Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Half Twins บทที่ ๒ vote ติดต่อทีมงาน

มาแปะไว้ ก่อนเผ่นไปงานประชุมค่ะ เจอกันอีกสองสัปดาห์เน่อ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html

% ###

บทที่ ๒ โลกคนตาย

“แมวเป็นสัตว์สองโลก” ทวยะบอกน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่ผมกำลังให้อาหารลูกแมวสีขาวที่เก็บมาได้ ซึ่งผมตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ใต้หอพัก และตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าหง่าว

วันที่สี่หลังจากการรับน้องหอเสร็จสิ้นลง เป็นวันที่ผมกับเพื่อนๆ นักเรียนใหม่ต้องไปนั่งฟังการอบรมที่ห้องประชุมบนอาคารกิจกรรม ในงานปฐมนิเทศเพื่อเตรียมรับเปิดเทอม ทว่าระหว่างเวลาพักในช่วงเช้า ผมก็ชวนทวยะแว่บกลับมาที่ใต้หอ ด้วยเป็นห่วงเจ้าหง่าวนั่นเอง

“มันอยู่ระหว่างโลกกลางวันกับโลกกลางคืน และ...” เพื่อนผมหยุดนิดหนึ่ง เหมือนลังเลที่จะบอกออกมา “อยู่ระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของคนตาย!”

ผมหยุดลูบหัวเจ้าหง่าวทันที คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มรู้สึกหวาดกลัวมันขึ้นมาตะหงิดๆ ผมเหยียดกายยืนแล้วหันมองทวยะ เรียกร้องคำปฏิเสธจากเขาด้วยสายตา และหวังว่าเขาคงจะแกล้งหลอกผมเล่นเหมือนทุกครั้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา ผมก็คิดว่าคราวนี้ เขาคงพูดจริง... ทวยะอุ้มเจ้าหง่าวขึ้นมา จ้องตากับมันครู่หนึ่ง สายตาของเขาแม้จะดูอบอุ่นนุ่มนวล แต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่ผมอธิบายไม่ถูก

“แต่ไม่ใช่เจ้านี่...” เขาบอกพร้อมกับวางมันลงเบาๆ

ผมยอมรับว่าไม่เข้าใจท่าทีและคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาเสียเลย หากแต่ในเวลานั้น ผมก็ยังไม่คิดจะตั้งคำถาม เพราะสายตาของผมเหลือบไปเห็นครูปานลักษมิ์ ซึ่งกำลังยืนหันหลังพิงเสาใต้อาคาร ห่างจากบริเวณที่เราอยู่ไปประมาณสิบช่วงเสา

ครูปานไม่เห็นผมกับทวยะ เพราะตอนนั้นเธอกำลังก้มหน้า ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ และดูเหมือนกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า

“นายว่า ครูปานเป็นอะไร” ผมถามขึ้นลอยๆ

ทวยะมองตาม จากนั้นจึงหันกลับมาตบหลังหัวผมทีหนึ่ง

“แกนี่มันชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเหลือเกินนะ ไทวะ!” เขาตะคอก แต่พยามลดเสียงให้เบา แล้วฉุดแขนผมเดินดุ่มๆ กลับไปยังอาคารกิจกรรม “กลับห้องประชุมได้แล้ว!”

การอยู่ร่วมกับเขามาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ผมเริ่มชินกับอารมณ์ที่แปรปรวนเปลี่ยนกลับไปกลับมาของเขา จนไม่รู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมเช่นนั้นเสียแล้ว

ผมสังเกตตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าหอมา รูมเมทของผมคนนี้มีนิสัยชอบกล เขามักทำตัวแปลกแยก และแทบไม่ให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างเลย แม้แต่กับเพื่อนร่วมห้องอย่างผม จะมาสนใจผมบ้างก็คงเป็นช่วงที่เขาหาเรื่องแกล้งผมด้วยวิธีต่างๆ นานา เช่นหยุดเวลาของผม เพื่อให้ผมไปไม่ทันทำกิจกรรมตามที่รุ่นพี่นัดจนถูกรุ่นพี่ทำโทษ หรือไม่ก็แกล้งสร้างมิติลวงตาที่นอกประตูห้อง เพื่อให้ผมตกใจเวลาที่เปิดประตูออกไป และยิ่งเมื่อเขารู้ว่าผมมองเห็นผีแต่ยังกลัวผี เขาก็ยิ่งเรียกตัวประหลาดน่าสยดสยองออกมาหลอกให้ผมตกใจอยู่ร่ำไป

