ขออภัยค่ะ เน็ตเดี้ยง มาต่อให้แล้วน้า ^^
บทที่ ๓ :
เสียงเปิดประตูทำให้คนที่นั่งมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอยู่ค่อยหมุนเก้าอี้กลับมาดู พอเห็นผู้ที่เข้ามาในห้อง รอยยิ้มอ่อนโยนก็ฉายชัดในดวงหน้าที่มีริ้วรอยของกาลเวลา ร่างโปร่งระหงยอบวรกายลงถวายความเคารพ แล้วเสด็จมาทรงยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของพระบิดา
“เจ้าพ่อให้หาหญิงหรือคะ”
“นั่งก่อนสิหญิงอิน ได้ยินว่าตอนสายไปที่มณีราตรีหรือ”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลทรงชะงักไปนิด เพราะไม่ทรงคาดคิดว่าพระบิดาจะทรงล่วงรู้ น่าจะเป็นคุณหญิงพระอภิบาลละมังที่มาทูลฟ้อง เหมือนทุกครั้งที่หานายสาวไม่พบ แถมคราวนี้ยังรู้อีกว่าเสด็จไปที่ไหน แต่แปลกที่คราวนี้ไม่ยักมาตามเสด็จกลับ
“เจ้าพ่อทรงทราบ”
“คุณหญิงมาฟ้อง จะไปพาหญิงกลับด้วยซ้ำ แต่พ่อห้ามไว้เอง เป็นอย่างไรบ้าง พระราชาธิบดีกับเจ้าชายเสนาบดีท่านว่าอย่างไร”
นี่ไงสาเหตุ เจ้าหญิงอินทุมณฑลสรวลนิดๆ ใครว่าพระราชาธิบดีภูบดีทรงชราภาพ เอาแต่ทรงงานอยู่ในพระตำหนัก ไม่ทรงยอมเสด็จไปไหนโดยไม่จำเป็น กระแสรับสั่งคราวนี้ชัดเจน คนพวกนั้นประมาทสายพระเนตรของพยัคฆ์เฒ่าเสียแล้ว กระทั่งการเคลื่อนไหวของพระธิดายังทรงทราบ แล้วคนอื่นมีหรือจะรอดพ้น
“ไม่ทรงว่าอะไรค่ะ น่าจะทรงเก็บไว้รับสั่งในที่ประชุมเย็นนี้เลย”
“หญิงจะว่าไหม ถ้าพ่อจะยอมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธยามัน”
“ทุกวันนี้เราเป็นรัฐหนึ่งของแคว้นธยามันอยู่แล้วนี่คะ”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลทรงท้วง หากพระบิดาส่ายพักตร์ช้าๆ ก่อนจะขยายความให้พระธิดาฟัง
“ความหมายของพ่อคือ พ่อจะถวายอำนาจการปกครองรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง พ่อจะไม่ใช่พระราชาธิบดีอีก แต่จะลดยศลงมาเหลือเพียงแค่เจ้าฟ้า”
“จันทรมัสเป็นรัฐเล็กๆ อยู่ระหว่างศิรกานต์กับธยามัน สถานะที่ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของใครกันแน่ ทำให้ไศเลนทร์กับอคินหมายมั่นปั้นมือว่าจะยึดครอง ถึงไม่มีเรื่องนี้ เราก็ไม่สามารถจะเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นตรงกับใครได้ เรามีป่าไม้ก็จริง แต่เพียงเท่านี้ก็ไม่ทำให้เราอยู่รอดได้ ทรัพยากรอย่างอื่นๆ เรายังต้องพึ่งพิงศิรกานต์กับธยามัน ถ้าคิดจะเป็นอิสระ ปัญหาของเราก็จะมีอยู่เหมือนเดิม อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป”
“หญิงไม่คัดค้านหรือ”
พระราชาธิบดีทรงแปลกพระทัยไม่น้อยที่คู่สนทนาวางพักตร์เฉย ไม่มีทีท่าว่าจะตกพระทัยสักนิดเดียว ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าหญิงอินทุมณฑลแย้มพระโอษฐ์อ่อนๆ ก่อนตรัสต่อไปว่า
“ไม่ค่ะ เพราะหญิงรู้ว่าอย่างไรเสียเราก็ต้องเลือกระหว่างศิรกานต์ที่เป็นแคว้นใหญ่แต่ป้องกันตัวเองไม่ได้ กับธยามันที่เล็กกว่าแต่แข็งแกร่ง หญิงเลือกธยามันค่ะ คนอื่นได้ยินคงคิดว่าหญิงพูดเพราะลำเอียงเข้าข้างทางเจ้าพี่กฤตติน ทั้งที่ความจริงไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด”
“เป็นอันว่าหญิงตัดสินใจแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้หญิงเข้าประชุมกับพ่อด้วย”
“คนแก่ๆ คงค้านกันแน่ค่ะ อะไรก็อ้างประเพณียันเต”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลตรัสกลั้วสรวล พลอยให้พระบิดาสรวลนิดๆ ตามไปด้วย บรรยากาศเคร่งเครียดก่อนหน้านี้ค่อยคลายลง พระราชาธิบดีทอดพระเนตรพระธิดานิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วรับสั่งถาม
