Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[42]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบสอง-


‘มาลโม่’ คำศัพท์ในกลุ่มภาษาบูเลทิน – อะแลมเบิร์ก หมายความถึงผู้สันโดษ ผู้โดดเดี่ยว แท้ที่จริงคือ ‘โมลาสโม่’ สำเนียงแผลงเฉพาะเผ่า จากรากศัพท์เดิมคือ โมลาสมฺ แปลว่า น้ำ และ เอซ คำลงท้าย ใช้หมายถึงคนหรือกลุ่มคน ในภาษาที่มีประวัติยาวนานยิ่งกว่าอายุของเมืองพี่ ภาษาอันเป็นมรดกตกทอดหนึ่ง จากมหานครลับลี้ที่มิมีใครหาญเอ่ยชื่อ

ชุมนุมชนของ ‘ชาวน้ำ’ แต่เดิมยึดแถบใจกลางอะแลมเบิร์ก ต่อเมื่อกลุ่มกบฏบูเลทิน อพยพหนีตายมาถึง เจ้าถิ่นจึงให้ความช่วยเหลือ กระทั่งผู้มาใหม่สามารถตั้งถิ่นฐานได้ แข็งแรงมากพอ...รับมือการกวาดล้างอันตามมาแต่เมืองแม่

ว่ากันว่า...ขณะนั้นความผันผวนภายใน ทำให้กลุ่มปกครองบูเลทิน ไม่สามารถเอาชนะกระทั่งหัวเมืองตั้งใหม่ กว่าขั้วอำนาจต่างๆ จะล้มล้างกันเอง จนเหลือเพียงราชวงศ์ใหม่ราชวงศ์เดียว...ราชวงศ์อันสืบทอดมาจวบถึงองค์มกุฎราชกุมารทีเบอร์เทียซ อะแลมเบิร์กก็เกรียงไกรเกินกว่าจะรวบคืนได้โดยง่าย

‘ความหวัง’ แห่งคนบูเลทิน จึงส่งต่อสู่รัชกาลแล้วรัชกาลเล่า กลายเป็น ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ สำหรับเบนความสนใจ จากสภาพขัดสน แร้นแค้น ซึ่งกลุ่มผู้ปกครองไม่เคยแก้ปัญหาได้ตก

ช่วงเวลาเดียวกัน หลังจากการร่วมรบครั้งสำคัญผ่านไป อาณาจักรใหม่นามอะแลมเบิร์กแผ่ขยายปึกแผ่น กลุ่มสหายเคียงม้าศึกกลับขออำลา ยอมทิ้งรกรากเดิมคืนสู่ป่า แสวงหาความสงบตามวิถี...ที่ดูจะไม่มีคนนอกเข้าถึง

ถิ่นฐานใหม่ ได้แก่ที่ราบไพศาล เกิดแต่ตะกอนแห่งท้องธาร คดเคี้ยว เซาะผ่านสันผา แลภูสูง ทั้งในเขตอะแลมเบิร์ก กับอีกสายในบูเลทิน แล้วค่อยเอื่อยช้า มาพบกันแทบฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบกว้างใหญ่...ชายแดนฟากพายัพของเมืองน้อง

สันดอนเล็กแต่กี่กาลก่อน ขยายอาณาจนมีลักษณะเป็นเกาะ จวบต่อมาจึงเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ฝั่งอะแลมเบิร์ก กลายเป็นแหลม แบ่งทะเลสาบเป็นสองคาบ

เป็นแหลมแห่งคมกริช จ่อลึกสู่ปากธารบูเลทินโดยเฉพาะ!

ทั้งนี้ จากแหลม...ฝ่ายข่าวอะแลมเบิร์กจะจับตาเมืองพี่ได้ถนัด ในเมื่อการ ‘เคลื่อนย้าย’ ใดๆ ไม่มีทางพ้นไปจากส่วนนี้...โดยปกติพ่อค้าจะใช้เส้นทางเลียบโมลาสโม่ ไปต่อเรืออีกนิดสู่บูเลทิน หรืออย่าง ‘ไม่ดี’ ...การเคลื่อนย้าย ‘ขนาดใหญ่’ ย่อมต้องอาศัยทะเลสาบเป็นสำคัญ

การจับตาจากแหลม จะทำให้เมืองน้อง สืบรู้ทุกความเคลื่อนไหว แล้ว ‘ตั้งรับ’ ได้โดยไม่มีขาดตก!

บูเลทินเพิ่งวางใจได้ไม่นาน หลังจากนโยบายผลักดันการพาณิชย์แห่งอดีตองค์ผู้สำเร็จราชการ...เจ้าหญิงวีเลมิน่า

งบประมาณถูกตัด...ซึ่งหมายถึง ‘กำลัง’ ฝ่ายกลาโหมเกินกว่าครึ่ง และหน่วยหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญเดิม กลายเป็นเพียงช่องผ่านแดน มีหมู่บ้านรักสันโดษ ถูกปล่อยเป็นด่านหน้า แขวนสมญา ‘นักรบแห่งราวไพร’ ไว้แหย่คนคิดร้ายให้ขยาดเล่น

ความสามารถพึ่งพาตนเอง และน้อยครั้งแห่งการขอความช่วยเหลือ...โมลาสโม่เริ่มถูกทิ้งดาย...

