Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 7 “Stand by Me” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่ 1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html
ตอนที่ 3  “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html
ตอนที่ 4  “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5  “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html
ตอนที่ 6  “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 7 “Stand by Me”

        When the night has come
        And the land is dark
        And the moon is the only light we'll see
        No I won't be afraid, no I won't be afraid
        Just as long as you stand, stand by me

นี่เป็นท่อนแรกของเพลงๆหนึ่งที่ผมฟังค่อนข้างบ่อยมากในช่วงเวลานั้น เป็นเพลงที่สื่อถึงคนบางคนที่เราอยากให้อยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้เราก็จะไม่กลัว ผมชอบฟังจังหวะของเพลงแนวนี้อยู่แล้ว เคยฟังมานานแล้วแต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่จะรู้สึกอินเท่าช่วงนี้เลย เพลงมันเก่ามากแล้วละ โดยเฉพาะช่วงนี้เวลาที่ผมกลับมาถึงบ้านหลังจากที่มาเยี่ยมหน่องที่โรงพยาบาล   เข้ามาในห้องนอนที่เคยมีหน่องอยู่ ผมมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมนั่งประจำ ผมจะเปิดเพลงประมาณนี้เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเกินไป ................เพราะพอไม่มีหน่อง อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ

ที่ๆเคยมีเสียงสดใสของหน่องคุยโน้นนี่นั้นให้ผมฟัง บางครั้งพูดเยอะมากจนเรารู้สึกว่า หน่องเงียบบ้างก็ได้นะ หยุดพูดบ้างก็ได้นะ แต่ในวันนี้เราอยากได้ยินนะ ภาพที่มีหน่องอยู่มุมนั้นมุมนี้มันผุดขึ้นมาเต็มไปหมด อยากให้หน่องกลับมาบ้าน อยากจะดูแลหน่องเอง ไม่ใช่ดูแลแบบห่างๆแบบนี้  ฟังเพลงแบบนี้เวลานี้มันอาจจะดูเศร้าแต่สำหรับผม ผมใช้เพลงสร้างพลังให้ผมครับ มันก็ทำให้ผมพร้อมจะสู้ต่อไปนะ เพลงๆนี้ทำให้ผมไม่กลัวครับ เพราะผมรู้ว่าผมจะมีหน่องเคียงข้างเสมอ ผมไม่ยอมแพ้ครับ ผมอาจจะฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเศร้าไปกับมัน  แต่ก็เฉพาะเวลานี้เท่านั้น ผมจะไม่มีทางไปเศร้าให้หน่องเห็นแน่นอน ดังนั้นเวลาแบบนี้ นั่งอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ เสียงเพลงนี้จะพาผมไปดำดิ่งไปถึงไหนต่อไหนก็ตาม สุดท้ายเช้าวันต่อมาผมก็จะตื่นขึ้น อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า ทานข้าวเช้า และตรงไปหาหน่องที่ศิริราชด้วยจิตใจที่เข้มแข็งเต็มที่ พร้อมที่จะให้กำลังใจหน่อง

เกือบๆหนึ่งเดือนแล้วกับชีวิตในศิริราช ทุกอย่างดูดีขึ้นเรื่อยๆแบบค่อยเป็นค่อยไป เหนื่อยบ้าง จิตตกบ้าง แต่เห็นแล้วเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า ก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป

ที่ผ่านมากิจกรรมต่างๆของหน่องค่อนข้างจำเจนะ ถ้าเป็นผมให้นอนอยู่โดยห้ามลุกจากเตียงเป็นเดือนแบบนี้ ผมทำไม่ได้นะ แต่หน่องมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับวันแรกๆที่เข้ามา ทุกอย่างตอนนั้นดูฟุ้งไปหมด หน่องห่วงไปหมดทุกเรื่อง ซึ่งคุณหมอถึงกับยืนยันแล้วว่าร่างกายหน่องไม่ได้มีปัญหา มีอยู่เรื่องเดียวเลยคือเรื่องจิตใจของหน่อง คิดเยอะ กังวลเยอะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องลูก หรือเรื่องอะไรก็ตามจนเกิดสภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว และผลเสียก็ตกมาอยู่กับลูกน้อยที่ยังไม่พร้อมจะลืมตาดูโลก ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหานี้ให้ตรงจุดก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้หน่องหลุดจากความกังวลต่างๆที่รุมเข้ามาให้ได้

