Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 38 vote ติดต่อทีมงาน

สุขสันต์วันศุกร์ครับ

สำหรับล่องกัลปาลัย ตอนที่ 37 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12858580/W12858580.html

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกท่านเช่นเคยครับ
ขอบคุณกิฟต์จาก คุณปุ้ย npuiy, น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, คุณโอเขมปัณณ์, คุณ mimny, คุณ รพิชา, อาจารย์จี GTW,คุณไก่ kdunagin,คุณ wor_lek,คุณ mementototem และคุณมน Setakan ครับ

เพื่อไม่ให้เสียเวลาต่อตอนที่ 38 ได้เลยคร้าบ

บทที่ 38
 
  แสงสุวรรณ เลื่อมพราย กระจายจ้า
บังแสงฟ้า พ่ายพยับ ราวดับดิ้น
แล้วสุวรรณ ชตุกา อ่าองค์อินทร์
ก็โบยบิน กระหยับปีก ฉีกโพยม

  บังเกิดแสง วิชุวาบ แปลบปลาบพุ่ง
ดังสายรุ้ง หล่นร่วง จากดวงโสม
ดิ่งทะยาน ผ่านพธู เข้าจู่โจม
เป็นเพลิงโถม ท่วมร่าง นางหิรัญฯ

  ด้วยแรงบาป สาปซ้ำ ความเจ็บปวด
ให้ร้าวรวด ในวิญญาณ์ ก่อนอาสัญ
จากดวงจิต ริษยา แห่งอาธรรม์
ผลกรรมนั้น จึงตามผลาญ ลาญชีวา

  มาณพหนุ่ม ยืนตะลึง คะนึงภาพ
เมื่อแสงวาบ อร่ามเรื้อง เรืองจับหล้า
ภารกิจ ลำดับสอง ของชตุกา
เบือนกายา สลายวับ ลงฉับพลัน

  ค้างคาวทอง!


         เศาร์ยืนตะลึงงัน มองร่างแห่งมหาปักษาที่เคยช่วยชีวิตตนเอาไว้ครั้งหนึ่ง กำลังบ่ายเบนกายาแห่งพญาค้างคาวย้อนกลับมาประจันกับตนเอง ด้วยโครงแห่งร่างกายมหึมายามสองปีกผายออกจากกัน จนเห็นสีทองอร่ามกระจ่างจับนัยน์ตาจนแทบลืมมิขึ้น


       

         บัดนี้สุวรรณชตุกา ได้ทำหน้าที่ของมันเป็นครั้งที่สองแล้ว ตามความต้องการแห่งองค์หญิงมณีเรขา


           “เสาร์ ท่านจงเร่งเดินทางกลับคืนโดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ช่วยพระพี่นางของข้าด้วย...”


          เขาดึงสายบังเหียนควบคุม แล้วพยุงวรกายเพื่อส่งให้วรกายอรชรแห่งมณีเรขา ให้ทรงเหยียบโกลน เพื่อส่งขึ้นไปอยู่หลังอานอาชาได้สำเร็จ แล้วจึงหันมาหยิบถุงใส่เม็ดทรายมาผูกร้อยเอาไว้ที่ข้างบั้นเอวตนเอง นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจจะนำกลับไปสู่ภพด้านนอก เมื่อการจรดลครั้งสุดท้ายยุติลง


              เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาค้นพบโดยบังเอิญในการจรดลครั้งแรกนั้นเอง เมื่อกรวดทรายในจินตภพ จะแปรสภาพเป็นทองคำ เหมือนกับเศษใบไม้ และทุกสรรพสิ่งในดินแดนแห่งนี้ เสียงธามบดี ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนร่างทั้งร่างจะวูบดับลงสู่สภาพค้างคาวตัวเล็กที่ร้อยอยู่บนสร้อยพระศอตามเดิม


         “มณีเรขา เกล็ดวาลุกาเหล่านั้น จะช่วยเหลือเจ้าในเพลาคับขัน จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุด...”


        “ธามบดี...”