กลายเป็นหมู่บ้านอันสงบ สันโดษ...พ้นจากสายตาของฝ่ายราชสำนักโดยสมบูรณ์แบบ!

นั่นคือทั้งหมดของโมลาสโม่...ทั้งหมดที่แต่ละคนรู้

หรือที่ถูก...

ทั้งหมด...ที่ต่าง ‘คิด’ ว่ารู้...

. . . . . . . . .



ระลอกน้ำกระเซ็นซัดสู่ตลิ่ง เสียงดังซ่าๆ เป็นจังหวะเดียวกับแพซุงยกสูง กระแทกเข้ากับโขดหิน แล้วถูกสายน้ำดูดดิ่งลงดังเดิม เวียนวนเช่นนี้มิรู้จบสิ้น

ลักษณาการดังกล่าว ราวจะจับผู้โดยสารทั้งสี่เขย่าคลอนไปตามกัน โดยเฉพาะผู้ซุกวรร่างอยู่ในกระโจมทางตอนหลัง ซึ่งก้มศิระ แล้วพยายามหยัดยืนขึ้นด้วยองค์เอง ไม่สนพระทัยสองมือและสองหัตถ์จากสองบุรุษที่เข้าช่วย

ถึงอย่างไร เลือดขัตติยาย่อมยังผยองยิ่ง!

และคงจริง...เจ้าหญิงเอลีโอน่าน่าจะเป็นพระองค์โปรด...องค์ภาณุจึงประจุประกายพราย แพร้วระยับตั้งแต่เรือนพระเกศาสีทองอ่อน เรียงสลวยมิแผกเส้นไหม อันเคล้าเคลียเป็นกรอบล้อมพระพักตร์ รูปเรียวเล็ก งามเลิศ ทั้งสะท้อนรัศมีเรืองลออตลอดพระวรกาย มาตรว่าขมุกขมัวอยู่ในฉลองพระองค์สำหรับบรรทมเรียบๆ คือชุดขาวทิ้งน้ำหนัก รูดเป็นจีบรอบพระศอและข้อหัตถ์ ทำให้แขนยาวค่อนข้างพอง ชายล่างยาวกรอมถึงครึ่งพระชงฆ์ ล้วนค่อนข้างขมุกขมัวลงมากแล้วก็ตามที

เบื้องพักตร์ พสุธาแผ่กว้าง ส่วนที่ยื่นล้ำไปกลางทะเลสาบ ดูจะอุดมด้วยแร่ธาตุอันถูกพัดมาสะสมมากกว่า สังเกตจากแผ่นดินเดิม แทบโล่งราบด้วยพรมตฤณชาติ สีเขียวตองถูกแต้มด้วยความเข้มขจีแห่งสุมทุม กับกลุ่มสนชนิดหนึ่ง...น่าจะต่างไปจากกลางป่าใหญ่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่สูง และอากาศหนาวเย็นยิ่งกว่า

แผ่นดินใหม่กลับครึ้มหนาด้วยนานารุกขพรรณ ซ้อนสลับกับหมู่หลังคาไม้ทรงจั่ว สีน้ำตาลซีดๆ ตัดชัดกับความพรรณรายแห่งพวงเพยีย แผ่เถา ทอดยอด อวดดวงดอกเป็นค่าทดแทน

เหล่านี้เริ่มปรากฏเป็นตอนๆ ในระยะใกล้ แล้วค่อยหนาแน่นขึ้นในระยะไกล บางแห่งผุดวงล้อประดับซี่ไม้มหึมาของกังหันน้ำ ดูโดดเด่นดุจประติมากรรมประจำกรุงน้อย ต่อเมื่อห่างออกไปจึงคือผืนไพรรกชัฏ สีเขียวเข้มของแต่ละต้น แต้มเต็ม ควบกลืนเป็นครามคล้ำ ซึ่งค่อยลาดขึ้นสู่ภูสูงในฉากหลัง ปกคลุมสีขาวสะอ้านบนสันลิบลิ่ว

ถึงอย่างไร ความสุขอันสะท้อนชัด จากพระจักษุสีเหลืองจรัส หาใช่เฉพาะความงามแห่งทัศนียภาพ

“ในที่สุดเราก็มาถึง...” ผู้แย้มสรวลพลางรำพึง ทรงหันกลับ ยื่นหัตถ์ให้อีกหนึ่งเบื้องปฤษฎางค์

“...เอลินอร์”

ขอบพระทัยสุริยะเทวะ!