นั่นคือความพิเศษแรกของทวยะที่ผมสังเกตเห็น...พวกมีอำนาจพิเศษ ซึ่งเมื่อแรกผมเดาเอาว่า เขาอาจจะเป็นพวกพ่อมดหมอผีอะไรทำนองนั้น

ทว่าถึงแม้อารมณ์ของทวยะจะแปรปรวน ไม่น่าคบ ทั้งยังชอบแกล้ง แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าคงพอทนอยู่ร่วมห้องกับเขาได้ มันอาจจะเป็นเพราะนิสัยที่แก้ไม่หายอย่างหนึ่ง คือขี้สงสัย อยากรู้ไปเสียหมด โดยเฉพาะเมื่อเห็นเขาเป็นคนประหลาดเช่นนี้ผมก็ยิ่งสนใจ มันเป็นนิสัยที่ทวยะมักตำหนิว่าผมชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น

และคงเพราะนิสัยเช่นนี้เอง จึงทำให้ผมต้องหวนกลับมาที่หอพักอีกครั้งในตอนเที่ยงของวันนั้น หลังจากสังเกตว่ารูม-เมทของผมหายไปจากห้องประชุมตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ผมคาดว่าคงต้องมีอะไรผิดปกติแน่ จึงคิดจะกลับมาดูที่ห้อง ทว่าก่อนที่จะขึ้นอาคาร ผมก็สังเกตเห็นว่าที่ใต้หอ มีแมวโผล่มาอีกตัวหนึ่ง...

มันเป็นแมวตัวโตเต็มวัย ขนสีเทาล้วน ท่าทางขี้เกียจ หน้าตาก็ไม่รับแขก ผมเห็นมันนอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ชามนมของเจ้าหง่าว ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันหรี่ปรือจะปิดเต็มที ดังนั้นเมื่อเจ้าหง่าวย่องไปดมๆ เขี่ยๆ จมูกมัน จึงแทบถูกมันตะปบใส่

“มากไปแล้วนะแก!” ผมตวาด สัญชาตญาณปกป้องสมบัติส่วนตัว สะกิดให้ผมปรี่เข้าไปหาเจ้าแมวเทาขี้หงุดหงิดนั่น กะว่าจะไล่มันไปไกลๆ โทษฐานทำร้าย ‘เด็ก’ หากกลับมีมือข้างหนึ่งฉุดแขนผมไว้เสียก่อน

“ทวยะ!” ผมร้องออกมา เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาห้ามทัพเป็นใคร

“ปล่อยไปเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย” เขาบอกเสียงนิ่ง

“แต่มันจะตบเจ้าหง่าว” ผมท้วง พลางหันไปมองลูกแมวขาวที่ถูกขู่จนหงอ ต้องกลับไปเขี่ยขนไม้กวาดที่แขวนไว้อยู่ข้างผนังเล่นแทน

“ก็แค่หยอกกันตามประสาแมวน่ะ มันไม่ทำอะไรเจ้าหง่าวหรอก” ว่าแล้วเขาก็ออกแรงลากผมไปยังโรงอาหาร ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคารกิจกรรม

“แล้วนี่นายหายไปไหนมา”

“กลับมาเอาของ” เขาตอบห้วนๆ

“เอาอะไร”

“ไม่ต้องรู้บ้างจะได้ไหม!” เขาหันกลับมาตะคอกกลับชนิดไม่ให้ตั้งตัว ทำเอาผมสะดุ้งจนตัวโยน จากนั้นก็ปล่อยมือจากแขนผม แล้วเดินลิ่วนำหน้าไป