                ไม่มีคำตอบจากร่างนั้นอีกต่อไป ชายหนุ่มบังคับม้าด้วยความชำนาญ ควบทะยานตรงดิ่งไปสู่ราชอุทยานอันเป็น “ทวารบถ” สู่ปลายทางของดินแดนอีกโพ้นภพ


             ทว่า... เมื่อเกือบถึงปลายทาง พวกเขากลับไม่สามารถเดินทางไปถึงโลกด้านนอกนั้นได้อีกต่อไป... เมื่อทวารบถถูกปิดลงแล้ว ด้วยน้ำมือของใครบางคนยังอิสรภพเบื้องนอก ใครที่ต้องการปิดผนึกชีวิตของชายหนุ่มให้หลงติดอยู่ภายในกัลปาลัยนั้นตลอดกาล...


             มีเพียงสุวรรณชตุกา ที่ถูกปลดปล่อยให้ผ่านลอดออกไปยังภพด้านนอกในเพลาสุดท้าย ด้วยมหาฤทธา มันได้กระทำหน้าที่ครั้งที่สามซึ่งยังมิอาจทำได้สำเร็จในกาลบัดนี้


           นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นตัวตนของมัน และคำสัญญา...


          “มาณพเอ๋ย บัดนี้ข้าได้กระทำหน้าที่สุดท้ายลุล่วงแล้ว ท่านและพระพี่นางของข้าจงรอคอยอยู่ที่นี่ ทุกสรรพสิ่งทุกอย่างจักหยุดนิ่งภายในกัลปาลัยตามความประสงค์ขององค์มณีเรขา สำหรับตัวข้ามิอาจช่วยเหลือพวกท่านได้อีกต่อไป นอกจากการบ่ายบินออกจากโลกจินตภพ... และจักหวนคืนกลับมาอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือท่าน ถ้าหากแม้นว่า...”


          พญาค้างคาวทองตรัสขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย เป็นคำตอบที่มืดมนในความหวังยิ่ง...


          “พวกเรายังมีบุญวาสนาต่อกัน!!”


            เศาร์สดับแล้วถึงเสียงอุโฆษของสุวรรณชตุกา หรือในนามแห่งองค์ธามบดี เขารับรู้จากองค์มณีเรขาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงเป้าหมายที่สุวรรณชตุกาจะต้องตามหา เพื่อคืนกลับสู่สภาวะเดิมของตน


           ตามหาหนึ่งนารี ทวารันตร์... คือนางผู้ปลดปล่อย!


                  เอกบุรุษจากแผ่นดินสยามพยักหน้ารับด้วยความมุ่งมั่น


            วิบตา เมื่อร่างนั้นจึ่งเริ่มเคลื่อนกายเหินล่อง แล้วเลื่อนตัวเคลื่อนผ่านหน้ากองทัพหุ่นพยนต์มุ่งสู่ทิศหรดี พลังอำนาจของมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยแทรกผ่านทวารบถ ก่อนจะผนึกปิดลงจนไม่อาจจรดลได้อีกต่อไป


           รวมถึงการเสื่อมสลายตัวตนของมันทุกสิ่งทุกอย่าง กลับกลายเป็นอรูปา หรืออนังค์  โดยไม่หลงเหลือแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำใดๆ ดวงจิตอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเดียวที่เหลืออยู่ ถูกชักจูงด้วยแรงแห่งกรรมะ ให้ดิ่งตรงไปเชื่อมต่อกับดวงจิตของนางผู้ปลดปล่อยนามทวารันตร์ นางเดียวที่ถือกำเนิดขึ้นในเวลาหลังจากนั้นอีกนับเนิ่นจำเนียรกาล และผูกติดกันไว้ด้วยสัญญาระหว่างกัน โดยมิอาจล่วงรู้ที่มาและความหมาย


                มันจึงรู้แต่นามแห่งตนเองว่า ธาม!