มืออวบหนา บรรจงวางบนหัตถ์เรียว นิ่ม เจ้าของมือวาดรอยยิ้มแจ่มใสไม่ผิดปลายฟ้า รอยจับจีบรอบดวงตา อันแต้มรอยจงรัก และสรรเสริญอย่างหาที่สุดมิได้

ทรงงามเลิศนัก ทั้งที่อยู่ในสภาพขมุกขมัวยิ่ง

ราวกับลักษณ์ภายนอก ขับให้ความงามจากภายใน เฉิดฉายยิ่งเคยเป็น!

...หลังจากเหตุอุบัติเมื่อสองวันก่อน...วันมหาวิปโยค! ความปั้นปึ่ง มึนตึงจนทำให้กระโจมเล็กท้ายแพ ยิ่งอึดอัดแทบหายใจไม่ออก...กลับค่อยเลือนไปอย่างน่าอัศจรรย์ในเช้าถัดมา

ระหว่างที่บุรุษทั้งสอง ช่วยกันออกแรงพายอยู่คนละฝั่งแพ เยื้องไปทางด้านหน้า ในตอนหลัง คนหนึ่งยังนั่งเรียบเงียบอยู่ข้างท้าย ขณะอีกราย ประทับนั่งวรองค์แข็ง พระศอเชิดเป็นสง่า ไม่มีทีท่าจะทรงเหลือบเบื้องปฤษฎางค์แม้แต่น้อย

ด้วยดำริบางอย่าง จู่ๆ ทรงก้มสำรวจวรกาย...

เสียงเอะอะด้วยความตกใจของพระพี่เลี้ยง เรียกให้ฝีพายทั้งคู่ โดยเฉพาะผู้ทรงศักติสูงสุด แทบทะลึ่งมาถึงตัว

‘ฝ่าบาท! ทรงทำอะไรเพคะ?!’

พระหัตถ์เรียวข้างหนึ่ง ฉีกทึ้งจีบรูดรอบข้อพระหัตถ์อีกข้าง!

ท่าเก้กังยังความลำบาก จนสีพักตร์ส่อแววขัดพระทัย

‘ฝ่าบาท!’

‘ช่วยหน่อย...’

สุรเสียงเบาแผ่ว ทำให้เอลินอร์ รวมถึงเจ้าชายทีเบอร์เทียซ ถึงกับทรงชะงัก

ปลายนิ้วพระหัตถ์หยุดกระชาก อึดใจที่สูดอัสสาสะ คล้ายคละกันระหว่าง เหนื่อยจากการออกพระวังชา กับรวบรวมกำลังพระทัย...กล้า...

เป็นครั้งแรกจริงๆ หลังจากพระอารมณ์กราดเกรี้ยวใส่ ‘ครานั้น’ ...ดวงพระเนตรปานบุษราคัม ช้อนมาหยุดลงตรงตาข้ารองบาท

สุรเสียงใหม่ อ่อนหวานดุจจะอ้อน

‘เอลินอร์ ช่วยฉีกหน่อย...หญิงอึดอัด!’

ความ ‘อึดอัด’ อันยาวนาน จึงถึงกาลอวสานฉะนี้!

ตลอดระยะที่คนเป็นพระพี่เลี้ยง ช่วยถวายปลดจีบ เพื่อพับแขนขึ้นแค่กโบระตามพระประสงค์ แล้วจบลงเมื่อลอกลูกไม้ชายกระโปรงเสร็จสิ้น เจ้าของฉลองพระองค์ ทรงกะเกณฑ์ พร้อมถ้อยอรรถาเรียบ ใส

‘ไม่มีชาวบ้านที่ไหนใส่ชุดนอนตอนกลางวัน แถมออกมาท่องโลกข้างนอกอย่างนี้ มีใครพบเข้าจะสะดุดตาง่ายๆ...เราทั้งหมดต้องเปลี่ยนไปจากเดิม!’

ไม่ปรากฏรอยเหยียด เยี่ยงผู้ถือองค์ว่าทรงภูมิกว่า ไม่กระทั่งความบึ้งตึงเฉกเคย

หะนั้น ผู้ถวายการแต่งองค์ ไม่ทันสังเกตว่า พระยุพราชเมืองพี่ ทรงก้าวกลับประจำจุดพาย การวาดไม้ยาวครั้งใหม่ แต้มพระสรวลพึงพระทัยลึกล้ำ!

‘แบบนี้เป็นยังไง?’

สุรเสียงใส เริ่มแจ่มใสยิ่งขึ้น คลับคล้ายทุกวินาทีที่ได้รับสั่ง...รับสั่งด้วยพระทัยบริสุทธิ์จากทิฐิมานะ จะทำให้พระอารมณ์ขุ่นมัว...โดยจำเพาะขัดพระทัยในองค์เอง คลี่คลายลงไปโข

เจ้าของคำถาม เสมือนอยู่ในฉลองพระองค์ตัวใหม่ หลังจากทรงใช้แถบลูกไม้ที่หลุดออก รัดพระกฤษฎีต่างรัดพระองค์ มีปมกระหวัดจัดเป็นดวงโกสุม ทิ้งสองชายตรงกึ่งกลางเบื้องขนอง

‘ทรงงามแปลกตาทีเดียวเพคะ!’