ในช่วงวันแรกๆที่มาพักบรรยากาศค่อนข้างเงียบ เพราะหน่องรู้สึกว่าหน่องต้องไม่แสดงอาการใดๆมากเกินไป ไม่ว่าจะดีใจเสียใจตกใจ หน่องพูดน้อยลงไปเยอะมาก พอท้องเริ่มแข็งหน่องจะนอนนิ่งๆไม่คุย ส่วนผมได้แต่มองไปที่จอ Monitor ภาวนาให้ระดับมันลดลงลดลงเรื่อยๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นจะวนแบบนี้ทุกๆชั่วโมง ผมเห็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลยจริงๆ มันอยู่ด้วยความตึงเครียดตลอดเวลา คุยกับหน่องมากๆ หน่องก็ไม่อยากคุย ผมเข้าใจดีนะครับว่า หน่องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ลูกอยู่ในท้องให้นานที่สุด แต่มันดันกลายเป็นว่า หน่องตั้งใจมากเกินไปไหม อาการท้องแข็งก็ยังคงถี่พอสมควร ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยพอที่จะให้เบาใจได้

คุณหมอถึงขนาดที่เชิญจิตแพทย์มาคุยกับหน่อง อึม ...... อย่าพึ่งตกใจนะครับว่าทำไมต้องเรียกจิตแพทย์มา จิตแพทย์เปรียบเสมือนเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาแนะแนวแนวทางที่หน่องควรจะคิด ณ ขณะนี้มากกว่า ผมเองพึ่งได้คุยกับจิตแพทย์แบบนี้เป็นครั้งแรก ทีแรกพอคุณหมอบอกว่าจะให้หน่องพบจิตแพทย์ผมและหน่องก็รู้สึกต่อต้านทันที เพราะหน่องแค่เครียดแต่ไม่ได้บ้านะ แต่คุณหมอก็พยายามอธิบายถึงสาเหตุที่คุณหมออยากให้ลองคุยกับจิตแพทย์ดู

“ตอนนี้อาการของคุณแม่ เกิดจากความกังวลใจ ความเครียดที่ไปมีผลต่อคุณแม่โดยตรง”  คุณหมอบอก

“หมอรู้ คงไม่มีใครชอบจะพักอยู่ในรพ.นานๆหรอก มันสามารถทำให้เราเครียดได้ ลองคุยดูนะ อาจจะทำให้คลายความกังวลใจได้ เพราะหมอทางนี้มีการศึกษาเรื่องนี้โดยตรง หมอจะมีวิธีคุยและวิธีปฏิบัติตัวระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่นี่”  คุณหมอแนะนำ

และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ เพราะหลังจากที่ทางจิตแพทย์มาหาหน่องถึงที่ โดยมีผมรับฟังอยู่ด้วย ผมว่ามันดีนะ มันไม่ได้หมายความว่าเรามีปัญหาทางจิตอะไรแบบนั้น จิตแพทย์เป็นผู้ฟังที่ดีพร้อมรับฟังเรื่องราวต่างๆและแนะนำแนวทางการคิดอยู่ตรงหน้าให้หน่อง ซึ่งหลักจากได้คุยกับจิตแพทย์แล้ว หน่องเริ่มนิ่งขึ้น ไม่คิดวกวนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้มารบกวนใจอีกต่อไป

“หน่องไม่สนเรื่องอื่นแล้วหล่ะ หน่องจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกอยู่กับหน่อง จนกว่าลูกจะพร้อมที่จะลืมตาดูโลก” หน่องบอกกับผมด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