“รู้ไหม ทำไมพ่อตั้งชื่อหญิงว่าอินทุมณฑล”
“ให้คล้องกับชื่อรัฐมังคะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พ่อเลือกชื่อนี้เพราะเห็นว่าหญิงมีลักษณะสองอย่างในตัว คือเยือกเย็นเหมือนแสงจันทร์ และอบอุ่นเหมือนแสงตะวัน อินทุมณฑลคือจันทร์ หากตัดเหลือคำเดียว อิน คือพระอาทิตย์”
คราวนี้เจ้าหญิงอินทุมณฑลสรวลคิก เพราะเมื่อตอนสายนี้เอง ก็ทรงถูกอาคันตุกะคนสำคัญทรงเอ่ยถึงเรื่องพระนามเหมือนกัน
“เจ้าพ่อรับสั่งเหมือนเจ้าพี่กฤตติน แต่รายนั้นเพิ่มให้อีกนิดว่า หญิงร้อนและฤทธิ์แรงเหมือนแสงตะวัน ไม่ใช่อบอุ่น”
“กฤตตินพูดถูก เพราะบางทีหญิงก็อุ่นจนร้อนจริงๆ”
พระบิดารับสั่งอย่างทรงเห็นด้วยกับว่าที่พระชามาดาเป็นอย่างยิ่ง ทำเอาเจ้าหญิงทรงถวายค้อนวงใหญ่
“อย่ามาค้อนพ่อเลย เอาไว้ไปทำกับกฤตตินคนเดียวเถอะ เอาล่ะ หญิงไปเตรียมตัวก่อน อีกสามชั่วโมงจะได้เวลาแล้ว”
ห้องประชุมใหญ่รูปไข่ของพระราชวังทิพย์เวหาสน์ไม่ได้เปิดใช้มานานพอดู แต่ถึงอย่างนั้นความโอ่อ่าก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง ห้องนั้นทาด้วยสีไข่ไก่ ประดับด้วยม่านสีเดียวกันขลิบด้วยลูกไม้ทอง บัดนี้ถูกรวบรั้งเอาไว้ด้วยเกลียวไหมทองไว้สองฟากของหน้าต่างบานใหญ่ ที่จัดได้ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับขนาดห้อง ด้านหนึ่งมองออกไปจะเห็นอุทยานฝั่งขวาที่มีสระน้ำใส ส่วนอีกด้านหนึ่งคือทิวทัศน์ของภูเขาสูง โคมไฟใหญ่กลางห้องเป็นเครื่องทองเหลืองทำเป็นรูปเทวดามีปีกตัวน้อยๆ ช่วยกันประคองดวงไฟดูงดงามน่ารักไม่น้อย กลางห้องเป็นโต๊ะไม้สักยาวและใหญ่เกือบเท่าความยาวของห้อง เช่นเดียวกับเก้าอี้ไม้สักที่จัดวางไว้เท่าจำนวนคนเข้าร่วมประชุม บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของป่าไม้ได้เป็นอย่างดี
คณะประชุมแบ่งเป็นสามฝ่าย บริเวณหัวโต๊ะคือพระเก้าอี้ของพระราชาธิบดีภูบดี ด้านขวาเป็นพระเก้าอี้ที่ประทับของพระราชาธิบดีเวธัสบดี ถัดไปเป็นของเจ้าชายกฤตติน ในฐานะของเสนาบดีมหาดไทย จากนั้นจึงเป็นคณะทำงานของธยามันทั้งหมด และทางฝั่งซ้าย ความจริงน่าจะเป็นของหัวหน้าคณะของอคิน แต่ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง เจ้าพนักงานฝ่ายสถานที่ได้รับคำสั่งให้จัดที่นั่งใหม่ ตำแหน่งนั้นจึงตกเป็นของเจ้าหญิงอินทุมณฑล แล้วร่นให้หัวหน้าคณะของอคินนั่งในลำดับถัดไปแทน ส่วนที่ของเสนาบดีมหาดไทยของจันทรมัสนั้นถูกร่นไปอยู่ตำแหน่งกลางโต๊ะ เกือบจะรวมกับคณะทำงานของอคินเสียด้วยซ้ำไป และเจ้าชายธเรษบดี ทรงกระเด็นไปอยู่ที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามแทน ซึ่งตำแหน่งนั้นจะมีหรือไม่ ไม่สำคัญในสายตาของคณะผู้เข้าประชุมทั้งหมด รวมถึงฝ่ายจันทรมัสด้วย
การประชุมดำเนินไปด้วยความตึงเครียดดังคาด เพราะผลประโยชน์ที่จะได้คราวนี้ไม่ใช่เฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่หมายถึงแผ่นดินทั้งหมด เอกสารสัญญาไตรภาคีถูกจ่ายแจกให้กับทุกคนในที่ประชุมโดยทั่วกัน วาโยอ่านแล้วก็เหลือบมองหน้าเสนาบดีมหาดไทยของจันทรมัสที่นั่งอยู่ด้านตรงกันข้ามอย่างเครียดๆ เพราะข้อสัญญานี้ไม่เคยมีการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงก่อนหน้านี้เลย
'...การอนุญาตสัมปทานและกิจการอื่นใดในรัฐจันทรมัสที่แคว้นอคินประสงค์จะดำเนินการนั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากคณะเสนาบดีร่วมเสียก่อน หากมตินั้นเท่ากัน ให้ดำเนินการด้วยการลงมติลับ ซึ่งต้องได้รับความเห็นสองในสามของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด...'