‘เจ้าต้องช่วยให้เรางาม...และแปลกตายิ่งกว่านี้!’

แทนคำตอบของดวงตาสนเท่ห์ พระหัตถ์เรียว นุ่มนิ่ม รวบสองมืออิ่ม แต่หลังมือเริ่มย่นขึ้นตามวัย กุมไว้ แล้วทรงลูบหลังมือนั้นเบาๆ

‘ถักเปียให้หญิง...’ ถ้อยรับสั่งชะงักไป ในเมื่อจู่ๆ พระอุระกลับตื้นตันขึ้นอย่างประหลาด

ปลายประโยคหลุดลอดแผ่วเบา แต่จับชัดในความสั่นพร่า

‘...เหมือนตอนเด็กๆ...’

มือใหญ่กว่า เริ่มสั่น ราวอาการสั่นสืบได้แต่พระหัตถ์ที่อีกฝ่ายใช้กุมอยู่กระนั้น และแล้วความรู้สึกเดียวกัน ก็ถั่งท้นจนถึงสองนัยน์ตา

...พยายามระงับความร้อนผ่าว ของหยดน้ำอุ่นจัดที่เริ่มคัดคั่ง...

เอลินอร์กุมพระหัตถ์นั้นแน่น เขย่าพร้อมๆ กับเขย่าพยักทั้งยังต้องเม้มปาก เพื่อกันการสั่นสะท้าน และปราศจากเสียงใดๆ...

. . . . . . . . . . .



บัดนี้ เปียไหวๆ กระหวัดแน่นดุจเส้นไหมสีทองอ่อน บิดปลายทิ้งเรี่ยเหนืออุระเบื้องซ้าย...การรวบตึง ยังแสดงให้เห็นวงพักตร์เล็ก ได้รูปงามอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ทรง ‘แปลก’ ไปแทบสิ้นเชิง น่าจะคือดวงพระจักษุสีเหลืองลออ ระยับวามด้วยความสุข...หาใช่ริษยา ชิงชัง

“ฝากแพด้วยนะจ๊ะเฟร็จ!”

ก่อนเสด็จจากมา ยังทรงอุตส่าห์ชะโงกฝากรอยแย้มแก่นายต้นหน

อัชฌาศัยอย่างแทบไม่เคยปรากฏ!

“น่าเสียดาย...น่าจะได้ไปด้วยกันทั้งหมด”

ขณะดำเนินมาหยุดจูงมืออวบหนา ทรงอุบอิบ ไพล่สายพระนัยนาต่อว่าไปยังองค์รัชทายาทบูเลทิน ที่ประทับยืนรออยู่ไม่ไกลกัน

สองผู้ที่ ‘จะได้ไปด้วยกัน’ รายหนึ่งถูกดัดแปลงชุดนอนนางในชั้นสูง ให้มีลักษณะละม้ายวราภรณ์ ‘ชุดใหม่’ ขององค์เอง ส่วนอีกราย ฉลองพระองค์ท่อนบนตัวขาว แขนยาว...โชคดีที่ด้วยรอยต่อ...พอฉีกจึงกลายเป็นเสื้อกล้ามอย่างง่ายๆ ครั้นสอดชายเข้าท่อนล่าง...กางเกงหนังกับบู๊ทสูง พลอยดูเข้ากันดี

ผู้ที่ทรงบ่นกระปอดกระแปดเมื่อแรกถูกแปลงโฉมว่า ‘ต่อไปตกดึก คงหนาวดีพิลึกล่ะ!’ ทรงตอบสายพระเนตรค่อนขอด ด้วยสุรเสียงเอาพระทัย

“ชุดทหารของเฟร็จคงแปลงให้ผิดไปได้ยาก เฉพาะนักเดินทางต่างถิ่นสามราย ในเครื่องแบบที่ระบุไม่ได้ว่ามาจากไหน ก็เสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าสายตามากพอแล้ว...”

“แถมตอนนี้โมลาสโม่คงไม่วางใจทหารมากนัก เราจะลำบากต่อการสืบความ!” สุรเสียงใส รับสั่งแทรกขึ้น เป็นประโยคที่ถูกย้ำไปย้ำมา จนทรงสามารถท่องตามได้

“...ทำไมไม่ทรงคิด...ขบวนเสด็จอาจจะมารอเราที่นี่ก่อนแล้วก็ได้?”

