ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 5 ความเครียดที่มองไม่เห็น
|
|
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทนำ - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html ตอนที่ 1 พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้ - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html ตอนที่ 2 ค่ำคืนที่แสนยาวนาน - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html ตอนที่ 3 ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html ตอนที่ 4 สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 5 ความเครียดที่มองไม่เห็น
เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องหน่อง สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า คือผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียงนอน เท้าเธอไม่ได้แตะพื้นมาหลายวันแล้ว จะว่าไปถ้าลองนับดูก็วันที่สี่แล้วที่เธอต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงแบบนี้ หน่องอยู่ในอาการเหนื่อย ท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก หน่องไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเปิดประตูเข้ามาแล้ว ผมสังเกตเห็นได้ถึงตาที่บวมของหน่องราวกับหมีแพนด้า นั่นหมายถึงหน่องได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักมาไม่นานนี้ ในห้องตอนนี้จะมีเครื่องวัดอยู่สองตัว ตัวแรกเป็นเครื่องวัดอาการเกร็งหน้าท้องของหน่อง ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขอยู่ที่ 10 จากข้อมูลที่ผมได้มา ถ้าอยู่ต่ำกว่า 20 แสดงว่าหน่องไม่มีอาการเกร็งหน้าท้อง ส่วนเครื่องวัดตัวที่สองเป็นเครื่องที่จะบอกปริมาณของยาที่ให้ทางสายน้ำเกลือเพื่อลดอาการเกร็งหน้าท้องของหน่อง ผมแอบเหล่ตัวเลขที่แสดงปริมาณยาที่ให้หน่องบนหน้าจอที่ให้ยาตามสายน้ำเกลือ มันแสดงตัวเลขอยู่ที่ 30 เอ๊ะ! ไม่ใช่ 60 อย่างที่คุณหมอบอกนี่นาผมนึกในใจ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากเพราะที่ผมใส่ใจที่สุดคือภรรยาของผม
หน่องเป็นยังไงบ้าง ผมยิ้มด้วยความเข้มแข็งสุด ทั้งๆที่ข้างในมันก็ย่ำแย่พอกัน
หน่องสะดุ้งขึ้นมานิดนึงเมื่อผมทักมันทำให้ผมได้รับรู้เลยว่า หน่องอยู่ในอาการที่จิตตกอย่างเห็นได้ชัด ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและชอบสร้างความสุขให้คนรอบข้าง ผู้หญิงที่มีไฟในการทำงานสูงมาก ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหนแล้ว ..................เห็นแบบนี้แล้วผมใจไม่ดีเลยจริงๆ
พี่ตี้ หน่องพูดขึ้นและหน่องนิ่งไปสักพักแต่ก็เริ่มร้องไห้ทันทีเมื่อพยายามจะเอ่ยปากคุยกับผม
นี่แสดงว่าหน่องก็พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองมาได้ระดับนึงแต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ สิ่งที่ผมทำแทบจะทันทีคือการเข้าไปกอดและปลอบภรรยาของผม
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่แล้ว ผมพูดไปกอดหน่องไป
ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ อยู่ดีๆก็ท้องแข็งใหญ่เลย ลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า หน่องถามด้วยความหวาดกลัวของผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ที่อาจจะสูญเสียลูกไป
