Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 6 “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่ 1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html
ตอนที่ 3 “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html
ตอนที่ 4 “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5 “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 6 “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ”

ในเมื่อรู้แล้วว่าหน่องคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกับชีวิตในศิริราช นานเท่าไรไม่รู้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดๆหรอก มันขึ้นกับตัวหน่องเอง แต่สิ่งที่ผมรู้คือ ถ้าหน่องสามารถพักผ่อนได้เต็มที่ในช่วงวันหยุดยาวนี้ และคลายความกังวลลง หน่องก็น่าจะมีสิทธิ์ได้กลับบ้านของเราได้มากขึ้น แต่ที่แน่ๆ ช่วงสงกรานต์เราคงไม่ได้ไปไหนแน่นอน

สิ่งที่ผมจะต้องเตรียมในทุกๆวันต่อจากนี้คือ การเตรียมใจให้พร้อมเพื่อรับสถานการณ์ที่ผมเองไม่อาจรู้ได้ ผมได้แต่ลุ้นไปในแต่ละวันที่ผ่านไปว่าหน่องจะอาการดีขึ้นหรือแย่ลง ผมบอกตัวเองว่าจะไม่เครียดไปกับมันและพยายามดูแลกันไปแบบวันต่อวัน และทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมแทบจะไม่ต้องคิดเลยว่าจะต้องไปไหนทำอะไร เพราะสิ่งที่ผมสามารถทำได้ตอนนี้คือการมาเยี่ยมหน่องทุกวัน ให้กำลังใจหน่องทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าไป

ผมเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผมคงต้องรออยู่ด้านหน้าห้องคลอดพิเศษเป็นหลายๆชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไปเยี่ยมหน่อง อะไรก็เป็นไปได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมต้องเตรียมใจแบบนั้นจริงๆ เพราะผมกำหนดอะไรไม่ได้เลย ผมเลยมองว่าผมคิดแบบแย่ๆไว้ก่อน ดังนั้นถ้ามีอะไรที่ดีๆเกิดขึ้นกว่าที่ผมคาดไว้ ผมถือว่ามันเป็นโบนัสสำหรับผมครับ อย่างน้อยๆ ช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์นี้ผมก็เริ่มได้โบนัสบ้างแล้วละ

จะให้ผมเรียกว่าโชคดีก็ได้ที่เป็นช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ เพราะมันกลายเป็นว่าทางพยาบาลได้อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมหน่องได้นานขึ้นและบ่อยขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าคนไข้น้อยในช่วงวันหยุดยาวหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ เพราะเท่าที่ผมเห็นก็มีคนเข้ามาคลอดตลอดนะ แต่อาจจะไม่ใช่เคสฉุกเฉินอย่างวันที่ผ่านๆมา หรือจริงๆแล้วทางห้องคลอดพิเศษคงทราบถึงเคสของหน่องที่ต้องการกำลังใจมากเป็นพิเศษ ก็เลยให้ผมสามารถพบหน่องให้กำลังใจหน่องได้บ่อยและนานกว่าปกติก็เป็นได้ และช่วงแรกนี่ละที่จะเป็นจุดที่ควรให้กำลังใจหน่องมากที่สุด เพื่อให้หน่องมีกำลังใจที่จะอยู่ในห้องๆนี้ต่อไปได้ เพราะหน่องยังคงไม่สามารถลงจากเตียงได้จนกว่าอาการหน่องจะดีขึ้น

ยิ่งหน่องต้องอยู่นานเท่าไรความกดดันต่างๆมันก็ตามมาโดยไม่รู้ตัว ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องรับมือกับมัน มีทั้งความกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างกับสภาพที่ไม่เคยชิน ความกดดันจากร่างกายที่อ่อนแอลง ความกดดันทางจิตใจจากตัวคุณแม่เองที่อะไรๆก็ไม่ดีขึ้นอย่างที่หวัง และในช่วงนี้เองที่ผมมีโอกาสได้คุยกับหน่องมากขึ้น และได้เห็นอาการของหน่องติดต่อกันมากยิ่งขึ้น เห็นแล้วผมยอมรับว่า “หนักใจครับ” โดยเฉพาะในช่วงแรกอาการของหน่องนั้นขึ้นๆลงๆจริงๆ มีอาการมดลูกเกร็งตัวถี่ๆอยู่หลายครั้ง เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากเพราะขึ้นเกินร้อยก็ยังมี ปกติควรจะอยู่ที่ 20 เท่านั้น แม้แต่เวลาอยู่เฉยๆนิ่งๆอาการเกร็งยังแสดงออกมาบนจอเลย ผมก็มานึกๆดูว่าหน่องกดดันอะไรเองหรือเปล่า ทำไมหน่องไม่รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น หรือเป็นเพราะบรรยากาศในห้องคลอดพิเศษหรือเปล่า

ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยละกันว่า สภาพของห้องคลอดพิเศษมันเป็นประมาณไหน ห้องที่หน่องอยู่เป็นห้องหนึ่งในแปดห้องที่ใช้สำหรับการคลอดธรรมชาติ ลักษณะห้องก็เหมือนกับห้องพักผู้ป่วยตามโรงพยาบาลนั่นละครับ แต่อุปกรณ์จะเยอะกว่า ตัวเตียงเองก็จะทำออกมาเป็นพิเศษ ปลายเตียงเป็นลักษณะเปิดออกได้ และมีอุปกรณ์สำหรับรองรับขาทั้งสองข้าง พูดง่ายๆก็เหมือนเวลาขึ้นขาหยั่งนั่นเอง  มันเป็นเตียงที่สามารถปรับให้พร้อมสำหรับการคลอดธรรมชาติได้ทันที เพราะที่นี่เป็นห้องคลอดครับ หน่องถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวคือ มีโอกาสสูงที่จะคลอดแล้ว ดังนั้นห้องคลอดพิเศษนี้จึงเป็นที่ๆเหมาะที่สุดสำหรับกรณีที่เกิดขึ้นกับหน่องตอนนี้

มันเป็นห้องสำหรับคลอดที่ดูดีมากๆเลยละ บรรยากาศโดยรวมจะดูสะอาด หรู น่าพัก แต่ยังไงก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าหน่องจะสามารถนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ .......... ห้องคลอดก็คือห้องคลอดครับ ชื่อมันบ่งบอกอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วว่ายังไงมันก็คือห้องคลอดอยู่ดี เพราะในระหว่างที่อยู่ในห้องของหน่องเอง หน่องจะอยู่ในห้องคนเดียวตลอด ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ได้ดูทีวี แต่หน่องจะได้ยินเสียงลอดจากห้องอื่นลอดเข้ามาในห้องเป็นประจำ และเสียงที่ได้ยินคือ เสียงของคุณแม่ท่านอื่นในช่วงทำคลอดครับ

เสียงในช่วงแรกๆที่ได้ยินจะเป็นเสียงของพยาบาลทั้งวอร์ดร่วมกันส่งเสียงเชียร์ช่วยเบ่งให้คุณแม่ที่กำลังจะคลอดลูก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คุณแม่ที่กำลังคลอดตอนนั้น มีพลังในการเบ่งมากขึ้น เสียงช่วยเบ่งจะถี่ๆเป็นระยะๆไปเรื่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็จะรู้ได้เลยว่า มีใครสักคนกำลังจะคลอด เสียงจะลอดเข้ามาในห้องเป็นระยะๆ ในช่วงที่มีการทำคลอดจากห้องอื่นอยู่ แรกๆที่ได้ยินเสียงนี้ ยิ่งได้ยินยิ่งกดดันครับ เพราะมันไม่ง่ายเลยจริงๆที่จะต้องบอกตัวเองให้รักษาลูกให้อยู่ในท้องให้นานที่สุด แต่กลับได้ยินเสียงช่วงเบ่งคลอดเป็นระยะๆจากห้องอื่น เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริงๆ

แม้แต่ผมเองครั้งแรกที่ได้ยิน ผมยังรู้สึกตื่นเต้นไปกับเสียงช่วยเบ่งไปด้วยเลย ผมยังเคยพูดกับหน่องเล่นๆเลยว่า “ฟังแล้วไม่ต้องเบ่งตามนะ คนอื่นเบ่งแต่เราต้องอั้น :)”  มันเป็นความกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างโดยแท้จริงที่คุณต้องปรับตัวให้ได้

นอกจากเสียงช่วยเบ่งของพยาบาลแล้ว สักพักคุณก็จะได้ยินอีกเสียงตามมา มันเป็นเสียงร้องที่ดังมากๆ เสียงนั้นคือเสียงของ ”เด็กแรกคลอด” นั่นเอง

มันเป็นเสียงร้องที่ให้ความรู้สึกถึงความปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูกแม้จะไม่ใช่ลูกเราเลยก็ตาม ................ สำหรับตัวผมเองเวลาได้ยินเสียงเด็กร้องแบบนี้แล้ว ผมจะรู้สึกดีมากเลย ผมได้รับรู้ถึงเสียงแห่งความรักของพ่อและแม่ที่เฝ้าดูแลลูกในครรภ์มาตลอด 9 เดือน แม้แต่หน่องเอง หน่องจะร่วมลุ้นให้กำลังใจกับคุณแม่คนนั้นไปด้วย หน่องอาจจะไม่เคยเห็นไม่เคยพบคุณแม่คนอื่นเลยก็ตาม เสียงช่วงทำคลอดนี่จะได้ยินทุกวัน อย่างน้อยๆก็ประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ถ้าช่วงไหนคนมาคลอดเยอะก็จะได้ยินบ่อยกว่านี้ เรียกได้ว่า ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ยิน

