Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทที่ 1 นักศึกษาใหม่ของสแตฟฟอร์ด vote ติดต่อทีมงาน

นักล่าแห่งรัตติกาล

สัญลักษณ์เลือด

บทที่ 1 นักศึกษาใหม่ของสแตฟฟอร์ด

ใบสีเขียวสดของเถาไอวี่ที่ห้อยระย้าลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่แกว่งไหวไปมาตามแรงลมอันเกิดจากการวิ่งผ่านของรถยนต์จำนวนมากที่ทะยอยเข้าไปในลานจอดรถของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ประจำเมือง แม้จะเป็นการเปิดภาคเรียนวันแรกแต่บรรดานักศึกษาชั้นปีที่สูงกว่ากลับมองรุ่นน้องหนุ่มสาวที่กำลังก้าวลงจากรถหรือเดินเข้ามาภายในอาคารเรียนอย่างไม่สนใจนัก พวกเขาปรายตามองวัยรุ่นบางคนที่ส่งเสียงทักทายกันดังลั่นอย่างนึกดูแคลนก่อนจะเดินหายเข้าไปในอาคารเรียนซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ภายใน

สแตฟฟอร์ดเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน นักศึกษาส่วนใหญ่ของที่นี่จึงมาจากผู้คนที่มีฐานะอยู่ในระดับชนชั้นสูงของสังคม แต่ก็ใช่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะเน้นรับนักศึกษาเพียงกลุ่มเดียว หากชนชั้นสามัญมีสติปัญญาและความสามารถมากเพียงพอก็สามารถเข้ามาศึกษาภายในสถานที่แห่งนี้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่คนในกลุ่มนี้จะก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยเท้าของพวกเขาเอง

เหล่านักศึกษาใหม่พากันเดินเข้าไปแสดงเอกสารเพื่อรายงานตัวต่อคณะของพวกเขาก่อนจะก้าวเข้าไปในหอพักซึ่งอยู่ภายใน พวกที่เดินทางมาด้วยตัวเองไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากนักเพราะเมื่อกรอกเอกสารเสร็จก็สามารถหิ้วสัมภาระขึ้นห้องพักได้ในทันทีต่างจากหนุ่มสาวที่มาจากตระกูลร่ำรวย เพราะนอกจากจะไม่สามารถจอดรถทิ้งไว้ภายในมหาวิทยาลัยได้แล้วพวกเขายังต้องหอบกระเป๋าเดินทางใบโตขึ้นไปยังห้องพักด้วยตนเอง เสียงลากกระเป๋าดังสลับกับเสียงบ่นกระปอดกระแปดดังระงมอยู่พักหนึ่งจนเมื่อทุกคนเข้าห้องพักจนเกือบหมดแล้วทุกอย่างจึงสงบลง ลานจอดรถที่คับคั่งไปด้วยยานพาหนะราคาแพงก็เริ่มโล่งขึ้นเมื่อเปล่าผู้ปกครองหรือผู้ติดตามทั้งหลายนำรถยนต์ทั้งหมดออกไป กระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ยามบ่ายเสียงกริ่งก็ดังขึ้น นักศึกษาชั้นปีหนึ่งทั้งหมดจึงออกจากห้องและลงไปรวมตัวกันภายในห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย

สัญญาณเสียงแหลมเล็กที่ดังอย่างยาวนานทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังเดินทอดน่องอยู่บนถนนเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น เขามองบานประตูโลหะขนาดใหญ่ที่มีตราสิงโตกับเปลวเพลิงกำลังเคลื่อนปิดลงอย่างเชื่องช้าด้วยสายตาตระหนกก่อนจะตะโกนเสียงดัง

“เดี๋ยวก่อน”

ชายในชุดสูทสีดำสนิทหันหน้ามามองและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนแสนธรรมดากำลังวิ่งเข้ามาหาพร้อมกระเป๋าสะพายเก่าคร่ำคร่าใบโต แม้จะยอมเปิดประตูให้แต่ยามรักษาความปลอดภัยู้นั้นก็ยังคงยืนขวางเอาไว้ไม่ยอมให้อีกฝ่ายก้าวล่วงเข้าไปด้านในได้โดยง่าย ดวงตาภายใต้แว่นสีเข้มมองผู้ที่กำลังยืนหอบหายใจตรงหน้าไล่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงเข้ม