              **********************


                 อาตม์เฝ้ารอคอย การจรดลกลับคืนสู่ภพปัจจุบันของหลวงอนุรักษ์ตลอดทั้งคืน เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปสัมผัสกับกัลปาลัย มิอาจรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณหลวงผู้เป็นนาย


             แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกเลย ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด เหลือเพียงกัลปาลัยบนโต๊ะทำงานที่ยังเปิดค้างเอาไว้เช่นนั้น และแสงสว่างที่กระจ่างจ้าในตอนแรกก็เริ่มหรี่สลัวลงทุกขณะ นั่นแสดงถึงการผ่านเข้าสู่โลกแห่งจินตภพโดยสมบูรณ์ของหลวงอนุรักษ์และไอ้สิงหเมฆินทร์


         แสงเงินแสงทองส่องฟ้าระเรื่อเรืองขึ้นเรื่อยๆ เสียงไก่ป่าขับขานเจื้อยแจ้ว และลำแสงอ่อนจางก็เริ่มต้นขับไล่ความมืดสลัวให้มลายหายไปทีละน้อย ในความละล้าละลังจิตใจนั้นเอง เขานึกถึงคุณผู้หญิงผอบแก้วขึ้นมาพอดี ตอนนี้เธออาจจะตื่นขึ้นมาแล้ว และภารกิจในการจัดเตรียมความเรียบร้อยต่างๆก็จะต้องเริ่มต้นขึ้น


            เพื่อไม่ให้หญิงสาวผู้นั้นเกิดความสงสัยมากไปกว่านี้ อาตม์จึงตัดสินใจเดินย้อนกลับลงไปยังห้องด้านล่าง โดยเพียงแต่หับประตูห้องใต้ยอดหอคอยนั้นให้กลับเข้าไปไว้ดังเดิม คิดแต่เพียงว่า หลังจากเสร็จสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในเช้าวันนี้แล้ว เขาจะรีบกลับขึ้นมารอการจรดลของคุณหลวงอนุรักษ์อีกครั้ง และได้แต่ภาวนาในใจ ให้ทุกอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น


            คล้อยหลังร่างชราภาพของอาตม์เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ผอบแก้วก็ค่อยๆก้าวเท้าผ่านเข้ามาภายในห้องแห่งนั้น เหตุการณ์ตั้งแต่กลางราตรีกาลที่ผ่านมา หล่อนได้รับรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างโดยตลอด จนไม่เหลือข้อกังขาใดๆอีกต่อไป


            คุณหลวงสามารถเดินทางผ่านเข้าไปในอีกห้วงมิติแห่งกาลเวลา หรือดินแดนที่นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้งห้า อย่างที่เคยรับรู้มาก่อน ผอบแก้วไม่แปลกใจอีกแล้ว หากสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความคั่งแค้นใจ มันถั่งโถมเข้ามาพร้อมกัน จนมือของหญิงสาวถึงกับสั่นระริก เมื่อมองเห็นสมุดเล่มนั้นเต็มตา


         สมุดที่พวกมันเรียกขานว่า กัลปาลัย!


            เพราะสิ่งนี้เองก็คือโลกอันแสนอภิรมย์ของคุณหลวง โลกที่ไม่เคยมีหล่อนรวมอยู่ด้วยเลย แม้แต่สักขณะจิตเดียว...


            ความคิดบางอย่างพุ่งโพลง จนไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป ผอบแก้วเผลอตวัดมือ จับหน้าสมุดเล่มนั้นขึ้นมา แล้วปิดฉับเข้าหากันอย่างรวดเร็ว!


              ราวกับกัลปาลัยเล่มนั้นจะมีชีวิตเป็นของตนเอง มือที่ตั้งใจจะตวัดปิดหนังสือกลับถูกแรงต้านจากภายในเล่ม ยื้อแรงผลักของหล่อนเอาไว้เป็นสามารถ จนผอบแก้วต้องใช้สองมือตนเองยึดตรึงด้านหนึ่งของเล่มกัลปาลัยไว้บนโต๊ะไม้ แล้วมืออีกข้างหนึ่งก็จับปลายหลังปกของมัน ออกแรงอีกครั้งหนึ่งเพื่อผลักให้ตัวเล่มหนังสือปิดเข้าหากันได้สำเร็จ


              ประกายแสงเรื่อเรืองลอดผ่านออกมา เริ่มแผ่วจางเต็มทน เหมือนลำแสงใกล้วูบดับ เมื่อนั้นผอบแก้วจึงมองเห็นรอยเหลื่อมที่เหลือเป็นช่องแยกระหว่างกันอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น


           “ไม่เป็นไร ฉันจะทำลายมัน ด้วยมือของตัวเอง!!”