แล้วสงสัยไหมครับว่าทำไมเสียงถึงลอดเข้ามาได้ชัดขนาดที่ได้ยินทั้งเสียงช่วยเบ่งคลอดและเสียงของเด็กแรกคลอดร้องได้อย่างชัดเจน...........คำตอบง่ายๆคือ ประตูของแต่ละห้องจะไม่มีการปิดสนิท เหตุผลคือคุณแม่แต่ละท่านต้องอยู่ในห้องคนเดียวเกือบตลอด โดยที่คุณแม่แต่ละคนไม่สามารถช่วยอะไรตัวเองได้มากนัก ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉุกเฉินโดยที่ห้องปิดสนิท ทางพยาบาลอาจจะมาช่วยไม่ทัน  ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือคุณแม่จะต้องอยู่ในสายตาของพยาบาลตลอดเวลา

กิจกรรมของหน่องในทุกๆวันจะเริ่มต้นตั้งแต่เช้า โดยที่ทางพยาบาลจะมาตรวจโน้นตรวจนี้หน่องเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่การวัดความดัน วัดอุณหภูมิ เช็คปริมาณน้ำเกลือ เช็คอาการเกร็งมดลูกของหน่อง จัดการเรื่องถ่ายเบาและหนักให้หน่อง มาเช็ดตัวให้หน่องและรวมถึงสระผมให้หน่องด้วย โดยทั้งหมดจะเกิดขึ้นโดยที่หน่องไม่ต้องลุกจากเตียงเลย ในมุมนึงผมก็รู้สึกจริงๆว่า หน่องไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย ใครจะทำอะไรหน่องก็ต้องให้เค้าทำ ปล่อยให้เค้าจับโน้นจับนี่ มันคงน่าอึดอัด น่าอายอยู่ ที่มีคนมารุมคุณ แต่ในอีกมุมนึงผมก็รู้สึกว่า ทุกๆคนที่เข้ามา เค้าเต็มใจช่วยหน่องแม้ว่าจะไม่รู้จักหน่องมาก่อน ถ้าจิตใจไม่มีความรู้สึกอยากช่วยคนๆนั้นจริงๆ ก็คงไม่สามารถมาทำงานแบบนี้ได้ นี่เป็นมุมดีๆมุมนึงที่ผมเองไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า พยาบาลแต่ละคนจะถูกปลูกฝังการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ดีแบบนี้  รู้สึกดีที่ได้เห็นมุมดีๆแบบนี้ที่ศิริราช มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียวที่มาอยู่ที่นี่สำหรับหน่อง แต่ความกดดันที่หน่องต้องเจอในทุกๆวันแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

มีเรื่องที่ผมประทับใจมากสำหรับการเอาใจใส่คนไข้ของที่ศิริราชเรื่องนึงคือ ในช่วงแรกที่หน่องมาพักอยู่ที่ห้องคลอดพิเศษแห่งนี้เป็นช่วงวันสงกรานต์พอดี หน่องยังคงพยายามนอนเฉยๆ ไม่คิดอะไรจะได้ไม่เครียด บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดเพราะหน่องยังตกอยู่ในวังวนแห่งความเครียด เป็นความกดดันที่ไม่รู้จริงๆว่าจะหาทางออกยังไงดี ในช่วงวันปีใหม่ไทยนั่นเอง หัวหน้าพยาบาลใจดีมากๆ นำพระพุทธรูป และองค์ ร.5 ใส่รถเข็นเข้ามาให้หน่องได้สรงน้ำพระและขออธิฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงเตียง มันเป็นกำลังใจแบบหนึ่งที่หน่องต้องการมากๆ มันเป็นที่พึ่งทางใจ มันเป็นเรื่องดีๆที่ทำให้หน่องยิ้มได้จริงๆ

“ถึงเราจะลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องมานอนที่โรงพยาบาล แต่เราก็ได้สรงน้ำพระนะคะ ขอพรจากท่านนะ” พยาบาลที่เข็นพระพุทธรูป และองค์ ร.5กล่าว

มันเป็นความรู้สึกที่พยาบาลใส่ใจคนไข้ด้วยความจริงใจ เพราะคนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องไปยกพระพุทธรูป และองค์ ร.5 ที่ปกติตั้งอยู่ที่แท่นบูชาปกติลงมาใส่รถเข็น และเข็นเข้ามาให้คนไข้ถึงเตียงแบบนี้ ประทับใจมากครับกับความรู้สึกดีๆที่จะเป็นกำลังใจหน่องแบบนี้