“คุณเป็นใคร”

“ผมเป็นนักศึกษาของที่นี่”เด็กหนุ่มตอบและขมวดคิ้วเมื่อชายผู้นั้นมองอย่างไม่เชื่อเท่าใดนัก เขาจึงวางกระเป๋าเดินทางลงและล้วงมือลงไปควานหาอะไรอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงดึงจดหมายที่ค่อนข้างยับยู่ยี่ฉบับหนึ่งออกมา

“เอกสารรับรองของผม”

เขาพูดสั้นๆก่อนจะยื่นจดหมายฉบับนั้นส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษาประตู อีกฝ่ายรับไปเปิดดูและพูดสั้นๆ

“โทมัส เฮลเลอร์สไตน์”

“ชื่อเต็มคือโทมัส วิลเลี่ยม เฮลเลอร์สไตน์ นักศึกษาที่มีคะแนนสอบเข้าเป็นอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัย”

เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาทันควัน ยามรักษาการณ์เหลือบตาขึ้นมองเขาเหมือนไม่ชอบใจในคำพูดที่ดูเหมือนจะอวดโอ่แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าราบเรียบคล้ายไม่ใส่ใจในสิ่งที่พูดเท่าใดนักของอีกฝ่ายผู้รักษากฏจึงรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่คำอธิบาย เขาจึงพับจดหมายยื่นส่งคืนให้พร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“เท่าที่รู้ดูเหมือนคนที่มีคะแนนสอบเข้าสูงที่สุดชื่อคริสโตเฟอร์ วินเก็ต”

เด็กหนุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อโทมัสไม่พูดอะไร เขารับจดหมายยัดกลับลงไปในกระเป๋าตามเดิมจากนั้นจึงเหวี่ยงมันขึ้นสะพายไว้บนไหล่

“ผมเข้าไปได้หรือยัง”

ยามรักษาการณ์มองเขาอยู่อึดใจก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดทางให้พร้อมกับผายมือ

“เชิญ”

โทมัสขยับตัวแต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินก็ต้องหยุดเมื่อคนในสูทสีดำกล่าวเสียงเรียบเหมือนเป็นเชิงบอก

“ตอนนี้ทุกคนอยู่ในห้องประชุม คุณควรตรงไปที่นั่นก่อน”

เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อหันมามองอีกฝ่ายและกล่าวคำขอบคุณสั้นๆก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังอาคารที่ยามชี้ เมื่อเห็นนักศึกษาหนุ่มเดินไปไกลพอสมควรแล้วยามรักษาการณ์ผู้นั้นจึงหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาและกรอกคำพูดลงไป

“เด็กคนนั้นมาถึงแล้วครับ” เขานิ่งฟังจนกระทั่งผู้ที่อยู่ปลายสายกล่าวจบจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม

“รับทราบครับท่าน”

เขาเก็บวิทยุติดต่อกลับเข้ากระเป๋าและหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้าวเข้าไปในอาคารเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยอีกยามรัษาการณ์ผู้นั้นจึงเดินกลับเข้าไปในป้อมเพื่อกดปุ่มปิดประตู เสียงครืดของลูกล้อที่เคลื่อนผ่านพื้นคอนกรีตฟังคล้ายเสียงของคมมีดที่กรีดผ่านแผ่นหิน และเมื่อบานโลหะทั้งสองกระทบกัน เสียงกึงกังของมันเปรียบประดุจสัญญาณบอกให้รู้ว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป สถานที่แห่งนั้นจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แม้จะไม่ตลอดไปแต่ก็ชั่วระยะเวลาที่นานพอสมควร

