Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๑๐-๑๑ ]]] vote ติดต่อทีมงาน

[[[ เพลิงสายลม ปฐมบท และบทที่ ๑ ]]]  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12838440/W12838440.html
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๒-๓ ]]]  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12841643/W12841643.html
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๔-๕ ]]] http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12849051/W12849051.html
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๖-๗ ]]] http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12859995/W12859995.html
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๘-๙ ]]]  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12874535/W12874535.html
-----------------------------------------------------------------------

[จากคนเขียน-- ขอบคุณทุกกิ้ฟ และคอมเมนต์นะคะ]

กระรอกเมือง-- เชิญติดตามค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านนะคะ ^_^

mamahuhu-- พระเอกเรื่องนี้เป็นพระเอกที่คนเขียน "ควบคุมได้ยากที่สุด" ที่เคยเขียนมาค่ะ รู้สึกว่าตัวตนเขาชัดมว้ากกกก เขียนฉากเขาทีไรเหมือนโดนเขาควบคุมแทนที่เราซึ่งเป็นคนเขียนจะควบคุมเขา ส่วนพระเอกคางมนก็.. เอาเป็นว่ามองจากมุมนางเอกแล้วมันมนก็แล้วกันนะคะ (แถไปเรื่อยเล้ย...) ขอบคุณสำหรับกิ้ฟมากมายที่ให้กันค่ะ


===============================================


บทที่ ๑๐

“คุณพอจะออกไปข้างนอกไหวมั้ย วันนี้.. เราอาจมีธุระต้องออกไปพบคุณตาของผมด้วยกัน”

“หา...”

จู่ๆ เคมินก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นในระหว่างมื้อเช้าที่อราลีได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มแล้วตื่นมาอย่างสดชื่น เธอค่อยๆ สงบเสงี่ยมขึ้นมากเมื่อรู้ว่าตัวเองควรพักผ่อนสักพักในเขตบ้านของเคมินอย่างที่เขาเคยบอกเธอเอาไว้ ซึ่งตอนนี้เธอพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าการอยู่ใน ‘เขตของเขา’ อย่างน้อยเธอก็จะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ..ปลอดภัยจากอิทธิพลมืดของลูกสาวเจ้าพ่อเปาเชิงหวาที่ตามอาฆาตเธอคนนั้น ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอรับทราบทีหลังว่านายสองคนนั้นคือสมุนของทาช่านั่นเอง

“คุณตาของคุณ.. ที่ว่าเป็นนายพล..” อราลีทวนความจำเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมา

“เคยเป็น” ชายหนุ่มตัดบทขึ้น “ตอนนี้ท่านเกษียณไปนานแล้วเพราะอายุก็มากขึ้นทุกที ไม่ได้มีบทบาทอะไรในกองทัพวายัณอีก หลังเกษียณท่านก็หันมาอยู่ฝ่ายปกครองของปางแก้วแห่งนี้เพราะเป็นเมืองใหม่ที่เราพยายามสร้างให้เป็นที่รองรับประชากรของวายัณที่ต้องการที่ทำกิน”

อราลีพยักหน้าหงึกๆ คงเป็นดังที่เพื่อนรุ่นน้องชาวไทยใหญ่เล่ากรอกหูให้ฟังถึงแผนการพัฒนาชีวิตประชาชนเชื้อสายวายัณที่ได้มีการขยายตัวเมืองจากเมืองหลักเดิมมาสู่เมืองใหม่ทางตอนใต้แห่งนี้ และชื่อของขุนพลซอหม่องลูก็มักจะถูกเอ่ยพร้อมกับเคมินเสมอ เท่าที่ฟังดูจะเป็นนายพลคนดังของดินแดนวายัณ และยิ่งสำหรับปางแก้วนี้..อราลีเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนเขตอิทธิพลของคุณตาเขาเลยทีเดียว