“ไม่มี ‘ทรง’ และไม่มี ‘เจ้า’ เพคะ” พระพี่เลี้ยงทูลเตือนตาม ‘แผน’

“ไม่มี ‘เพคะ’ ด้วยท่านแม่”

ผู้ที่จะสวมบท ‘ลูกชาย’ ในไม่ช้า ท้วงยิ้มๆ เรียกให้ ‘ลูกสาว’ พลอยหัวร่อ ผู้เป็นแม่จึงยิ้มเจื่อนๆ ตอบด้วยประโยคไม่คล่องปาก

“ขอ...โทษ...จ้ะลูก”

ขนาดพูดจบยังต้องถอนใจ...เนี่ยแหละวิสัยของคนเจ้าระเบียบ!

“ที่ไม่คิดอย่างนั้น...” ลูกชายคนโต เริ่มออกก้าว ขณะโอษฐ์ย้อนกลับไปอธิบายน้องสาวคนเล็ก

“เพราะถึงมีม้า แต่คนมากกว่า...พิธีรีตองมากกว่า ยังไงก็จัดการได้ไม่คล่องตัวไปกว่าเรา”

“งั้นเราเข้าโมลาสโม่ก่อน...จะไปทำอะไรกันบ้าง?”

คำถามใหม่ ‘น้องสาว’ หยุดคำลงท้ายอันเคยโอษฐ์ได้ทัน

“สำรวจที่ทาง...กับจะถือโอกาสสำรวจทุกข์สุขและความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยก็ได้”

เพราะผู้ตอบ ดำเนินล้ำไปโดยไม่ได้หันกลับมา จึงไม่มีทางทรงทราบว่า...ท่าทีที่ยิ่งประสงค์ ‘ปกปิด’ กลับยิ่งแจ้งพระดำริ ให้ผู้เฝ้าจับตาด้วยความสังเกต และละเอียดรอบคอบอันเป็นเจ้าเรือน ประจักษ์ชัดดุจจะเป็นการยืนยันในแผนการที่ทรงวางไว้...

. . . . . . . . . . .


จุดที่องค์ผู้นำตัดสินพระทัยให้ผูกแพทิ้งไว้ อยู่ห่างจากเรือนหลังสุดท้ายในเขตโมลาสโม่พอสมควร เส้นทางตัดสู่หมู่บ้านไม่สามารถเรียกได้ว่าถนน เหตุเพราะพงไม้และกอหญ้ารกเรื้อ...ซึ่งหมายใช้เป็นม่านกำบัง ‘ที่ประทับกึ่งพาหนะ’ นั่นเอง

นอกจากสุรเสียงเจื้อยแจ้ว ผิดเป็นคนละองค์กับเจ้าหญิงเอลีโอน่าพระองค์เดิม ตลอดจนเสียงฝีเท้าย่ำทับบนพรมหญ้า รอบกายเต็มไปด้วยสรรพเสียงนานาแห่งชีวิต สะท้อนชัดถึงความอุดมสมบูรณ์ กับยังช่วยคลายความกังวลในคนนำหน้า...

‘ภารกิจ’ ต่อไป คงไม่ยากจะใช้เสียงเหล่านี้ กลบเกลื่อน!

ถนนสายหลัก เป็นทางดินสีน้ำตาลแดง ต่อให้ถูกถากถาง บางส่วนยังมีวัชพืชขึ้นราย เห็นเฉพาะร่องตื้นๆ ของล้อเกวียนและรถม้า สืบเรื่อยผ่านถึงด้านหน้าบ้านน้อยหลังแรก

ตัวเรือนชั้นเดียวสร้างด้วยไม้สน เช่นกันกับหลังคาทรงจั่ว ด้านที่หันออกถนนถูกตกแต่งแบบเดียวกันกับหลังถัดๆ ไป คือเลี้ยงพรรณไม้ประเภทเถา ให้ไต่คลุม ออกใบงามและหมู่ดอกบานสล้าง...น่าจะเป็นศิลปะต้นแบบในการใช้ไม้ก่อสร้าง และอาศัยความงามแห่งมวลมาลย์ ประกาศความสมบูรณ์พร้อมของแผ่นดินอะแลมเบิร์ก

ข้างบ้านเป็นคอกไม้ ขณะนี้ว่างเปล่าเพราะเจ้าของคอกทั้งหก...อาชาล่ำสัน สีน้ำตาล ท่าทางประเปรียว ถูกสวมเครื่องรั้งเพื่อช่วยลากไถในพื้นนากว้าง เศษซากจากฤดูแล้ง ถูกพรวนกลบกลืนเป็นปุ๋ย รอสำหรับหล่อเลี้ยงต้นใหม่ อันจะถูกโรยราย ฝังเมล็ดพันธุ์ให้หยั่งราก พลิกผืนดินสีน้ำตาล เป็นทุ่งเขียวชรอุ่มในอีกไม่ช้า

บ้านหลังถัดๆ ไปประกอบอาชีพคล้ายๆ กัน ลักษณะก็คล้ายๆ จนไม่น่าแยกได้ว่าหลังไหนเป็นหลังไหน แต่ละหลังล้วนปิดประตูเงียบ ได้ยินเพียงเสียงหมู่ไม้ไหว ชายผ้าที่ตากไว้บนราวริมเรือน สะบัดพึ่บพั่บ กับเสียงสกุณาครวญเสนาะจากมุมโน้นมุมนี้

เป็นความสงบดีจริง แต่...สงบจนเหมือนไม่มีคนอยู่

“พวกผู้ชายคงจะอยู่ในไร่นา แต่ผู้หญิงกับเด็กหายไปไหนกันหมดนะ?”