และหน่องก็ทำแบบนั้นจริงๆ หน่องดูมีความสุขกับชีวิตในศิริราชมากขึ้น คงเป็นเพราะหน่องเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่และคนรอบข้างมากขึ้นเยอะ หน่องรู้จักชื่อทุกคนในห้องคลอดพิเศษหมดและคุยทักทายกับทุกคนได้ดี  คุณหมอและพยาบาลทุกคนดีกับหน่องมากจริงๆ มันทำให้หน่องไม่ได้รู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่แปลกอีกต่อไป

หน่องสามารถปรับตัวกับบรรยากาศรอบๆข้างได้มากขึ้นจนน่าแปลกใจ เสียงของพยาบาลที่ช่วยเบ่งคลอดจากห้องอื่นและเสียงเด็กร้องตอนที่เด็กคลอดออกมาดูจะเป็นเรื่องปกติของหน่องไปแล้ว หน่องก็ดูมีความสุขกับสิ่งเหล่านี้นะ หน่องเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า มีเด็กคลอดไปแล้วกี่คนในแต่ละวัน

ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็หมายถึงหน่องมาอยู่ที่ศิริราชมา 30 วันเต็มแล้ว โดยที่ไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์ ไม่ได้ลุกออกจากเตียง ยังคงมีเข็มแทงอยู่ที่มือหน่องเพื่อให้ยาลดอาการเกร็งติดต่อกันจนหน่องมีรูที่มือแล้ว 10 รูแต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือปริมาณยาที่ให้หน่องเริ่มลดลงเรื่อยๆทีละสิบ จาก 60 เหลือ 50 เหลือ 40 เหลือ 30 เหลือ 20 และเหลือ 15แล้วในเวลานี้  อาการเกร็งของหน่องก็เริ่มไม่รุนแรงเหมือนอย่างในวันแรกๆ นานๆจะมีอาการเกร็งสูงขึ้นเป็นร้อยสักที ถ้าแบบปกติคือควรจะเกร็งได้แต่ไม่เกิน 20 จะดีที่สุด  ทุกอย่างดูดีขึ้นมากจริงๆ ตอนนี้

สำหรับผมเองชีวิตผมก็ต้องมีการปรับตัวเช่นกัน อย่างแรกเลยคงเป็นเรื่องของการเดินทางครับ จากที่ปกติเป็นการเดินทางจากบ้านไปบริษัท และจากบริษัทกลับบ้าน ก็กลายเป็นจากบ้านไปบริษัท และจากบริษัทไปที่ศิริราชแล้วค่อยกลับบ้าน   ผมจะรีบไปทำงานสะสางงานทุกอย่างให้หมดและเกือบๆ สี่โมงเย็นผมก็จะออกจากที่ทำงานมุ่งไปที่ศิริราช ผมทำงานอยู่แถวปากเกร็ดครับ ก็ไกลอยู่พอสมควร ผมจำเป็นต้องเผื่อเวลาเพราะการเดินทางไปศิริราชช่วงเย็นๆมันสาหัสมากครับ ผมไม่อยากใช้เวลาอยู่บนรถเยอะเกินไป และเหตุผลอีกอย่างคือผมอยากจะไปทันกินข้าวเย็นกับภรรยาผมครับ