             หล่อนเอ่ยด้วยเสียงหอบเหนื่อย การอดหลับอดนอนเพื่อลอบสังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง และรอคอยมาตลอดทั้งคืน ยิ่งโหมเร้าอารมณ์ให้ผอบแก้วประสงค์จะทำให้ทุกอย่างจบสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว และก่อนที่ไอ้บ่าวชราอมนุษย์ผู้นั้นจะย้อนกลับขึ้นมา


           และนี่คือโอกาสครั้งสำคัญแล้ว ที่หล่อนจะลงโทษแก่บุรุษผู้ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของหล่อนต้องย่อยยับอัปราและกลายมาเป็นความอัปยศอดสูอย่างแสนสาหัส และที่สำคัญ เขาไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวผอบแก้วเลยแม้แต่น้อยนิด


         ไม่มีแม้แต่ความรัก!


          แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีก็ตาม


            เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หล่อนก็จะขอทำลาย เผาผลาญสมุดเล่มนั้นให้พังพินาศเป็นเถ้าถ่าน เพื่อให้สะสาแก่ใจตนเอง ก็ในเมื่อคุณหลวงไม่ได้รักหล่อน ก็ไม่ต้องได้พานพบกันอีกเลย และเขาก็จะได้เดินทางกลับเข้าไปเสวยสุขอยู่กับผู้หญิงในภพภูมินั้น โดยไม่ต้องกลับออกมาที่นี่อีกเลยตลอดกัลปาวสาน...


              จากนั้นผอบแก้วก็จะยอมบากหน้ากลับไปพระนคร ขายที่ดินและทับสนธยาแห่งนี้ เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น


         ลาจากปางงิ้วดำไปชั่วนิรันดร...


              หญิงสาวขบฟันแน่นข่มความแค้นที่ประดังจนแน่นทรวง หันกลับไปเพื่อหยิบเชิงเทียนที่มุมห้อง พร้อมกับจุดไฟจ่อขึ้นที่ปลายเทียนขึ้นด้วยอารมณ์อันหมายมาดมุ่งมั่น


           ไม่ทันสังเกตเห็นพวยควันเรืองรองพะพลุ่งขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะหันกลับมายังกัลปาลัย ควันที่ไร้รูปกายคล้ายมีชีวิตลอยละล่องเคลื่อนตัวเป็นเกลียวระยิบระยับผ่านหน้าออกไปสู่บานหน้าต่าง และกลืนหายไปกับแสงตะวันยามเช้าเบื้องนอกจนหมดสิ้น


              อารมณ์คั่งแค้น ทำให้หล่อนมองเห็นแต่ภาพของผู้เป็นสามี กำลังมีความสุขกับสตรีผู้อื่นในโลกจินตนาการของเขา โลกที่ไม่มีหล่อนอยู่ร่วมด้วย


             “ลาก่อนค่ะคุณหลวง ลาก่อนตลอดไป!”


               ผอบแก้ว ประคองเชิงเทียนเงินหันกลับมาเมื่อเปลวไฟถูกจุดขึ้นเรียบร้อย ประกายเฉดส้มพลิ้วไหวคล้ายเริงระบำ พร้อมที่จะเผาไหม้หนังสือเล่มนั้นแล้ว!


                 หล่อนเอื้อมมือออกไปสัมผัสแผ่นกระดาษที่เพยิบไหว และเตรียมที่จะยกมันจ่อกับเพลิงเทียน ให้สาสมดังความอัดอั้นคั่งแค้นในทรวง


           ทว่าบางสิ่งเกิดขึ้นก่อน โดยไม่ทันคาดฝัน


            สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดแปรเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ...