เสียงกังวานของประตูเหล็กดังสะท้อนกับผนังอาคารที่เป็นอิฐได้ยินไปจนถึงห้องประชุมที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของมหาวิทยาลัย มือของโทมัสที่กำลังผลักประตูไม้หนาหนักชะงักไปเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองทางด้านหลังและทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของใครบางคนจากด้านข้างเด็กหนุ่มจึงยุติความคิดทั้งหมดลงและหันไปมองสุภาพสตรีวัยกลางคนที่ยืนมองเขาด้วยความแปลกใจ

“เธอเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในนี้”

เธอถามหลังจากไล่ดวงตาสำรวจเขาอย่างลวกๆตั้งแต่หัวจรดเท้าไปหนึ่งรอบ โทมัสกระชับมือข้างที่ถือกระเป๋าเล็กน้อย

“โทมัส เฮลเลอร์สไตน์นักศึกษา...”

“โทมัส วิลเลี่ยม เฮลเลอร์สไตน์ เด็กที่ได้คะแนนสอบเข้าสูงที่สุดใช่ไหม” สุภาพสตรีท่านนั้นพูดขัดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสูงพลางใช้มือข้างหนึ่งผลักบานประตู “มัวรออะไรอยู่รีบเข้าไปหาที่นั่งเร็ว”

เธอพูดเสียงดุก่อนจะก้าวนำเข้าไปด้านในและเดินเลยไปยังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นสุภาพสตรีท่านนั้นหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ระหว่างผู้ทรงคุณาวุฒิโทมัสจึงรู้ว่าเธอคือหนึ่งในอาจารย์ของมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มรีบกวาดตามองหาที่นั่งและพบเก้าอี้ในแถวสุดท้ายเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงว่างอยู่ ไม่รอช้าเขารีบเดินเข้าไปนั่งอย่างว่องไวเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้บรรยายซึ่งกำลังกล่าวคำต้อนรับอยู่บนแท่นกลางเวทีได้เอ่ยขึ้น

“ขอเชิญศาสตราจารย์อลัน เฟดเดอริก ฟอกซ์แมน อธิการบดีของมหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดขึ้นกล่าวโอวาทกับนักศึกษาใหม่”

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อสุภาพบุรุษผู้มีเรือนผมสีดอกเลาก้าวขึ้นไปบนเวที เขากล่าคำขอบคุณผู้บรรยายสั้นๆก่อนจะวางมือทั้งสองข้างลงบนแท่นและกวาดตามองนักศึกษาภายในห้องประชุมหนึ่งรอบก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน

“กล่าวกันว่าหนุ่มสาวคือตัวแทนแห่งความเฉลียวฉลาดและความแข็งแกร่ง ผมเห็นด้วยในข้อนั้นเพราะนักศึกษาของเราทุกรุ่นที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่มีสติปัญญาที่น่ายกย่อง ออกจะเป็นการพูดที่เหมือนเป็นการเข้าข้างตัวเอง แต่ผมมั่นใจและกล้าที่จะบอกว่านักศึกษามหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดทุกคนมีความสามารถเหนือกว่ามหาวิทยาลัยอื่นมากมายนัก เพราะทุกคนที่จบจากที่นี่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ การค้าและการเมือง”

เขาหยุดเว้นระยะและมองนักศึกษาทุกคนอีกครั้ง

“ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝน และการพัฒนาตัวเองที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการแข่งขัน พวกเธอทุกคนอาจจะสอบผ่านจนสามารถเข้ามานั่งฟังคำพูดของผมในห้องประชมอันแสนสวยงามแห่งนี้แต่ใช่ว่าจะก้าวออกไปจากมหาวิทยาลัยพร้อมปริญญาบัตรอันทรงเกียรติได้ทุกคน การเรียนในมหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดก็เหมือนการก้าวเข้าสู่สมรภูมิที่มีสมองเป็นอาวุธ ใครอ่อนแอก็จะแพ้พ่าย แต่สนามรบของพวกเราไม่มีคนตาย ใครสู้ไม่ได้ก็จะหลุดพ้นจากสภาพนักศึกษาทันที”

เสียงฮือของเหล่านักศึกษาดังแทรกขึ้นมา ศาสตราจารย์ฟอกซ์แมนยืนรอจนกระทั่งทุกคนเงียบเสียงลงจึงกล่าวต่อ

