Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทที่ 2 การชำระล้างของมนุษย์เสือ vote ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 นักศึกษาใหม่ของสแตฟฟอร์ด
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12883631/W12883631.html

บทที่ 2 การชำระล้างของมนุษย์เสือ

ดวงอาทิตย์สีส้มแดงเคลื่อนต่ำลงไปยังขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า แสงที่เคยแผดกล้าร้อนแรงอ่อนลงทีละน้อยจนจางหายไป ความมืดอันเป็นเครื่องหมายของรัตติกาลเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่เช่นเดียวกับความเงียบอันเป็นสัญญาณของยามสนธยา

ยามค่ำนับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของผู้คนเพราะหลังจากที่ต้องออกไปเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทั้งวัน การกลับบ้านเพื่อได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับคนที่รักคือช่วงเวลาแห่งความสุขดังเช่นครอบครัวแม็กกริลล์ที่กำลังนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังสลับกับเสียงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแสดงถึงความอบอุ่นของสมชิกในครอบครัว

“อย่าเคาะจานเล่นแบบนั้นสิแม็ค” เสียงคุณนายแม็กกริลล์กล่าว “เอ็ดดี้หยุดแกล้งน้องเดี๋ยวนี้แล้วกินอาหารของตัวเองให้หมด”

“แต่จิลแย่งมันทอดของผมไปก่อนนี่ครับ” บุตรชายวัยเก้าขวบเถียง ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างอ่อนใจ

“แค่สองสามชิ้นเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ”

“สองสามชิ้นก็จริงแต่มันเป็นของผม” เด็กน้อยโต้ด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก นายแม็กกริลล์ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมาเบาๆพลางตักมันทอดจากจานของตัวเองไปใส่ไว้ในจานของลูกชาย

“เอาของพ่อไปก็ได้” เขาหันไปยิ้มให้กับภรรยา “คลอเรสเตอรอลในมันทอดสูงมาก ผู้ใหญ่อย่างเราไม่ควรกินเยะเกินไป”

“ทำเป็นพูดดี ตามใจกันแบบนี้ลูกถึงนิสัยเสียเหมือนคุณ” คุณนายแม็กกริลล์บ่นอย่างระอาแต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรนัก เธอหยิบผ้าไปเช็ดปากให้กับลูกสาวคนเล็กพลางถามสามี “วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เลวทีเดียว ผมได้งานออกแบบโฆษณาจากบริษัทรถยนต์”

“วิเศษ หวังว่าค่าตอบแทนคงดีกว่างานคราวก่อนนะ” คุณนายแม็กกริลล์พูดเสียงเรียบขณะรินน้ำให้สามี อีกฝ่ายยิ้ม

“แน่นอน” เขารวบช้อมส้อมและหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะหันไปทางลูกชายคนโตซึ่งกำลังรวบช้อนส้อม “ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ”

“แม็คได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนการแข่งขันวิทยาศาสตร์ระหว่างโรงเรียนด้วยค่ะ” เสียงจิลบุตรสาวคนสุดท้องพูดแทรกขึ้น ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วเล็กน้อย

“จริงหรือ งั้นก็เยี่ยมไปเลยน่ะสิ” เขายื่นจานอาหารที่รับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งให้ภรรยา “แข่งเมื่อไหร่ล่ะ”

“วันที่ 20 เดือนหน้าครับ” แม็คตอบ นายแม็กกริลล์ผงกศีรษะในขณะที่ลูกสาวตัวน้อยพูดเสียงใส

“หนูอยากไปเชียร์แม็ค”

“งั้นไปกันทั้งหมดนี่เลยดีมั้ย” ผู้เป็นพ่อถาม จิลยิ้มกว้างพลางยื่นนิ้วก้อยส่งให้

“สัญญานะคะ”

“ตกลงพ่อสัญญา” นายแม็กกริลล์ยื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับลูกสาวและรีบหดกลับเพื่อหลบจานของหวานที่ภรรยาวางลงบนโต๊ะ

