้นเมื่อไม่มีวี่แววของใครตรงหน้าสักคนเดียว เสียงร้องไห้สะอื้นดังก้องไปทั่วความมืด ความรู้สึกสับสน เศร้า เสียใจประดั่งประเดอยู่ในอก นพรดาอ่อนสิ้นกําลังล้มพับลงไปกับพื้น ดวงหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา


หัวใจของเธอแตกสลายเมื่อดวงใจสุดที่รักหายไปจากตรงหน้า เสียงร่ำไห้ยังคงดังไม่หยุดคล้ายอยากจะอ้อนวอนขอความเมตตาจากสวรรค์ ก่อนที่สมองและความนึกคิดของหญิงสาวจะดับลงด้วยความเหนื่อยล้า








“คุณดา...คุณดาคะ!”


นพรดาค่อยลืมตามองภาพตรงหน้าด้วยความอ่อนเพลีย หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเบาะเก้าอี้พลางกระพริบตาสองสามทีให้ชินกับแสงสว่างของโลกแห่งความเป็นจริง


แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนส่องสว่างไสวไปทั่วทุกมุมห้องทำงานส่วนตัวของหญิงสาว นพรดาส่ายหัวไล่ความมึนงงก่อนจะเห็นสโรชาเลขาฯส่วนตัวกำลังมองมาทีเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง


“คุณดาเป็นอะไรไปคะ บัวเข้ามาเห็นคุณดานอนหลับอยู่บนโต๊ะทำงาน แต่ท่าทางดูทรมานมาก คิ้วขมวดพันกันยุ่งไปหมดเลยค่ะ”


สโรชาเล่า นพรดาหันมองซ้ายขวาด้วยความไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นสิ่งของคุ้นตาวางอยู่จุดเดิมทั่วทุกมุมห้องที่คุ้นเคย เธอจึงยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตนเองแค่ฝันไป


นพรดาเงยหน้าส่งยิ้มให้เลขาฯสาว ก่อนจะเอ่ยโกหกปฏิเสธไป “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะบัว พี่ก็แค่เพลียจนเผลอหลับไปเท่านั้นเอง”


“แน่ใจนะค่ะ...ถ้าคุณดาไม่สบายบอกบัวเลยนะค่ะ...เดี๋ยวบัวไปเอายามาให้” เลขาฯสาวยังคงแสดงความเป็นห่วงเจ้านาย เธอตั้งใจนำเอกสารมาให้เจ้านายเซ็นชื่อรับทราบเรื่องการชุมประจำปีของบริษัท แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นนพรดานอนหลับฟุบอยู่กับโต๊ะ ใบหน้าและท่าทางของเจ้านายสาวดูเหนื่อยอ่อนแต่เจ็บปวดมาก จนเธอตกใจรีบปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เป็นไรจริงๆจ๊ะ” นพรดาเอ่ยปฏิเสธ สายตาเหลือบเห็นแฟ้มเอกสารใบโตในมือเลขาฯ จึงรู้สาเหตุที่เจ้าหล่อนเข้ามาในห้อง ก่อนจะเอ่ยทักเปลี่ยนเรื่อง “เอกสารเอามาให้พี่เซ็นใช่ไหมจ๊ะ...”


“อ๋อ...ใช่ค่ะ คือบัวเอาเอกสารแจ้งการประชุมประจำปีของบริษัทมาให้คุณดาเซ็นรับทราบค่ะ”


สโรชาพูดพลางวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ นพรดายิ้มรับเอื้อมมือหยิบเปิดอ่านอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที หญิงสาวจึงเซ็นชื่อลงบนกระดาษและปิดแฟ้มยื่นกลับคืนเลขาฯสาวตรงหน้า


“ขอบใจมากจ๊ะบัว”


“คุณดาแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” เลขาฯสาววกกลับเข้าเรื่องเดิม นพรดายิ้มน้อยๆพลางสายหน้าเบาๆ สโรชาจึงรู้หน้าที่ก้มหัวเคารพหญิงสาวเอ่ยขออนุญาตกลับไปทำงานที่ยังค้างคาต่อ