“เพื่อพิสูจน์ว่าพวกคุณพร้อมที่จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดมากแค่ไหน เราจึงเริ่มต้นการเปิดภาคเรียนด้วยการสอบทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาสามอาทิตย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด”เขายกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเมื่อเห็นนักศึกษาบางคนขยับตัวเหมือนจะตั้งคำถาม

“ฟังดูอาจจะหนัก แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าชีวิตจริงของคนเราหนักหนาสาหัสกว่าการสอบของมหาวิทยาลัย ดังนั้นผมจึงขอให้ทุกคนตั้งใจทำข้อสอบเพราะตระกูลอันสูงส่งหรือทรงเกียรติทั้งหลายจะไม่มีวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเธอได้แม้แต่นิดเดียว คะแนนจากการสอบทุกครั้งจะถูกเก็บและนำมาประมวลผลเพื่อแยกนักศึกษาออกเป็นสามกลุ่ม พวกที่มีคะแนนสูงที่สุดจะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มจักษุดารา”

มือผอมซีดผายไปยังโล่ที่มีรูปดาวกับดวงตาที่ประดับอยู่บนผนังด้านข้าง

“คะแนนรองลงมาจะได้เข้าร่วมกลุ่มอหังการ์ราชสีห์และไพรีตรีศูลตามลำดับ ขอบอกไว้ก่อนว่าการจัดแบ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นเพียงการคัดเลือกความสามารถและความถนัดเท่านั้นไม่ใช่การแบ่งแยกลำดับชั้นแต่อย่างใด นักศึกษาในแต่ละกลุ่มจะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานร่วมกันและจะถูกแยกให้เข้าเรียนในคณะที่เหมาะสมในชั้นปีที่สูงขึ้น ส่วนพวกที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์จะได้รับอนุญาตให้เรียนในมหาวิทยาลัยต่อได้อีกระยะหนึ่งจากนั้นจึงจะมีการสอบอีกครั้งซึ่งหากสามารถทำคะแนนได้ดีก็จะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษอีกครั้ง ส่วนพวกที่ไม่ผ่านก็คงจะต้องกล่าวคำอำลา”

เขาเปิดรอยยิ้มบนมุมปากเมื่อเห็นนักศึกษาบางคนมีสีหน้าหวาดกลัวและอีกหลายคนหันไปมองหน้ากันด้วยความหนักใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนมั่นใจในตัวเองว่าสามารถผ่านการสอบอันหนักหนาสาหัสเหล่านั้นไปได้ หลังจากปล่อยให้นักศึกษาตกอยู่ในความวิตกกังวลอยู่ชั่วอึดใจศาสตราจารย์ฟอกซ์แมนจึงกล่าวสรุป

“เมื่อทุกคนเข้าใจกันดีแล้วผมคงต้องขอยุติการกล่าวโอวาทไว้เพียงเท่านี้และขอกล่าวกับนักศึกษาทุกท่านอีกครั้งว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่มหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ด”

เขายกมือขึ้นรับการปรบมือของเหล่านักศึกษาก่อนจะก้าวลงจากเวทีจากนั้นอาจารย์อีกท่านจึงก้าวขึ้นมากล่าวแจกแจงถึงกฏระเบียบของมหาวิทยาลัยก่อนจะปิดการปฐมนิเทศน์และปล่อยนักศึกษาทุกคนกลับขึ้นหอนอน

โทมัสนั่งรอกระทั่งทุกคนออกจากห้องไปจนหมดจึงคล้องสายกระเป๋าไว้กับไหล่จากนั้นจึงลุกขึ้น ตอนแรกเขาตรงไปยังห้องทะเบียนเพื่อแจ้งการมาและขอทราบหอพักพร้อมกับหมายเลขห้องแต่เมื่อไปถึงเขากลับไม่พบเจ้าหน้าที่สักคนเนื่องจากตอนนั้นเลยเวลาทำการไปมาก หลังจากยืนรีรออยู่ครู่ใหญ่โทมัสจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องประชุมด้วยหวังว่าจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์แต่เมื่อไปถึงเขาก็พบแต่ห้องที่ว่างเปล่า เด็กหนุ่มถอนใจออกมาด้วยความผิดหวังก่อนจะเดินออกจากห้องและยืนนึกทบทวนจนคิดได้ว่าบางทียามรักษาการณ์อาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับห้องพักนักศึกษาอยู่บ้าง คิดได้ดังนั้นแล้วเขาจึงเตรียมจะย้อนกลับไปยังป้อมยามหน้ามหาวิทยาลัยแต่เพียงเดินไปได้แค่สองสามก้าวก็ต้องหยุดเมื่อใครบางคนร้องเรียก