“อย่าลืมจดไว้ในสมุดบันทึกของคุณด้วยล่ะ” เธอเตือนขณะตักพุดดิ้งใส่จาน ฝ่ายสามียิ้มและตอบอย่างอารมณ์ดี

“ผมไม่ลืมแน่” เขาหยิบช้อนตักขนมส่งเข้าปากแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าบ้าน “ใครมา”

“คุณนั่งอยู่กับลูกเถอะเดี๋ยวฉันไปดูเอง”

ภรรยาของเขาพูดพลางเดินไปยังหน้าบ้านและหายเงียบไปนานจนนายแม็กกริลล์ต้องร้องถามด้วยความสงสัย

“ใครมาหรือเอลลี่”

เขาขมวดคิ้วเมื่ออีกไม่ได้ยินเสียงตอบจากอีกฝ่ายและร้องเรียกซ้ำ

“เอลลี่”

ความเงียบทำให้นายแม็กกริลล์นึกเอะใจ เขาวางช้อนลงบนจานและลุกขึ้นไปหยิบมีดในครัว จากนั้นเขาจึงเดินไปยังห้องรับแขกอย่างระมัดระวัง แม็คขยับตัวจะเดินตามแต่ผู้เป็นพ่อกลับยกมือห้ามพร้อมกับสั่งเสียงเรียบ

“รอที่นี่”

“มีอะไรหรือคะพ่อ” จิลถามบิดา เขาพยายามส่งรอยยิ้มที่ดูเป็นปรกติให้พับเธอ

“พ่อแค่จะไปดูแม่เขาเท่านั้น นั่งอยู่กับพวกพี่ที่นี่ไม่ต้องตามออกไป ดูน้องเอาไว้ด้วยเอ็ดดี้”

ประโยคสุดท้ายเขารีบพูดอย่างเร็วเมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยทำท่าจะกระโดดจากเก้าอี้เพื่อขอตาม เอ็ดดี้รีบคว้าข้อมือน้องสาวเอาไว้ตามคำสั่ง นายแม็กกริลล์มองลูกทั้งสามก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้านอย่างระวังพร้อมกับเรียกภรรยาด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“เอลลี่”

เขากวาดตามองไปจนทั่วและหยุดที่ประตูหน้าบ้านซึ่งยังคงปิดสนิทไม่มีวี่แววของภรรยา นายแม็กกริลล์นิ่วหน้าด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินผ่านชุดรับแขกในห้องนั่งเล่นตรงไปยังหน้าบ้านเพื่อตรวจดูให้แน่ใจแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นปลายเท้าข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากอีกด้านหนึ่งของเก้าอี้

“เอลลี่”

นายแม็กกริลล์เรียกเสียงแผ่วก่อนจะรีบเดินเข้าไปดูและต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นสภาพของภรรยาเต็มตา

“เอลลี่!”

เขาร้องตะโกนลั่นด้วยความตกใจและรีบเข้าไปประคองร่างที่โชกเลือดของเธอด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับร้องเรียก

“เป็นอะไรไปเอลลี่” นายแม็กกริลล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกขณะมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์บนศีรษะของภรรยา “เกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายเธอ”

“มีอะไรหรือครับพ่อ” เสียงแม็คร้องถาม ผู้เป็นพ่อหันหน้าไปมองและรีบร้องสั่งเมื่อเห็นบุตรชายกำลังก้าวเข้ามา

“เรียกรถพยาบาลเร็วแม็ค”

“อะไรนะครับพ่อ”

“รถพยาบาล เดี๋ยวนี้! แม่ของลูกถูกทำร้าย”

นายแม็กกริลล์พูดเน้นทีละคำเสียงสั่นขณะพยายามห้ามเลือดให้กับภรรยาแต่เสียงร้องอุทานของบุตรชายทำให้เขาต้องหยุด หัวใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เขาหันไปมองอย่างรวดเร็วและเบิกตากว้างเมื่อเห็นอาคันตุกะเต็มตา

“แกเป็นใคร!”

