+++ หายหน้าหายตาไปนานเลย แบบว่าเกิดอาการเฮิร์ทเล็กๆ เมื่อรู้ว่าจะไม่มีซีรีย์สี่อาณาจักรอีกแล้ว สนพ.ปิดไปแล้วค่ะ คนเขียนเลยแอบเฟลนิดๆ จนไม่อยากจะเขียนอะไรไปพักใหญ่ๆ
คราวนี้จะขอพักแนวพีเรียดทุกเรื่องไว้สักระยะ หันมาลองเล่นแนวอื่นๆ ดูบ้าง อย่างเรื่องนี้ "ข้าแผ่นดิน" ก็ออกแนวลิเกฝรั่งไปเลย ยอมรับอย่างหนึ่งว่า คงติดกลิ่นอายของลักษณวดีมาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะท่านเป็นมือวางอันดับหนึ่งของนิยายแนวนี้อยู่แล้ว ก็ค่อยๆ หัด ค่อยๆ ทำไปเนอะ แหะๆ +++
บทนำ :
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณสั้นยาวสามครั้ง เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากด้านในแล้ว ผู้มาเยือนจึงผลักเข้าไปด้านในแล้วหับลงดังเดิม ร่างสูงโค้งคำนับทั้งที่เจ้าของห้องไม่ได้หันหน้ามามองเลย การถวายความเคารพสำหรับเสนาบดีมหาดไทยนั้น เขาไม่เคยสนใจว่าผู้เป็นนายจะทอดพระเนตรหรือไม่ เพราะเขาถือว่าการถวายความเคารพไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ขอเพียงทำด้วยใจสมัครและจงรักภักดีออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจก็เพียงพอ
วรกายสูงโปร่งยังคงยืนไขว้พระหัตถ์ไว้ทางเบื้องปฤษฎางค์ ทอดพระเนตรแผนที่แผ่นใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังเท่านั้น แผนที่ของแคว้นธยามัน!
“มานี่แน่ะ มาดูแผนที่ด้วยกันตรงนี้หน่อย”
สุรเสียงทุ้มนุ่มดังมาจากคนที่ยังทรงยืนหันปฤษฎางค์ให้
“กระหม่อม”
เสนาบดีมหาดไทยรับคำพลางเดินเข้าไปยืนเบื้องปฤษฎางค์โดยเยื้องไปทางขวานิดหน่อย
“ตอนนี้อคินกำลังเล็งพื้นที่แถบนี้อยู่ ไศเลนทร์เองก็หมายตาเอาไว้เหมือนกัน นี่แคว้นเราถูกสองมหาอำนาจเล็งแล้วนะเจ้าคุณ”
คำเรียกขานสุดท้ายมีแววล้อน้อยๆ ขณะปลายดรรชนีเรียวชี้วนบริเวณดินแดนด้านบนสุดของแผนที่แคว้นธยามันพลางรับสั่งกลั้วสรวลเหมือนทรงสำราญพระราชหฤทัยหนักหนา อคินกับไศเลนทร์ สองแคว้นใหญ่ที่กำลังสยายปีกอำนาจเหนือแคว้นอื่นๆ ธยามันเป็นแคว้นใหญ่สุดท้ายที่ทั้งสองหมายปอง ความที่ธยามันไม่เคยใช้อำนาจจากส่วนกลางเข้าไปแทรกแซง ทำให้แต่ละพื้นที่คงการปกครองและวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้ได้มากกว่าแคว้นอื่นๆ และทำให้ดูเหมือนกับว่ารัฐเล็กๆ เหล่านี้เป็นอิสระไม่ขึ้นตรงกับธยามันด้วย
“ไม่สนุกเลยนะกระหม่อม เรากำลังถูกบีบ”
“ใช่ พี่รู้ แคว้นธยามันมีขุมสมบัติอยู่ทุกที่ ใครๆ ก็ต้องการครอบครองทั้งนั้น”
คำแทนองค์ว่า 'พี่' เช่นนี้ องค์เวธัสบดีทรงใช้ก็ต่อเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง หรืออยู่กับคนที่เคยคุ้นกันมาเท่านั้น