โดยปกติครอบครัวหน่องคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือเต๋อน้องชายของหน่อง ทุกๆคนจะเสียสละเวลาอาหารเที่ยงของตัวเองเพื่อที่จะรับหน้าที่นำอาหารอร่อยๆฝีมือคุณแม่หน่องที่ปรุงเองกับมือ มาให้หน่องกินเป็นอาหารกลางวันครับ อาหารฝีมือของคุณแม่เป็นอาหารที่อร่อยเป็นที่สุดอยู่แล้ว คงไม่มีอาหารอะไรอร่อยไปกว่าอาหารฝีมือคุณแม่แล้วละครับ หลังจากหน่องกินเสร็จก็จะอยู่เป็นเพื่อนหน่องจนเกือบๆบ่ายสองแล้วค่อยกลับไป ส่วนหน่องก็จะเริ่มเข้าโหมดพักผ่อนตามอัธยาศัย มาตื่นอีกทีก็สี่โมงครึ่งถึงห้าโมงได้ และถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะไปถึงหน่องให้ได้เวลานั้น เวลาที่หน่องตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมอยู่ตรงหน้าครับ แต่ยอมรับนะครับว่า ผมคงไม่สามารถทำได้อย่างที่ผมตั้งใจไว้ได้ทุกวันหรอกครับ ด้วยภาระหน้าที่การงาน สภาพการจราจรที่ไม่เอื้ออำนวย และที่จอดรถที่ต้องใช้ความอดทนในการหาที่จอดพอสมควร ทำให้ผมมาถึงหน่องก็ตื่นแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่ผมได้ทำในทุกๆวันคือ ผมได้ทานข้าวเย็นไปพร้อมๆกับหน่องครับ

แต่ตัวผมเองคงไม่มีเวลาไปซื้ออาหารในช่วงเย็นหรอก เวลาผมมีจำกัดครับ เพราะแค่ได้ออกมาจากที่ทำงานก่อนเวลาปกติ ก็เกรงใจบริษัทมากอยู่แล้ว ก็ต้องขอบคุณทางบริษัทจริงๆ ที่อนุญาตให้ผมออกก่อนเวลาได้ คงไม่ค่อยมีบริษัทไหนจะอนุญาตให้ออกก่อนเวลาเป็นเดือนๆแบบนี้มากนักหรอก ผมเลยใช้วิธีซื้ออาหารเย็นที่เดียวกับที่ผมไปกินข้าวกลางวันเป็นหลักครับ ด้วยความที่ผมไม่อยากให้หน่องกินอาหารจำเจ ผมจะพยายามเปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆในเวลากลางวัน ถ้าดูแล้วเมนูไหนเข้าท่า ผมก็จะสั่งมาชิมก่อน ถ้าอร่อยจริงผมก็จะสั่งกลับทันที หน่องเป็นประเภท  Enjoy Eating ครับ ถ้าไม่อร่อยก็ไม่กินเลย วิธีนี้จะทำให้ผมมั่นใจได้ว่า หน่องได้กินอาหารอร่อยๆ ถูกปากไม่ซ้ำไปซ้ำมาในทุกๆวัน ส่วนผมก็จะได้กินอาหารจากร้านเดียวกันสองมื้อติดทุกวันไป

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหน่องอยู่ได้ดีในสภาพที่ค่อนข้างจำเจ มีผมที่คอยเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้หน่องฟังเป็นประจำ บางครั้งอาจจะมีอาการเหวี่ยงบ้าง แต่เราก็ต้องเข้าใจนะครับ ลองคุณอยู่ในสภาพเดียวกับหน่องคุณจะอารมณ์ดีได้ตลอดหรือไม่ บางครั้งมันคงอดคิดไม่ได้หรอกว่า ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ ลูกเราเป็นยังไงบ้าง และสิ่งที่ผมพูดผมให้กำลังใจ พูดไปพูดมามันก็เรื่องเดิมนั่นละ

“หน่องต้องไม่เครียด”   แต่จริงๆแล้ว ---- อยู่สภาพแวดล้อมแบบนี้ตลอด นอนอยู่บนเตียงตลอดจะให้ยิ้มแย้มไม่เครียดได้ยังไง

“หน่องต้องพักผ่อนเยอะๆ”   แต่จริงๆแล้ว ---- นี่ก็นอนเกือบทั้งวันอยู่แล้ว ลุกจากเตียงก็ไม่ได้ นอนจนเมื่อยไปหมดแล้ว