คำพูดชะงักค้างไว้เพียงเท่านั้นเพราะถูกมีดคมกริบปักลงบนกลางศีรษะ ร่างของนาย
แม็กกริลล์สั่นกระตุกสองสามครั้งและล้มลงไปนอนแน่นิ่งคู่กับภรรยาแต่ผู้กระทำกลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาออกแรงกระแทกอีกสองสามครั้งเพื่อแบะกะโหลกของเหยื่อให้แยกออกจากนั้นจึงใช้มือควักมันสมองทั้งก้อนออกมาขยี้ ดวงตาสีเหลืองอำพันทอประกายวาบวับเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกำลังคลานยุ่บยั่บอยู่บนก้อนเนื้อที่ย้อมไปด้วยเลือดแต่ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะเพียงกระทบกับอากาศภายนอก ปรสิตในก้อนสมองก็หยุดการเคลื่อนไหวและหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีเหลืองเข้มไปพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าปรสิตเหล่านั้นตายหมดแล้วฆาตกรร้ายจึงโยนมันสมองก้อนนั้นทิ้งอย่างไม่สนใจ และหันขวับไปทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องด้วยความตระหนก มีดในมือถูกกำกระชับแน่นขณะที่ร่างสูงใหญ่ภายใต้ผ้าคลุมสีเขียวเข้มพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างคว้าคอเสื้อของแม็คเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองทองของมนุษย์ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายสัตว์ป่าทอประกายวาว

“ปรสิต”

มันคำรามเสียงต่ำพร้อมกับปักมีดลงบนหัวของเด็กชายและกระทำเช่นเดียวกับพ่อแม่ เมื่อดึงสมองออกมาแล้วเขาก็ปล่อยร่างอ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาของเด็กชายให้ร่วงลงไปกองกับพื้น ดวงตาเลื่อนไปมองเด็กอีกสองคนที่ยืนตกตะลึงอยู่ในครัว ความมุ่งร้ายที่ฉายออกมาจากทำให้เอ็ดดี้สะดุ้งเฮือก เด็กน้อยรีบดึงจิลไปหลบที่มุมหนึ่งของห้องแต่ยังช้ากว่าคนร้ายที่คว้าร่างของเขาเอาไว้และจ้องด้วยสายตาอำมหิต

“แกก็ด้วยอีกคน” มันพูดเสียงต่ำพร้อมกับเงื้อมีดขึ้น เอ็ดดี้กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวในขณะที่จิลกระโดดเข้าหาคนร้าย มือน้อยๆทุบระรัวลงไปที่ต้นขาของเขา

“ปล่อยเอ็ดดี้เดี๋ยวนี้”

เด็กน้อยตะโกนลั่นพลางดึงผ้าคลุมอย่างแรงจนเลื่อนหลุด จิลอ้าปากค้างและจ้องใบหน้าอันน่ากลัวอย่างตกตะลึง มนุษย์ครึ่งเสือคำรามในลำคอ

“วุ่นวายจริง” เขาปักลงบนหัวของเอ็ดดี้และแยกมันออกเป็นสองเสี่ยงจากนั้นจึงกระชากมีดออกและคว้าลำคอของเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา มีดที่กำลังเงื้อขึ้นหมายจะจัดการกับเธออีกคนหยุดชะงัก ดวงตาดุจสัตว์ร้ายจ้องหน้าจิลนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดพึมพำเบาๆ

“ไม่มีปรสิต” มือที่กำรอบลำคอเด็กน้อยคลายออก กีพาร์ดเก็บมีดกลับเข้าฝักและผลักจิลไปอีกด้านอย่างไม่สนใจ เขาดึงผ้าขึ้นมาคลุมศีรษะจนมิดชิดและกวาดตามองไปทั่วบ้านอีกครั้งก่อนจะก้าวไปที่ประตูด้านหลังและกระโจนหายไปในความมืด ทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยนั่งตัวสั่นอยู่ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของคนในครอบครัว

*/*/*/*/*

ภาพผู้สื่อข่าวซึ่งกำลังบรรยายถึงรายละเอียดการเสียชีวิตของผู้เคราะห์ร้ายจากคดีฆาตกรรมทั้งครอบครัวทำให้เทเลอร์ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในขณะที่สมิธละมือจากการจัดแฟ้มรายงานเพื่อดูข่าวด้วยความสนใจ ความรุนแรงของผู้ก่อเหตุและสภาพศพของเหยื่อทั้งสี่ทำให้ชายหนุ่มถอนใจและรีบหันไปถามเทเลอร์ทันทีเมื่อรายงานข่าวจบลง

“คล้ายกับวิธีฆ่าของกีพาร์ดมาก คิดว่าเป็นฝีมือของพวกอิลูมิเนติคไหมครับ”

“ผมยังไม่อยากสรุปแบบนั้น ถึงการลงมือจะคล้ายกันแต่บางทีมันอาจจะเป็นเป็นฝีมือของฆาตกรโรคจิตก็ได้”

แม้จะตอบไปแบบนั้นแต่สีหน้าของหัวหน้าหน่วยนักล่ากลับฉายความหนักใจออกมาเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมหมายความว่าไรซินยังคงดำเนินการทดลองฝังปรสิตในตัวมนุษย์ส่วนกีพาร์ดยังคงไล่ล่าเหยื่อเหล่านั้นอย่างโหดร้ายไม่มีที่สิ้นสุด สมิธซึ่งดูเหมือนจะอ่านความคิดของอีกฝ่ายออกจึงพูดต่อ

“ถึงจะไม่ใช่แต่วิธีการของมันโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน ที่น่ากลัวก็คือมันฆ่าได้แม้กระทั่งเด็ก” เขาระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างหนักขณะพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก”เราจะจัดการเรื่องนี้ดีไหมครับ”

ประโยคสุดท้ายเขาพูดเป็นเชิงถาม เทเลอร์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะสั่นศีรษะ

“ผมเห็นด้วยในข้อที่ว่ามันเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยม แต่หากไม่ได้รับการคำสั่งจากองค์กรก็คงสืบสวนอะไรไม่ได้เพราะหน่วยงานของเราไม่เกี่ยวข้องกับคดีทั่วไป”

เขามองชายหนุ่มที่กำลังยืนนิ่วหน้าพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“อย่ากังวลไปกับคดีพวกนี้เพราะหน้าที่ของพวกเราคือการกำจัดพวกอมนุษย์และทำลายกลุ่มอิลูมิเนติค”

“ผมทราบแต่พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็อดคิดไม่ได้” สมิธพูดพลางถอนใจ หัวหน้าของเขาพยักหน้า

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า” เทเลอร์มองแฟ้มรายงานที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบแล้วยิ้ม “คุณทำงานหนักมาทั้งวันคงเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนสักหน่อยดีไหม”

“ครับแต่คงต้องหลังจากที่ผมซ้อมยิงปืน ทิ้งห่างมาหลายวันแล้วกลัวมือจะขึ้นสนิมจนเหนี่ยวไกไม่ออก”

คำพูดติดตลกของเขาทำให้หัวหน้าหน่วยนักล่าต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เทเลอร์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และกล่าวอย่างอารมณ์ดี

“ตามสบายแต่อย่าหักโหมเกินไปนัก อ้อ ฝากดูวลาร์ดกับวูล์ฟด้วย ถ้าพวกเขายังอยู่ที่ห้องฝึกก็ช่วยเตือนให้กลับไปพักกันได้แล้ว”

“ครับ”

สมิธรับคำพร้อมกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะออกจากห้อง ชายหนุ่มเดินออกจากอาคารที่ทำการตรงไปยังห้องฝึกซึ่งอยู่อีกด้าน เขาหันไปโบกมือให้กับเจ้าหน้าที่สองสามคนที่ตะโกนทักทายก่อนจะก้าวเข้าไปในตัวอาคารและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นวูล์ฟกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้บริเวณโถงหน้าห้องฝึกเพียงลำพัง

“วูล์ฟ” สมิธร้องทัก หนุ่มหมาป่าหันมามองเขาพลางส่งยิ้มให้

“คุณสมิธ มาทำอะไรที่นี่หรือครับ”