“ทอม”

โทมัสขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจและหันกลับไปมอง คิ้วที่ขมวดเมื่อครู่เลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เรียกกำลังเดินยิ้มร่าเข้ามาหา

“คริส”เขาเอ่ยทักพร้อมกับส่งมือให้กับเด็กหนุ่มผมสีทอง อีกฝ่ายกระชับมันแน่นและตบไหล่เขาค่อนข้างหนัก

“นึกไม่ถึงเลยว่าจะเจอนายที่นี่แต่ก็ไม่แปลกใจหรอกที่เห็นนายในสแตฟฟอร์ด” คริสกล่าว
ด้วยสีหน้าทีเต็มไปด้วยความยินดี โทมัสโคลงหัวไปมา

“ความจริงฉันเองก็ไม่คิดจะมาเรียนต่อที่นี่ แต่มีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ฉันปฏิเสธไม่ได้”เขามองเพื่อนที่อยู่ในเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยพลางเอ่ยชม”นายเหมาะกับชุดนี้มาก ตอนที่ได้ยินชื่อนักศึกษาที่มีคะแนนสอบเข้าสูงสุดอีกคน ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าจะต้องเป็นนาย”

“คะแนนสูงสุดอะไรกัน นายก็ทำได้เท่ากับฉันนั่นแหละ แต่น่าเสียดายอยู่อย่างที่ห้องพักของเราอยู่กันคนละตึกไม่อย่างนั้นคงได้เลี้ยงฉลองกันสนุกไปเลย”คริสพูดกลั้วหัวเราะและชะงักค้างเมื่อเห็นเพื่อนตีหน้ายุ่ง”ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะห้องพักของตัวเองอยู่ที่ไหน”

“ฉันไม่เข้าใจ”คริสนิ่งไปอีกครั้งและทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้”อย่าบอกนะว่านายยังไม่ได้รายงานตัว”

“ก็ทำนองนั้น พอดีเกิดปัญหาระหว่างการเดินทางนิดหน่อยฉันเลยมาช้า”โทมัสพูดพลางพยักหน้าไปทางห้องทะเบียน”กว่าจะมาถึงเขาก็ปิดทำการกันจนหมดแล้ว”

คริสยืนนิ่งฟังจนอีกฝ่ายพูดจบ เขาหัวเราะร่วนอย่างขบขันก่อนจะว้ากระเป๋าของเพื่อนมาถือไว้และเริ่มออกเดิน

“นายจะไปไหน”

โทมัสร้องถามด้วยความสงสัย คริสเอี้ยวตัวกลับมาตอบ

“พานายไปห้องพัก”

พูดจบเขาก็เดินนำออกไป โทมัสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกขณะก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวจนตามเพื่อนทัน

“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ห้องไหน”

“แอบดูจากเอกสารตอนพวกอาจารย์เผลอ”คริสตอบพร้อมกับร้องเพลงเบาๆ โทมัสมองหน้าเพื่อน

“นี่นายยังไม่เลิกนิสัยเก่าๆนั่นอีกเหรอ”

“จะเก่ายังไงก็มีประโยชน์เสมอ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้ว่าคู่แข่งอีกคนก็คือนาย และรู้ด้วยอีกว่านายได้อยู่ห้องพิเศษ”

พูดพลางชี้มือไปยังอาคารทรงเก่าแก่ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นรายล้อมโดยรอบ บรรยากาศมืดสลัวยามเย็นทำให้มันมองดูคล้ายปราสาทผีสิงไม่มีผิด แต่ดูเหมือนโทมัสจะไม่สนใจสภาพแวดล้อมทั้งหมดเท่าใดนัก เขามองอาคารที่ถูกดัดแปลงให้เป็นหอพักนักศึกษานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปถามเพื่อน