เจ้าของเปียงาม รับสั่งเสมือนรำพึง ถึงกระนั้น...พระพี่เลี้ยงผู้เดินจับหัตถ์เคียงกัน ยังทันเห็นสายพระเนตร หยุดลงเบื้องปฤษฎางค์ผู้ดำเนินนำหน้าไปไม่ถึงช่วงฝีบาท

สายพระเนตรที่บ่งความเชื่อมั่น ทั้งประจุแววอ่อนหวานลึกล้ำ...

ไม่ทันมีคำตอบ กระทั่งสันนิษฐานใดๆ เสียงกุกกัก กุบกับ ก็ก้องผ่านมาใกล้ จากแยกฝั่งขวา

ตัวรถเหมือนเก้าอี้ดำขนาดใหญ่ หากมีพื้นใต้เป็นฐานสี่เหลี่ยม สี่ล้อแต่ละมุมล้วนซี่กลม เทียมด้วยม้าเดี่ยว เหยาะย่างเอื่อยเฉื่อย ทั้งบุรุษผู้นั่งอยู่ใน ‘เก้าอี้’ ตอนหลัง ก็มิได้มีทีท่าจะสะบัดสายม้าเพื่อกระตุ้นเร้าแต่อย่างใด จึงดูคล้ายเป็นความเฉื่อยชา อันถ่ายทอดจากผู้เป็นสารถีเสียมากกว่า

การเคลื่อนเข้ามา...และจะผ่านไป...โดยเชื่องช้า ทำให้ต่างฝ่าย มีเวลาเพ่งสำรวจอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

บุรุษหลังอาชาอยู่ในเสื้อแขนยาวพับแขน สีมอ เข้ากันกับสายรั้งสองข้าง รวมถึงท่อนล่างสีดำสนิท เจ้าตัวสวมหมวกสานกลม มีปีกรอบ ผมเป็นคลื่นคงถูกม้วนเข้าข้างใน ปล่อยเครายาวสืบแต่จอนลงมาสะบัดไหวๆ ทว่าไร้หนวด ทำให้ดูแปลกตา และมองเห็นริมฝีปากเม้มจนติดจะบึ้ง ครั้นกอปรกับสายตาถมิงทึงที่เพ่งมา จึงสัมผัสถึงความประหลาดใจและไม่เป็นมิตรนัก

องค์ผู้นำ เป็นฝ่ายออกโอษฐ์ทักถาม

“ขออภัยเถิดท่านสุภาพบุรุษ เรากำลังจะไปตลาดของหมู่บ้าน...แต่ไม่ทราบต้องไปทางไหน?”

จากจุดหมายที่ทรงถามถึง เป็นนัยแห่งคำตอบอันพระราชทานแก่เจ้าหญิงเอลีโอน่าอยู่ในที

“ตลาด?”

คำทวนไม่ถึงกับเป็นคำ เพราะคนถูกถามแค่ขยับปากขมุบขมิบ สีหน้าประดุจเดียดฉันท์ หยันเหยียด จากนั้นก็แค่ “ฮื่อ!” พร้อมพยักไปข้างหน้า ก่อนสะบัดสายม้า ควบไปบนเส้นทางเดียวกัน ปราศจากน้ำใจเชิญชวน

“โมลาสโม่คงไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า”

เจ้าชายทีเบอร์เทียซทรงคาดเดากึ่งๆ ปลอบใจ จากนั้นพยักตาม ยืนยันให้ออกเดินต่อในทิศที่ถูกชี้แนะ

. . . . . . . . . . .



จากสามแยก ทางสู่ตลาดโมลาสโม่ดูจะแน่นขนัดด้วยบ้านเรือน และผู้คนมากกว่าอีกฝั่ง กระนั้น แต่ละบ้านยังถูกปิดประตูแน่น คนผู้สวนไปมามักเป็นบุรุษในชุด และรูปลักษณ์ละม้ายกับที่เพิ่งผ่านไป ที่สำคัญคือนัยน์ตาทุกข์ทน จนผู้เพิ่งเบิกบานดั่งกุหลาบแรกแย้ม ยังกลับทรงกังวลขึ้นมาอีก

“...หรือจะเพราะเรื่อง...เขื่อน...?”

“ถ้าเพราะเหตุนั้นก็วางใจได้...” เจ้าของวรกายสูง ชะงักฝีบาทพลางทรงหันมา ส่งกระแสพระนัยนาประโลมฤทัย

“หลังจาก...เขา...มาถึง...” คำแฝงนัยเป็นที่เข้าใจว่าสื่อถึงใคร

“...ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น!”