“อะไรวะ แค่นี้ก็ต้องโมโห” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินตามเขากลับไปยังห้องประชุม

---

เย็นวันนั้น ผมช่วย รดา หอบเอกสารที่จะแจกให้กับนักเรียนในวันรุ่งขึ้น ไปยังห้องพักครู

รดา เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับผม เธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียน และออกจะพูดน้อยอยู่สักหน่อย จนบางที ผมก็รู้สึกว่าเธอค่อนข้างน่าเป็นห่วง

ระหว่างที่ผมเดินหอบกองเอกสารเดินตามเธออยู่บนระเบียงชั้นสอง ของอาคารเรียนหลังที่สอง ผมก็สังเกตเห็นว่า มีเด็กผู้ชายรูปร่างผอมแห้ง อายุประมาณสิบปีคนหนึ่ง เดินตามหลังเธอไปติดๆ

ความจริง ผมเห็นเด็กคนนี้ตั้งแต่ออกจากห้องประชุมแล้ว หากแต่เพิ่งสังเกตว่า เขาเดินตามเพื่อนของผม... บางทีอาจเป็นคนรู้จักของรดา

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมรดาจึงไม่แนะนำให้ผมรู้จัก ทั้งยังทำเหมือนไม่สนใจ อีกอย่าง เด็กนี่ก็อยู่ในชุดคนไข้สีฟ้าของโรงพยาบาลใดสักแห่งที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งคงไม่ใช่โรงพยาบาลในละแวกนั้น ผมสงสัยว่า ถ้าเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ทำไมเขาจึงไม่เปลี่ยนชุด ที่สำคัญ ทำไมซาตานผู้คุ้มกฎอย่างครูนรินทร์ จึงยอมปล่อยให้เด็กข้างนอกเข้ามาเดินเพ่นพ่านในโรงเรียนได้

หากแต่ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรกับรดา เราก็เลี้ยวเข้าห้องพักครูเสียก่อน

ผมวางกองเอกสารไว้บนโต๊ะตามที่รดาบอกเรียบร้อย จากนั้นเราก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกัน ทว่าตั้งแต่ออกมาจากห้อง ผมก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว

ความจริงผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่ แต่ก็ไม่อยากคิดไปในแง่ ‘ลี้ลับ’ เท่าใดนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก

ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ทวยะฟัง เพราะเขาหายไปไหนไม่ทราบตั้งแต่เย็น จำได้ว่าเมื่อกลับไปที่ห้อง ผมก็เห็นแต่กระเป๋าสะพายซึ่งเขาใช้เป็นประจำ ถูกโยนไว้บนเตียง แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่

บางทีเขาอาจจะมีธุระ...ผมคิด แล้วจึงโยนกระเป๋าทิ้งลงบนเตียงบ้าง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องอีกครั้ง

ระหว่างที่เดินผ่านยังใต้หอพัก ผมก็แวะเล่นกับเจ้าหง่าวตามปกติ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่า แมวเทาตัวนั้นไม่อยู่แล้ว ซึ่งก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ไม่มารังแกเจ้าหง่าวอีก

ผมเดินไปที่โรงอาหารเพื่อหาอะไรใส่ท้อง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้ามาที่หอพักอีกครั้งราวหนึ่งทุ่ม รู้สึกสะดุดใจนิดหนึ่งที่เมื่อเดินผ่านใต้หอพัก เจ้าหง่าวก็หายไปอีกตัวหนึ่ง ผมคิดไปว่า บางทีมันอาจจะไปวิ่งซนอยู่ที่ไหน สักพักก็คงกลับ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ทว่าในห้องนั้นยังคงไม่มีวี่แววของทวยะ กระเป๋าสะพายของเขายังคงอยู่ที่เดิม ราวกับว่าเขาไม่ได้กลับเข้าห้องมาอีกเลย

ผมนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง รื้อค้นหนังสือเอกสารที่ได้จากการอบรมมาอ่าน แม้ในใจจะนึกสงสัยอยู่ว่าเพื่อนของผมหายไปไหนกันแน่

จนกระทั่งเวลาสองทุ่มครึ่ง ผมเห็นท่าไม่ดี จึงคิดจะไปเดินหาเขาสักรอบ และคิดไปอีกว่าถ้าไม่เจอ ผมอาจจะต้องแจ้งครูปาน

---

บรรยากาศใต้หอพักในเวลาค่ำ ไม่น่าเดินเอาเสียเลย แม้จะไม่มืดเพราะมีแสงไฟสว่าง หากแต่ความเงียบก็ทำให้ผมรู้สึกว่า บรรยากาศรอบตัวช่างวังเวงจนน่ากลัว...