           ****************************


              สิงหเมฆินร์รีบเร่งรี้ไพร่พลเพื่อไล่ตามพวกมันมาจนถึงปลายทาง อาณาเขตเส้นทางเข้าสู่พระตำหนักแห่งอุทยานหลวงด้านในของวิเทหนคร บัดนี้มันล่วงรู้เป้าหมายการเดินทางของไอ้เศาร์แล้ว จากเหตุการณ์จรดลในครั้งก่อน


                 จอมกษัตริย์แห่งโรมพิสัยขบทนต์แน่นด้วยความคั่งแค้น อุระเจียนระเบิด


           ทุกอย่างที่วางแผนร่วมกับเจ้าหญิงหิรัญรัศมีน่าจะประสบผลสำเร็จลงอย่างง่ายดาย ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วทุกประการ มณีเรขาตกอยู่ในกำมือของมันโดยสมบูรณ์ และไอ้เศาร์ก็หลงกลเจ้าหญิงหิรัญรัศมีเดินทางออกมายังจุดนัดหมาย


              แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เสียงสังคีตที่มันเคยได้ยินคำกล่าวขานมาก่อนนั่นเอง พลังแห่งมหาคีตกานท์ที่อีกฝ่ายบรรเลงผ่านขลุ่ยเพียงเลาเดียว หากก่อให้พวกมันทั้งกองทัพต้องยอมสยบ... ด้วยมนตราแห่งการนิทรา...


          ไม่!


                มันจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าชีวิตของใครชีวิตหนึ่งจะดับสลายลงไป และสิงหเมฆินทร์คิดว่าจะต้องเป็นไอ้มาณพหนุ่มผู้นั้น หาใช่ตัวของมันไม่!


               ทันทีที่ฟื้นคืนจากการหลับใหลไปชั่วขณะ ด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้องพสุธาปานจักถล่มทลายลง และเมื่อนั้นเองมันจึงเห็นร่างของสุวรรณชตุกา เป็นครั้งแรก!


          ค้างคาวทองคำ...


           พริบตา ก่อนลำแสงสีรุ้งเลื่อมพรรณรายจะพาดผ่านลงมาจากสรวงสวรรค์ด้วยพลังอำนาจแห่งปักษีมหัศจรรย์ แล้วพุ่งตรงเข้าใส่วรกายของหิรัญรัศมี ความร้อนแห่งเพลิงกาลกระทบร่างเจ้าหญิงพระองค์นั้นจนมอดไหม้เป็นมหาจุณ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดพรรณนาดังยังก้องสะท้าน


           และเมื่อนั้นเอง มันจึงเริ่มได้สติ


            สิงหเมฆินทร์เร่งโอมอ่านอาคม เพรียกหุ่นพยนต์ที่ตนผูกขึ้นด้วยน้ำมือตัวเองให้คืนกลับจากภวังค์นิทราอันมหัศจรรย์ในบัดดล


          ในระยะไกล มันมองเห็นเศาร์กำลังควบขับอาชาตรงไปยังเขตพระนครวิเทหะอย่างเร่งร้อน และสามารถอ่านใจอีกฝ่ายได้อย่างแน่ใจเต็มเปี่ยม


          ไอ้เศาร์กำลังคิดจะหลบหนีกลับออกไปสู่โลกของมัน และพาองค์เจ้าหญิงมณีเรขาออกไปพร้อมกับมันด้วย!!


                 ซึ่งถ้าทุกอย่างประสบผล ย่อมหมายถึงความพ่ายแพ้ของตัวมันเอง!