ทุกครั้งที่มีโอกาสผมก็จะขอทางพยาบาลเข้าไปนั่งคุยกับหน่อง เพราะผมรู้ว่าการพูดคุยกับหน่องเป็นสิ่งที่จะทำให้หน่องผ่อนคลายขึ้น มันดีกว่าการอยู่เงียบๆคนเดียวตลอดเวลาแน่ๆ เพราะเวลาได้คุยได้ระบายอะไรออกไปบ้างก็จะทำให้คลายความกดดันไปได้ระดับนึง ผมจะพยายามสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกับหน่องเท่าที่ผมจะทำได้ด้วยอารมณ์แจ่มใสเหมือนทุกอย่างดูปกติ แค่เปลี่ยนจากที่บ้านมาอยู่ที่โรงพยาบาลเท่านั้นเอง แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าบางครั้งผมก็ไม่เนียนเท่าไร โดยเฉพาะเวลาที่อาการหน่องไม่ค่อยสู้ดีนัก

แต่มีวันหนึ่ง หลังจากที่หน่องมีอาการมดลูกเกร็งอีกแล้วและอาการก็พึ่งจะดีขึ้นได้ไม่นาน บรรยากาศตอนนั้นมันไม่ได้ดีหรอกครับ หน่องก็ดูเศร้าๆ คงจะเสียใจและผิดหวังกับอาการตัวเองที่ไม่คงที่เลย  มีผู้ช่วยพยาบาลท่านหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อเช็ดตัวให้หน่อง ทางผู้ช่วยพยาบาลคนนั้นก็จัดแจงเอาม่านมาปิดรอบเตียง เพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียด ส่วนผมก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้เล็กๆตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ด้วยความรู้สึกที่เศร้าไม่ต่างจากหน่องหรอก  ระหว่างที่ผมรอทางผู้ช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้หน่องอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงทางผู้ช่วยพยาบาลก็พูดขึ้นมาว่า

"ที่ๆปลอดภัยที่สุดสำหรับลูกคือ ในท้องของคุณแม่ เพราะท้องคุณแม่เปรียบเสมือนตู้ที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด"

ผู้ช่วยพยาบาลพูดประโยคนี้ขณะที่กำลังเช็ดตัวให้หน่องไปด้วย มันเป็นเสียงเรียบง่ายไม่พูดอะไรมาก ไม่เยิ้นเย้อแต่กินใจมากครับ มันทำให้ผมรู้สึกว่าหน่องไม่ได้สู้อยู่คนเดียว หน่องมีกำลังใจมากมายจากที่นี่ ผมก็ได้คิดจากคำพูดตรงนั้นเช่นกันว่า ผมจะท้อแท้ไม่ได้ ผมจะมาเศร้าไปกับหน่องไม่ได้ ผมต้องแสดงให้หน่องเห็นว่า ผมยังเข้มแข็ง ผมยังมีพลังที่จะต่อสู้และผมก็พร้อมที่จะให้กำลังใจหน่อง และหน่องจะต้องดีขึ้น อาการเกร็งของหน่องจะต้องดีขึ้น ถ้าหน่องรู้สึกแย่ผมก็ต้องเป็นคนดึงหน่องขึ้นมาจากความรู้สึกแย่ๆตรงนั้นให้ได้ เราจะช่วยกันประคับประคองตู้ใบนี้ให้อยู่กับคุณแม่ไปให้นานที่สุด

ผมมักจะมีโอกาสได้มาเจอหน่องช่วงบ่าย ทานข้าวด้วยกัน คุยกัน ช่วงเวลานั้นหน่องจะเหนื่อยง่ายคุยกันระดับนึง หน่องก็ต้องนอนพักผ่อน โดยขณะที่หน่องหลับแต่ผมไม่ได้หลับตามนะครับเพราะผมอยากเห็นอาการของหน่องด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากคนอื่นมาบอกว่าหน่องมีอาการยังไง อาการเกร็งของหน่องเป็นขนาดไหน ในเมื่อผมมีโอกาสที่จะอยู่กับหน่องในห้องแบบนี้ผมจึงลองจับเวลาไปด้วยว่าอาการมดลูกเกร็งตัวนั้นสูงแค่ไหนและถี่ขนาดไหน  และผมก็พบว่าแม้แต่ในเวลานอนของหน่องซึ่งเป็นช่วงที่คุณหมอบอกว่าอาการมดลูกเกร็งตัวจะคลายลง กลับกลายเป็นว่าในกรณีของหน่องมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียว ในบางช่วงหน่องจะมีอาการมดลูกเกร็งตัวในระดับที่สูงโดยมันจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปและจะพุ่งพรวดขึ้นไปในระดับที่สูงที่สุดก่อนจะค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ มันจะเกิดขึ้นประมาณทุก 15 นาที ในช่วงนั้นค่อนข้างอันตรายครับ ไม่ว่าจะเวลาตื่นหรือเวลาหลับ หน่องก็ยังมีอาการ แม้จะไม่ได้ถี่แบบทุกหกนาที แต่หน่องก็ยังอยู่ในระดับที่ต้องลุ้นอาการเกร็งทุกครั้งไปทั้งๆที่คุณหมอให้ยาลดอาการเกร็งไปถึง 60 เห็นอาการหน่องแบบนี้ผมสรุปได้เลยว่าช่วงนี้หน่องอยู่ได้ด้วยยาจริงๆ