“ผมมาซ้อมยิงปืน แล้วคุณทำอะไรอยู่ เย็นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับห้อง”

ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย วูล์ฟยักไหล่พลางบุ้ยใบ้ไปทางห้องฝึก

“ผมรอเจ้าผีดิบ”

“อะไรกัน นี่วลาร์ดยังอยู่ในห้องฝึกอีกหรือ” สมิธพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “เขาลงมาตั้งแต่ก่อนเที่ยง นี่มันเกินกว่าหกชั่วโมงแล้ว”

“ครับ” หนุ่มหมาป่าตอบพลางขยับตัวให้นั่งตรง “ถ้าผมไม่อยู่รอหมอนั่นคงจมอยู่ในนั้นทั้งคืน”

“ผมนึกว่าเขาจะหายจากอาการนั่นแล้วเสียอีก”สมิธพูดพลางมองหน้าวูล์ฟ อีกฝ่ายระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างหนัก

“นอกจากจะไม่หายแล้วเจ้านั่นยังเป็นหนักกว่าเก่า ถึงจะไม่พูดอะไรผมก็รู้ว่าเขาเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้วิคตอเรียต้องตาย”

“วลาร์ดยังคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ” สมิธพูดพร้อมกับถอนใจ “เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยและเขาเองก็อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถช่วยใครได้ คุณเทเลอร์เองก็เคยพูดให้ฟังหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ”

สมิธถามเสียงเรียบ วูล์ฟส่ายหน้า

“ถึงจะเป็นความจริงแต่หมอนั่นก็ไม่มีทางยอมรับหรอกครับ เขาคิดแต่ว่าจะต้องรับผิดชอบการตายของพวกเขาทุกคน”

“พวกเขา?” สมิธทวนคำด้วยความสงสัย หนุ่มหมาป่าถอนใจออกมาอีกครั้งก่อนตอบ

“คุณลีโอ แอลลิสัน คุณอันเดอร์ฮิลล์กับวิคตอเรีย”

สมิธยืนนิ่ง เขาเลื่อนสายตามองไปยังห้องฝึกและถอนใจออกมาเบาๆ

“ผมรู้ว่าวลาร์ดเสียใจแต่ไม่นึกว่าเขาจะคิดมากขนาดนี้”

“หมอนั่นโทษตัวเองตลอดเวลา ยังดีนะครับที่มีหนังสือในห้องสมุด ห้องฝึกกับงานทดลองเจ้าผีดิบเลยมีอะไรให้ทำบ้างไม่อย่างนั้นมีหวังคลั่งตายไปแล้ว”

แม้จะพูดเป็นเชิงสนุกแต่สมิธรู้ดีว่าวูล์ฟมีความเป็นห่วงวลาร์ดมากจนถึงขนาดยอมทิ้งการเล่นบาสเก็ตบอลกีฬาโปรดมานานนับเดือนเพื่อคอยเฝ้าเพื่อน ชายหนุ่มมองประตูห้องฝึกที่ยังคงปิดสนิทก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่หนุ่มหมาป่าและตบบ่าเขาสองสามครั้ง

“ผมคิดว่าอีกไม่นานวลาร์ดคงทำใจได้และกลับมาเป็นนักล่าที่เยือกเย็นเหมือนอย่างเดิม”

“ผมเองก็คิดแบบนั้น ขอบคุณมากครับคุณสมิธ”

วูล์ฟตอบเสียงแผ่ว สมิธบีบไหล่หนุ่มหมาป่าเบาๆเหมือนเป็นการปลอบใจก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“ถ้าอย่างงั้นผมขอไปที่ห้องซ้อมยิงปืนก่อน”

“ครับ”

วูล์ฟรับคำและเอนตัวกลับไปนั่งในท่าเดิมอีกครั้ง แม้จะเป็นห่วงแต่สมิธก็รู้ดีว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะด้วยนิสัยของนักล่าทั้งสองซึ่งมักจะแยกตัวออกจากกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยที่เป็นมนุษย์และแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ชายหนุ่มจึงทำได้แต่เพียงถอนใจระหว่างที่เดินไปยังห้องซ้อมปืนซึ่งอยู่ลึกลงไปยังใต้ดิน เพียงแค่คล้อยหลังประตูห้องฝึกก็เปิดออก วูล์ฟหันไปมองวลาร์ดที่กำลังเดินออกจากห้องและร้องทัก