“แล้วหอของนายอยู่ที่ไหน”

“นั่นไง”คริสตอบพลางพยักหน้าไปยังตึกสีขาวที่ดูกว้างขวางและโอ่โถงกว่าตึกของโทมัสราวฟ้ากับดินและพูดต่อด้วยน้ำเสีบงเชิงประชด “หอพักของพวกชนชั้นสูง”  

สีหน้าและคำพูดของเพื่อนทำให้โทมัสอดหัวเราะไม่ได้

“นึกว่านายจะปลื้มไปกับมันเสียอีก”

“ปลื้มกับไอ้ตึกรูปทรงประหลาดนี่น่ะเหรอ” คริสพูดเสียงลั่นและพ่นลมหายใจออกมา”ถ้าเปลี่ยนได้ฉันจะขอไปนอนในโบสถ์”

“นายพูดเหมือนที่นั่นเลวร้ายมาก” โทมัสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย คริสเบ้หน้า

“คำว่าเลวร้ายยังน้อยไป คนพวกนั้นแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างน่ารังเกียจ ขนาดวินเก็ตของฉันเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งยังไม่วายโดนเหยียดว่ามันก็แค่ระดับพ่อค้า”

เขาหยุดพูดเมื่อเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งเดินสวนทางมา หนึ่งในนั้นเอ่ยปากทักทายคริส
อย่างสนิทสนมแต่พอเห็นโทมัสในเครื่องแต่งกายที่เกือบจะเรียกได้ว่าสุดแสนจะธรรมดา ทั้งหมดก็ย่นจมูกและมองเขาด้วยหางตาอย่างเหยียดหยาม เมื่อทั้งหมดคล้อยหลังห่างไปมากพอสมควร คริสจึงกระแทกลมหายใจออกมาค่อนข้างแรง

“มีหวังฉันโดนสอบสวนหนักแน่”

“หมายความว่ายังไง”โทมัสถามด้วยความสงสัย คริสยักไหล่

“พวกที่เพิ่งเดินสวนเราไปเป็นกลุ่มเลือดสีน้ำเงิน เป็นพวกแสบที่สุดในมหาวิทยาลัย”เขาหยุดคำพูดและมองหน้าเพื่อนเหมือนนึกขึ้นได้”จริงสินายเพิ่งมาถึงคงไม่รู้เรื่องการแบ่งแยกกลุ่ม”

“ก็พอจะรู้มาบ้าง”โทมัสพูดสวนขึ้นมาแทบจะทันที”พวกลูกผู้ดีมีเงินที่รวมตัวกันเพื่อยกสถานะของตัวเอง ได้ยินมาว่าบางคนฉลาดปราดเปรื่องจนน่ากลัวแต่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีมันสมองไม่มากไปกว่าลิงชิมแปนซี”

คริสอ้าปากค้างและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น

“ปากร้ายไม่เคยเปลี่ยน แต่นายต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดีเพราะมีเด็กระดับชนชั้นสามัญหลายคนอยากจะเข้าร่วมกับพวกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินจนถึงขนาดยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนพวกนั้นยอมรับ ฉันหมายถึงการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบกับเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน”

“ฉันพร้อมรับมือกับคนพวกนั้นเสมอ”โทมัสพูดด้วยใบหน้านิ่ง หากมีแสงสว่างมากกว่านี้
คริสคงได้เห็นประกายกร้าววาววับอยู่ในดวงตาสีฟ้าสวย

“นายยังไม่เข้าใจ ฉันเชื่อว่าระดับมันสมองอย่างนายได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มจักษุดาราแน่ ตอนนั้นแหละที่พวกเลือดสีน้ำเงินจะยื่นข้อเสนอให้นายเข้าร่วมกลุ่ม ซึ่งถ้าหากปฏิเสธนายอาจจะถูกกดดันสารพัดรูปแบบดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นโดนทรมาน”