           ความรู้สึกถึงการเอาชนะนั้นเอง กระตุ้นสิงหเมฆินทร์ให้รี้ไพร่พลทั้งหมดออกติดตามคนทั้งคู่ไปอย่างไม่ละลด


            ไม่คาดคิดว่าระหว่างการไล่ตามกระชั้นชิดจนแทบจะคว้าตัวพวกมันได้สำเร็จ ไอ้มาณพหนุ่มผู้นั้น ก็ล้วงลงไปในถุงผ้าของมัน แล้วโปรยเกล็ดวาลุกาทรายออกมา


             เกล็ดทรายธรรมดาสะท้อนแสงละเลื่อมพรายกลางสนธยากาล ฉับพลันนั้นเองที่มันกระทบพื้นปฐพี กลับก่อให้เกิดมหาปราการแห่งห้วงมหรรณพกว้างใหญ่ ขวางกั้นระหว่างกองทัพของมันเอาไว้


            หุ่นพยนต์ชะงักงันไปชั่วขณะ มันเพ่งมองผ่านภาพละเลื่อมพรายของสายชลเชี่ยวกรากเบื้องหน้า ด้วยญาณวิถีที่สั่งสมมา


               นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา!


          “กระโดดข้ามมันไปเดี๋ยวนี้!”


         เสียงโอมอ่านอาคมกระหึ่มก้อง แม่น้ำทั้งสายเชี่ยวกรากหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นราวอยู่กลางผืนสมุทรแหวกออกจากกันในบัดดล แล้วยอมศิโรราบให้กองทัพของโรมพิสัยเคลื่อนกระบวนพล กรีธาทัพข้ามไปยังอีกฟากฝั่ง ที่สามารถมองเห็นอาชาเคลื่อนไหวอยู่ในระยะประชิด


          สิงหเมฆินทร์เห็นไอ้เศาร์ตวัดมือออกมาอีกครั้งจากถุงใส่เกล็ดวาลุกา แม้ว่าท่าทีนั้นจะอ่อนล้าเต็มที ม่านหมอกควันม้วนตัวกลับเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายสภาพเป็นทะเลเพลิงสูงละลิ่วจรดขอบฟ้า...


           มันกระตุกยิ้มที่มุมปาก รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรอดพ้นออกไปอย่างแน่นอน!


            และกำแพงเพลิงเบื้องหน้า ก็ราพณาสูรลงในพริบตาอีกเช่นกัน มันตรงดิ่งเข้าตามล่าอีกฝ่ายที่พยายามซ่อนตัว รู้ดีว่าพวกมันไม่อาจเดินทางไปถึงตำแหน่งสำคัญที่เป็น “ปลายทาง”นั้นได้อีกต่อไป แม้จะสามารถผ่านเข้าสู่อาณาเขตแห่งราชอุทยานได้สำเร็จแล้วก็ตาม...


           บัดนี้มันจะไม่ยอมให้เพลงขลุ่ยของมาณพเข็ญใจผู้นั้นมามีฤทธานุภาพเหนือการบงการของมันอีกแล้ว


             สิงหเมฆินทร์ย่างสามขุมตรงไปยังคนทั้งคู่ หากไม่คิดฝันว่า มันจะต้องเผชิญหน้ากับสุวรรณชตุกาอีกเป็นครั้งที่สาม!


             หากมิใช่เพื่อทำลายกองทัพของพวกมัน แต่เพื่อการ “หยุด”ทุกอย่างให้ตรึงอยู่ ณ จุดนั้น!

  บัดนั้นองค์ ชตุกา ก็ปรากฏ
ครบกำหนด สามครา อธิษฐาน
นางตั้งจิต เพื่อทุกสิ่ง นิ่งกับกาล
หยุดแผ้วพาน หยุดผลาญพร่า หยุดอาลัย

  ค้างคาวทอง ล่องฟ้อน ขึ้นร่อนฟ้า
เลื่อนกายา ผ่านกองทัพ ขยับใกล้
แล้วตรงดิ่ง ทวารา ข้ามฝ่าไป
สู่โลกใหม่ เพื่อค้นหา หนึ่งนารี



            “ไม่!!”


              สิงหเมฆินทร์มองทะลุผ่านดวงเนตรคู่นั้นของมณีเรขา โดยพลังอำนาจแห่งจิตในเพลานั้นเอง มันมองเห็นประกายอันชัดแจ้งของความปรารถนาตั้งมั่น แล้วอ่านความหมายทุกอย่างได้ออกในพริบตา


            แท้จริงนางประสงค์ให้พญาค้างคาวทอง ผ่านทวารบถออกไปสู่ภพโพ้นฟ้านั้น เพื่อตามหาบางสิ่งบางอย่างที่มันยังไม่อาจล่วงรู้ได้ในบัดนี้


            แล้วทุกอย่างในโลกที่ไอ้เศาร์เรียกว่า “จินตภพ” ก็จะหยุดนิ่งลง รวมถึงตัวของมันด้วยเช่นกัน!