ไม่เอาซิ หน่องอย่าเป็นอย่างนี้ หน่องยิ่งเป็นแบบนี้ ท้องก็ยิ่งแข็งนะ ต้องเข้มแข็งซิ พี่ตี้อยู่นี่ หน่องและลูกก็ยังอยู่นี่ เรายังอยู่ด้วยกันนะ ผมมองสบตาหน่อง พยายามบอกหน่องด้วยสายตาว่า เราต้องเข้มแข็งเราท้อไม่ได้
หน่องรู้ หน่องพูดขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่หยุดร้องไห้
หน่องอยากกลับบ้าน พี่เข้าใจไหม หน่องไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาล หน่องพูดไปเช็ดน้ำตาไป
เมื่อวานยังโอเคอยู่เลย หน่องยังคิดเลยว่าเดี๋ยวพี่ตี้จะเอาชุดไหนมาให้หน่องใส่กลับบ้านอยู่เลย หน่องเล่า
ใจเย็นๆ ผมพยายามปลอบหน่อง
อยู่ดีๆก็ท้องแข็งอีกแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย หน่องพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด
พี่เข้าใจ แต่ตอนนี้หน่องต้องมีสติ ใจเย็นๆ อย่ามัวแต่เสียใจ มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา หน่องต้องคิดซิว่า เราโชคดีขนาดไหน ที่ลูกยังอยู่กับเราแบบนี้ ผมพยายามอธิบายให้หน่องฟังในอีกแง่มุมนึง
หน่องอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วนะ หน่องก็ทำทุกอย่างเพื่อลูกนะ หน่องไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรหรอก แต่หน่องก็แค่คิดว่าหน่องจะได้กลับบ้านวันนี้ หน่องพูดด้วยเสียงที่ท้อมากๆ
ผมพยายามหาเรื่องคุยกับหน่องไปเรื่อยๆเพื่อให้หน่องได้ผ่อนคลายไม่มาจับจดกับอาการของตัวเองแบบนี้ แต่พอหน่องเริ่มเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่หน่องกังวลใจอยู่ ผมฟังไปก็รู้สึกแปลกใจไป เพราะเรื่องราวมันดูเยอะแยะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
จังหวะนั้นในความรู้สึกของผม หลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องจุกจิกเล็กน้อยมากๆเมื่อเทียบกับสิ่งที่หน่องต้องเผชิญอยู่เวลานี้ บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นประเด็นก็เอามาคิดได้ มันพรั่งพรูออกมาจนผมรู้สึกแปลกใจที่หน่องมีเรื่องอะไรที่ต้องคิด ที่ต้องจัดการมากมายขนาดนี้ หรือเป็นเพราะช่วงนี้หน่องท้องก็เลยคิดเยอะคิดนาน คิดไม่ตก วนอยู่กับเรื่องนั้นๆไปเรื่อยๆ คำถามเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่หน่องเล่าให้ฟัง
ทำไมต้องไปคิดเรื่องโน้นนี่นั่นเต็มไปหมดทั้งๆที่ตัวเองกำลังมีปัญหาเรื่องท้องแข็งอยู่
ทำไมไม่ห่วงตัวเองก่อนว่าจะดูแลตัวเองยังไงเมื่อออกจากโรงพยาบาล ทำไมต้องไปคิดเรื่องคนอื่นก่อน
ทำไมดูเหมือนมีเรื่องที่ต้องคิดคิดคิด คิดอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่มันควรจะเวลาที่ต้องพักผ่อนไม่ใช่หรือ
ผมคิดอยู่เสมอว่าหน่องเป็นผู้หญิงเก่ง ไม่ว่ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะใหญ่หรือว่าเล็ก หน่องก็มักจะมีวิธีการที่จะจัดการปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่ผมก็เริ่มเห็นแล้วว่า สิ่งที่ผมคิดมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นเสมอไป โดยเฉพาะผู้หญิงสมัยนี้ เก่ง มั่นใจในตัวเอง สามารถทำอะไรได้เหมือนที่ผู้ชายทำได้ และที่ผ่านๆมาไม่มีอะไรที่หน่องจะจัดการไม่ได้ไม่ว่าจะแบกเรื่องราวไว้มากมายแค่ไหนก็ตาม แต่โชคร้ายที่ว่ามันมาเกิดกับผู้หญิงที่กำลังจะเป็นแม่คน ผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกในท้องพร้อมกับจัดการงานต่างๆไปด้วย
ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้แล้วว่า สาเหตุที่ทำให้หน่องเป็นแบบนี้น่าจะเกิดจากการไม่ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ นี่เอง หน่องกำลังสะสมความเครียดความกังวลใจจากปัญหาต่างๆเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เหมือนภูเขาไฟที่กำลังรอวันปะทุ รองรับปัญหาความเครียดความกังวลใจต่างๆที่ค่อยๆเข้ามาสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโดยปกติมันก็ไม่ได้มีผลอะไรมากนักหรอก แต่เมื่อมีลูกน้อยที่ต้องดูแลในท้องของตัวเอง แต่หน่องยังคงทำกิจกรรมต่างๆเหมือนปกติ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องคิดเยอะ วางแผนเยอะ มีความพะวงทั้งเรื่องงาน เรื่องลูก และอีกหลายๆเรื่องถาโถมกันเข้ามา จนเกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นความเครียดที่มองไม่เห็น และเมื่อมันสะสมเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดภูเขาไฟก็เริ่มประทุ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ประดังเข้ามาอย่างกะทันหัน และมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างที่เห็น
หน่องอย่าพึ่งคิดอะไรเยอะเลย หน่องต้องหยุดคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องของหน่องตอนนี้ต่างหาก ผมเตือนสติหน่องเพราะผมรู้สึกได้เลยว่าหน่องคิดเยอะไปแล้ว
หน่องก็เห็นแล้วใช่ไหม เวลาที่หน่องคิดเยอะ มีอาการทุกที ผมพูดเตือนสติหน่อง
ใช่คุณหมอก็บอกแล้ว ไม่ให้หน่องเครียด ให้ผ่อนคลาย หน่องบอกขณะที่หน่องเริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
หน่องก็อย่าไปคิดโน้นคิดนี่ซิ ยิ่งคิดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทำใจสบายๆ สิ ผมพูดไปยิ้มไป
เราโชคดีขนาดไหนแล้วที่พอหน่องปวดท้องก็สามารถเข้ามาพักที่ศิริราชได้เลย เคสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนนะ ผมพูดขณะที่หน่องเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด
เราอยู่ตึกใกล้ๆกับในหลวงเลยนะ ผมบอกด้วยความภูมิใจ
จริงเหรอ หน่องถาม
จริง ผมตอบ
ตอนที่เค้าเข็นหน่องเข้ามาหน่องแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน่องเลยไม่รู้ว่าตอนนี้หน่องอยู่ตรงไหนของศิริราชด้วยซ้ำไป หน่องบอก
ไว้หน่องดีขึ้นเมื่อไร พี่จะพาหน่องไปดูว่าเราอยู่ตรงไหนของศิริราช ผมยิ้มให้หน่องพร้อมๆกับความรู้สึกที่ว่าวันที่ต้องเข้ามาวันแรกมันอันตรายจริงๆ เวลานั้นสภาพของหน่องไม่สามารถรับรู้อะไรได้มากเลย ตอนที่หน่องถูกเข็นเข้ามาที่ตึก หน่องคงไม่รู้อะไรนอกจากอาการปวดท้อง และมือที่คอยพยุงท้องของตัวเองตลอดเวลา