สิ่งหนึ่งที่หน่องต้องการมากๆคงหนีไม่พ้นเรื่องของกำลังใจ และในช่วงเกือบๆเดือนที่ผ่านมาหน่องจะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆที่อยู่ด้านนอกทั้งในรูปแบบของดอกไม้ ไม่ว่าจะช่อเล็กช่อใหญ่ ขนมที่หน่องชอบกิน ข้อความให้กำลังใจมันเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆที่เพื่อนๆพอจะทำให้หน่องได้  มันแสดงถึงมิตรภาพความห่วงใยที่เพื่อนๆมีให้หน่องได้อย่างชัดเจนในห้องคลอดพิเศษที่หน่องพักอยู่จะเต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้เต็มไปหมด มันสร้างรอยยิ้มให้หน่องได้จริงๆ ถึงขนาดที่ว่าพยาบาลหลายๆคนขอยืมดอกไม้ไปเป็นพร็อพถ่ายรูปด้วย เพราะหลายๆช่อสวยมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่องได้รับรู้ว่าหน่องมีเพื่อนมากมายที่ให้กำลังใจหน่องอยู่เสมอ

นั่นเป็นกำลังใจที่มาจากภายนอก แต่ระหว่างหนึ่งเดือนที่หน่องมาอยู่ในนี้ หน่องก็ได้รับกำลังใจที่ยิ่งใหญ่มากและมันทำให้หน่องพร้อมสู้ต่อไป ........... วันนั้นเป็นวันที่ 3 พ.ค.  หรือ 26 วันนับจากวันแรกที่หน่องมาอยู่ที่ศิริราช หน่องมีอายุครรภ์อยู่ที่ 29 สัปดาห์  เป็นเวลาเกือบๆ หกโมงเย็นได้ ผมพึ่งมาถึงศิริราช ก็เข้าไปหาหน่องเหมือนทุกๆวัน แต่วันนี้พอผมเปิดประตูเข้าไปหน่องที่อยู่ในอารมณ์ดี สีหน้ายิ้มแย้มพูดกับผมว่า

“รอตั้งนานแล้วนะ รู้มั้ยนี่อะไร” หน่องพูดไปพร้อมกับยื่นกระดาษประมาณ 4-5 แผ่นขนาด A4 ซึ่งมีรูปอะไรบางอย่างอยู่บนกระดาษนั้นมาให้ผม

ผมใช้เวลาเพ่งอยู่สักพักว่ารูปในกระดาษนั้นมันคือรูปอะไร จนผมมาถึงบางอ้อว่า มันคือรูปเด็กนี่เอง

“นี่ลูกเราเหรอหน่อง” ผมพูดไปยิ้มไปด้วยความตื่นเต้น

“ใช่แล้ว วันนี้คุณหมออนุวัฒน์พาไปอัลตร้าซาวด์4 มิติมาเห็นไหม เห็นหน้าลูกชัดมากเลย ลูกแข็งแรงดีปกติทุกอย่างเลย”หน่องแสดงอาการดีใจสุดๆ

“แล้ว อัลตร้าซาวด์4 มิติ มันเป็นยังไง” ผมเริ่มสงสัย

“ตอนแรกหน่องก็สงสัยเหมือนกัน คุณหมอเลยอธิบายว่า เครื่องอัลตร้าซาวด์4 มิติจะเก็บภาพสองมิติหลายๆภาพตามแนวที่หัวตรวจเคลื่อนผ่านไปและนำมาประกอบกันขึ้นเป็นภาพสามมิติซึ่งมีความลึกของภาพ และยังเก็บภาพสามมิติแต่ละภาพไว้แล้วนำมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนกับดูหนัง โดยที่มิติที่สี่คือ “เวลา” นั่นเอง”หน่องอธิบาย

“โห เห็นได้ละเอียดมากๆเลย” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น

“คุณหมอบอกว่า เครื่องใหม่พึ่งมาโชคดีจังที่ได้ตรวจด้วยเครื่องนี้ เห็นหน้าลูกชัดมาก แขนเป็นแขน แก้มเป็นแก้มเลย” หน่องตอบด้วยความภาคภูมิใจ