             ไม่! จะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด...


             ค้างคาวทองเลื่อนกายพุ่งผ่านหน้ามันไป และนั่นคือจังหวะสุดท้ายที่สิงหเมฆินทร์ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตตนเองเป็นครั้งที่สอง


              มันออกแรงพุ่งทะยานจากหลังอาชา แล้วกระโดดคว้าร่างที่โบยบินในระยะเฉียดใกล้ มือทั้งสองเกาะผ่านแผงปีกที่หยาบหนาและแผ่ขยายกว้างออกจากกัน เสมือนเป็นผืนภูษาสีทองคำที่คลี่คลุมกาย แล้วเลื่อนตัวแนบไปกับผิวเนื้อแห่งสุวรรณ ชตุกานั้น สัมผัสถึงกระแสลมหวีดหวิวรุนแรง ปะทะเข้ากับใบหน้าและเรือนกาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนจัด ไม่ต่างกับการลอบจรดลตามไอ้เศาร์ไปในครั้งแรก


              แต่สิงหเมฆินทร์ก็กัดฟันแนบแน่น ข่มความเจ็บปวดสุดชีวิต


           ข้าคือสิงหเมฆินทร์ ข้าคือสิงหเมฆินทร์ และต้องกลับคืนด้วยกัลปาลัยเท่านั้น!!


             มันท่องคำทั้งสองเอาไว้ในใจตลอดเวลา รับรู้ว่า เมื่อผ่านเข้าสู่อีกภพหนึ่ง ความทรงจำทั้งมวลจะเลือนสลายลง และสองคำนี้เท่านั้น ที่จะนำพาให้กลับคืน


             คลื่นความร้อนวาบผ่านราวกับกำแพงอัคนีขนาดมหึมา พลังเริงโรจน์ราวกับจะเผาผลาญร่างทั้งร่างจนเป็นภัสม์ธุลี หากการเคลื่อนไหวของค้างคาวทองก็ยังไม่หยุดนิ่ง นานแสนนานราวชั่วกัลปา เมื่อแผงปีกมหึมาที่เกาะพยุงกายเอาไว้เลือนสลายลง และปล่อยร่างของมันที่เกาะติดตามมาด้วยให้หล่นร่วงลงมาอยู่บนพื้นห้องแห่งหนึ่ง


                สิงหเมฆินทร์เงยหน้าขึ้นเมื่อสำเหนียกว่ามันไม่ได้อยู่เพียงลำพังในสถานที่แห่งนั้น แล้วสายตาของมันก็เบนขึ้นจับร่างๆหนึ่งได้พอดี


                ณ ที่นั้นเอง หญิงสาวผู้ที่มันเคยร่วมภิรมย์สวาทด้วยความหื่นกระหาย ในราตรีกาลก่อน กำลังยืนตกตะลึงงันอยู่เบื้องหน้า!


           “สิงหเมฆินทร์!”


               มันได้ยินเสียงอุทานสั่นพร่าของอีกฝ่ายดังขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง พร้อมกับความทรงจำทั้งมวล...

               ***************************
ตอบเพื่อนนักอ่านครับผม

คุณ nasa nasa : มาถึงบทสรุปของหิรัญรัศมีแล้วนะครับ

อาจารย์จี : หิรัญรัศมี เป็นตัวละครที่รู้สึกว่ายังเขียนได้น้อยไปหน่อยครับ

คุณไก่ : ขอบคุณครับ ฝากติดตามต่อตอน 38 ด้วยนะครับ

คุณmimny : ตอนนี้มาถึงบทสรุปของเจ้าหญิงองค์นี้แล้วครับ

ขอบคุณทุกท่านครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:49:54




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com