ขณะที่ผมจับเวลาไปดูอาการเกร็งของหน่องไป ผมจะรู้สึกตื่นตระหนกมากๆเวลาที่ตัวเลขที่แสดงอาการเกร็งของมดลูกมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ผมเห็นเลขมันขยับขึ้น ผมก็รู้สึกแย่กับตัวเองไปด้วยเพราะผมทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องที่เกินกว่าที่ผมจะจัดการอะไรได้เลย ผมได้แต่ลุ้นและขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างทำให้อาการหน่องหยุดเกร็งด้วยเถิด ยิ่งมาเห็นอาการของหน่องด้วยตัวเองแบบนี้ก็ยิ่งไม่อยากให้ภรรยาตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้เลย ปกติหน่องเป็นคนที่ช่างคุย ร่าเริง ยิ้มแย้มคุยได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่กำลังบังคับหน่องให้ปรับตัวและทำตามอยู่ขณะนี้คือการพูดให้น้อย ห้ามคุยกับใครๆ ก็ตาม อุปกรณ์สื่อสารห้ามใช้ และห้ามลุกออกจากเตียง มันเป็นความกดดันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย การกระทำที่ขัดกับความเป็นตัวหน่องเองแบบนี้ จะให้หน่องปรับตัวได้อย่างทันทีทันใดได้ยังไงกัน ผมเชื่อเลยว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่หน่องยังมีอาการเกร็งอยู่ ประกอบกับความเครียดภายในเลยยิ่งไปกันใหญ่ แถมปกติหน่องชอบหลับแล้วฝันด้วย ผมก็แอบคิดเหมือนกันนะว่า เอ! หรือว่าเรื่องราวที่หน่องฝันจะไปทำให้หน่องเครียดหรือเปล่าเนี่ย เพราะเวลาตื่นหน่องมีสมาธิพอที่จะจัดการตัวเองได้ แต่ในฝันหน่องคงไม่สามารถหยุดได้เหมือนกัน

มีหลายวิธีที่พยายามใช้เพื่อไม่ให้หน่องคิดฟุ้งซ่าน ทางพยาบาลได้ลองให้หนังสือสวดมนต์หน่องมาอ่านดู เผื่อจะทำให้หน่องมีสมาธิ แต่กลายเป็นว่ามันไม่ได้ช่วยเลยครับ มันกลับยิ่งไปเร่งทำให้หน่องมีอาการมดลูกเกร็งด้วยซ้ำไป ลองวิธีให้หน่องสวดมนต์อยู่ได้อาทิตย์นึงก็ต้องหยุดไปเลย เพราะเห็นแล้วว่ามันไปกันใหญ่จนถึงบัดนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าทำไม หรือหน่องพยายามตีความบทสวดมนต์หรือยังไง เลยกลายเป็นว่าทำให้หน่องคิดวุ่นไปมาแทน

ผมเองก็เคยให้หน่องฟังเพลงจะได้สบายใจ และเคยได้ยินมาว่าถ้าให้ฟังแนวเพลงแจ๊สแล้ว จะไปกระตุ้นพัฒนาการเด็กได้ ก็จัดแจงไปหามาให้หน่องฟัง ......ก็เข้ารูปเดิมเลยครับ คือทำให้หน่องมีอาการมดลูกเกร็งอยู่ดี ฮึม......สงสัยจะไปกระตุ้นพัฒนาการเด็กมากเกินไป  สุดท้ายต้องมาจบลงตรงเพลงแนวป๊อปสบายๆนี่ละ ที่หน่องได้ฟังแล้วโอเค Relax ได้