เสียงประตูถูกปิดลงสนิทตามเดิม นพรดาถอนหายใจอีกครั้งด้วยความโล่งอก แล้วก้มหน้ามองมือทั้งสองข้างของตนเองสักครู่ใหญ่ พลันหญิงสาวนึกย้อนถึงความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไป ความรู้สึกเจ็บปวดใจเจียนตายยังคงติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอ หัวใจตอนนั้นราวกับจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆเมื่อเห็นลูกน้อยสุดที่รักหายวับไปกับความมืด


แต่ที่หญิงสาวติดใจมากกว่าอะไรทั้งสิ้นก็คือชายหนุ่มปริศนาในความฝัน เพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์เธอจึงมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก แต่โครงสร้างลักษณะของใบหน้าตอนส่งยิ้มมาเธอกลับดูคุ้นตา...รู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน


นพรดาส่ายหัวแรงๆเมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าชายหนุ่มปริศนาในฝันคือใคร หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกเสียงดังก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารซึ่งวางไว้ข้างโตขึ้นมาอ่านทำงานต่อไป



เค้าว่ากันว่ามนุษย์เราอาจจะลืมคำบางคำ คนบางคนไปในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าคนๆนั้นเป็นคนสำคัญ...แม้เราจะพยายามลืมเขา แต่ภายใต้ก้นบึงของหัวใจ...คนๆนั้นยังถูกเก็บเอาไว้ตลอดเวลา


จนกว่าจะถึงวันที่เรา...ค้นพบหัวใจตนเอง








ภายในรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นใหม่ล่าสุด นพรดาเหลือบมองโชเฟอร์หนุ่มเป็นระยะตั้งแต่ก้าวขึ้นรถมา เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมองดูใกล้ๆอย่างพินิจพิจารณาแล้วชายหนุ่มนั้นหน้าตาหล่อเหลาขั้นสามารถเป็นดาราได้สบายๆ อีกทั้งรูปร่างสูงใหญ่สมมตราฐานชายไทย หญิงสาวไม่แปลกใจเลยที่เห็นเพื่อนสนิทของตนต่างกรี๊ดกร๊าดผู้ชายคนนี้


แต่ที่ทำเธอแปลกใจที่สุดก็คือเมื่อสโรชาโทรสายตรงเข้ามาบอกว่ามีคนรู้จักของเธอมาขอพบและรอเธออยู่ด้านล่าง คราแรกเธอนึกว่าอาจจะเป็นลูกค้าหรือเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย แต่พอเห็นชายหนุ่มยืนส่งยิ้มมาให้เธอ หัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบวาบ และยิ่งเหมือนถูกชายหนุ่มแกล้งเขย่าเล่นให้สั่นไหวเมื่อเธอถามเขาว่า


‘คุณวินรู้ได้ยังไงค่ะว่าดาทำงานอยู่ที่นี่?’


‘หัวใจผมบอกมานะครับ’


ใบหน้าจริงจังยามตอบคำถามของเขาดูอบอุ่นและจริงใจ หญิงสาวไม่อยากจะคิดเข้าข้างตนเองว่าชายหนุ่มพอใจและสนใจในตัวเธอ เพราะตนไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกรุ่นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา อายุอานามก็เลยสามมาแล้วสามปี ที่สำคัญเธอและเขาต่างเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน พบเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง


นพรดาเหลือบมองชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะหลบตาอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาของชายหนุ่มหันมาปะทะกับเธอเข้าพอดี หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าเธอแอบมอง! ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบเขาก็เป็นได้ หญิงสาวนั่งก้มหน้าคิดวิตกกังวลอยู่คนเดียวโดยไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มที่กำลังแอบมองอากัปกิริยาอันน่ารักของตนอยู่


วินธรขับรถพลางยิ้มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เขารู้ว่าหญิงสาวข้างๆแอบมองสังเกตเขามาสักพักแล้วตั้งแต่เขาจงใจไปรับเธอที่บริษัท ใบหน้าหญิงสาวตอนเห็นเขายืนรออยู่ตรงหน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์นั้นดูตกใจและสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเธอทำงานอยู่ที่นั่น ชายหนุ่มเองไม่อยากจะเชื่อว่าเธอนั้นแต่งงานและหย่าแล้ว เพราะกิริยาท่าทางของหญิงสาวนั้นยังเหมือนเด็กสาววัยรุ่นไม่ผิดเพี้ยน รวมทั้งใบหน้าสวยหวานจนต้องเหลียวหลังมองอีกรอบ


นพรดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยมากเพราะเครื่องสำอางที่ตกแต่งอยู่บนใบหน้าเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆทั่วไป แต่เป็นผู้หญิงที่สวยแบบพอดีด้วยใบหน้าของตนเอง เครื่องสำอางถูกตกแต่งบางเบาดูเป็นธรรมชาติ ผิวขาวเนียนละเอียดกับดวงตากลมโต ปากเรียวเล็กเข้ากับจมูกโด่งกำลังพอดี ถ้าให้เขาลองเดาอายุ เขาไม่มีทางเดาว่าเธอนั้นอายุเกินยี่สิบแปดแล้วแน่นอน ใบหน้าของหญิงสาวแสดงความอ่อนเยาว์มากกว่าอายุจริงอยู่หลายปีเลยทีเดียว


“ยิ้มอะไรค่ะ?”


นพรดาส่งสายตาค้อนเอ่ยถามชายหนุ่ม วินธรมองหน้าหญิงสาวก่อนจะหัวเราะแห้งๆ


“เปล่านี่ครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ


“เปล่าอะไรกัน ดาเห็นอยู่นะว่าคุณวินมองหน้าดาแล้วยิ้ม...หน้าดาตลกเหรอคะ?” หญิงสาวถามพลางยกมือเรียวขึ้นมาลูบคลำใบหน้าตนเองอย่างกังวล


วินธรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ถ้าผมจะยิ้มก็คงเป็นเพราะหน้าคุณดาตลกจริงๆนั่นแหละครับ...แต่ทั้งตลกและน่ารักด้วยนะ”


เสียงหัวใจเต้นแรงเหมือนกลองถูกตีดังอยู่ในหูหญิงสาว นพรดารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดตรงไปตรงมาของชายหนุ่มจนต้องเบือนหน้าหันไปมองกระจกหน้าต่างแทน เธอไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าจะมีผู้ชายแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ แม้แต่วรรณุอดีตสามีของเธอก็ไม่เคยชมเธอตรงๆต่อหน้าสักครั้ง คงจะมีแต่เขานี่แหละเป็นผู้ชายคนแรกที่ชมเธอต่อหน้าถ้าไม่นับเจนภพและคณะกรรมการตอนประกวดเป็นดาวคณะและดาวมหาวิทยาลัย


“พูดออกมาได้เนอะคนเรา” หญิงสาวบ่นอุบอิบเสียงเบา แต่มีหรือที่คนหูดีอย่างวินธรจะไม่ได้ยิน


ชายหนุ่มหูดียื่นหน้าเข้าไปใกล้โดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว ก่อนจะกระซิบเสียงเบาวิวถึงแม้จะอยู่กันแค่สองคนก็ตาม จนทำให้คนฟังขนลุกซู่


“ก็พูดจากใจนี่ครับ”


นพรดาหันมองชายหนุ่มอย่างตกใจ เธอจับแก้มและใบหูตนเองเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่เพิ่งจะพัดผ่านมา หญิงสาวเขินอายหน้าแดงอย่างปิดไม่มิด มองค้อนชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะกับปฏิกิริยาของเธอ


วินธรหัวเราะดังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทางตกใจของหญิงสาว เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบที่จะเห็นท่าทางแบบนี้จากเธอ แต่เขารู้แค่ว่าเขามีความสุขทุกครั้งและอยากจะเห็นอีกเรื่อยไป มันจะฟังดูแปลกมั้ยถ้าเขาบอกว่าเขาอยากจะเป็นคนเดียวที่หญิงสาวแสดงสีหน้าแบบนี้ใส่ ไม่ว่าจะทั้งโกรธ ยิ้ม ดีใจ หรือแม้กระทั่งร้องไห้