ผมค่อยๆ ย่างเท้าก้าวออกจากลิฟท์ช้าๆ วางเท้าอย่างแผ่วเบา ยกแต่ละก้าวด้วยความระมัดระวัง หากแต่ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ด้านหลังตึก ไม่ต้องสงสัยเลย มันทำให้ผมตื่นตระหนกจนเหงื่อชุ่มมือ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นวาบตลอดแนวสันหลัง!

ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ด้วยเกรงว่าหากมีเสียงจะทำให้ใครหรืออะไรที่หลังพุ่มไม้นั้นรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้

“พี่จริงๆ ด้วย นี่หนูไม่ได้ฝันใช่ไหมคะ”

ผมรู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นหู เป็นเสียงหวานๆ ของครูปานลักษมิ์นั่นเอง...

เมื่อรู้ว่าเสียงนั่นคือครูนางฟ้า ความรู้สึกหวาดกลัวก็มลายหายไปราวปลิดทิ้ง เหลือเพียงความสงสัย เนื่องจากเสียงนั้นฟังดูแปร่งพร่า ราวกับกำลังสะอื้น

“ใช่...พี่เอง...พี่มาหาหนูปานแล้ว” เสียงชายคนหนึ่งตอบออกไปอย่างนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

ผมสงสัยว่าชายคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมนางฟ้าของผมจึงต้องร้องไห้ ดังนั้นจึงย่องเข้าไปใกล้ ค่อยๆ แหวกพุ่มไม้มองดู แล้วก็เห็นเธอกำลังยืนคุยกับชายคนหนึ่งจริงๆ

ชายคนนั้นร่างสูงโปร่ง ไว้ผมรองทรง ผมไม่เห็นหน้าของเขา เพราะเขากำลังยืนหันหลังให้ผม แต่ที่ทำให้ผมแตกตื่นจนขวัญหนีก็คือ...เขาลอยได้!

ผมเองก็ไม่ได้ตาฝาด และไม่ได้คิดไปเอง เขาลอยได้จริงๆ เท้าของเขาลอยอยู่เหนือพื้นหญ้าประมาณสี่ห้านิ้ว...

ผี!

ผมตกใจมากจนเกือบจะร้องออกมา หากแต่ก่อนที่ผมจะส่งเสียงใดๆ ก็มีมือผอมเรียวข้างหนึ่งชิงอุดปากผมไว้เสียก่อน

“ชูว์...” เสียงเป่าลมผ่านปากเพื่อเตือนให้ผมเงียบดังอยู่ข้างหู เมื่อผมเหลือบมองข้างตัว จึงเห็นว่าเขาคือทวยะ ซึ่งหายตัวไปครึ่งค่อนวันนั่นเอง

มือของทวยะยังปิดปากผมไว้อยู่ แต่สายตาของเขา จ้องมองไปที่ครูปานกับวิญญาณดวงนั้น มันทำให้ผมคลายใจ และรู้สึกปลอดภัยขึ้น ผมเชื่อว่าเขาต้องสามารถจัดการกับวิญญาณดวงนั้นได้ แบบเดียวกับที่จัดการกับปิศาจในห้องศิลปะแน่ๆ

“พี่ขา หนูคิดถึงพี่เหลือเกิน” ครูปานยิ้มกว้างอย่างยินดีทั้งที่สองข้างแก้มยังเปรอะคราบน้ำตาอยู่ เธอเอื้อมมือไปหมายจะคว้าแขนเขา ทว่าสิ่งที่คว้าได้มีเพียงอากาศธาตุ...