ส่วนการดูทีวี จริงๆในห้องก็มีทีวีนะครับ คุณแม่ท่านอื่นคงดูได้ เพราะเป็นการพักผ่อนเตรียมความพร้อมก่อนคลอดธรรมชาติ แต่สำหรับหน่อง ยังไม่ต้องคลอด คุณหมอห้ามเลย สาเหตุจริงๆ ที่ห้ามคือคุณหมอไม่ต้องการให้หน่องไปดูรายการอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นเกินไป เพราะอาจมีผลทำให้มดลูกเกร็งตัวได้ โดยเฉพาะหน่องนี่เป็นขาประจำของละครภาคค่ำเลย ละครช่วงนั้นก็มีแต่เรื่องแนวแรงๆทั้งนั้น โดยเฉพาะละครเรื่องดอกส้มสีทองที่หน่องติดตามมาตั้งแต่ก่อนเข้าโรงพยาบาล ติดอย่างงอมแงม ยิ่งถ้ามีซีนที่เรยาเล่นด้วยละก็ตื่นเต้นแน่นอน ก็เลยต้องห้ามดูไปเลย จริงๆแล้วช่วงนั้นหน่องดูอะไรก็เกร็งไปหมดอยู่ดี เพราะผมเองเคยลองแม้แต่เอาเครื่องเล่น DVD มาให้หน่องดูละครเกาหลีแนวใสๆน่ารักกุ๊กกิ๊กที่หน่องชอบมาให้ดู แต่ผลที่ได้คือ เกร็งเหมือนเดิม สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า ดูไม่ได้เลยจริงๆ

สุดท้ายก็มาจบลงด้วยการเล่น Sudoku ครับเป็นเกมส์ฝึกสมาธิได้ดีเกมส์หนึ่ง หน่องเป็นคนชอบเล่นเกมส์นี้มากๆ ผมมีซื้อหนังสือมาให้หน่องเล่นแบบ โ-ค-ต-ร ยากเลย ผลคือวิธีนี้ทำให้หน่องเล่นแบบมีสมาธิ และไม่มีอาการเกร็งด้วย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่าหน่องคงไม่รู้สึกเบื่อเกินไปกับการที่ต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมโดยลำพัง

แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า อาการหน่องมันต้องรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ กำลังใจทุกรูปแบบถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อให้หน่องสบายใจอยู่ในห้องอย่างมีความสุข และถ้าอาการหน่องดีขึ้น ปริมาณยาก็จะค่อยๆลดลง แล้วหน่องก็จะได้กลับบ้าน

2 สัปดาห์ผ่านไป ........

เวลาเดินต่อไปเรื่อยๆ และวันหยุดยาวสงกรานต์ได้ผ่านพ้นไป ไม่น่าเชื่อเลย ผ่านไป 2 สัปดาห์แล้ว รวดเร็วมาก แต่หน่องยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลเช่นเดิม ตึกๆเดิม ห้องๆเดิมที่หน่องนอนมาตั้งแต่วันแรก นั่นหมายความว่าวันหยุดยาวสงกรานต์มันผ่านไปแล้วจริงๆ และโลกแห่งความจริงก็เริ่มเปิดเผยขึ้นมาตามลำดับ

ความเป็นจริงกับคำถามมากมายก็เริ่มเกิดขึ้นจากคนที่รู้จักหน่อง ทั้งจากครอบครัว เพื่อนๆสมัยเรียน เพื่อนร่วมงานของหน่องที่ผมต้องเผชิญ และผมเองคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องรับความกดดันในรูปแบบที่แตกต่างกับหน่องไปบ้างเหมือนกัน  เริ่มจากครอบครัวก่อนเลย ครอบครัวของหน่องเองก็เห็นหน่องมาโดยตลอด ลูกที่สดใส ร่าเริง ช่างคุย ดูเหมือนเป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ โกรธง่ายหายเร็ว ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่าหน่องต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนาน นานแบบยังไม่รู้ว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไรด้วยซ้ำไป โดยเหตุผลหลักอยู่ที่ความเครียดของหน่อง

มีวันหนึ่งผมต้องมาแจ้งให้ทางครอบครัวหน่องได้ทราบถึงอาการหน่องและคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่หน่องจะสามารถกลับบ้านได้โดยเร็ว มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากๆสำหรับครอบครัวหน่อง

“ปกติหน่องไม่เคยเป็นแบบนี้ หน่องเป็นถึงขนาดนี้ได้ยังไง” ครอบครัวหน่องถามและมองมาที่ผม เหมือนกับต้องการคำตอบบางอย่างที่เค้าเองก็ไม่เข้าใจจริงๆ

สายตาที่มองมา มันเป็นความกดดันที่หนักจริงๆสำหรับผม ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่หน่องไว้วางใจผมให้ดูแลลูกสาวของท่านไปตลอดชีวิต แต่สิ่งที่ท่านเห็นอยู่ตอนนี้คือ ลูกสาวต้องอยู่โรงพยาบาล ห้ามลุกออกจากเตียงและยังไม่มีกำหนดกลับบ้านที่แน่นอน ผมรับรองเลยครับว่าเป็นพ่อแม่คนไหนก็ต้องการรู้ว่าทำไม