รถยนต์ยังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยมีสารถีหนุ่มหล่อเป็นคนบังคับ หลังจากประโยคเด็ดวินธรก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่ยังคงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีต่อไปเรื่อยๆ


นพรดาหันความสนใจตนเองโดยการจับจ้องมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างแทน เธอรู้สึกเหมือนโดนลมขนาดใหญ่พัดปลิวตัวเบาลอยละล่องอยู่บนอากาศ ท่าทางและคำพูดของชายหนุ่มข้างๆทำให้เธอรู้สึกเขินอายประหลาด เหมือนกับได้ย้อนวัยกลายเป็นสาวน้อยอีกครั้ง


เมื่อความเงียบถูกปกคลุมแทนที่ คนที่ทนไม่ไหวกลับกลายเป็นตัวหญิงสาวเอง ถึงแม้สายตาจะจ้องมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก แต่หัวใจของเธอกลับไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ตาเห็นเลยสักนิด ทว่ามันกลับเรียกร้องถึงชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆแทน ความรู้สึกอยากพูดคุยอยากใกล้ชิดก่อเกิดขึ้นโดยหญิงสาวไม่รู้ตัว และถึงต่อให้รู้ตัว เธอเองก็ไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ว่านั้นคือความรู้สึกเธอจริงๆ


“ขับไปทางไหนต่อครับ?” วินธรเอ่ยถาม นพรดาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองถนนด้านหน้า ชี้มือไปทางด้านขวาเพื่อบอกทางชายหนุ่ม


“เลี้ยวขวาด้านหน้า...ขับต่อไปสักพักก็ถึงโรงเรียนหนูนิดแล้วค่ะ”


เสียงสัญญาณเตือนถูกเปิดดังก่อนชายหนุ่มจะหักเลี้ยวรถอย่างเชี่ยวชาญ ไม่นานรถยนต์ก็ถูกขับมาถึงประตูรั้วขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ป้ายหินอ่อนข้างๆถูกสลักเขียนไว้ว่าโรงเรียนอนุบาลกาญศิลป์ ซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของเด็กหญิงตัวน้อยผู้ที่นำพาให้หญิงสาวและชายหนุ่มได้พบเจอกัน








“คูณแม่!”


นิดาวรรณตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นนพรดาเดินเข้ามาภายในรั้วโรงเรียนก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปหาคุณแม่คนสวยอย่างดีใจ หญิงสาวย่อตัวอ้าแขนรับลูกสาวสุดที่รักเข้ามากอดด้วยความสดชื่น เด็กหญิงหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กกะจี้เมื่อคุณแม่คนดีกอดหอมตนไปทั่วทุกมุมใบหน้า


“ว่าไงคะคนสวย...วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างเอ่ย” นพรดาเอ่ยถาม


“วันนี้หนูนิดเห็นปลาโลมาตัวหญ่ายมากๆด้วยค่ะ ปลาโลมากำลังว่ายอยู่ในน้ำ!”


นิดาวรรณเอ่ยตอบ ชูมือขึ้นทำท่าว่ายน้ำแบบที่คุณแม่เคยพาตนไปว่ายที่สระว่ายน้ำของหมู่บ้าน นพรดามองลูกสาวตัวน้อยพลางยิ้มกับความน่ารักไร้เดียงสา วินธรซึ่งตอนแรกยืนมองคู่แม่ลูกสนทนาอย่างเงียบๆยังอดยิ้มไม่ได้


“แล้วปลาโลมาก็พุ่งน้ำออกมาจากหัวด้วยค่ะ...มีเสียงฟู่ๆด้วย”


“เหรอครับ...เอ...แล้วหนูนิดอยากเห็นตัวจริงของปลาโลมาไหมครับ” วินธรเอ่ยถาม นิดาวรรณหันมามองบุคคลที่สามแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อจำได้ว่าชายหนุ่มคือใคร


“คุณอาเค้กฉ้ม!”