“อย่าคิดว่าคุณตาผมเป็นเผด็จการทหารหรือเจ้าพ่อของปางแก้วล่ะ” จู่ๆ เคมินก็เอ่ยขึ้นตรงกับความคิดเธอเป๊ะ “มีสมาชิกพรรควายัณคนอื่นอีกหลายคนที่ทำหน้าที่ต่างๆ กันไปในปางแก้ว คุณตาผมแค่เป็นคล้ายๆ ผู้อาวุโสสุดเท่านั้น”

“อ้อ ค่า..ไม่ใช่มาเฟีย” อราลีพยักหน้าหงึกๆ แต่ใจก็เริ่มเข้าใจการเมืองท้องถิ่นของที่นี่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องอำนาจของเจ้าพ่อแต่ละถิ่น ดูอย่างเมื่อวันที่เคมินพาคนของเขาไปล้อมกรอบทรชนที่คิดทำร้ายเธอสิ.. มันเป็นครั้งแรกที่เธอประจักษ์ชัดถึงอำนาจของเขาคนนี้ในปางแก้ว ไม่เรียกว่ามาเฟียเจ้าถิ่นแล้วจะเรียกว่าอะไร

แต่อย่างน้อย.. อราลีก็ต้องยอมรับถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น เธอก็คงไม่รอดจนบัดนี้

“ตั้งแต่วันนั้นที่มีเรื่อง คุณตาก็เพิ่งทราบว่าคุณมาอยู่ที่คุ้มปางแก้วของผมในฐานะแขก คุณตาก็เลยขออยากพบหน้าคุณ.. เพราะท่านเป็นคุณตาผมแท้ๆ และอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ผมไม่เคยพาคุณไปให้ท่านพบเลย” ชายหนุ่มเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ

แหงละ..คุณจะพาฉันไปพบคุณตาคุณได้ยังไงล่ะ ก็เล่นล็อคห้องฉันไว้ในตอนแรกนี่!

“ไม่บอกล่ะค่ะว่าคุณบังคับให้ฉันมาเป็นแขกที่นี่” หญิงสาวว่าด้วยสีหน้าแอบประชด

“ถึงผมไม่บังคับ คุณก็ไปไหนไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มว่าอย่างสำทับ “ถ้าไม่มีผม แค่หนีให้พ้นเขตปางแก้วคุณยังทำไม่ได้เลย ดังนั้นยอมรับฐานะแขกกิติมศักดิ์ของผมไปก่อนน่ะดีแล้ว”

อราลีมองเขาด้วยสายตาเคือง เกิดมาก็เพิ่งเคยตกเป็นเบี้ยล่างให้ใครคอยถากถางเล่น เธอเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่เกิดมาในสังคมที่เปิดกว้างอย่างประเทศไทย และได้ไปต่างประเทศหลายครั้งจนเชื่อมั่นว่าเอาตัวเองให้รอดได้เสมอ แต่เมื่อพลัดหลงเข้ามาในแดนเถื่อนของวายัณแห่งนี้ก็กลายเป็นว่าเธอปลอดภัยที่สุดในปางแก้วเมื่ออยู่ในอาณัติของเขา ว่าแล้วหญิงสาวก็ได้แต่ถอนใจ.. ถ้าหายเจ็บเร็วๆ ก็ดีสิจะได้กลับสักที

แต่การจะได้ไปพบบุคคลอาวุโสอย่างนายพลซอหม่องลูผู้เป็นคุณตาของเคมินก็ทำให้อราลีนึกประหม่าอยู่เหมือนกัน เพราะเท่าที่เคยอ่านเคยทราบมาวายัณเป็นเผ่านักรบที่ขึ้นชื่อเรื่องโหดร้ายจำพวกหนึ่งในแถบสามเหลี่ยมทองคำ นายพลซอหม่องลูนี่ก็ได้ยินว่าเป็นคนมีชื่อเสียงไม่น้อยสำหรับเขตปกครองพิเศษวายัณแห่งนี้ คนที่จะก้าวขึ้นมาได้ด้วยตำแหน่งทางทหารและบารมีเช่นนั้นย่อมผ่านร้อนผ่านหนาวมาแบบไม่ธรรมดา.. แล้วจะเป็นคนอย่างไรกัน