นั่นคือใจความสำคัญข้อหนึ่งของสัญญาที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลังจากเข้าหารือทวิภาคีเมื่อคราวก่อน วาโยค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นฝีมือของฝ่ายธยามัน ข้างเสนาบดีมหาดไทยจันทรมัสถึงกับควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก เขาพลาดเรื่องสำคัญไปได้อย่างไร
“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน แคว้นอคินขอเปิดสัมปทานป่าไม้กับแคว้นจันทรมัสเท่านั้น ทำไมต้องให้แคว้นธยามันมีส่วนร่วมด้วย”
วาโยทูลถามพระราชาธิบดีภูบดีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และจงใจใช้คำ 'แคว้นจันทรมัส' เพื่อบอกเป็นนัยว่า ธยามันไม่มีสิทธิใดๆ เหนือแผ่นดินนี้เลย หากพระราชาธิบดีกลับรับสั่งแก้เสียเอง
“รัฐจันทรมัสต่างหาก ท่านวาโย จันทรมัสคือรัฐหนึ่งของแคว้นธยามัน การปกครองที่ดูแผกไปจากส่วนกลางอาจทำให้ท่านเข้าใจผิดไปว่า จันทรมัสเป็นแคว้นอิสระ ซึ่งความจริงไม่ใช่”
“ไม่มีที่ใดจะยอมให้รัฐของตนมีอำนาจเทียมเท่าส่วนกลาง นอกเสียจากเมืองขึ้น” วาโยทูลเหมือนจะเยาะ “หรือจันทรมัสเป็นเช่นนั้น”
ความเงียบเกิดขึ้นในห้องประชุมทันทีที่สิ้นคำพูดนั้น สายตาทุกคนจ้องจับมาที่องค์พระประมุขแห่งจันทรมัสเป็นจุดเดียว พระราชาธิบดีภูบดีแย้มพระโอษฐ์ทอดพระเนตรคนพูดด้วยสายพระเนตรเรียบนิ่งดุจน้ำในทะเลสาบ วาโยขยับตัวอย่างอึดอัดไม่น้อย ระหว่างการรับสั่งต่อว่ากับการสื่อสารด้วยความเงียบนั้น เขาเลือกอย่างแรกมากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ล่วงรู้ถึงอารมณ์และความคิดของคู่สนทนาได้ ซึ่งเท่าที่เคยเข้าร่วมโต๊ะเจรจามา ยังไม่เคยมีใครเป็นเหมือนพระราชาธิบดีภูบดีสักคนเดียว พอเหลือบไปทางพระราชาธิบดีอีกพระองค์หนึ่ง หวังจะได้เห็นท่าทีที่ผิดแปลกไปบ้าง พอให้ตนได้เปิดช่องการสนทนาต่อ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นท่าทีอย่างเดียวกันตอบกลับมา
พระราชาภูบดีทรงเบือนพักตร์ไปทางผู้มีฐานันดรเดียวกัน พร้อมกับทรงผายพระหัตถ์เป็นเชิงรับสั่งให้ผู้อ่อนอาวุโสกว่าเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น หากองค์เวธัสบดีกลับแย้มพระโอษฐ์อ่อนๆ พร้อมกับค้อมพระเศียรให้อย่างถวายพระเกียรติ ฝ่ายที่ได้รับการ 'ถวาย' แกล้งระบายปัสสาสะยาว ก่อนจะทรงตอบว่า
“รัฐจันทรมัสและรัฐธยามัน เรามีความสัมพันธ์ดุจบ้านพี่เมืองน้อง แม้วัฒนธรรมและประเพณีหลายสิ่งจะทำให้ดูแปลกแยกราวมิใช่ดินเดียว หากเนื้อแท้แล้วคือแผ่นดินเดียวกันคือแคว้นธยามัน ท่านวาโยคงเข้าใจผิดกระมัง จึงได้พูดเช่นนี้”
รับสั่งนั้นชัดเจน ยินทั่วทุกคนในที่ประชุมนั้น นี่มิใช่การรับสั่งบอกเพียงวาโย แต่ยังจงพระทัยสื่อถึงคณะเสนาบดีจันทรมัสที่นั่งฟังด้วย โดยเฉพาะเสนาบดีมหาดไทย คำประกาศนั้นชัดเจน นับแต่เวลานี้ไป จันทรมัสพร้อมที่จะอยู่ใต้ร่มเงาแห่งธยามันโดยสมบูรณ์
“แต่การป่าไม้นี้ถือเป็นเรื่องภายในของจันทรมัสโดยแท้”
วาโยยังไม่ยอมแพ้ พระราชาธิบดีภูบดีแย้มพระโอษฐ์เยียบเย็น
“ฉันคิดว่าได้พูดชัดเจนลงไปแล้วนะ ท่านวาโย ทุกตารางนิ้วของจันทรมัสนี้ ธยามันถือครองร่วมด้วย การตัดสินใจจึงต้องเกิดขึ้นด้วยความปลงใจของสองรัฐร่วมกัน”
“หม่อมฉันไม่ยักรู้ว่าจันทรมัสกลายเป็นรัฐในอารักขาของธยามันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสนาบดีมหาดไทยจันทรมัสสวนคำทะลุขึ้นกลางปล้องอย่างไม่กลัวเกรง สายตาทุกคู่ในห้องประชุมจับมาที่คนพูดเป็นจุดเดียวกัน เจ้าชายกฤตตินลอบสบพระเนตรกับเจ้าหญิงอินทุมณฑลคล้ายจะตรัสว่า