ชื่อใหม่ของชายหนุ่มถูกตั้งขึ้นสดๆร้อนๆโดยนิดาวรรณ นพรดาและวินธรเมื่อได้ยินต่างหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะกับชื่อประหลาดที่ดูน่ารักแบบประหลาดโดยเด็กหญิงตัวน้อย


“ใช่ค่ะ...คุณอาร้านขนมเค้กที่ให้เค้กหนูนิดทานอย่างอร่อยยังไงคะ...แต่ว่าคุณอาเค้าไม่ได้ชื่อว่าเค้กส้มนะคะ”


“อ้าว...คุณอาไม่ได้ชื่อเค้กฉ้ม...แล้วคุณอาชื่ออะไรละคะ”


นิดาวรรณเอ่ยถามอย่าสงสัย วินธรย่อตัวนั่งลงเคียงข้างนพรดา เมื่อมองดูจากภายนอกแล้ว อาจจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสามเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกที่อบอุ่นก็เป็นได้ สามีผู้หล่อเหลากับภรรยาแสนสวย และลูกสาวสุดน่ารัก


“คุณอาชื่อวินครับ...วินธร...เรียกสั้นๆว่าคุณอาวินนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกเด็กหญิง นิดาวรรณพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดตามชายหนุ่ม


“คุณอาวิน”


“ใช่ครับ...เก่งมากครับคนสวย”


วินธรยกมือลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู นพรดาหันมองลูกสาวตนเองกับชายหนุ่มพูดคุยเรื่องเค้กต่อด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข


หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวจึงพาลูกน้อยไปบอกลาอาจารย์ประจำชั้นเพื่อขอตัวกลับบ้าน ที่โรงเรียนของเด็กหญิงมีกฎห้ามพานักเรียนกลับบ้านก่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้ที่มีสิทธิ์พานักเรียนกลับได้นั้นจะต้องเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองเท่านั้น เพื่อป้องกันมิจฉาชีพทั้งหลายเข้ามาแอบลักลอบขโมยเด็กนักเรียน ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่นพรดาเลือกโรงเรียนนี้ให้ลูกน้อยเรียน เพราะเธอแน่ใจในระบบความปลอดภัยที่คุมเข้มสำหรับเด็กคนอื่นๆและลูกสาวของเธอ







ภายในร้ายขนมเค้กที่เปิดเพลงคลาสสิกคลอเบาๆ ช่างเข้ากับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและอ่อนหวาน ของตกแต่งทำมือถูกวางประดับประดาเอาไว้ตามมุมต่างๆของร้านมากกว่าครั้งแรกที่หญิงสาวเคยเข้ามา ภาพวาดทุ่งดอกทานตะวันดูจะสวยมากกว่าเดิมเมื่อรูปผีเสื้อและผึ้งตัวน้อยถูกวาดแต่งเติมเข้าไปดูสมจริงเป็นธรรมชาติ


“คุณแม่คะมีผีเสื้อด้วย” นิดาวรรณเอ่ยแล้วชี้นิ้วไปยังผนังอย่างตื่นเต้น


นพรดามองผนังซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้และสัตว์ตัวน้อยด้วยความสนใจ คล้ายเหลือเกิน...เหมือนกับภาพในความฝันของเธอหลุดออกมาสู่โลกความเป็นจริง ต่างกันก็ตรงที่ภาพวาดนี้ยังไม่ใช่ของจริงเท่านั้นเอง


“สวยไหมครับ...ญาติของผมเป็นคนมาวาดเอง”


วินธรเอ่ย ตอนนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนชุดมาใส่เสื้อสีขาวและหมวกแบบเชฟ ปาติซิเยร์เรียบร้อยแล้ว ความหล่อของเขาดูจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในชุดสีขาวสะอาดตา นพรดามองชายหนุ่มก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่าชุดนี้ช่างเหมาะกับเขาจริงๆ


“ญาติของคุณวินเป็นคนวาดเองเหรอคะ?”


“ใช่ครับ...ภาพวาดผนังทั้งร้านนี้ญาติของผมเป็นคนออกแบบและวาดเองทั้งหมด อีกทั้งของประดับตกแต่งเธอก็เป็นคนทำเองแล้วก็จัดวางเองด้วยครับ”


“โห! เก่งจังเลยนะคะ”


“ครับ” วินธรยิ้ม ก่อนจะอธิบายเพิ่ม “วันแรกที่คุณดามายังวาดไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เมื่อวานเธอมาวาดเพิ่มแล้วก็เอาของมาตกแต่งเพิ่ม...วันนี้ก็เลยอาจจะดูแปลกตาไปสักนิด”


“อ๋อ...แล้ววันนี้ญาติคุณวินไม่มาเหรอคะ?”