ที่พักของขุนพลเฒ่าซอหม่องลูนั้นแท้จริงไม่ได้ไกลจากบ้านพักของเคมินเท่าไรนัก อาจเรียกได้ว่าอยู่บนภูเขาลูกเดียวกันแต่ว่าตั้งอยู่ลึกกว่าและอยู่อีกด้านหนึ่งของเนินเขา ความจริงเห็นเคมินบอกว่าจะเดินเอาก็ยังได้ แต่เห็นจากสภาพร่างกายเธอเขาจึงเลือกจะขับรถไปเองมากกว่า โดยที่คนสนิทอย่างต้าหมิงวันนี้ก็ไม่ได้มาด้วยเพราะเห็นว่าล่วงหน้าเข้าเมืองไปทำธุระอย่างอื่น

เมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อของเคมินไปจอดที่หน้าเรือนไม้ที่อยู่ในราวป่า อราลีก็ถึงกับตาค้างเพราะไม่คาดว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนพลดัง จะอาศัยอยู่เพียงเรือนไม้หลังขนาดกลางที่เรียกได้ว่าเล็กกว่าบ้านพักของเคมินนิดเดียว แต่กระนั้นก็มองเห็นว่าไม่ไกลกันจะมีเรือนพักเล็กๆ แวดล้อมอยู่อีกสองสามหลัง.. น่าจะเป็นของคนใกล้ชิดที่คอยดูแล

“บ้านนี้เป็นบ้านเก่าแก่ของคุณตา ท่านบูรณะแค่นิดหน่อย ส่วนบ้านที่ผมอยู่สร้างขึ้นใหม่ ตอนแรกก็จะให้คุณตาอยู่กับผมที่นั่น แต่ท่านไม่เอา..อยากอยู่กับบ้านเก่า” เคมินเอ่ยขึ้นเมื่อลงมาจากรถ และก็เป็นคำอธิบายที่ทำให้หญิงสาวเริ่มเข้าใจอะไรกว่าเดิม

ชายสูงวัยผมสีดอกเลานั่งรออยู่เงียบๆ ด้านหน้ากับคนของท่านอยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวมาถึงก็เพียงแต่ตรงขึ้นไปหาท่านที่ตรงนั้น อราลีกลืนน้ำลายเอื้อกหนึ่งเพราะแวบแรกที่มองก็รู้แล้วว่าทำไมจึงเรียกท่านว่าขุนพล

ใบหน้าอันร่วงโรยของชายชราผู้นี้ไม่สามารถปกปิดดวงตาคมปลาบที่บ่งบอกความเชี่ยวประสบการณ์ทางโลกของเขาได้ ท่วงท่านั่งนิ่งๆ แล้วรอให้เคมินนำเธอเข้ามานั้นบ่งบอกได้ดีว่านี่คือท่วงท่าคนใหญ่โตที่มองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตามองทะลุเสมอ และสำหรับอราลีที่พบเจอผู้คนมามากมายก็พอจะเข้าใจได้ว่านี่คือท่าทีของคนที่ ‘อ่านคน’ ด้วยกันเป็น

“ผมพาแขกมาพบหน้าแล้วนะคุณตา เธอชื่ออราลี มาจากประเทศไทย” เคมินแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าแขกของเคมินยิ้มให้และยกมือกระพุ่มไหว้แบบไทยๆ อีกฝ่ายดูจะเข้าใจความหมายดี

“ยินดีที่ได้รู้จัก ขอต้อนรับสู่ปางแก้ว” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยภาษาอังกฤษทุ้มนุ่ม ทำเอาหญิงสาวนึกงงเหมือนกันที่อีกฝ่ายสื่อสารภาษาอังกฤษพอได้ แต่ก็ใช่ว่าจะถนัดนักเพราะจากนั้นเคมินก็ต้องคอยช่วยแปลบ้างอยู่ดี