หน่องต้องสู้นะ ดูลูกซิ ตอนที่ท้องแข็ง มันไม่ยอมออกนะ มันใช้ทั้งมือทั้งขาเล็กๆของมันยันเอาไว้ มันเป็นเด็กดื้อ มันไม่ยอมออกมา ขนาดตอนคุณปวดมากๆ มันก็ยังไม่ยอมออกมาเลย คุณเองก็อย่าให้ลูกสู้คนเดียว คุณก็ต้องช่วยลูกด้วย ผมให้กำลังใจหน่องออกแนวขำๆ ในแบบของผม ซึ่งได้ผลที่ทำให้ผมได้เห็นหน่องยิ้มได้เป็นครั้งแรกในวันนี้
ลูกสำคัญที่สุด เรื่องอื่นๆอย่าพึ่งไปกังวล ผมย้ำเรื่องเดิมกับหน่อง
ใช่ หน่องยังมีลูกอยู่กับหน่อง หน่องจะทำทุกอย่างที่ทำให้ลูกยังอยู่กับหน่อง หน่องย้ำกับตัวเอง
ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการพักผ่อนและอย่าไปคิดอะไรเยอะ ทำใจให้สบาย ผมแสดงท่าทางในแบบที่ตัวเองเข้าใจว่ามันดูสบายที่สุดแล้วให้หน่องดู
หน่องนี่แย่จริงๆ ทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ หน่องเริ่มกลับมาโทษตัวเองอีก
เอาอีกแล้ว อย่าไปคิดแบบนี้สิ หน่องจะคิดแบบนี้ไปทำไม หน่องต้องไม่คิดโทษตัวเองได้แล้ว ผมพยายามเตือนสติหน่อง
จากนั้นคุณหมอก็เดินเข้ามาเพื่อถามไถ่อาการกับหน่องซึ่งหน่องดูมีอาการผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่ผมเข้ามา คุณหมอได้ทำการตรวจหน่อง รวมถึงการลองใช้มือกดที่ท้องของหน่อง เพื่อทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองอาการเกร็งหน้าท้องของหน่อง สิ่งที่ผมแอบเห็นซึ่งหน่องไม่เห็นคือ ผมเห็นหน้าจอที่วัดอาการเกร็งของหน่องมีตัวเลขที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นเป็น 65 หน่องมีอาการเกร็งอีกแล้ว ผมนึกในใจ เพราะถ้าตัวเลขเกิน 20 มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
หมอยังไม่ให้กลับนะ อยากให้พักอีกหน่อย รู้ใช่ไหมว่ามีอาการท้องแข็ง คุณหมอถามขณะที่หน่องพยักหน้ายอมรับ
หมอกดเบาๆ เองก็ท้องเกร็งแล้ว คุณหมอพูดเสริม
รู้ไหมเครื่องมือที่ตรวจอาการเกร็งของคุณ จะแสดงผลไปที่โต๊ะของพยาบาลด้วยเพื่อเก็บบันทึกอาการเกร็งของคุณแม่และเป็นที่สังเกตได้ว่าทุกครั้งที่คุณมีคนเข้ามาเยี่ยม คุณจะมีอาการเกร็งถี่ขึ้นเยอะเลย คุณหมออธิบาย
หมอของดให้ญาติเยี่ยมนะวันนี้ หมอจะให้ยานอนหลับ ต้องพักเยอะๆ อย่าคิดอะไร คุณหมอบอกพร้อมกับมองหน้าผมเป็นเชิงสรุป
โทรศัพท์มือถือ ทีวี อุปกรณ์สื่อสารทุกอย่าง คงต้องงดก่อนเพราะคุณแม่ sensitive มาก คุณหมอย้ำ
โทรศัพท์อยู่กับผมอยู่แล้วครับ ผมบอกคุณหมอ
คุณพ่อเก็บโทรศัพท์มือถือไปเลยนะ ช่วงนี้ขอให้ไม่ต้องติดต่อกับใครข้างนอกนะ จะได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่มีใครมารบกวน หมอบอก
คุณหมอยังอธิบายเพิ่มเติมอีกถึงความสำคัญของการให้เด็กยังอยู่ในท้องคุณแม่ให้นานที่สุด
ด้วยอายุครรภ์ตอนนี้อาจจะดูแล้วเป็นเด็กที่มีอวัยวะภายนอกที่สมบูรณ์ มีแขนมีขาแล้วแต่อวัยวะภายในยังไม่ถูกสร้างโดยสมบูรณ์ อย่างเช่นปอด ลูกยังหายใจเองไม่ได้ ยังต้องพึ่งปอดของคุณแม่หายใจอยู่ และนี่ก็เป็นเหตุผลนึงที่ต้องฉีดยากระตุ้นปอดให้ เนื่องจากถ้าน้องเค้าต้องออกมาจริงๆ น้องเค้าจะต้องพยายามหายใจด้วยปอดของตัวเองให้ได้
โดยทั่วไปในช่วงอายุครรภ์แบบนี้ ถ้าเด็กออกมาตอนนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในตู้อบ แต่จริงๆแล้วไม่มีที่ไหนดีไปกว่าท้องของคุณแม่เองหรอก ตู้ข้างนอกยังไงก็ไม่ปลอดเชื้อเท่ากับตู้ในท้องคุณแม่ มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่เด็กจะสร้างอวัยวะทุกอย่างให้ครบโดยสมบูรณ์ ก่อนที่จะออกมาสู่โลกภายนอกยิ่งอยู่ในท้องแม่นานเท่าไร ลูกก็จะมีความสมบูรณ์มากเท่านั้น