ยิ่งใกล้ตลาด บ้านน้อยยิ่งขยับชิดกันเข้าทุกที ถนนอันทอดกลางเป็นดินอัดเรียบ กว้างพอสำหรับการจราจรรถม้า 4 คัน

สีน้ำตาลโล้นๆ เพียงต่างเฉดระหว่างพื้นถนนกับตัวบ้าน กลับน่าชมด้วยพรรณไม้ทอดยอด แต่ละหลังก็แต่ละพันธุ์ รูปและสีละลานตา มองเพลิน ทั้งยังระรวยกลิ่นอบร่ำทั้งถนนจนหอมหวาน ด้านหลังแต่ละบ้านปลูกไม้ใหญ่ อาศัยร่มเงาเขียวครึ้ม แผ่คลุ้มเป็นสุมทุมเหนือหลังคาอีกชั้น บางต้นบางพันธุ์ ใหญ่ขนาดโน้มก้านต่างหลังคาเหนือถนน

นอกจากนั้น ที่ต่างคือประตูและหน้าต่างด้านหน้าของแต่ละบ้าน เริ่มเปิดออก บ้านถูกใช้เป็นร้าน สองข้างทางเริ่มปรากฏคนวางของขาย ส่วนมากเป็นผู้ค้าคือคนสูงวัย หากเป็นชายจะอยู่ในชุด...อันผู้ต่างถิ่นตกลงใจกันได้ว่า...น่าจะเป็น ‘รสนิยมหมู่’ เฉพาะเผ่า โดยเฉพาะการไว้เครา หากปราศจากหนวดเหนือริมฝีปาก ส่วนหากเป็นหญิง ‘รสนิยม’ ชนิดที่มองไปทางไหนล้วนได้พบ ได้แก่ชุดผ้าผืนใหญ่ ห่มพันแทบตลอดกาย ผูกผ้าห่อผมขึ้นไปทั้งหมดมองคล้ายหมวก

“หม่อ...เอ้อ...แม่...” เจ้าของสรรพนามจำเป็น พูดทีไรก็แทบสะดุดในทีนั้น

“...เคยได้ยินว่า คนโมลาสโม่ยึดวิถีชีวิตแบบเก่า...คือตั้งแต่ก่อนอะแลมเบิร์กจะเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ไม่ชอบสังคมกับคนนอก และไม่ยินดีกับวัฒนธรรมข้างนอกซักเท่าไหร่ คนพวกนี้อาจจะไม่ขัดค้าน แต่เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนตาม...”

“เรียกว่าดื้อเงียบ?” ผู้รับบทลูกชาย รับสั่งถาม หากสายพระเนตรกระทบสตรีผู้อ่อนวัยกว่า จึงคล้ายจะเย้าเสียล่ะมาก

“เพ...เอ้อ...จ้ะ” สายตาคม ขัดใจ ตวัดให้ท่าทางของลูกชาย มากกว่าจะขัดใจความตะกุกตะกักของตนเอง      

คนแปลกถิ่น เคลื่อนตัวไปตามถนนสายการค้าเดียวของชาวน้ำ...ถนนที่มีคนเดินน้อยจนไม่น่าเกิดตลาด

ในชุดลักษณะแผกต่าง กับน่าจะรัศมีบางอย่างจากสองผู้ทรงศักดิ์ จึงเป็นตลอดทาง...ที่ถูกจับจ้องกันเป็นตาเดียว ต่อเมื่อหันสบผู้ไหน ทั้งที่นัยน์ตาหลายคู่คงมีแววกังวลในชะตากรรมลึกซึ้ง หากในบทบาทพ่อค้าแม่ค้า...แต่ละดวงหน้ายังยิ้มทักอบอุ่น

สินค้าที่ถูกวางแสดงอยู่บนโต๊ะไม้ มีตั้งแต่เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้นสีแดงสด ผลไม้ ผักนานาชนิด และเครื่องเทศท้องถิ่น เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ตลอดจนสิ่งที่ยังความสนใจใน ‘ลูกสาว’ มากที่สุด

...เครื่องประดับและผ้าทอมือของโมลาสโม่ ไม่งามละเอียด หรือหรูหราเฉกภูษาชนิดที่ใช้ในราชสำนัก หากผ้าเย็บปักผืนใหญ่ สำหรับใช้เป็นผ้าห่มนอน หรือตกแต่งภายในตัวเรือนนั้น มีลวดลายพิสดารพันลึกยิ่ง บางผืนเหมือนถูกใช้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปะต่อติดกัน หากครั้นพินิจใกล้จึงพบ...ล้วนลูกเล่นของลายปัก บนผืนเดียวกันทั้งหมด!

และ...เช่นเคย...นี่คือต้นกำเนิดของศิลปะอะแลมเบิร์กอีกชิ้น...

เถอะ! ที่มาแห่งลวดลายเรขาคณิตอันเป็นเอก!

