ทำไมรู้สึกเย็นสันหลังวาบๆแบบนี้นะ เหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่กระจายอยู่ข้างหลัง ปันนาแอบนึกในใจขณะนั่งเฝ้าคนป่วยข้างเตียง แทนพยาบาลที่ขอเวลาไปหาอะไรรองท้องในห้องครัว ซึ่งตั้งสำรับแยกมาต่างหาก
ทีพยาบาล ไม่เห็นมีคำสั่งให้ไปร่วมโต๊ะกับเจ้าของบ้านเลย
แล้วเรื่องอะไร หล่อนจะสะเออะไปร่วมโต๊ะด้วย
กินข้าวกับคนไม่คุ้นเคย แถมเพิ่งตบตีกันมาหมาดๆ ใครจะบ้าไปนั่งหน้าแป้นแร้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากครั้นพอหล่อนจะไปตะกุยหาอะไรกินในห้องครัวบ้าง ป้านิ่มก็บอกเรียบๆว่า
"คุณท่านให้คุณหมอร่วมโต๊ะด้วยทุกมื้อที่คุณท่านอยู่ที่บ้านค่ะ"
"เอ้อ พอดีฉันยังไม่หิว ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้กินข้าวเย็นอยู่แล้ว"
ปันนารีบปฏิเสธทันที ทั้งที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ
ใช่หล่อนไม่กล้าเข้าหน้าเขา ถูกผู้ชายตบนี่มันน่าโชว์ตัวมากหรือไง
"ทำไมไม่ไปกินข้าว"
ปันนาสะดุ้งโหยง หันขวับมาทันที
ว่าแล้ว มีรังสีอำมหิตอยู่จริงๆ
ฮ่าวหมิงยืนพิงกรอบประตู หน้าตาบึ้งตึง
ค่ำนี้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองอยู่กับบ้าน เสื้อยืดโปโลสีฟ้าอ่อน กางเกงสีขาวแบรนด์เนม
"เอ้อ..." ปันนาอึกอัก ตอบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าการกินหรือไม่กินข้าวเย็นของหล่อนจะมีผลทำให้เขาหัวเสียขนาดนี้ "ก็บอกป้านิ่มไปแล้วนี่คะว่าฉันไม่กินข้าวเย็น"
"ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ก็บอกตั้งแต่บ่ายแล้วนี่คะ"
"ไม่ใช่ ผมถามว่าคุณเริ่มไม่กินข้าวเย็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้หรือ..."
เอ๊ะ ถามชอบกล คนไม่กินข้าวเย็น ก็แปลว่าไม่กิน มาถามทำไมว่าไม่กินตั้งแต่เมื่อไหร่
"อาหารเย็นทำให้ฉันนอนไม่หลับ" แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
"อดอาหารเย็นแล้ว ทำให้นอนไม่หลับมากกว่ามั้ง"
"เอ๊ะ!" ปันนาอุทานด้วยความประหลาดใจ เขาพูดราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจของหล่อน หากวิสัยไม่ยอมใครง่ายๆ ทำให้เถียงออกไปว่า "คุณไม่รู้หรือ กลางคืนเราไม่ได้ใช้พลังงานอะไร อาหารเย็นก็ไม่จำเป็น"
"งั้นหรือ ไม่ใช่ประท้วงเรียกร้องความสนใจหรอกนะ"
"เอ๊ะ!...ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น คุณสำคัญขนาดไหนที่ฉันจะต้องลงทุนอดอาหารทำร้ายร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ" ปันนาทำหน้าเชิดใส่ "หลงตัวเองมากไปหน่อยแล้วมั้ง"