“แต่ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นทางเหนือ เพราะชายแดนประชิดกับแนวตะเข็บของศิรกานต์ ที่ไศเลนทร์สยายปีกอำนาจคลุมพอดี”
“ที่หนักไปกว่านั้น แคว้นทางตะวันออกไศเลนทร์ก็ครอบครองไปหมดแล้ว ส่วนทางตะวันตกอคินก็กลืนคล่องคอ เหลือแต่แคว้นเราเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นก้อนเนื้อเข้าปากใคร”
“หม่อมฉันไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่”
“แล้วใครบอกว่าพี่จะยอม พี่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้เราอยู่รอด หนทางไม่ง่าย แต่ก็ไม่น่าจะยากเกินกำลัง เพียงแต่เราต้องหาทางออกให้เจอเท่านั้น”
“ทรงมีทางออกแล้วต่างหาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ทรงเรียกหาหม่อมฉัน”
เสนาบดีมหาดไทยทูลยิ้มๆ องค์เวธัสบดีทรงหันมาทอดพระเนตรผู้อ่อนวัยกว่า พักตร์เข้มคมแย้มพระโอษฐ์อย่างเจ้าชายพระองค์น้อย หาใช่กษัตริย์ผู้ครองแคว้นไม่
“มีครั้งไหนบ้างนะที่เธอจะไม่รู้ทันพี่ ใช่ มีทางออก แต่ไม่รู้ว่าจะทำไปได้มากน้อยแค่ไหน”
“ทรงหมายความว่า” เจ้าคุณมหาดไทยขมวดคิ้วนิดๆ องค์เวธัสบดีให้พระพักตร์
“อย่างที่เราเคยพูดกันเมื่อวันก่อนนั่นล่ะ ประชุมเสนาบดีวันนี้คงยาวแน่ พี่ว่าก่อนถึงเวลาเรารีบไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยดีกว่า พี่สั่งให้จัดของว่างเอาไว้แล้ว กินเสร็จก็คงได้เวลาพอดี”
รับสั่งจบก็เสด็จไปที่ประตูเชื่อมระหว่างห้องทรงพระอักษรเล็กกับห้องประชุมใหญ่ที่อยู่ติดกัน ทำให้เสนาบดีมหาดไทยหรือโดยทางสายพระโลหิตก็คือพระอนุชาต่างพระมารดา ต้องรีบตามเสด็จไปทั้งที่ยังมีเรื่องอยากทูลถามอีกมากมาย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับสั่งเสียแล้ว จึงยอมเก็บข้อขัดข้องเอาไว้ก่อน
ห้องประชุมนั้นเป็นห้องรูปไข่ทาสีนวล ม่านสีเดียวกันขลิบชายด้วยไหมทองเปิดออกจนสุดแล้วรวบรั้งเอาไว้ด้วยเกลียวไหมสีทองไว้ทั้งสองด้าน แสงสว่างจากด้านนอกส่องผ่านกระจกทรงสูงบานยาวเท่ากับความยาวของผนังทั้งสองด้านเข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องเปิดโคมแชนเดอเลียที่แขวนเอาไว้แต่อย่างใด เครื่องเรือนอย่างเดียวที่มีในห้องนั้นคือโต๊ะไม้สักอย่างดีขัดจนขึ้นเงาขนาดใหญ่ ขอบสลักลายเครือเถาอ่อนช้อยรอบโต๊ะ มีเก้าอี้วางเว้นระยะห่างอย่างเป็นระเบียบตลอดความยาวของโต๊ะ ที่หัวโต๊ะเป็นพระเก้าอี้ไม้สักเข้าชุดกัน บุไหมทองอย่างดี ปักลวดลายเครือเถาตรงพนัก ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ซึ่งครั้งหนึ่งองค์เวธัสบดีทรงเคยส่ายพระพักตร์แล้วทูลกับ 'ทูลหม่อมพ่อ' ว่า