แล้วหน่องจะได้กลับบ้านเมื่อไรค่ะ หน่องถาม
อย่าไปคิดแบบนั้น พักผ่อนไปก่อน ทำใจให้สบาย ถ้าอาการทุกอย่างดีขึ้นก็ได้กลับบ้านเอง ลูกในท้องสำคัญที่สุดนะ คุณหมอพยายามแนะนำ
ลองคิดดูซิ มีสักกี่คนที่จะได้มาพักแบบนี้ นี่ก็พึ่งปรับปรุงใหม่นะ ได้พักหรูขนาดนี้ แถมมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมงด้วยนะ คำพูดของคุณหมอทำให้หน่องยิ้ม
ก็ถือว่ามาพักผ่อนละกัน มาพักช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์พอดีเลย หน่องพูดปลอบใจตัวเอง
คุณหมอครับผมสังเกตเห็นตัวเลขปริมาณยายังอยู่ที่ 30 นี่ครับ ผมชิงถามคุณหมอด้วยความสงสัย
เราใช้การเพิ่มความเข้มข้นของยาขึ้นอีกเท่านึง จริงๆก็ 60 นั่นละ คุณหมออธิบาย
อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ผมพยักหน้า
หน่องมองไม่เห็นตัวเลขเลย หน่องบอก
ผมก็พึ่งสังเกตวิธีวางอุปกรณ์ของทางโรงพยาบาลว่า จะจัดตำแหน่งไม่ให้คนไข้มองเห็นได้
ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาคอยลุ้นดูแต่ตัวเลข ท้องเกร็งกันพอดี ผมบอกหน่อง
พักผ่อนนะ เดี๋ยวหมอขอตัวก่อน คุณหมอยิ้มแล้วก็เดินจากไป
จากนั้นก็มีพยาบาลกลุ่มนึงรออยู่นอกห้องมาสักพักแล้ว พอคุณหมอเดินออกจากห้องไป พยาบาลกลุ่มนี้ก็เดินเข้ามาทันที จริงๆแล้วทุกคนรอมาตรวจหน่องครับ คนนึงมาวัดความดัน คนนึงมาตรวจระดับการเกร็งของท้องหน่อง อีกคนมาถอดสายน้ำเกลือออก
ต้องเปลี่ยนเส้นนะค่ะ ถ้ายังฝืนใช้เส้นเดิมอาจจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ค่ะ พยาบาลอธิบาย
หลังจากนั้นพยาบาลก็เปลี่ยนจากสายน้ำเกลือที่ติดอยู่ที่มือขวามาหาเส้นเลือดที่มือซ้ายแล้วเสียบเข้าไปแทน
ต้องเปลี่ยนทุกๆกี่วันหรือครับ ผมเริ่มสงสัย
3 วันค่ะ พยาบาลตอบ
แล้วต้องหาเส้นใหม่ไปเรื่อยๆหรือครับ ผมถามต่อ
ใช่ค่ะ พยาบาลตอบอย่างสุภาพ
มันทำให้ผมนึกไปถึงเพื่อนผมคนหนึ่ง เธอเป็นไมเกรนค่อนข้างรุนแรงมาก ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ภาพที่ผมจำได้เวลาที่ผมเห็นเพื่อนผมคนนี้ ผมจะเห็นเพื่อนผมมีร่องรอย มีรูพรุนบนแขน มือทั้งสองข้างจากการให้ยาทางสายน้ำเกลือเต็มไปหมด เพื่อนผมเคยบ่นถึงขนาดว่า ไม่มีเส้นเลือดสำหรับให้ยาทางสายน้ำเกลือแล้วจะทำยังไงดี
ช่วงนั้นเพื่อนผมเป็นหนักจริงๆครับ ................... พอมาตอนนี้เห็นหน่องเริ่มถูกให้ยาทางสายน้ำเกลือที่มือข้างใหม่ ส่วนมือข้างเก่าก็เริ่มเห็นเป็นรูมาแล้วหนึ่งรู ผมก็นึกในใจขึ้นมาทันที 3 วัน ได้หนึ่งรู 30 วัน ก็จะได้ 10 รู แล้วถ้าเกิดหน่องต้องอยู่ไปเรื่อยๆละ หน่องจะมีเส้นเลือดพอที่จะให้ยาไปได้ตลอดหรือเปล่า .......................เฮ้อ! แค่คิดแบบนี้ผมก็หนาวแล้ว
ต้องขอให้คุณพ่อออกไปก่อนนะคะ พยาบาลบอก
ผมก็ส่งสายตาไปที่หน่องว่า ผมต้องออกไปอีกแล้ว หน่องก็มองหน้าผมเช่นกัน
พี่รออยู่ข้างนอกเหมือนเดิมนะ ผมพูดกับรอยยิ้มที่จะทำให้หน่องรู้สึกสบายใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ผมเดินไปที่ประตูห้องหน่องแล้วหันกลับมาลาหน่องอีกทีสู้สู้นะ