อีกฝ่ายเริ่มต้นถามไถ่หญิงสาวด้วยคำถามทั่วๆ ไปเช่นว่าตอนนี้สบายดีไหม มากจากที่ใด มาที่นี่ได้กี่วันแล้ว นอกจากนั้นบาดแผลเล็กน้อยบนร่างกายก็ทำให้ผู้อาวุโสถามไถ่ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งอราลีก็ปฏิเสธไปว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ และถัดไป คือคำถามที่เหมือนถูกเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสนอกสนใจ

“ทราบมาว่าทำงานกับองค์กรนานาชาติด้านการพัฒนามนุษย์?” คำถามของนายพลเฒ่าไม่ทำให้อราลีแปลกใจนัก ก็เคมินเองยังทราบเรื่องนี้ คุณตาเขาจะไม่ทราบก็กระไรอยู่

“ค่ะ ก็..ได้ทำงานกับองค์กรนี้หลังเรียนจบโทจากสหรัฐฯ และเคยไปประจำในปากีสถานกับเนปาลมาก่อน แล้วก็กลับมาประจำในไทยได้ไม่กี่เดือนค่ะ”

“อ้อ.. แล้วข้ามมาฝั่งพม่านี้มาเที่ยวหรือมาทำงาน?”

“เที่ยวค่ะ มาที่รัฐฉานแล้วก็เอ่อ..มาที่นี่ต่อค่ะ” อราลีตอบแบบเออออ จะให้บอกตรงๆ ก็กระไรอยู่ว่าโดนไล่ล่ามาเลยหลงเข้าเขตปางแก้วแล้วโดนเคมินขับรถเกือบชน นั่นจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตเกินไป

“อืม เสียดายจังนะ เคยได้ยินผลงานองค์กรหนูอยู่เหมือนกัน ยังคิดอยู่ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจดีหากวายัณจะได้รับความสนใจจากโลกภายนอกและมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนที่นี่บ้าง ที่ผ่านมา..เราถูกละเลยมามากเหลือเกิน”

คำเล่าของนายพลใหญ่ทำให้อราลีเริ่มขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไงเหรอคะ? ถูกละเลย?”

เคมินแปลให้คุณตาเขาฟัง จากนั้น..ซอหม่องลูก็เริ่มเปิดฉากเรื่องราวยาวเหยียดที่อราลีไม่คาดคิดมาก่อน

“คนภายนอกมักมองสังคมชนเผ่าของวายัณด้วยสายตาสองแบบ คือทั้งหวาดกลัวและชิงชัง สมัยก่อนคือความหวาดกลัวเพราะชนเผ่าวายัณค่อนข้างเด็ดขาดในยามสู้รบ เราเคยเป็นคนป่าและวิถีของเราถ้ารบกับใครต้องฆ่าให้ตายด้วยการตัดหัว ไม่ให้รอดแบบพิการ ใครที่ถูกเผ่าวายัณฆ่าจึงมักไม่เหลือหัวอยู่บนบ่า นั่นเป็นสิ่งที่คนนอกหวาดกลัวเสมอถ้าพูดถึงนักรบวายัณ”

อราลีนั่งฟังอยู่ถึงกับตาค้าง.. โหดจริงๆ ด้วย!

“แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ.. นั่นเป็นวิธีรบแบบโบราณที่เลิกไปนานมากแล้ว แต่ยังเป็นตำนานอยู่” ซอหม่องลูเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มขันเมื่อเห็นหญิงสาวทำตาเหลือก “อีกอย่างวายัณก็มีหลายจำพวก กลุ่มที่นิยมตัดหัวศัตรูก็มีไม่กี่กลุ่ม แต่ที่สำคัญคือคนวายัณโดยมากยังอยู่กับความยากจนแม้จะมีบางพวกที่เริ่มรวมกลุ่มเป็นสังคมใหญ่ นอกจากนั้นเราก็อยู่ห่างไกลกว่าชนกลุ่มอื่นๆ และมีชื่อด้านลบเพราะคนอื่นรับรู้เรื่องราวเราได้ก็จากการได้ยินได้ฟัง แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามารับฟังเรื่องราวจริงๆ จากเรา แต่ถึงเราจะถูกเรียกว่าคนเถื่อนไร้วัฒนธรรม แต่ชนเผ่าเราก็มีความเป็นมาของตัวเองไม่ต่างจากชนพวกไหนในสามเหลี่ยมทองคำ”