“เอาไว้ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน”โทมัสพูดเสียงเย็นและชะงักเท้าไว้ที่เชิงบันได “ขอบใจนายมากที่อุตส่าห์พามาส่งจนถึงที่ พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

ทั้งคู่ผลัดกันตบไหล่ของอีกฝ่ายแทนการกล่าวคำอำลา โทมัสมองจนกระทั่งคริสเดินไปไกลพอสมควรจึงหันกลับไปมองตึกสูงทะมึนตรงหน้า แม้จะดูเก่าแก่กว่าตึกสีขาวที่เป็นหอพักของคริส แต่ลักษณะและรูปแบบของตัวอาคารบ่งบอกว่ามันเคยเป็นเคหสถานของคนในระดับชนชั้นขุนนางมาก่อน สังเกตได้จากกรอบปูนปั้นรูปสี่เหลี่ยมเหนือซุ้มทางเข้า แม้จะผุกร่อนไปมากแต่ก็พอจะดูออกว่ามันเป็นรูปราชสีห์กับหอกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิง ตัวตึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมทึบแยกออกเป็นปีกทั้งสองข้าง ตรงเชิงบันได้ทางขึ้นมีรูปปั้นของสัตว์ที่ดูคล้ายกับมังกรผสม:-)ำลังยืนจ้องมนุษย์ทุกคนที่ก้าวล่วงล้ำเข้าไปในอาคารด้วยดวงตาศิลาแข็งกระด้างข่มคนใจอ่อนให้ขวัญกระเจิง

เมื่อเดินเข้าไปด้านในโทมัสก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานพร้อมเอกสารกับกุญแจพวงหนึ่ง ราวกับรู้ว่าผู้มาใหม่คือใคร เธอเลื่อนทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาทาเขาทันทีพร้อมปากกา หลังจากกรอกข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดรวมทั้งลงลายมือชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่นางนั้นจึงเดินนำเขาขึ้นไปยังห้องพักซึ่งด้านริมชั้นบนสูด พอก้าวเข้าไปในห้องโทมัสก็ต้องต้องแปลกใจอีกครั้งที่ไม่พบเพื่อนร่วมห้องเลยสักคน

“ผมได้อยู่ห้องส่วนตัวหรือครับ”

“มันเป็นสิทธิพิเศษสำหรับนักศึกษาที่มีคะแนนสูงสุด” เธอทำท่าจะปิดประตูและหยุดชะงักเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“มื้อเย็นของที่นี่คือเวลาทุ่มครึ่ง ห้องอาหารอยู่ชั้นล่างทางปีกตะวันออก กรุณาไปให้ตรงเวลา”

ผู้ดูแลตึกพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ก่อนปิดประตูและเดินจากไป โทมัสยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าลงบนเตียงจากนั้นจึงเดินไปที่หน้าต่างห้องเพื่อมองทิวทัศน์โดยรอบพลางนึกถึงคำของผู้ดูแลตึกที่กล่าวเมื่อครู่ คำว่าสิทธิพิเศษอาจจะฟังดูเลิศหรูในความรู้สึกของคนทั่วไปแต่สำหรับเขาแล้วมันก็เป็นแค่คำป้อยอเอาใจประโยคหนึ่งเท่านั้น เพราะตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นประถม โทมัสมักจะได้รับคำชมหรือของรางวัลจากผลการเรียนดีเด่นเป็นประจำ แต่เพราะความเป็นเด็กกำพร้า แม้จะได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นแต่เขาก็มักจะโดนเพื่อนร่วมห้องรวมหัวกันตั้งข้อรังเกียจและหาทางกลั่นแกล้งเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความที่มีมันสมองฉลาดล้ำกว่าคนอื่น คนเหล่านั้นจึงโดนเขาตอบโต้กลับด้วยวิธีแยบยลอยู่เสมอจนในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเขา ยกเว้นคริส เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่มีน้ำใจเดินมาส่งเขาถึงตึกนอน