“ห้องออกจะกว้าง แต่มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้เท่านั้นเอง”
“มีแค่นี้ล่ะดี สมาธิจะได้ไม่วอกแวก นี่พ่อยังใจดีนะที่ยอมให้เปิดม่าน เผื่อใครบอกอยากพักสายตา พ่อจะให้มองยอดไม้เขียวๆ แทน”
ทูลหม่อมพ่อเคยรับสั่งอย่างขันๆ กว่าจะทรงเห็นจริงตามพระวาจาก็ตอนได้ครองราชย์นี่แหละ
องค์เวธัสบดีทอดพระเนตรเสนาบดีมหาดไทยที่เอาแต่นั่งมองจานของว่างตรงหน้าอย่างขันๆ หัตถ์ใหญ่เอื้อมหยิบถ้วยพระสุธารสชาแบบฝรั่งขึ้นจิบ ก่อนรับสั่งว่า
“กินก่อนเถิดกฤตติน ตอนกินนี่แหละที่ผ่อนคลายที่สุด”
“อาจจะจริง แต่ตอนนี้หม่อมฉันกลับเห็นเป็นตรงข้าม”
เจ้าชายกฤตตินตรัสสุรเสียงเคร่งเครียดจนพระเชษฐาทรงแกล้งถอนปัสสาสะดังเฮือกใหญ่ พลางทรงใช้ฉลองพระหัตถ์ส้อมตัดเค้กแครอทชิ้นใหญ่แล้วจิ้มเสวยอย่างง่ายๆ
“เค้กนี่ทำมาจากอะไร เจ้าคุณ”
“หือ!”
“ไม่หือล่ะ”
“ก็มีไข่ แป้ง นมสด น้ำตาล แล้วก็แครอท เท่าที่ทราบกระหม่อม”
“ส่วนผสมต่างกัน แต่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จริงไหม”
“แต่กว่าจะเป็นเนื้อเดียวกันก็ต้องใช้เวลา”
“พี่ไม่เถียงในข้อนั้น แต่ถ้าผลที่ได้มันคุ้มค่าก็น่าลองไม่ใช่หรือ บทเรียนของแคว้นอื่นๆ เป็นอย่างไรเราก็เห็นแล้ว”
เจ้าชายเสนาบดีไม่ทูลว่าอย่างไร แต่เนตรมีแววครุ่นคิด มิใช่ไม่เห็นด้วยกับพระดำริ แต่เพราะทรงเริ่มเห็นเค้าลางความยุ่งยากที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า ไม่ใช่แค่สองมหาอำนาจที่จะขัดขวางเท่านั้น แต่รัฐทั้งหลายนี่ต่างหาก เป็นอิสระมาช้านาน จู่ๆ ก็จะมีคนจากส่วนกลางไปมีส่วนร่วมกับการเมืองภายใน ใครที่ไหนจะยอมได้ ทว่าการนิ่งเฉยไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับยอมให้อคินหรือไศเลนทร์กลืนตอนเหนือเข้าไปได้คล่องคอ แน่นอน ไม่หยุดแค่ที่ตอนเหนือแน่ แต่คิดจะรวบทั้งแคว้นธยามันด้วย
ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงทีละน้อย แต่ดูเหมือนว่าคณะเสนาบดีที่เข้าร่วมประชุมนั้นจะไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เลย จนกระทั่งเจ้าพนักงานเข้ามาเปิดไฟช่อแชนเดอเลีย ทุกชีวิตในห้องประชุมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าค่ำแล้ว องค์เวธัสบดีสรวลนิดๆ ช่วยให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดค่อยผ่อนคลายลงบ้าง
“ดีจริง วันนี้เราทำงานจนมืดค่ำกันทีเดียว นานแล้วนะที่ไฟในห้องนี้ไม่ได้เปิด”
“อย่าให้มีอย่างนี้บ่อยๆ เลยกระหม่อม” ใครคนหนึ่งทูลขึ้นอย่างขันๆ “ประชุมจนต้องเปิดไฟทีไร เป็นต้องมีเรื่องใหญ่ทุกที”
“นั่นสิ” องค์เวธัสบดีรับสั่งกลั้วสรวล “นี่คงเป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของช่อแชนเดอเลียนะ”