“ไง ฝึกเสร็จแล้วเหรอ”

ดวงตาของลูกครึ่งแวมไพร์เหลือบมองหนุ่มหมาป่าแว่บหนึ่งและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายรีบวิ่งตาม

“รอด้วยสิ”พูดพลางวิ่งตามจนทันปากก็ชวนคุยแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีวันเปิดปากพูดอะไร

“หิวเป็นบ้า เราไปหาอะไรกินกันก่อนกลับเข้าห้องไหม” วูล์ฟเว้นระยะคำพูดเหมือนรอให้
วลาร์ดตอบโต้แต่เมื่อเห็นลูกครึ่งแวมไพร์ยังคงนิ่งเงียบเขาจึงพูดต่อ “วันนี้นายฝึกอะไร ทำไมถึงช้ากว่าทุกวัน”

“ก็แค่การใข้ดาบธรรมดา ถ้ามันทำให้นายเสียเวลาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งรอ”

เสียงเรียบเย็นตอบกลับอย่างรำคาญ หนุ่มหมาป่ายิ้มในหน้า

“ฉันไม่มีอะไรทำนี่นา”เขาวางมือลงบนไหล่ของลูกครึ่งแวมไพร์”ไหนๆก็ฝึกเสร็จแล้วแวะไปโรงอาหารหาอะไรรองท้องกันเถอะ”

วลาร์ดไม่ตอบแถมยังคงกลับเดินตรงไปยังอาคารที่พักเหมือนไม่สนใจข้อเสนอของอีกฝ่าย วูล์ฟเข่นเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะคว้าคอของเขาเอาไว้และออกแรงลากให้เดินไปด้วยกัน ลูกครึ่งแวมไพร์พยายามสะบัดตัวออกพร้อมกับโวยลั่น

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้วูล์ฟ”

“ไม่ ฝึกตั้ง7-8ชั่วโมงโดยไม่ยอมพักแถมยังไม่กินอะไรแบบนี้ถ้าต้องออกไปทำงานข้างนอกมีหวังนายได้ถูกพวกมนุษย์หมาป่าฆ่าตายแน่”

วลาร์ดขบกรามกรอดและพูดเสียงลอดไรฟันด้วยความโกรธ

“ตอนนี้ก็มีอยู่ตัวนึง”เขาปัดมือวูล์ฟอย่างแรงแต่อีกฝ่ายกลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น

“หิวจนไม่มีแรงแบบนี้ต่อให้ดิ้นยังไงก็ไม่มีทางหลุดจากมือฉันง่ายๆหรอกเจ้าผีดิบ”

พูดพลางลากลูกครึ่งแวมไพร์ไปจนถึงโรงอาหาร หนุ่มหมาป่าร้องสั่งเมนูของตัวเองโดยไม่ลังเล

“ขอสเต็กแบบพิเศษสองที่กับสลัดผลไม้อีกจาน อ้อผมขอคัสตาร์ดชิ้นโตๆสองอันด้วยนะครับ”

“ได้เลยวูล์ฟ”พ่อครัวประจำหน่วยร้องตอบและหันไปปรุงอาหารตามสั่งทันที หนุ่มหมาป่ามองหาที่นั่งพร้อมกับลากลูกครึ่งแวมไพร์ไปด้วยกัน เมื่อถูกผลักให้นั่งบนเก้าอี้วลาร์ดรีบลุกขึ้นทันทีแต่มือแข็งแกร่งของวูล์ฟดันให้เขานั่งลงไปอีกครั้ง

“นั่ง! ไม่อย่างนั้นฉันจะมัดนายไว้กับเก้าอี้จนกว่าจะกินอาหารเสร็จ”