สังคมชั้นสูงของมหานคร อันเป็นศูนย์กลางทางพาณิชย์ ต่างมัวเลิศลอย หลงใหลในความยิ่งใหญ่แห่งตน จนไม่เคยสำเหนียก...

แต่ละอย่างที่ทระนง...ล้วนเป็นมรดกตกทอด จากคน...ที่ตนดูถูกแทบทั้งสิ้น!

“บรรพบุรุษอะแลมเบิร์ก คงพยายามตัดขาดจากรากเดิม...คือทุกๆ อย่างที่เป็นบูเลทิน เพราะความเกลียดแค้น ระคนหยิ่งผยอง”

“นั่นสิ...” เจ้าของจากนครอันเป็น ‘รากเดิม’ ทรงเห็นพ้อง

“ศิลปะแบบโค้งไหว จำลองแบบเสมือนจริงของบูเลทิน ดูจะถูกนำแนวคิดศิลปะของโมลาสโม่ ประยุกต์ร่วม รูปเลียนธรรมชาติจึงถูกตัดทอนลายละเอียดเดิม แล้วกอปรกันจากลายเส้นเรขาคณิตแทน”

ถึงพิเคราะห์ได้ลึกซึ้ง หากทว่าสายพระเนตรกลับมิได้จดจ่อในเนื้อผ้าเยี่ยงคู่สนทนา

...เช่นเดียวกับเมื่อดำเนินนำมาตลอด พระจักษุฟ้าครามเหลือบแล...

ในความเป็นธรรมชาติ...ที่แท้เต็มไปด้วยการเสาะหา...

‘ลางที จะมีสิ่งแปลกปลอมในน้ำ’

ความ ‘ผิดปกติ’ ใดเล่า แฝงกายอยู่ในโมลาสโม่?!

ความแปลกตาย่อมมี หากครั้นสรรเหตุผลมาสนับสนุนได้ ความแปลกใจจึงก้ำกึ่ง

และการตัดสินพระทัย...ย่อมยาก...

ในเมื่อ...ไม่เคยทรงทราบครา 'ปกติ' จะสำเหนียกถึงความ 'ไม่ปกติ' กระไรได้!

หรือสุดท้าย...จะต้องหาเบาะแสจาก ‘ความเอะพระทัยเดิม’...?

บทสรุปบังเกิด เพราะสัมผัสสะกิดเบื้องปลายกัประ

คนเป็นพระพี่เลี้ยงชำเลือง...ต่อเมื่อแน่ใจว่า เจ้าหญิงเอลีโอน่า ทรงอ้อมมุมร้านเข้าไปในซอกแคบหว่างตัวเรือน และคงมัวทรงชื่นชมลายผ้าบนราวพาด จนไม่สนพระทัยมาทางนี้... ร่างอวบจึงก้าวนำ เลี่ยงห่างยังร้านข้างๆ ทำทีชี้ชมสินค้าจักสานที่ถูกประกาศ...แม้ตักน้ำใช้ก็ไม่มีหยดรั่ว

ชั้นต้น องค์อาคันตุกะย่อมทรงสนเท่ห์ เพราะที่ผ่าน...พระพี่เลี้ยงผู้เปี่ยมเลือดรักชาติ พยายามตัดขาดทุกความข้องเกี่ยว...

ความข้องเกี่ยว...อันโยงใยถึงเจ้าหญิง ผู้อยู่ในการอภิบาลแต่เก่าก่อน!

กระไรก็ดี คำพูดของอีกฝ่าย บอกให้รู้...ความไม่ประสงค์เกี่ยวกัน ที่แท้ใช่การตัดขาดโดยสิ้นเชิง

“เราออกจากแพมานานพอควร หากมีสิ่งที่ ‘หมายพระทัย’ ไว้ ตอนนี้น่าจะได้เวลาที่ดีที่สุด!”

นัยยะในดวงตาผู้สูงวัยกว่า ค่อยเรียกรอยสรวลอย่างเท่าทันขึ้นได้เล็กน้อย

“เจ้านายอะแลมเบิร์กควรภูมิพระทัย ในข้ารองบาทที่ทั้งฉลาดและรักแผ่นดินเช่นเจ้า เอลินอร์!”

“เลิกพูดล้อเล่นซะทีลูกชาย ไปซะ แล้วเดี๋ยวแม่จะพาน้องสาวของเจ้าตามไปพบ ‘ที่นั่น’ ”

คนเป็น ‘ลูกชาย’ รับคำ รีบดำเนินตามแผนโดยไม่มีทางทรงทราบ...

เพียงลับปฤษฎางค์ ความ ‘ผิดปกติ’ ที่รอคอย อุบัติ!

เมื่อนั้น...สิ่งที่จะได้ ‘รู้’ มิใช่ตลอดมาที่เคย ‘คิด’!

. . . . . . . . . .
ปราปต์
9/11/12

.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 16:56:22




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com