“มาแล้ว คนทำเสียเรื่อง”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลทำพักตร์หน่ายแทนคำตอบ ก่อนจะกลับมาวางพักตร์เฉยเมยอีกครั้ง ส่วนองค์เวธัสบดีกับพระราชธิบดีนั้นทรงสบสายพระเนตรกันวิบหนึ่ง เพราะสิ่งที่เสนาบดีมหาดไทยแสดงออกนั้นไม่ผิดไปจากที่ทั้งสองพระองค์ทรงคาดเอาไว้สักนิดเดียว ผลประโยชน์ช่างไม่เข้าใครออกใครเสียจริงๆ
“รัฐในอารักขาอย่างนั้นหรือ พูดดีนี่เจ้าคุณ ยิ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ยิ่งต้องให้ธยามันร่วมรับรู้ด้วยจริงไหม อย่างน้อยก็ในฐานะพยานหรือผู้สังเกตการณ์ คงไม่แปลกใช่ไหม ถ้าฉันจะให้พระราชาธิบดีเวธัสบดีกับเจ้าชายกฤตตินทรงเป็นที่ปรึกษาของฉัน”
“พระองค์ทรงทำอย่างนั้นไม่ได้นะ กระหม่อม”
“ทำไม”
“คณะที่ปรึกษาของจันทรมัสมีอยู่ ไม่จำเป็นที่เราต้องพึ่งพาผู้ใด”
เสนาบดีมหาดไทยยืนกรานเสียงกร้าว สายตาขุ่นเคืองจ้องจับที่สองขัตติยะต่างรัฐอย่างเปิดเผย กิริยานั้นเกือบจะทำให้องค์ประธานทรงเรียกทหารเข้ามาคร่าตัวเจ้าคนโอหังออกไปเสียแล้ว หากที่สุดก็ทรงสงบพระทัยได้ เมื่อทอดพระเนตรสองเชษฐาอนุชายังทรงมีท่าทีผ่อนคลายอยู่ และดูเหมือนจะแย้มพระโอษฐ์ขันๆ แกมสมเพชคนตรงหน้าเสียด้วย
“ถ้ามีอยู่จริงอย่างที่เจ้าคุณว่า ไหนล่ะ คณะที่ปรึกษาของเรา ฉันเป็นพระราชาธิบดียังไม่รู้เรื่องนี้เลย”
ทรงทราบดีว่าไม่สมควรที่คนในรัฐเดียวกันมาทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดกันเองในที่ประชุมร่วมอย่างนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คำนึงถึงข้อนี้เสียแล้ว ซ้ำยังจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก จึงตัดสินพระทัยใช้วิธีการดุจเดียวกับคนเริ่มเรื่อง อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เสนาบดีมหาดไทยได้ยินก็หน้าเผือดลง แล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ของตน ขณะที่คนอื่นๆ ในคณะของจันทรมัสพากันกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ พระราชาธิบดีแย้มพระโอษฐ์นิดหนึ่ง ก่อนจะทรงหันมาทางวาโยพร้อมกับรับสั่งต่อไปว่า
“ขออภัยด้วยท่านวาโย ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นในที่ประชุม เรามาว่าเรื่องของเรากันต่อเถอะ”
“การประชุมจะดำเนินต่อ ขอเพียงทรงยืนยันฐานะของรัฐธยามันให้หม่อมฉันทราบอีกครั้ง”
วาโยบอก นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไร
“คู่สัญญาร่วม” พระราชาธิบดีรับสั่งชัดเจน
“ตกลง หม่อมฉันจะได้หารือและวางข้อตกลงในสัญญาได้ถูก”
วาโยรับคำง่ายดาย และไม่สนใจกับท่าทีฮึดฮัดของเสนาบดีมหาดไทยเสียด้วยซ้ำ ส่วนเจ้าชายธเรษบดีนั้น ประทับนิ่งขรึม สดับความทุกสิ่ง ทอดพระเนตรทุกอย่างที่เกิดขึ้นในที่ประชุมแห่งนั้นด้วยสายพระเนตรนิ่งจนยากที่จะรู้ว่าทรงคิดอย่างไรกันแน่
“อคินจะส่งคนเข้ามาทำป่าไม้ในเขตของจันทรมัส โดยจะขอสัมปทานป่าในพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกของรัฐ”
แผนที่แผ่นใหญ่ขึงอยู่บนฐานยึดขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน วาโยถือไม้เล็กๆ ชี้ไปบริเวณฝั่งทิศตะวันออกซึ่งจันทรมัสมีรอยต่อติดกับแคว้นศิรกานต์ ซึ่งเป็นแนวตะเข็บชายแดนที่ยังมีการถกเถียงเรื่องการปักปันอาณาเขตที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่
“แนวป่าด้านนั้น ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นของเราหรือของศิรกานต์ ที่ท่านขอสัมปทานเข้ามาอย่างนี้ ฝ่ายนั้นรับรู้หรือยัง”
เจ้าชายกฤตตินทรงเป็นฝ่ายตั้งกระทู้ถาม ตามที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมร่วมลับๆ ของทั้งสองรัฐซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประชุมจริงราวชั่วโมงเศษ แน่นอน เสนาบดีมหาดไทยและพวกไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย ทรงจงพระทัยใช้คำว่า 'เรา' อันหมายถึงจันทรมัสและธยามัน เพื่อเน้นให้ฝ่ายอคินตระหนักรู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของอาณาเขต
คำถามนั้นทำให้ฝ่ายจันทรมัสขยับตัวอย่างสนใจ ความจริงเรื่องนี้เป็นปัญหามานาน แต่เพราะระยะหลังนี้ อคินเข้าครอบครองศิรกานต์เสียแล้ว การรบช่วงชิงพื้นที่ส่วนนี้ก็พลอยหายเงียบไปด้วย จนคนทั้งสองฝ่ายเองดูเหมือนจะลืมเสียด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ได้ยินเจ้าชายกฤตตินตรัสขึ้นมาฝ่ายจันทรมัสคงจะมองข้ามเรื่องนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัย วาโยเงียบไปนิด เพราะไม่คิดว่าจะถูกตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้ จึงตอบไม่เต็มเสียงนักว่า
“ศิรกานต์รับรู้แล้ว และขอให้อคินเป็นคนดูแลกำหนดแนวเขตแดนที่ถูกต้องให้ด้วย ขอเจ้าชายทรงวางพระทัย”
“ถ้าอย่างนั้น การทำสัญญาสัมปทานนี้คงจะยังเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าการปักปันจะเสร็จเรียบร้อย”
วาโยนิ่วหน้ากับคำเสนอนั้น เบื้องบนกำหนดเวลามาแล้วแน่นอน หากเนิ่นนานกว่านี้ตัวเขาและคณะทำงานอาจมีปัญหา
“เวลาจะเนิ่นช้าเกินไป การสำรวจที่ดินมิได้กระทำง่ายๆ ภายในวันสองวัน”
“เช่นนั้นทางเราก็รีบตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน ตราบใดที่เขตแดนยังกำหนดชัดเจนไม่ได้ การอ้างสิทธิในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ ท่านลองตรองดู เราทำสัญญาสัมปทานกับท่านก็จริง แต่ถ้าศิรกานต์ค้านว่าผืนป่าส่วนนี้เป็นของเขาล่ะ นั่นจะยิ่งทำให้การทำไม้ของท่านล่าช้าออกไปอีก”
คราวนี้ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ต่างหันมาทางผู้พูดเป็นตาเดียวกัน เพราะมิใช่สุรเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าชายกฤตติน หากเป็นสุรเสียงใสของเจ้าหญิงอินทุมณฑล ผู้ที่ทุกคนมองข้ามว่าทรงเป็นหญิง ไม่ทรงเชี่ยวชาญการเมือง หากพระวาจาคราวนี้ชัดเจน เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรงรู้งานเมืองไม่ผิดชาย
“ทางเราขอเวลาท่าน ขอเราได้เจรจากับแคว้นศิรกานต์ก่อน ให้ปัญหาส่วนนี้ได้รับการแก้ไขจนลุล่วง เราไม่ได้ต้องการถ่วงเวลาทำสัมปทาน แต่ท่านคงไม่ชอบใจหรอก ที่ทำไม้อยู่ดีๆ ก็เกิดศึกพิพาทเรื่องแนวชายแดนของทั้งสองแคว้น”
มือใหญ่รวบเอกสารตรงหน้าจัดเรียงเป็นระเบียบ ก่อนเก็บลงในกระเป๋าหนังที่เตรียมมา ร่างอ้วนลุกขึ้นค้อมศีรษะถวายความเคารพทั้งห้าพระองค์ พร้อมกับคณะทำงานคนอื่นๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ฝ่ายจันทรมัสกับธยามันยังคงอยู่กันพร้อมหน้า เพราะยังมีการประชุมสองรัฐต่ออีก เพียงแต่ต้องร่นที่นั่งเข้ามาเท่านั้น
ระหว่างที่รอเจ้าพนักงานเก็บเก้าอี้บางส่วนออกไป คนในห้องจึงทยอยออกไปห้องข้างๆ ที่จัดเตรียมของว่างและเครื่องดื่มรออยู่แล้ว เจ้าชายธเรษบดีทรงรั้งรออยู่ ก่อนจะดำเนินไปหาเจ้าพนักงานที่กำลังจะย้ายพระเก้าอี้ของพระองค์ไปตั้งไว้ทางหัวโต๊ะ แต่พระองค์กลับโบกพระหัตถ์แล้วแจ้งพระประสงค์ว่าจะขอประทับอยู่ที่เดิม เจ้าพนักงานทำหน้าแปลกใจแต่ก็ยังไม่ยอมทำตามในทันที กลับนำเรื่องนี้ไปทูลกับองค์พระประมุข เมื่อพระราชาธิบดีทรงทราบก็ทอดพระเนตรพระอนุชา ก็ทรงเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะพอพระทัยอย่างนั้นมากกว่า จึงทรงอนุญาต
ทั้งสองฝ่ายดูจะมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดีในขณะรับประทานของว่าง เว้นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวที่หน้าเคร่งราวกับถอดมาจากหน้าของชาวอคินที่เพิ่งกลับออกไป พระราชาธิบดีภูบดีทอดพระเนตรแล้วก็สรวลนิดๆ
“เวธัสบดี กฤตติน” รับสั่งสุรเสียงเบา และมิได้เรียกยศศักดิ์ เพราะโปรดที่จะรับสั่งอย่างเป็นกันเองมากกว่า “ตอนนี้อาคิดว่าพบคนที่พร้อมจะเปิดประเด็นเป็นคนแรกแล้วล่ะ”