ครูปานหยุดชะงัก สีหน้าสลดลง ดูผิดหวังและเศร้าสร้อยอย่างน่าสงสาร

“พี่ตายไปแล้ว หนูปาน...” วิญญาณดวงนั้นบอกด้วยเสียงนุ่มนวล และเศร้าสร้อยไม่แพ้กัน

จบคำของเขา น้ำตาก็ทะลักอาบใบหน้าน้อยๆ ราวกับทำนบทลาย เธอทรุดลงอย่างหมดแรง สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นเทา ชายผู้นั้นก็ไม่สามารถเข้าไปปลอบโยนเธอได้ ผมเห็นเขาก้มศีรษะ ไหล่ห่อจนตัวลีบ คิดว่าเขาก็คงปวดร้าวไม่แพ้กัน...

เมื่อผมเห็นพวกเขาอยู่ในสภาพนั้นแล้ว ความคิดที่อยากให้ทวยะส่งวิญญาณดวงนั้นกลับ ก็ลบเลือนไปจากสมอง กลายเป็นว่าผมอยากให้เขาอยู่ที่นี่ อยู่กับครูปานตลอดไปมากกว่า

ทั้งสองอยู่ในสภาพนั้นชั่วครู่หนึ่ง แต่สำหรับพวกเขามันคงยาวนานราวกับเป็นปี เพราะแม้แต่ตัวผมเองยังรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน

“หนูขอโทษค่ะพี่...หนูขอโทษ...” ครูปานร้อง เสียงสั่น น้ำตายังหลั่งไหลไม่ขาดสาย

“ไม่ใช่ความผิดของหนูปาน มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น”

“แต่...ถ้าวันนั้นพี่ไม่หาหนู พี่ก็คงไม่...”

“ไม่ใช่หรอก วันนั้นมันเป็นเวลาของพี่ เป็นเวลาที่พี่จะต้องไป ถึงพี่ไม่ไปหาหนู พี่ก็ต้องเจออุบัติเหตุอย่างอื่นอยู่ดี”

“แต่ว่า...”

“หนูปาน...ถ้าหนูมัวแต่โทษตัวเองกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้แบบนี้ แล้วหนูจะอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างนั้นหรือ...” เขาหยุดนิดหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “นี่ล่ะ ที่พี่อยากจะบอกหนู พี่เห็นหนูร้องไห้เพราะพี่ พี่อยู่ทางโน้น ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน”

ผมเพิ่งรู้ว่าครูปานเองก็มีความทุกข์สาหัสขนาดนี้ ทั้งที่ทุกวันผมเห็นครูปานในห้องพยาบาล ดูแลนักเรียนที่ไม่สบาย หรือได้รับบาดเจ็บมาด้วยรอยยิ้ม และยังให้คำปรึกษากับเด็กที่มีปัญหาด้านความเป็นอยู่ที่นี่อีก

“ใช่แล้วครับครูปาน...” ทวยะโผล่พรวดออกไประหว่างการสนทนาของสองพี่น้อง ผมก็ก้าวตามออกไปด้วย พวกเขาจึงหันมามอง ตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นหน้าตาพี่ชายของครูปาน

จะว่าไป หน้าตาของเขาก็คล้ายครูปาน และก็ท่าทางก็ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี

“คนที่โน่น จะคอยมองคนที่เขารัก ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ เขาก็จะรับรู้ด้วย” ทวยะเสริมต่อ

พี่ชายของครูปานพยักหน้าให้กับทวยะ แล้วหันไปมองน้องสาว ครูปานค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้น ยังคงก้มหน้า ปาดเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้ม

“หนูปาน เชื่อพี่นะ หนูอย่าคิดโทษตัวเองอีก มันเป็นเวลาของพี่ เข้าใจไหม” พี่ชายครูปานพูดย้ำอีกครั้ง

ครูปานสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชาย “ค่ะ...พี่ หนูจะพยายาม” เธอบอกพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า

พี่ชายครูปานยิ้มที่มุมปาก พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะน้องสาว แม้ว่าจะไม่สามารถสื่อสัมผัสทางกายได้ แต่ผมเชื่อว่า สัมผัสทางใจระหว่างพวกเขา จะต้องอบอุ่นเป็นที่สุดแน่ๆ ...

เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ระหว่างนั้น รอบตัวพวกเราถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด และหมอกบางๆ แห่งความรักของพี่น้องอีกชั้นหนึ่ง

“ขอโทษครับ” เสียงทวยะดังขึ้นทำลายความเงียบ “ผมคงต้องบอกว่า ถึงเวลาแล้ว”

สังเกตได้ทันทีว่าสีหน้าของพวกเขาซีดสลดไป โดยเฉพาะพี่ชายของครูปาน

“พี่ต้องกลับแล้วนะ” เขาบอกเสียงค่อย

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหมคะ”

คำถามของครูปานทำให้พี่ชายต้องหันมามองทวยะ เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงก้มหน้าลง แล้วส่ายศีรษะอย่างทอดอาลัย

“ปกติประตูระหว่างสองโลกจะเปิดเพื่อรับคนตายเท่านั้นครับ...นี่เป็นกรณีพิเศษ” ทวยะอธิบาย

ทุกคนเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นครูปานจึงตัดสินใจพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงเราจะไม่เจอกัน แต่หนูรู้ว่าพี่มองหนูอยู่...” เสียงครูปานสั่นเล็กน้อยในตอนท้ายประโยค น้ำตาเริ่มไหลลงมาอีก แต่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

“ถ้าอย่างนั้น หนูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“ค่ะ...” ครูปาน หยุดสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง “ลาก่อนค่ะ พี่ชาย”

พวกเขามองหน้ากัน ยิ้มให้แก่กัน ในขณะที่ร่างของพี่ชายค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ และเลือนหายไป

ทว่าที่นั่น ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่กลับปรากฏเงาสีขาวคล้ายก้อนสำลีขยุ้มโตขึ้นแทนที่ เงานั้นค่อยๆ เข้มขึ้น และชัดเจนขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง กลายเป็นเจ้าหง่าวนอนหมอบตัวกลมอยู่นั่นเอง

“เจ้าหง่าว!” ผมร้องด้วยความดีใจที่ได้เจอมันอีกครั้ง แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่ามันปรากฏ ณ จุดเดียวกันกับที่พี่ชายของครูปานหายไป ในใจผมก็เกิดความกลัวขึ้น จึงไม่กล้าเข้าไปอุ้มมัน

คนที่ยื่นมือไปอุ้มมันคือครูปาน เธอกอดมันไว้แนบอก แนบแก้มลงกับขนนุ่มๆ ของมัน

“ขอบใจนะ เจ้าหง่าว” เธอบอกเบาๆ เจ้าหง่าวก็ตอบรับด้วยเสียงร้องครั้งหนึ่ง แล้วหลับตาพริ้มลงอย่างมีความสุขเมื่อครูปานเกาคางให้มัน

“ครูปาน!” เสียงทุ้มหนักราวฟ้าผ่าดังแทรกขึ้น ได้ยินแล้วผมก็ต้องแอบถอนหายใจเบาๆ... เทพบุตรจากไป ซาตานก็โผล่มา

“ครูนรินทร์ มีอะไรหรือคะ” นางฟ้าของผมเงยหน้าถาม เมื่อเห็นซาตานนรินทร์เดินแหวกพุ่มไม้ตรงเข้ามา

“พอดีผมเดินตรวจแถวนี้อยู่ แล้วได้ยินเสียง ก็เลยเดินมาดู ครูปานมาทำอะไรตรงนี้ครับ เอ๊ะ! นั่นร้องไห้ด้วยนี่ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ หรือว่าเด็กพวกนี้มันทำอะไร”

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่นะคะ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เอ่อ...ฉันกลับห้องดีกว่า” เธอบอก แล้วจึงหันมาทางผมกับทวยะ