นี่เป็นสิ่งที่สร้างพลังใจที่ทำให้หน่องพร้อมสู้ต่อไปอย่างแท้จริง การที่เห็นลูกในท้องขยับไปมาในแบบ  4 มิติ การที่รู้ว่าลูกยังอยู่สุขสบายดีในท้องของหน่อง การที่รู้ว่าปากมดลูกของหน่องยังไม่เปิดไปมากกว่าเดิมนับแต่เข้ามาที่ศิริราช นั่นแสดงว่าทุกอย่างกำลังไปในทางที่ถูกต้อง เป็นสัญญาณที่ดี ไม่มีกำลังใจดีเท่ากับความจริงที่เห็นได้แบบนี้แล้วละ

และจากอาการที่ดีวันดีคืนของหน่อง ยาลดอาการเกร็งที่เหลือเพียง 15 รวมกับกำลังใจที่ดีเยี่ยมของหน่องขณะนี้  ดังนั้นในสัปดาห์ที่ 30คุณหมอจึงตัดสินใจที่จะลดยาให้หน่องเหลือเพียง 10 เท่านั้น และทุกอย่างก็อยู่ในสภาพที่โอเคมากๆ จนเย็นวันเดียวกัน คุณหมอเลยเสนอที่จะให้หน่องหยุดยาลดอาการเกร็งไปเลย เพื่อที่จะดูอาการว่าหน่องสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งยาได้ไหม

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน อาการของหน่องก็ยังอยู่ในสภาวะปกติ ดังนั้นคุณหมอจึงเสนอให้หน่องย้ายจากห้องพักพิเศษไปอยู่ห้องพักผู้ป่วยปกติแทน ซึ่งจริงๆแล้วก็อยู่ชั้นเดียวกับห้องคลอดพิเศษนั่นละ แต่อยู่กันคนละฟากเท่านั้นเอง

“แล้วกลับบ้านไปเลยไม่ได้หรือค่ะ”หน่องถามด้วยความที่อยากกลับบ้านสุดๆ

“รอดูอาการสักพักโดยไม่ใช้ยาดูก่อนสัก 2 – 3 วัน ถ้าอาการคงที่ หมอให้กลับบ้านแน่นอน”คุณหมอตอบอย่างสุขุม

“ถ้าอย่างนั้น หน่องพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ไม่ต้องย้ายไปมา อีกแค่ 2 -3 วันเอง”หน่องเสนอด้วยความสนิทสนมกับคุณหมอและพยาบาลในห้องคลอดพิเศษหมดแล้ว

“ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าดูจากอาการของหน่องตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องพักอยู่ในห้องนี้แล้ว”คุณหมอตอบแบบดุๆ

“ห้องคลอดพิเศษมีแค่ 8 ห้องเท่านั้น เครื่องวัดอาการเกร็งก็มีเพียง 4 เครื่องเท่านั้น ยังมีคนที่ต้องการใช้ห้องและใช้เครื่องมากกว่าเรานะ” คุณหมอยืนยัน

สิ่งที่คุณหมอพูดมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดครับ เพราะตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีคนเข้ามาใช้ห้องคลอดพิเศษแทบจะตลอด หาห้องว่างได้น้อยมาก เสียงเชียร์ช่วยเบ่งคลอดมันดังอยู่ตลอด และที่นี่คือศิริราชนะครับ ไม่ใช่สถานที่ที่ขอแค่มีเงินก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ตราบเท่าที่มีเงินจ่าย ที่ศิริราชเขายึดถือผู้ป่วยเป็นหลักครับ ในเมื่อหน่องอาการดีขึ้นแล้ว หน่องก็ต้องให้โอกาสคุณแม่คนอื่นซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ห้องมากกว่ามาอยู่แทน  ซึ่งหลังจากที่คุณหมอได้อธิบายลำดับความสำคัญที่คุณหมอยึดถือและปฏิบัติกันมา ผมและหน่องก็ไม่ได้อิดออดอะไรอีกเลย แถมออกจะรู้สึกผิดด้วยซ้ำไปที่แอบดื้อดึงไม่ยอมย้ายห้องอยู่ แม้จะแค่แว่บหนึ่งก็ตาม