สองเชษฐาอนุชา และเจ้าหญิงอินทุมณฑลเหลือบไปทางเสนาบดีมหาดไทยกับพวกพร้อมกัน พอทอดพระเนตรแล้วเจ้าหญิงอินทุมณฑลก็ถอนพระทัยเฮือกใหญ่
“ตัวปัญหาเสียด้วยสิคะเจ้าพ่อ เฮ้อ ที่เขาว่าศึกนอกไม่หนักเท่าศึกในเห็นท่าจะจริง”
“หญิงอย่าลืมว่าใครคุมเรื่องสัมปทานทำไม้และเหมืองแร่” พระราชาธิบดีรับสั่งกลั้วสรวล แต่แววพระเนตรกร้าว “ผลประโยชน์มหาศาลหลุดจากมือ ใครจะชอบใจ”
“ผลประโยชน์กับความมั่นคงอยู่รอดของรัฐ หญิงเพิ่งรู้ ในสายตาเจ้าคุณมหาดไทยเห็นเงินสำคัญกว่า เห็นทีเราคงได้เปลี่ยนเจ้าคุณใหม่แล้วมังคะ”
“อย่าวู่วาม หญิงเป็นพระจันทร์ไม่ใช่พระอาทิตย์นะ สงบเยือกเย็นเข้าไว้”
เจ้าชายกฤตตินตรัสบอก สองผู้ครองรัฐสรวลเบาๆ กับพระวาจานั้น ขณะที่คนถูกต่อว่าทำพักตร์มุ่ย
“จริงอย่างที่กฤตตินว่านะลูก อยู่ในฐานะนี้หญิงต้องรู้เมื่อไหร่ควรเป็นอินทุมณฑล และเมื่อไหร่ควรเป็นอิน”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลยังไม่ทันจะทรงตอบว่าอย่างไร ฝ่ายชายทั้งสามพระองค์ก็ทรงปรับเปลี่ยนเป็นท่าทีสุขุมพร้อมระวังพระองค์ทันที เมื่อเจ้าหญิงทรงหันไปทอดพระเนตรเบื้องปฤษฎางค์องค์เองถึงทรงทราบ เจ้าชายธเรษบดีทรงถือถ้วยพระสุธารสชาดำเนินตรงมาหาพอดี วรกายบอบบางจึงยอบลงถวายความเคารพ เช่นเดียวกับเจ้าชายกฤตตินที่ทรงค้อมพระองค์ลงคำนับ
“หม่อมฉันตามหาเสียนาน มาหลบอยู่กันตรงนี้เอง”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ธเรษ”
“หามิได้เจ้าพี่ เพียงแต่น้องจะมาชมหลานสาวคนเก่งเท่านั้น”
ไม่มีใครรู้แน่ว่าทรงมีพระประสงค์อย่างไร ถ้อยพระวาจาหวานเสนาะนั้นไม่แน่ว่าจะมียาพิษอื่นใดเคลือบแฝงหรือไม่ เป็นที่รู้กันดีในหมู่พระราชวงศ์และข้าราชบริพารที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิด เจ้าชายธเรษบดีนั้น 'ไม่ค่อย' จะทรงกินเส้นกับพระเชษฐาและพระภาติยะเท่าใดนัก ยิ่งการประชุมวันนี้ ยังทรงถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งที่ประทับให้ออกไปอยู่สุดปลายโต๊ะอีกด้วย ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะยังไม่ตรัสอะไรก็ตาม แต่ใครจะรู้ได้ว่าข้างในจะทรงเดือดปุดบ้างหรือเปล่า จะรู้อีกทีก็ตอนที่ภูเขาไฟระเบิดออกมาเองเท่านั้น
“หญิงไม่เก่งหรอกค่ะ เจ้าอา หญิงพูดไปตามที่เห็นสมควรเท่านั้น”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลตรัสตอบสุรเสียงกลั้วสรวล เนตรกลมโตฉายแววบริสุทธิ์ใจตามที่ได้ตรัสไป แต่คนที่ฟังการสนทนาแอบกลั้นสรวลเสียแทบแย่ เพราะเจ้าหญิงทรงเหน็บเจ้าอาเสียแล้ว และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้พระองค์เสียด้วย
“นั่นสิ อาถึงบอกว่าหญิงเก่ง”
เจ้าชายธเรษบดีทรงยืนคำเดิม เนตรดุจ้องจับที่พระพักตร์พระภาติยะนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะทรงวางถ้วยพระสุธารสไว้บนโต๊ะใกล้ๆ แล้วเสด็จออกไปเลย เจ้าหญิงอินทุมณฑลทอดพระเนตรตามพระปิตุลาไปด้วยสายพระเนตรครุ่นคิด
เจ้าอาทรงต้องการจะบอกอะไรองค์เองหรือเปล่า
การประชุมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คนที่หน้าตาบอกบุญไม่รับมาตั้งแต่เริ่มต้น มาถึงตอนนี้ยิ่ง 'หงิก' หนักกว่าเดิม ชนิดที่ว่าถ้าขอให้ช่างหลวงมาปั้นหน้าคนเข้าประชุมตอนนี้ คงส่ายหน้ากันเป็นแถวๆ เสนาบดีกลาโหมของจันทรมัสสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจัดการขึงแผนที่แผ่นใหม่ขึ้น เห็นชัดว่าเป็นฉบับล่าสุดที่เพิ่งจัดทำ และเน้นไปที่แนวเขตแดนซึ่งเป็นปัญหาโดยเฉพาะ เสนาบดีมหาดไทยเห็นก็ยกมือค้านทันที
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท เจ้าคุณกลาโหมท่านคิดอย่างไรถึงเอาแผนที่ฉบับนี้มาใช้”