หญิงสาวซึ่งนิ่งฟังอย่างสงบพยักหน้า "ตรงนี้พอเข้าใจค่ะ สังคมชนเผ่าที่ห่างไกลจากชุมชนอื่น มักถูกมองจากสังคมในเมืองว่าไร้วัฒนธรรม มันออกจะเป็น..เรื่องของการรับรู้และเข้าใจของคนภายนอก"

“นั่นล่ะปัญหาที่เราเจออยู่” คุณตาของเคมินพยักหน้าก่อนเปรยต่อ “จนปัจจุบันนี้ดินแดนของเราก็ยังมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไข ต้องการให้พัฒนาชีวิตผู้คนที่นี่ให้ดีขึ้นเพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราตามหลังโลกภายนอกอยู่มากจริง แต่ว่าสิ่งที่เราเจอขณะนี้คือความรู้สึกเกลียดชังจากคนทั่วไปเพราะคนวายัณทั้งหมดถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด และแทบไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยชาววายัณอย่างจริงจังสักที”

“หมายความว่าทางการพม่าและองค์กรต่างประเทศไม่เข้ามาช่วยเหลือเลยเหรอคะ?” อราลีอดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้

“เราคาดหวังทางการพม่าไม่ได้หรอก.. จิ้งจอกแห่งลุ่มอิระวดีนั้นมักมีแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ส่วนองค์กรต่างประเทศเข้ามาที่นี่น้อยมากเมื่อเทียบกับรัฐอื่นๆ ในพม่า ฉันจึงได้บอกหนูได้ว่า..พวกเราถูกละเลย”

“แต่เท่าที่ทราบ ที่ตรงนี้คือเขตปกครองพิเศษนี่คะ” หญิงสาวแย้งขึ้นมา “พวกคุณได้รับสิทธิ์ปกครองตนเองจากรัฐบาลด้วยซ้ำ”

“เขาเอาเราไว้ยันอำนาจกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่ตรงนี้มากกว่า การขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้ายาทำให้เราดูเป็นตัวร้าย แต่ก็เป็นตัวร้ายที่ถ่วงดุลกองกำลังอื่นในรัฐฉานได้อย่างมีน้ำหนัก” ผู้สูงวัยอธิบายด้วยสีหน้ายอมรับ “ส่วนหน่วยงานต่างประเทศที่ทำงานช่วยเหลือผู้คน..แทบไม่มีมาที่แห่งนี้ จะมีก็เพียงแต่หน่วยงานยูเอ็นด้านยาเสพติดและตอนนี้เราก็ประสานงานกับเขาอย่างดีเท่านั้น แน่นอนว่าเราบอกพวกเขาเสมอว่าเราต้องการความรู้และเทคโนโลยี แต่ก็แทบจะยังไม่ได้ผลตอบรับอะไรมาจากนานาชาติ”

“ตรงนี้ฉันคิดว่าฉันพออธิบายได้ค่ะ” อราลีพยักหน้าอย่างพอเข้าใจ “การที่หน่วยงานเหล่านั้นจะเข้าไปที่ไหนได้ อย่างน้อยเราต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของสถานที่ ท่านเองอาจต้องยอมรับนะคะว่าตอนนี้ภาพพจน์ของวายัณติดลบค่อนข้างมากในสายตาคนทั้งโลกด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการค้ายาเสพติด และเท่าที่ทราบ.. ทางการสหรัฐฯ ถึงกับประณามกองทัพของวายัณเลยด้วยซ้ำว่าทำงานเป็นกองคาราวานยาเสพติด”

ใบหน้าของนายพลชราส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็เป็นท่วงท่ายอมรับคำประณามโดยดุษณี ในขณะที่เคมินมองคนเป็นคุณตาอย่างห่วงใย อราลีเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้ทำให้อีกฝ่ายเปิดปากระบายความอัดอั้นอะไรออกมามากมาย และเธอก็นึกหวั่นใจเพราะไม่ต้องการจะสร้างความขุ่นเครียดให้คนอาวุโสอย่างท่านแต่อย่างใด