“พวกเธอก็ควรกลับห้องตัวเองได้แล้วนะ แล้วก็...ขอบใจมากนะจ๊ะ”

พวกเราเดินตามกันออกมาที่ใต้ตึก ผมมองครูนรินทร์พาครูปานเดินหายขึ้นไปบนอาคารสักพักหนึ่งแล้ว จึงหันกลับมาทางทวยะ

“เพราะเรื่องนี้น่ะหรือ นายถึงหายไปทั้งวัน”

ทวยะไม่ตอบในทันที เขาก้าวไปยืนหน้าลิฟท์ตัวหนึ่ง กดปุ่มเรียก แล้วจึงพูดขึ้น

“พี่ชายครูปานเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน สาเหตุก็เพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากขับรถไปเยี่ยมครูปาน ซึ่งตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัด”

“แล้ว...เจ้าหง่าวไปเกี่ยวอะไรด้วย” ผมถามอีก พลางก้าวตามมาสมทบ

“ฉันให้มันช่วยนำทาง พาพี่ชายของครูปานกลับมา เพราะสายตาของมันมองเห็นได้ดีในความืด”

“แปลว่ามันก็คือ แมวสองโลกอย่างที่นายบอกเมื่อเช้าน่ะสิ”

“ไม่ใช่ แมวที่อยู่ระหว่างสองโลกจะมีหน้าที่เปิดประตู เพื่อนำพาวิญญาณไปยังโลกของคนตาย แต่เจ้าหง่าวทำแบบนั้นไม่ได้ มันเป็นแค่แมวธรรมดา”

ผมรู้สึกโล่งอกที่ได้ยินคำยืนยันของเขาแบบนี้

“ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนเปิดประตูนั่นล่ะ”

จบคำถาม ประตูลิฟท์ตรงหน้าก็เปิดออก แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ในลิฟท์ตัวนั้น เขาสวมชุดเสื้อคลุมสีเทายาวตลอดตัว ทั้งยังดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ ทำให้ดูลึกลับ ในมือของเขายังมีตะเกียงอีกดวงหนึ่ง

ทวยะก้าวเข้าไปในลิฟท์ ผมก้าวตามเขาไปติดๆ แล้วยืนก้มหน้าเบียดเขาจนชิด ไม่กล้าเงยขึ้นมามองชายชุดเทานั้น

“นายอยากรู้ใช่ไหมว่าใครเปิดประตูระหว่างสองโลก” ทวยะถามขึ้น ในระหว่างที่ประตูลิฟท์ปิดลง น้ำเสียงของเขาฟังดูแข็งกระด้างกว่าเมื่อครู่ “ถามเขาดูสิ”

พูดจบ ทวยะก็ผลักผมถลาไปติดผนังลิฟท์ข้างชายชุดเทานั้น ด้วยความลนลาน ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นใบหน้าของเขานอกจากจะซูบซีด ผอมกรังแล้ว ดวงตากลมโต ลึกจนดูเหมือนกลวงของเขายังเป็นสีอำพัน ลุกวาวอยู่ใต้เงาหมวกคลุมศีรษะนั้นด้วย

“ว้าก!” ผมร้องออกมาด้วยความตระหนก ถอยกรูดกลับไปหาเพื่อนผมไม่เป็นท่า ได้ยินเสียงทวยะหัวเราะอย่างน่าเตะที่สุด

“เอาล่ะ” ทวยะพูดขึ้นหลังจากหัวเราะจบ แต่เขาไม่ได้พูดกับผม “ถ้าจะมาทวงสัญญาล่ะก็ ฉันทำให้ตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ”

สัญญา...สัญญาอะไร

ผมหันมองทวยะด้วยความสงสัย ทว่าเวลานั้น ประตูลิฟท์เปิดออกเสียก่อน ทวยะก้าวออกจากลิฟท์ไป ผมกระวีกระวาดแทบเกาะหลังเขาออกไปอย่างไม่รอช้า

“ราตรีสวัสดิ์” ทวยะพูดขึ้นอีก ในขณะที่ประตูลิฟท์ปิดลง

แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 55 21:29:20

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 21:27:10




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com