เสนาบดีกลาโหมซึ่งตัวสูง รูปร่างองอาจสมชายชาติทหาร หันหน้าดุๆ มามองคนถามทันที
“แล้วทำไมใช้ไม่ได้”
“ไม่เหมาะ”
สั้น แต่กินความหมายชัดเจน แผนที่อย่างนี้คนนอกรัฐไม่ควรรับรู้ ฝ่ายธยามันทั้งหมดยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ ไม่มีใครค้านหรือทำกิริยาว่าไม่พอใจสักคนเดียว ส่วนเสนาบดีกลาโหมจันทรมัสเองก็แค่กระตุกยิ้มนิดเดียวเท่านั้น
“แนวเขตแดน ใช้ของที่เก่าเก็บล้าหลังได้หรือเจ้าคุณ พิพาทกันมาตั้งกี่ปี แนวเขตแดนก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเอาแน่ไม่ได้ ท่านลองออกไปเดินดูแนวเขตสักทีไหม อย่ามัวแต่นั่งอ่านเอกสารอยู่แต่ในเมือง”
ฝ่ายเจ้านายกลั้นสรวล ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายธเรษบดี เสนาบดีมหาดไทยถูกตอกกลับในที่ประชุมก็หน้าแดงด้วยความโกรธ พอมองไปโดยรอบคิดหาแนวร่วม ก็ปรากฏว่าแทบทุกคนวางหน้าเฉยไม่รับรู้ ที่ยังจะพอแสดงท่าทีมีอารมณ์ร่วมก็แค่ฝ่ายที่ถือหางตนสองสามคนเท่านั้น ในที่สุดเสนาบดีมหาดไทยก็จำต้องนิ่งทั้งที่ข้างในเดือดปุดๆ
“พื้นที่ที่กระหม่อมทำเป็นสีแดงตรงนี้คือพื้นที่ส่วนพิพาท”
เสนาบดีกลาโหมเริ่มต้นกราบทูล ไม้เล็กๆ ชี้วนในส่วนที่เป็นสีแดงซึ่งทอดตัวยาวขนานไปตามแนวชายแดน
“ตั้งแต่หมู่บ้านคามอรัญลากยาวลงมาจนจรดหมู่บ้านศานติรวมระยะทางยาวสี่สิบกิโลเมตร และกว้างสิบห้ากิโลเมตร แรกเริ่มแนวหลักเขตมีชัดเจน แต่นานไป ชาวบ้านชายแดนทั้งสองฝั่งเข้ามาย้ายบ้าง ทำลายบ้าง ทั้งที่เจตนาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนเป็นเหตุให้การอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ของศิรกานต์กับจันทรมัสไม่ตรงกัน อีกอย่างที่เป็นปัญหาคือ เราเคยเรียกให้ศิรกานต์นำเอกสารออกมาแสดงเทียบเคียงกัน แต่ฝ่ายนั้นก็โยกโย้บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนกระทั่งอคินเข้ามาปกครอง”
“ในเอกสารของเราระบุชัดเจน ความจริงไม่น่าจะเป็นปัญหาเลย ถ้าศิรกานต์ไม่เล่นตุกติก”
เจ้าหญิงอินทุมณฑลตรัสขึ้น หลังจากที่ทอดพระเนตรแผนที่และเอกสารในพระหัตถ์
“เรื่องผลประโยชน์และความโลภไม่เข้าใครออกใคร กระหม่อม”
เสนาบดีกลาโหมทูล นัยน์ตาเหลือบไปทางใครบางคนแวบหนึ่ง
“เพราะพื้นที่ตรงนั้น ไม่ใช่แค่ป่าไม้สักที่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีสายแร่ทองด้วย”
“เตรียมเอกสารให้พร้อมเถอะเจ้าคุณ อีกไม่กี่วันนี้เราได้ใช้แน่ บางทีประชุมคราวหน้า คนของศิรกานต์อาจมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย”
ความคาดหมายของเจ้าหญิงพระองค์น้อยไม่ผิดไปเลย เพราะสองวันถัดจากนั้น วาโยก็ให้คนเข้ามาแจ้งว่า อคินจะเข้ามาเจรจาเรื่องนี้ โดยมีผู้แทนพระองค์จากศิรกานต์มาสังเกตการณ์อยู่ด้วย ส่วนผู้มีอำนาจเต็มในการลงนามร่วมปักปันเขตแดนนั้น เป็นหน้าที่ของอคินเพียงผู้เดียว
แผนที่แผ่นใหญ่สองแผ่นขึงตึงอยู่บนฉากไม้ เพียงแค่เริ่มต้นองค์เวธัสบดีกับเจ้าชายกฤตตินก็ลอบแย้มพระโอษฐ์แก่กัน เพราะสัดส่วนเนื้อที่พิพาทของทั้งสองแผ่นต่างกันอย่างสิ้นเชิง แคว้นศิรกานต์เห็นชัดว่ากินล้ำเข้ามาในเขตของรัฐจันทรมัสเกือบครึ่ง ขณะที่ของอีกฝ่ายหนึ่งไม่แผกเพี้ยนจากที่เสนาบดีกลาโหมทูลถวายเมื่อครั้งก่อนสักนิดเดียว วาโยกับคณะทำงานของอคินแสดงชัดว่าเพิ่งเห็นแผนที่นี้เช่นกัน หลายคนรีบอ่านเอกสารในมืออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แม้จะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าเป็นเขตพื้นที่มีปัญหา แต่ไม่คิดว่าการให้รายละเอียดจะผิดกันมากมายถึงขนาดนี้ เรื่องที่จะขอให้คนของศิรกานต์ช่วยเหลือนั้นอย่าหวัง เพราะผู้แทนพระองค์นั้น 'แทน' และ 'สังเกตการณ์' ตรงตามตัวอักษรทีเดียว ราวกับว่าเมื่ออคินรวบหัวรวบหางทั้งแคว้นได้แล้ว ก็พึงต้องรับทุกปัญหาของแคว้นศิรกานต์เอาไว้ด้วย