มานึกๆถึงประสบการณ์ที่ได้รับมาระหว่างที่หน่องอยู่ในห้องคลอดพิเศษ มันทำให้ผมเห็นมุมมองใหม่ๆมากขึ้น ขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า ปกติแล้วที่ศิริราชมีห้องคลอดพิเศษแบบที่หน่องได้อยู่ กับห้องคลอดธรรมดานะครับ ห้องคลอดพิเศษนี่เป็นแบบปรับปรุงแล้ว มีบรรยากาศที่ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นห้องคลอด เท่าที่สอบถามมาเป็นความตั้งใจของทางโรงพยาบาลศิริราชเอง ที่ต้องการให้มีบรรยากาศเหมือนห้องพักโดยทั่วไปเพื่อลดความตึงเครียดของคุณแม่ก่อนจะคลอดธรรมชาติ ส่วนห้องคลอดปกติจะเป็นห้องที่ยังไม่ได้ปรับปรุง มีจำนวนห้องมากกว่า อาจจะดูไม่หรู แต่เรื่องอนามัยนี่เชื่อถือได้ครับ ราคาก็อาจจะต่างกันบ้าง ห้องคลอดธรรมดาก็จะเสียค่าใช้จ่ายไม่มากสำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำส่วนห้องคลอดพิเศษอาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่อยากให้ภรรยาพักแบบสบายๆดูหรูๆขึ้น โดยต้องยอมจ่ายเพิ่มขึ้นพอสมควร สำหรับกรณีของหน่อง ตอนที่หน่องเข้ามาที่ศิริราชวันแรกผมไม่รู้เรื่องประเภทห้องคลอดหรืออะไรเลยครับ รู้แต่ว่ายังไงก็ได้ขอให้หน่องปลอดภัย รู้แค่นี้ คิดแค่นี้จริงๆ

เล่าต่อดีกว่า ............ ผมเคยเจอคุณแม่และลูกคู่หนึ่ง โดยที่คุณลูกสาวต้องการมาพักที่ห้องคลอดพิเศษ เหตุผลคือคุณลูกสาวติดดูละครไทยมาก ดังนั้นเลยอยากจะอยู่ห้องคลอดพิเศษเพราะห้องคลอดพิเศษมีทีวี ส่วนห้องคลอดปกติไม่มี   ซึ่งคุณแม่ของลูกสาวคนนี้มีอาชีพกวาดขยะครับ ทางพยาบาลก็เสนอว่า อยู่ห้องธรรมดาก็ได้ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งคุณลูกสาว เธอวีนแตกมากๆ เพราะเธอต้องการดูละครให้ได้ นี่ผมเดาต่อเองนะครับว่า สงสัยหนีไม่พ้นเรยาแน่นอน

ยังมีอีก สามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีทำงานเป็นคนขับรถ Taxi ภรรยาที่อุ้มท้องมาคลอดต้องการมาพักที่ห้องคลอดพิเศษ เธออยากผ่าคลอด ซึ่งโดยปกติถ้าคุณแม่สามารถคลอดธรรมชาติได้ ทางศิริราชจะสนับสนุนให้คลอดธรรมชาติ แต่คุณภรรยาคนนี้กลัวเจ็บครับ ซึ่งสามีก็ยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าทางพยาบาลจะเสนอให้คลอดธรรมชาติก็ตาม

ในทางกลับกันก็มีสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งค่อนข้างมีอันจะกิน มีอาชีพเป็นทนาย มีคนขับรถหิ้วของเข้ามาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ขอมาพักห้องคลอดธรรมดาครับ ไม่ว่าทางพยาบาลจะเสนอว่าสามารถไปพักห้องคลอดพิเศษได้ก็ไม่ยอมครับ เหตุผลคือเดี๋ยวก็คลอดแล้ว ไม่เห็นต้องเป็นห้องคลอดพิเศษเลย