"หลงตัวเองไม่ดียังไง ดีกว่าไปหลงคนอื่น อย่างน้อยก็ไม่โดนหักหลัง" เสียงเขาเหี้ยมเกรียม ตาวาวโชนแสง จนปันนายังรู้สึกขนลุกขึ้นมาเฉยๆ พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ไอ้หมอนี่ ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ ก็เอาคืนเราหนักกว่าเป็นสิบเท่า ยังนึกว่าโดนเสือตะปป แล้วนี่ มาหงุดหงิดอะไรแถวนี้
"ฉันไม่เข้าใจจริงๆ" สีหน้าของหล่อนแสดงความหมายอย่างที่พูดจริงๆ "แค่เรื่องท้องเรื่องไส้ของฉันนี่ มันสำคัญกับคุณมากนักหรือไง"
"สำคัญตัวเองผิดไปหน่อยแล้วมั้ง" เขาเลียนเสียงหล่อนเมื่อครู่ "อย่าว่าแต่ท้องไส้ของคุณเลย แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่มีความหมายสำหรับผม" เขาเน้นเสียง "สิ่งสำคัญสำหรับผมคือกฏระเบียบของบ้าน มีไว้ให้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่เอาไว้แหก หรือทำตัวโดดเด่นให้คนอื่นสนใจ แค่นี้คุณก็ได้สิทธิพิเศษพอแล้ว"
ภาษาไทยของเฉินฮ่าวหมิงชัดเจนดีเหลือเกิน นี่หากไม่ได้อ่านประวัติเขามาก่อน รู้ว่าเขาพูดได้หลายภาษาเหมือนกับเจ้าของภาษาพูดเอง หล่อนก็คงอดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนไทย และเป็นพี่เตย ถึงจะนิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ตาม
ป้านิ่มนวลที่เดินตามมาด้วยหยุดชะงัก เสียงสองคนไม่เบาเลย
กับคำถามปันนาเมื่อครู่ นางเห็นด้วยอย่างยิ่ง
คุณท่านก็จะเอาอะไรนักหนากับท้องไส้ของหมอปันนา
หรือจะเคียดแค้นเรื่องทอฝันเลยหาโอกาสตอดนิดตอดหน่อย
นางเห็นปันนาโคลงหัว
"อดอาหารเย็นนี่ถือเป็นสิทธิพิเศษด้วยหรือคะ?" หล่อนถามประชด "หรือคุณกลัวว่าฉันจะมาอดตายในบ้าน ทำให้คุณขายขี้หน้าคนอื่น ว่าดูแลพนักงานในบ้านไม่ดีพอ"
"อยากอดก็ตามใจ กลางคืนอย่าหิวโซลุกมาคุ้ยเขี่ยหาของกินกลางดึกก็แล้วกัน
โห พูดซะเห็นภาพพจน์ หล่อนเป็นคนนะ ไม่ใช่แมลงสาบจะได้ไปคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารกินตอนดึกๆ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณ จะมาทำอะไรตามใจชอบไม่ได้" เขาพูดแทงใจดำ พรุ่งนี้หวังว่าหมอปันนาจะรักษากฏระเบียบ ไม่ทำตัวโดดเด่น แล้วเจอกันที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปไม่รอฟังปันนาที่อ้าปากค้างจะพูดต่อ
คนอดพูดแอบเบ้ปาก ย่นจมูกใส่
"จ้างก็ไม่ไปร่วมโต๊ะกับนายหรอก นายเฉินฮ่าวหมิง ฉันไม่ใช่ลูกน้องนายนี่ จะได้ต้องมาฟังคำสั่งนาย ถ้าเชื่อคำสั่งของนาย ฉันก็ไม่ใช่ปันนา บริรักษ์บดีกุลแล้ว"
หากพอเหลือบเห็นป้านิ่มโผล่หน้าเข้ามาก็ชะงัก ยกมือถูจมูกตัวเองแก้เขิน
ถึงจะตั้งปณิธานแน่วแน่ พูดคำไหนคำนั้น อดเป็นอดวะ
แต่พอตกดึกก็เกิดเรื่องจนได้ ความเคยชินที่รับอาหารเย็นเป็นมื้อหลัก ทำให้กลางคืน ท้องใส้ปันนาเริ่มแผลงฤทธิ์ รบกวนการนอนหลับ ส่งเสียงดังโครกครากๆ จนหลับไม่ลงอย่างที่นายนั่นประชดไว้ไม่มีผิด
พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาจนในที่สุดทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาเปิดกระเป๋า หยิบถุงก๊อบแก๊บ ติดโลโก้โรงพยาบาลเพชรธานี ภายในเต็มไปด้วยยาสารพัดชนิด ยาประจำตัวของหล่อนเอง แก้ปวด แก้ไข้ แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวดท้อง ยากระเพาะและอื่นๆอีกจิปาถะที่ยังไม่มีวลาเอาออกมาจัดเก็บ ยาเหล่านี้ หล่อนเบิกมาจากโรงพยาบาลเผื่อสำหรับคนในบ้านนี้ด้วย
คนเป็นหมอ ไปที่ไหน ต้องมีคนวิ่งโร่มาขอยาทุกที
นี่ไง ยาเคลือบกระเพาะ
หญิงสาวเปิดตู้เย็นเล็กในห้อง ดึงน้ำเปล่ายี่ห้อดังออกมาเปิดขวด กินยาแล้วตามด้วยน้ำอึกๆ ความหิวบวกท้องว่าง เผลอแผล็บเดียว น้ำเปล่าหมดไปสองขวด
ยืนลูบพุงตัวเองเบาๆเหมือนจะปลอบไปในที
แกอย่าทำฉันขายขี้หน้านะ หวังว่ามันจะเชื่อผู้เป็นเจ้าของ และเลิกส่งเสียงคร่ำครวญหวนไห้เสียที
อย่าให้ฉันต้องยอมแพ้ลงไปหาของกินข้างล่าง ถ้าอีตานั่นรู้ คงหัวเราะเยาะฉันตาย
คิดถึงพี่เตยจัง
ถ้าพี่เตยอยู่ เพียงหล่อนวิ่งไปเคาะประตูเรียกที่ห้อง ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เพียงบอกว่า
"กล้วยหิว"
พี่เตยก็จะกุลีกุจอลงมาเข้าครัว หุงหาอาหารให้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหล่อนหรือบ้านพี่เตยก็ตามที
ซ้ำเวลาใดที่ชายหนุ่มต้องอยู่เวร เขาก็จะโทรมาหา เตือนให้กินข้าวตรงเวลา เพราะหล่อนเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้ว อดอาหารเมื่อไหร่ เป็นได้ร้องโอดโอยครวญครางปวดท้องประจำ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ท้องเจ้ากรรมทรยศ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ร้องโยเยประท้วงเจ้าของไม่ยอมเลิกรา จนต้องยอมแพ้ คว้าบะหมี่สำเร็จรูปที่พกติดตัวมาด้วย พร้อมไฟฉายเปิดประตูออกจากห้อง
ค่อยๆย่องลงบันได ตรงไปยังห้องครัว ก่อนลงไปยังอดไม่ได้ แอบชำเลืองไปที่ห้องปีกขวา ปิดไฟมืดสนิท
ฮี ตัวการทำให้เราไม่ได้กินข้าวเย็น แต่ตัวเองนอนหลับอุตุ กรนคร็อกฟี้ไปแล้ว
เพื่อนข้างห้องถูกกล่าวหาเป็นจำเลยโดยไม่รู้ตัว
ความมืดและความไม่ชินทาง ทำให้ต้องค่อยๆเดิน ค่อยๆย่องด้วยความระมัดระวัง พยายามเขย่งเท้า ไม่ให้มีเสียง เรื่องอะไรจะให้หมอนั่นรู้ว่าหล่อนลงมาหาของกินข้างล่าง อาศัยแสงไฟสลัวที่ลอดออกมาจากโคมไฟเหนือเชิงบันไดช่วยนำทาง
เสียงกุกกักในครัว พร้อมกลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิด จำแนกแยกไม่ถูกโชยมาแตะจมูก
ปันนาหยุดชะงักแค่หน้าห้องพักเตรียมอาหาร
ใคร? ใครลงมาหาอะไรกินในครัว เอ หรือผู้ร้าย
จากคุณ |
:
mamahuhu
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 55 14:06:08
|
|
|
|