“แนวพื้นที่ของศิรกานต์กินลึกเข้ามามากเกินไป ทั้งที่ความจริงหลักเขตเป็นไปตามเอกสารที่ปรากฏ คือหลักแรกอยู่ทางเหนือของหมู่บ้านคามอรัญขึ้นไปสองกิโลเมตร” เสนาบดีกลาโหมจันทรมัสเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
“แต่ตอนนี้หลักเขตที่ว่านั้นไม่มีอยู่แล้ว” วาโยท้วง
“เราถึงต้องการการปักปันใหม่ให้ถูกต้องชัดเจน ไม่ใช่อ้างสิทธิกันลอยๆ เหมือนที่ผ่านมา”
“ตกลงจะใช้สิ่งใดเป็นหลักการแบ่ง สันปันน้ำหรือร่องน้ำลึก”
ใครคนหนึ่งในคณะทำงานถาม เพราะแนวเขตธรรมชาติของทั้งสองฝ่ายที่จะช่วยในการแบ่งเขตแดนให้ชัดเจนนั้น มีทั้งแม่น้ำวารุณีและเทือกเขาวารุณี
“หากใช้ร่องน้ำลึก จันทรมัสจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่าถ้ากระแสน้ำมีการเปลี่ยนแปลง”
คราวนี้เจ้าหญิงอินทุมณฑลเป็นฝ่ายตรัส หลังจากทรงพินิจพิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ที่ประชุมร่วมฝ่ายจันทรมัสต่างรอฟังกระแสรับสั่งของเจ้าหญิงพระองค์น้อยอย่างตั้งใจ เพราะต่างรู้ดี ราชประเพณีก่อนเก่าอาจต้องเปลี่ยน ตำแหน่งองค์รัชทายาทชัดเจน พระองค์ใดควรได้รับ
“เรากำหนดเส้นร่องน้ำไว้เป็นการถาวรได้ กระหม่อม” วาโยทูล
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าทางน้ำเปลี่ยน การกัดเซาะที่ดินชายฝั่งจะเป็นปัญหาอีก เราไม่ต้องการแก้ปัญหาที่ซ้ำซากไม่รู้จบ แคว้นอคินเองก็ยังไม่เลือกร่องน้ำลึกเลยมิใช่หรือ”
พระวาจายอกย้อนในตอนท้าย วาโยยิ้ม เจ้าหญิงพระองค์นี้ประมาทและมองข้ามไปไม่ได้จริงๆ
องค์เวธัสบดีทอดพระเนตรไปทางคณะเสนาบดีจันทรมัส เกือบทุกคนพอใจ ต้องใช้ว่าเกือบ เพราะมีอยู่คนเดียวที่หน้ายังชวนให้ทรงรู้สึก ถ้าหน้าเจ้าคุณมหาดไทยเป็นกระดาษ สมควรต้องรีบเอามาคลี่ให้หายยับ
การประชุมจบลงด้วยดี โดยมติที่ประชุมให้กำหนดสันปันน้ำจากเทือกเขาวารุณีเป็นเกณฑ์แบ่งและปักปันเขตแดน ปัญหาแรกจบ แต่ปัญหาต่อไปกำลังจะเริ่ม ทันทีที่การปักปันเขตแดนเสร็จสิ้น สัญญาสัมปทานป่าไม้จะถูกหยิบยกขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร
น้ำสีเหลืองอำพันถูกรินลงในแก้วทรงสูงครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะหายวับไปในลำคอของคนที่นั่งหน้าแดงด้วยฤทธิ์สุราและความโกรธระคนกันอยู่หน้าเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่หน้าเตาผิง หมดกัน สิ่งที่คาดหวังเอาไว้ สู้อุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่ตอนนี้ความว่างเปล่ากลับเดินมาเคาะประตูรออยู่ แทนที่จะเป็นเม็ดเงินมหาศาลอย่างที่คิดไว้แต่แรก
การปักปันเขตแดนให้ชัดเจนนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกที่ทำให้เรื่องที่ยืดเยื้อมานานจบสิ้นลง แต่การปรากฏพระองค์ในที่ประชุมของเจ้าหญิงอินทุมณฑลต่างหาก นี่เป็นสัญญาณอันตรายที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย หน้าประวัติศาสตร์ของจันทรมัสกำลังจะเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่ ถ้ามีเพียงแค่นี้ก็คงจะไม่เท่าไรนัก ธยามันสอดมือเข้ามายุ่งกับกิจการภายในของจันทรมัสมากเกินไปแล้ว นี่สิที่เขายอมไม่ได้
เสนาบดีมหาดไทยบีบแก้วในมือจนแตก เลือดไหลหยดรวมไปกับน้ำสีอำพันบนพื้นห้อง ไพ่ตายที่ถูกเก็บซ่อนไว้ คงสักวัน...ที่ต้องนำออกมาใช้ หากสถานการณ์เอื้ออำนวยและไฟพร้อม เมื่อนั้น ไพ่สุดท้ายจะทิ้งลงทันที
อริญชย์
แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 55 19:51:19
แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 55 19:50:36
จากคุณ |
:
หนูอิน (อินทรายุธ)
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 55 19:45:12
|
|
|
|