น่าแปลกที่หญิงสาวถามออกไป แต่เธอรู้สึกสนใจและอยากจะรู้จักกับเจ้าของผลงานการตกแต่งร้านเค้กของชายหนุ่มเหลือเกิน เธอรู้สึกเหมือนกับรู้จักคนๆนั้นมานาน ภาพวาดทุ่งทานตะวันนั้นราวกับถอดออกมาจากความคิดและจิตใจของเธอได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน


“ครับ ญาติผมเป็นอินทีเรีย ดีไซเนอร์ รับออกแบบและตกแต่งภายใน วันนี้เธอมีงานก็เลยไม่ได้มา แต่ถ้าว่างเธอมักจะมาที่นี่ครับ”


“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง”


นพรดาพยักหน้าเข้าใจ เธอค่อยๆเดินไล่ดูของประดับตกแต่งไปร้านไปเรื่อยๆ สิ่งของต่างๆไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา แก้ว แจกัน ทุกอย่างดูแปลกตาแต่กลับสวยงามอย่างบอกไม่ถูก


“เอ...ดูคุณดาจะสนใจญาติของผมนะครับ...มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


วินธรมองหญิงสาวอย่างสงสัย นพรดายิ้มแห้งๆด้วยความลำบากใจ ถ้าเธอบอกเหตุผลว่าที่เธอสนใจในตัวจิตรกรเอกผู้นี้เป็นเพราะญาติของเขาช่างวาดภาพได้ตรงกับความฝันของเธอจริงๆ ฝันที่ไม่ใช่แค่ความใฝ่ฝัน แต่เป็นฝันที่หลับแล้วฝัน ฟังดูมันจะแปลกประหลาดไปไหม แม้แต่ตัวของเธอเองยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้คล้ายคลึงกันขนาดนี้


“เปล่าหรอกค่ะ..เอ่อ...คือ...พอดีดาชอบพวกภาพวาดสีน้ำมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดาว่ามันมีเสน่ห์ดี!” หญิงสาวเลี่ยงตอบความจริง


“ครับ”


วินธรเอ่ยพลางมองหน้านพรดา มีบางสิ่งสะกิดใจชายหนุ่มว่าเธอไม่ได้พูดความจริง ชายหนุ่มเข้าใจว่าคนเราทุกคนมีเรื่องที่อยากจะเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียวหรือบางอย่างก็เป็นเรื่องยากที่จะพูด ที่สำคัญเธอกับเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน หญิงสาวอาจจะยังรู้สึกไม่สนิทกับเขา และเขาก็เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่คาดคั้นต่อ


“คุณแม่ค้าหนูนิดอยากทานเค้กฉ้ม!”


เสียงร้องเรียกจากนิดาวรรณทำให้วินธรและนพรดาต่างหันเหความสนใจจากบทสนทาเมื่อครู่มายังเด็กหญิงตัวน้อย


เมื่อทั้งคู่หันไปตามเสียงของเด็กหญิงจึงเห็นนิดาวรรณกำลังยืนเกาะดูตู้เค้กอย่างสนอกสนใจ ใบหน้าเปี่ยมความสุขของลูกสาวตัวน้อยทำให้นพรดาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามากอดด้วยความรักใคร่


“อยากทานก้อนไหนคะ?”


“ก้อนนั้นค่ะคุณแม่...ก้อนที่หญ่ายๆ...หญ่ายที่สุดเลย”


นิดาวรรณชี้ วินธรอมยิ้มก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังตู้เค้ก เปิดกระจกหยิบเค้กส้มที่เด็กหญิงตัวน้อยชี้ตักใส่จาน ถือไปยังโต๊ะไม้ที่เด็กหญิงวิ่งไปรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

จากคุณ : mollaly
เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 20:25:43




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com