สิ้นรับสั่งนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาเสนาบดีในห้องได้ไม่น้อย กษัตริย์หนุ่มทรงปรบพระหัตถ์ขึ้นดังๆ สามครั้ง เจ้าพนักงานที่คอยอยู่ด้านนอกจึงเข้ามาถวายคำนับรอรับพระบัญชา สุรเสียงทุ้มรับสั่งกับเจ้าพนักงานไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็ค้อมศีรษะรับแล้วถอยออกไป ขณะที่ทรงหันมาทางเสนาบดีทั้งหลายที่เริ่มเก็บม้วนเอกสารทั้งหลายง่วนอยู่
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ ค่ำแล้ว เดี๋ยวพวกท่านจะหาว่าฉันใจร้าย ใช้งานเสร็จยังปล่อยให้หิ้วท้องกลับไปกินข้าวบ้านใครบ้านมันอีก”
“โธ่ ใครจะกล้าคิดเช่นนั้นล่ะกระหม่อม” เสนาบดีคลังทูล
“ไม่รู้สิ กันไว้ก่อนดีกว่า”
วิธีการรับสั่งเป็นกันเองเหมือนเมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาท ทรงเลือกที่จะผูกใจข้าละอองธุลีพระบาทไว้ด้วยความอ่อนโยนและพระคุณ มากกว่าที่จะทรงเลือกใช้พระเดชเป็นเครื่องบังคับใจ เพราะทรงทราบดีว่า ความจงรักและภักดีนั้นต้องเกิดจากหัวใจคนเป็นสำคัญ เพราะอย่างนี้ ฐานบัลลังก์แห่งธยามันจึงดำรงมั่นคงอยู่ได้ท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองนานัปการ
กษัตริย์หนุ่มลอบระบายปัสสาสะยาวเมื่อดำริถึงสิ่งที่เพิ่งทรงประชุมเสร็จสิ้นไป 'การรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง' กว่าจะได้ข้อยุตินี้ก็เคร่งเครียดทุ่มเถียงกันอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นการเลือกที่ออกจะ 'สุ่มเสี่ยง' อยู่สักหน่อย ตัวอย่างก็มีให้เห็นจากหลายแคว้นแถบนี้ ไม่ต้องดูอื่นไกลเลย อย่างแคว้นโรธัสที่อยู่ถัดขึ้นไปทางตะวันออกนั่นก็หนึ่งล่ะ เพราะการคิดรวมอำนาจสู่ส่วนกลางไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เกิดสงครามกองโจรขึ้นในแต่ละรัฐ จนท้ายที่สุดไศเลนทร์ก็อาสามาไกล่เกลี่ยให้และ 'รวบ' ทั้งแคว้นไว้ในอุ้งมือ
แต่ในทางกลับกัน ถ้าปล่อยให้แต่ละรัฐปกครองดูแลกันเองอย่างที่ผ่านมา ไศเลนทร์กับอคินก็จ้องมองหมายตะครุบกลืนกินทีละส่วน และสุดท้ายธยามันก็คงไม่ต่างอะไรจากดินแดนแถบนี้
แนวทางเดิม ผลสรุปเหมือนกัน แต่วิธีการเดินไปให้ถึงปลายทางนั้นต่างหากที่แตกต่าง
บัดนี้เสนาบดีล้วนยอมทำตามพระราชดำริ ที่เหลือนั้นพระองค์ต้องทรงทำให้เห็น
ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อธยามันทั้งแคว้น!
อริญชย์
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 55 00:01:08
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 55 00:00:05
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
6 พ.ย. 55 23:59:41
|
|
|
|