“กระบวนการค้ายาเสพติดของที่แห่งนี้เป็นเรื่องซับซ้อน.. แต่ก็ไม่ยากเกินจะเข้าใจ” สุดท้าย ซอหม่องลูก็เปิดปากเอ่ยต่อ “วายัณอยู่ในเขตรัฐฉานที่มีชนกลุ่มน้อยมากมาย แต่ละกลุ่มมีความขัดแย้งกับรัฐบาล..ไม่เว้นเรา ฝิ่นนำมาซึ่งรายได้ในพื้นที่กันดารแห่งนี้ ในอดีตชาววายัณปลูกฝิ่นเพราะรู้เพียงว่ามันขายได้ แต่พวกเขาก็ได้เงินเพียงนิดเดียว คนที่เอาไปสกัดเป็นยาเสพติดก็เป็นอีกพวกหนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้เราก็ได้รับทราบแล้วว่าฝิ่นได้นำความเกลียดชังมาสู่เรา และเราควรจะเลิก หนูอาจจะรู้..หรือไม่รู้ก็ได้ว่าเรากำลังพยายามยุติการปลูกฝิ่น แต่ปัญหาคือขบวนการค้ายาที่แทรกซึมแถวนี้นั้นบางทีก็เหนือชั้นกว่าเรานัก บางทีปัญหามันก็มากและหนักหนาเสียจนเราแก้ไขด้วยตัวเองไม่ไหว.. ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนจากภายนอกช่วยเหลือ”

เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวแทนจาก ‘ภายนอก’ ที่นายพลซอหม่องลูเอ่ยถึง แต่กระนั้นก็ตามเธอก็ขอเอ่ยในนามของตัวเองว่า

“ขอพูดอะไรในความคิดของฉันได้ไหมคะ ท่านอาจต้องยอมรับนะคะว่า.. สีดำนั้นไม่อาจกลายเป็นสีขาวสะอาดไปได้ เช่นเดียวกับภาพพจน์ของสหภาพแห่งชาติวายัณที่กลายเป็นผู้ร้ายค้ายาไปแล้วในสายตาชาวโลก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เชื่อในความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงเช่นกันค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าบางสิ่งมันไม่อาจกลายเป็นสีขาวไปได้ จากสีดำ..อาจเป็นเทา.. แล้วค่อยๆ พัฒนาไป”

ขุนพลเฒ่ารับฟังหญิงสาวชาวไทยอย่างสนใจ “นั่นล่ะสิ่งที่วายัณต้องการ อย่างน้อยที่สุด เราต้องการการเปลี่ยนแปลงในดินแดนแห่งนี้”

“ขอถามท่านสักคำได้ไหมคะ” ที่สุดแล้วอราลีก็อดรนทนถามไม่ได้ “ทำไมท่านถึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในวายัณขนาดนี้?”

เคมินลอบยิ้มกับคุณตาของเขา คำถามเปรี้ยงสุดท้ายที่มาจากความงุนงงสงสัยของอราลี ได้รับการตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายว่า

"ฉันไม่ได้ต้องการแค่คนเดียว..แต่ชาวบ้านตาดำๆ ของวายัณทุกคนต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เราพยายามจะทำเพื่อให้คนอื่นเข้าใจพวกเรามากขึ้นและช่วยเราพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเช่นกัน เราไม่ได้ต้องการเงินเพราะเราคิดว่าเรามีพอแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนรุ่นลูกหลาน อนาคตคนรุ่นใหม่ของวายัณควรกินดีอยู่ดีมากขึ้น และสุดท้าย..เราต้องการอยู่ในสังคมโลก ที่ผ่านมาเราโดดเดี่ยวตัวเองและถูกโดดเดี่ยวมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่เราควรจะสร้าง ‘สะพาน’ ที่จะเชื่อมระหว่างเรากับโลกภายนอกสักที"

# # #

จากคุณ : ณ พิชา
เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:37:32




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com