คริส มีชื่อเต็มว่าคริสโตเฟอร์ เอียน วินเก็ต บุตรชายคนเดียวของตระกูลวินเก็ตผู้มั่งคั่ง แน่นอนว่าครอบครัวของคริสไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มขุนนางเก่าแก่หรือผู้ดีมีตระกูลแต่เพราะความมั่งคั่งซ้ำเครือญาติของพวกเขาหลายคนดำรงตำแหน่งระดับสูงในสภา พวกชนชั้นสูงทั้งหลายจึงพร้อมใจกันอ้าแขนต้อนรับวินเก็ตเข้ากลุ่มอย่างไม่รังเกียจรังงอน

โทมัสพบคริสครั้งแรกตอนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 เวลาเที่ยง ที่จำช่วงเวลาได้แม่นเพราะตอนนั้นเขากำลังถูกกลุ่มอันธพาลประจำโรงเรียนกลั่นแกล้งอยู่พอดี แต่ด้วยมันสมองอันชาญฉลาด โทมัสจึงสามารถตอบโต้เด็กเหล่านั้นด้วยวิธีการแสบสันชนิดที่ไม่มีครูคนใดเอาผิดเขาได้ แต่ในระหว่างที่กำลังยืนชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่นั้นเขาก็ถูกหนึ่งในกลุ่มอันธพาลย่องเข้ามาทำร้ายโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่คริสเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็คงเจ็บหนักหรืออาจจะกลายเป็นคนพิการไปเลยก็ได้ การกระทำของคริสทำให้โทมัสบังเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามันสมองของเขารวยล้นมากกว่าทรัพย์สมบัติ โทมัสจึงยอมรับคริสเป็นเพื่อนในที่สุด ทั้งคู่มักจะไปไหนด้วยกันเสมอ จนคนทั้งโรงเรียนตั้งฉายาพวกเขาว่าฝาแฝดวินเก็ตเฮลเลอร์สไตน์ มิตรภาพของทั้งสองดำเนินอย่างเหนียวแน่นกระทั่งจบมัธยมปลายพวกเขาจึงจำต้องจากจากกันโดยคริสโตเฟอร์เลือกที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดส่วนโทมัสเตรียมเดินทางไปศึกษาต่อที่เยล

แต่เพราะจดหมายจากผู้มีพระคุณเพียงฉบับเดียวพร้อมข้อความสั้นๆแค่ไม่กี่บรรทัดโทมัสจึงยอมละความฝันทั้งหมดและเบนเข็มมายังสแตฟฟอร์ดอย่างปราศจากความลังเล

ที่โทมัสยินดีทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะการทดแทนบุญคุณ แต่เป็นการกระทำด้วยความเต็มใจเพราะตั้งแต่จำความได้เขาวนเวียนอยู่ในระบบบ้านอุปถัมภ์มาโดยตลอด จนเมื่ออายุ 8 ขวบท่านผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นและแนะนำเขากับครอบครัวเฮลเลอร์สไตน์ แม้จะไม่ใช่คนร่ำรวยแต่ความอบอุ่นของบุคคลที่เรียกตนเองว่าพ่อกับแม่ทำให้โทมัสรู้จักคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง และที่สำคัญท่านผู้นั้นมักจะติดต่อสอบถามความเป็นอยู่อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาเรื่องการเรียนให้กับเขาเสมอ

ความกรุณานี้ทำให้โทมัสยอมสละมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดและทำทุกอย่างตามที่ผู้มีพระคุณร้องขอ อย่าว่าแต่ภารกิจที่รับมอบหมาย ต่อให้ทำมากกว่านี้เขาก็ยินดีแม้สิ่งนั้นจะต้องสละด้วยชีวิตก็ตาม

โทมัสทอดสายตามองดวงอาทิตย์สีแดงส้มที่คล้อยต่ำลงพลางปล่อยความคิดทั้งหมดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล เพราะมีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่รอบคอของเขายังปราศจากห่วงโซ่ของภารกิจ เมื่อแสงตะวันยามเช้าของวันใหม่ปรากฏขึ้น ทุกย่างก้าวของเขาก็กลายเป็นการเดินอยู่บนคมมีดซึ่งพร้อมที่จะปลิดชีวิตของเขาได้ทุกเวลา

*/*/*/*/*/*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 22:53:00




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com