คำตอบที่ผมสื่อออกไปกับคุณพ่อคุณแม่หน่องคือความเงียบครับ ............ ผมไม่ได้ตอบอะไรเลย มันเป็นความเงียบที่น่าอึดอัด สายตาที่ผมได้รับเพื่อหาคำตอบจากทางครอบครัวหน่อง มันกดดันดีแท้เลยครับ ผมคงไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดให้ แต่ผมบอกได้นะครับว่า ผมเป็นห่วงภรรยาผมคนนี้ไม่น้อยไปกว่าคุณพ่อคุณแม่แน่นอน ผมอยู่เคียงข้างหน่องเสมอครับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลานี้สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้คือกำลังใจให้หน่องครับ

และจากวันนั้นทางครอบครัวหน่องก็ไม่เคยตั้งคำถามอะไรแบบนี้อีกเลย ทุกคนร่วมใจกันทำอย่างเดียวกันคือ การให้กำลังใจหน่องครับ ทำทุกอย่างที่คิดว่าหน่องจะสบายใจมากที่สุดและทุกคนในครอบครัวจะร่วมกันผ่านมันไปให้ได้

ต้องยอมรับนะครับว่า ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่นี้หน่องเองก็มีอารมณ์ที่แปรปรวนพอสมควร หงุดหงิดง่าย พูดจาเสียดแทงก็ออกบ่อย แต่ก็ต้องเข้าใจว่า หน่องไม่ได้อยู่ในสภาพที่รับอะไรไว้ได้เยอะมากนัก ถ้าเรื่องแค่นี้ผมรับแทนหน่องไม่ได้ ผมก็ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้หรอกครับ

คุณพ่อคุณแม่หน่องก็เดินทางมาเยี่ยมหน่องทุกวัน ได้เยี่ยมบ้างไม่ได้เยี่ยมบ้าง แต่ก็จะมีอาหารดีๆอร่อยๆ ทำโดยฝีมือคุณแม่หน่องทำมาให้ทุกวัน ทราบมาว่าคุณแม่หน่องท่านต้องตื่นตี 5 ไปซื้อปลาช่อนตัวเป็นๆ มาทำน้ำปลาช่อน เอาเฉพาะน้ำนะครับเนื้อไม่เอา ทำมาให้หน่องดื่มทุกวัน ไม่รวมกับอาหารอื่นๆที่ทำมาให้ด้วยกันนะครับ ช่วงนั้นผมเห็นคุณแม่หน่องโทรมไปเลย แต่เพื่อลูกสาวของแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง เพราะทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการทำให้หน่องมีความสบายใจมากที่สุด เครียดน้อยสุด

ความกดดันกับทางเพื่อนๆของหน่องก็มาในอีกแง่หนึ่งครับ หลังจากที่เลยวันหยุดยาวสงกรานต์มาแล้ว เพื่อนๆของหน่องเริ่มสงสัยว่าหน่องหายไปไหน ........ หน่องคนที่เปลี่ยน Status บน BB ทุกอาทิตย์ว่าอายุครรภ์ของตัวเองเข้าสู่สัปดาห์ที่เท่าไรแล้ว แต่ทำไมช่วงนี้ BB ของหน่องยังอยู่ที่สัปดาห์ที่ 26 เหมือนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ทั้งๆที่มันควรเป็นสัปดาห์ที่ 28 แล้วด้วยซ้ำไป แถมหน่องขาดการติดต่อกับเพื่อนไปเลย ทั้งๆที่จะเป็นศูนย์กลางของเพื่อนๆมาโดยตลอด พอดีว่ามันอยู่ในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ เพื่อนๆหน่องคงคิดว่า พี่ตี้คงจะพาหน่องไปเที่ยวเพลินอยู่ แต่เปล่าเลยความเป็นจริงก็อย่างที่รู้ๆกัน หน่องอยู่ที่ศิริราชมาแล้ว 2 อาทิตย์ นั่นหมายความว่าหน่องอยู่แต่บนเตียงมาแล้ว 14 วัน ทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนอยู่เฉยๆ เล่น Sudoku ไป หน่องอยู่ในสภาพนี้มาโดยตลอด ผมก็คิดๆไว้อยู่แล้วว่าเพื่อนๆหน่องต้องพยายามติดต่อหน่องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน เพราะหน่องเป็นคนเพื่อนเยอะ และเป็นคนที่เพื่อนๆจะรู้ความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผมควรจะตอบยังไงดีถ้าเพื่อนๆหน่องถามถึงหน่องเพราะผมไม่อยากให้ใครๆตกใจแล้วแห่กันมาเยี่ยมหน่อง ยังไงก็คงเข้าเยี่ยมไม่ได้และผมก็ไม่ชอบจะต้องไปป่าวประกาศว่า ภรรยาตัวเองกำลังแย่ขนาดไหน มันไม่ได้รู้สึกดีที่จะตอบเรื่องราวแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา มันไม่ได้มีอารมณ์ดีๆมาต้อนรับใครๆอะไรมากมาย แค่ดูแลหน่องให้กำลังใจหน่องและจัดการกับตัวเองก็เหนื่อยแล้ว ...............