สู้ด้วยกัน หน่องบอกและส่งยิ้มให้ผมในขณะที่ตัวเองมีพยาบาลล้อมทำโน้นทำนี่เต็มไปหมดมันเป็นภาพติดตาที่ผมไม่มีวันลืมได้เลยกับเหตุการณ์วันนั้น
ผมเดินออกมาจากห้องที่หน่องพักรักษาตัว เดินผ่านโซนที่พยาบาลนั่งทำงานกัน มีทั้งนั่งดู Monitor เพื่อวิเคราะห์อาการคนไข้ นั่งจดรายละเอียดของคนไข้ในแต่ละห้อง จัดยา เตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดของห้องอื่นๆ ผมยิ้มให้กับทุกคนด้วยความรู้สึกอยากขอบคุณ เพราะผมรู้จากหน่องว่าทุกคนให้กำลังใจหน่องมากเวลาที่ผมไม่สามารถเข้ามาได้ มันเครียดนะที่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดโดยไม่ได้ลงจากเตียงเลย โดยส่วนตัวผมชื่นชมมากสำหรับคุณหมอและพยาบาลทุกคนที่ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักหน่องมาก่อน เมื่อหน่องเข้ามาอยู่ในห้องคลอดพิเศษนี้ ทุกคนมีใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยแท้จริง อาจจะดูเว่อร์นะครับ แต่ผมเองเคยมีประสบการณ์จากโรงพยาบาลเอกชนอื่นในอดีต ผมยังไม่เคยรู้สึกถึงจิตใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแบบนี้เลย
ผมถอดชุดอนามัยและรองเท้าที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ออก และเดินออกมาจากห้องคลอดพิเศษผมนั่งลงตรงที่นั่งข้างหน้าห้อง ผมสูดลมหายใจลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ ตามองไปข้างหน้า ...... ผมพยายามจะทำให้ใจผมนิ่งครับ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า ผมดีใจที่หน่องดีขึ้นหรือเสียใจที่หน่องต้องอยู่ในโรงพยาบาลต่อไปดี ผมกำลังทบทวนตัวเองว่าทำหน้าที่ให้กำลังใจหน่องได้ดีแค่ไหน และสิ่งที่ผมควรจะทำต่อไปมีอะไรบ้าง ผมรู้ว่าช่วงนี้เริ่มเข้าสู่วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์แล้ว หลายๆคนก็เริ่มหยุดงานไปเที่ยวกันบ้างแล้ว เค้าหยุดกัน...แต่เรามีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ..ไม่ต้องอยู่ที่ทำงาน แต่ตลอดวันหยุดนี้ผมคงได้เป็นขาประจำมาแวะเวียนที่โรงพยาบาลศิริราชแน่ๆ
อย่างน้อยการที่เป็นช่วงวันหยุดยาว ผมก็จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นๆอะไรให้มาก มีเรื่องเดียวที่ผมต้องทำ คือการให้กำลังใจกับแม่ของลูกผม ทุกๆวันจากนี้คงเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม ผมรู้แค่ว่า ผมจะทำทุกวันตรงนี้ให้ดีที่สุด ผมต้องเป็นกำลังใจให้หน่อง ไม่ให้หน่องรู้สึกแย่ไปกว่านี้ เพราะหน่องเองเป็นคนที่ต้องแบกรับความกดดันเรื่องลูกโดยตรงแบบนี้ ดังนั้นผมต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้หน่องเห็น ผมว่าวันนี้ผมทำได้ดีพอสมควรนะ แต่ผมยังตอบไม่ได้เลยว่ามันจะจบเมื่อไร มันจะจบอย่างไร มันจะเป็นข่าวดีอย่างที่ผมหวังหรือไม่ ผมรู้แต่ว่ากำลังใจที่หน่องต้องการ...ผมมีให้เสมอครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 6 ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ - - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 09:58:02
จากคุณ |
:
คุณพ่อน้องวิลล์
|
เขียนเมื่อ |
:
6 พ.ย. 55 12:59:23
|
|
|
|