นานาจิตตังจริงๆครับ แต่เหตุผลจริงๆคงเกิดจากความต้องการในการใช้ห้องคลอดของคุณแม่แต่ละท่าน ความต้องการใช้ห้องในแต่ละวันมีค่อนข้างมาก บางครั้งทางพยาบาลเองก็พยายามที่จะรักษาสมดุลในการใช้ห้องคลอดทั้งแบบพิเศษกับแบบธรรมดาให้เป็นไปด้วยความเหมาะสมกับห้องที่ว่างและฐานะของครอบครัวที่มาใช้บริการ  ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความเต็มใจของคนไข้ด้วย ไม่มีการบังคับ มีแต่การเสนอแนะ กรณีของหน่องก็เช่นกัน ถ้าหน่องดื้อดึงไม่ยอมย้ายซะอย่างก็สามารถทำได้ แต่เพื่อส่วนรวม เพื่อคนที่ประสบปัญหามากกว่าหน่อง ต้องการใช้ห้องมากกว่าหน่อง เราก็เต็มใจย้ายครับ

ในบ่ายวันเสาร์ที่ 7 พ.ค. ทางหัวหน้าพยาบาลก็มาบอกว่า  “มีห้องว่างแล้วนะ เป็นห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ที่ชั้นเดียวกันนี่ละ แต่อยู่ด้านตรงข้าม”  

“ปกติเวลามีผู้ป่วยมาคลอดธรรมชาติที่นี่ คุณแม่ก็จะย้ายไปพักห้องพักผู้ป่วยโดยไม่ต้องขึ้นลงลิฟท์ไปมา แค่ข้ามฝั่งเท่านั้นเอง”หัวหน้าพยาบาลอธิบายเพิ่มเติม

“วันนี้ย้ายเลยไหม เพราะปกติจะห้องจะเต็มตลอด ถ้ามีห้องว่างแนะนำว่าย้ายเลยดีกว่า” หัวหน้าพยาบาลเสนอ

ซึ่งทำให้ผมเข้าใจเลยว่ามีคนต้องการใช้ห้องอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ผมหันไปมองหน้าหน่องที่ตอนนี้หน้าไม่หมองเศร้าแล้ว ดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

“ย้ายได้เลยค่ะ หน่องโอเค” หน่องหันไปตอบกับพยาบาล

ดังนั้นปฏิบัติการในการย้ายห้องจากห้องคลอดพิเศษไปห้องพักผู้ป่วยปกติก็เริ่มขึ้น ซึ่งพอเริ่มจะย้ายจริงๆก็พบว่า ของหน่องเยอะมากครับ มีทั้งดอกไม้ ตุ๊กตา การ์ดอวยพรต่างๆที่มีคนส่งมาให้ จานชามที่เอามาจากบ้านมีหลายขนาดมาก อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องครัว เหตุเพราะเรานำอาหารมาเอง ก็ควรต้องทำความสะอาดทุกอย่างเอง หนังสืออ่านเล่น เครื่องเล่น CD และ mp3 เสื้อผ้าหน่องที่ใส่มาตั้งแต่วันแรก ไม่นับรวมถึงอาหาร ขนมที่แช่อยู่ในตู้เย็นอีกต่างหาก มันทำให้ผมรู้เลยว่า หน่องอยู่ที่ศิริราชนานเกินไปแล้วละ

จากอายุครรภ์สัปดาห์ที่ 26 จนเข้าสู่สัปดาห์ที่ 30 หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากว่า เพศหญิง เพศแม่เป็นเพศที่อดทนและเสียสละมากๆ ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยขนาดไหน แต่ก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก เพศแม่เป็นเพศที่เข้มแข็งมากนะ อย่ามองด้วยตาเปล่า ต้องมองไปถึงข้างใน เข้มแข็งกว่าเพศชายบางคนเสียอีก อยากให้ทุกคนรักแม่ให้มากๆ เค้าลำบากมากนะ ดูแลเราอุ้มท้องเรามา มันไม่ง่ายเลย มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 8 “นับหนึ่งกันใหม่” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12948984/W12948984.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 55 21:59:27

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:53:25




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com