และเพื่อนหน่องก็โทรมาหาหน่องกันจริงๆ ทั้ง BB ทั้งโทรมาหาตรงที่เครื่องหน่อง รวมถึงโทรมาหาที่โทรศัพท์ผมเองด้วย ผมเลยเป็นตัวแทนหน่องทั้งรับสาย และพิมพ์ BB แทนหน่อง ก็พยายามบอกอะไรที่ไม่ทำให้เพื่อนๆตกใจมากเกินไป บอกสั้นๆแค่เรื่องท้องเกร็งและมีอาการจะคลอดก่อนกำหนด อาจจะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกระยะหนึ่ง ที่สำคัญคือ “เข้าไปเยี่ยมไม่ได้”

ด้วยความที่หน่องเป็นคนเพื่อนเยอะก็จะมีการโทรหาสอบถามอาการของหน่องเป็นระยะ ซึ่งจะมีเพื่อนบางคนจะรู้ถึงอาการของหน่องดีขึ้นหรือแย่ลงในแต่ละวันเลยทีเดียว พี่ตี้ก็ต้องทำหน้าที่แจ้งข่าวอาการของหน่องเป็นระยะไปในตัว บางคนก็จะถามละเอียดมากว่าหน่องเป็นอะไรเกิดจากอะไร บางครั้งก็มากเกินไปก็มี เพราะเริ่มกลายเป็นการวิเคราะห์วิจารณ์กันไปซะแล้ว ส่วนมากเพื่อนๆหน่องจะถามเสมอว่าคุยกับหน่องได้ไหม ซึ่งแน่นอนครับว่า หน่องคงไม่สามารถคุยด้วยได้  เพื่อนๆบางคนก็บุกมาถึงหน้าห้องคลอดพิเศษเลย แต่ก็เข้าไปเยี่ยมไม่ได้ บางคนทั้งๆที่รู้ว่ามาถึงก็เข้าไปเยี่ยมไม่ได้ก็ยังมาเผื่อโชคดีได้เข้าเยี่ยม พี่ตี้เองจะออกมาต้อนรับเพื่อนหน่องด้วยเครื่องแต่งกายชุดอนามัยสีเขียว ซึ่งเพื่อนๆหน่องจะรู้ทันทีว่า คงไม่สามารถเยี่ยมอย่างที่พี่ตี้บอกได้จริงๆ

ในเมื่อเพื่อนๆหน่องไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ ผมก็จะใช้วิธีถ่ายรูปเพื่อนๆที่มาเยี่ยมหน่องให้หน่องได้เห็นแทน พร้อมกับถ่ายรูปดอกไม้ทุกช่อที่เพื่อนๆได้ส่งมาให้ รวมถึงน้องๆที่ทำงานผมเองก็มีน้ำใจส่งมาให้เช่นกัน หน่องเองพอได้เห็นรูปเพื่อนๆที่มาให้กำลังใจหน่องแม้จะไม่ได้เจอกันคุยกัน น้ำตาหน่องก็ไหลแล้ว ผมไม่แน่ใจหรอกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจที่ตัวเองมีสภาพเช่นนี้ หรือมันเป็นน้ำตาแห่งความประทับใจจากน้ำใจที่เพื่อนๆมีให้หน่องกันแน่ แต่ที่รู้ๆเกิดอาการมดลูกเกร็งตัวกับหน่องอีกแล้วละ หน่องยังคงต้องงดการคุยเช่นเดิม พักผ่อนเยอะๆ อยู่กับตัวเอง อยู่กับลูก ทุกอาทิตย์ที่ผ่านไป ถ้าหน่องมีสภาพร่างกายที่เกร็งน้อยลง ไม่เกร็งถี่ๆ คุณหมอจะเริ่มลดยาลงจนถึงระดับที่ปลอดภัยแล้วผมก็จะพาภรรยาผมกลับบ้าน ไม่ว่าความกดดันแบบไหนจะเข้ามา ไม่ว่าความกดดันนั้นจะมาที่ตัวหน่องหรือตัวผมเองก็ตาม เราก็จะผ่านมันไปให้ได้เพราะเป้าหมายข้างหน้ายังชัดเจน ไปอย่างช้าๆแต่มั่นคงในความรู้สึก .... คิดบวกเสมอครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 7  “Stand by Me” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12917721/W12917721.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 09:55:58

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 21:26:59




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com