ลูกครึ่งแวมพร์ทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยอมนั่งโดยดี เมื่อเห็นเพื่อนยอมทำตามที่บอกแล้ววูล์ฟจึงหย่อนตัวลงนั่งด้านตรงกันข้ามและยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“แค่อาหารสองสามจานไม่ทำให้นายถึงกับตายหรอกน่า”

เสียงบ่นพึมพำดังมาจากปากสีซีด หนุ่มหมาป่านิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมผิดไปจากตอนแรก

“เลิกทำตัวแบบนี้เสียทีได้ไหม”

“อะไร” วลาร์ดย้อนคำเสียงกระด้าง วูล์ฟถอนใจออกมาเบาๆ

“ก็ที่ทำอยู่ในตอนนี้น่ะ ฉันรู้ว่านายโกรธเรื่องวิคตอเรีย แต่การทำตัวหลุดโลกแบบนี้มันไม่เข้าท่าเลย”

“ฉันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงห้วน หนุ่มหมาป่าจ้องหน้าเขานิ่ง

“หมกตัวอยู่ในห้องฝึกทั้งวัน อันนั้นใช่ เอาแต่ค้นหาแหล่งกบดานของพวกอิลูมิเนติก นี่ก็เป็นเรื่องที่นายทำอยู่แล้ว แต่การตัดหัวมนุษย์กลายพันธุ์แล้วฟันซ้ำจนขาดสามสี่ท่อนโดยไม่สนใจที่จะเก็บหลักฐานมันไม่ใช่นิสัยของนาย”

“ยังไงพวกนั้นก็สลายเป็นเมือกอยู่แล้ว” น้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจในสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก วูล์ฟเลิกคิ้ว

“แต่พวกนั้นเคยเป็นมนุษย์ นายเองยังเคยบอกว่าอยากจะหาวิธีทำให้เขากลับเป็นคนได้เหมือนเดิมแล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากทำลายพวกเขาเสียล่ะ”

วลาร์ดนั่งนิ่งไม่ยอมตอบ เสียงกระแอมของพ่อครัวที่กำลังเข็นรถเข้ามาหาทำให้ทั่งคู่ยุติการสนทนาลงชั่วขณะ เมื่อรอจนอาหารทุกจานถูกวางจนครบและพ่อครัวเดินห่างไปพอสมควรแล้วลูกครึ่งแวมไพร์จึงพูดขึ้น

“พวกนั้นก็เหมือสเต็กที่อยู่จาน ทำยังไงก็ไม่มีวันกลับเป็นวัวได้ตามเดิม”

เขาลุกขึ้นโดยคว้าจานสลัดติดมือมาด้วย

“ขอบใจสำหรับอาหาร แต่ฉันชอบนั่งกินคนเดียว”

พูดจบก็เดินจากไปทันทีทิ้งให้วูล์ฟนั่งเกาหัวด้วยความกลุ้มไว้เบื้องหลังอย่างไม่สนใจ เมื่อจนปัญญาที่จะรั้งเพื่อนเอาไว้ได้หนุ่มหมาป่าจึงมองเนื้อย่างในจานตรงหน้าและพึมพำออกมาเบาๆ

“อย่างน้อยสเต็กในจานนี่ก็ไม่สลายกลายเป็นเมือก นายจะเอามาคิดแบบคนไม่ได้หรอกเจ้าผีดิบ”


*/*/*/*/*/*

คืบหน้าไปได้ทีละนิด แต่ที่อยากจะกรี๊ดคือโดนคำเตือนเล็กๆจากบก.ว่า เวลากระชั้นเข้ามาแล้วนะคะ จ๊ากกกก เพิ่งเขียนไปได้แค่ครึ่งเดียวเอง จะทันมั้ยเนี่ย T.T

บ่นมากไปเดี๋ยวคนอ่านเบื่อ คุยกันดีกว่าค่ะ

สนุกดีครับ รออ่านตอนต่อไป
จากคุณ : Cool_Blue  
- ขอบคุณค่า ดีใจจัง ^^


มาพิสูจน์อักษรเล็กๆน้อยๆครับ(อยากมีส่วนร่วมบ้าง)^^

..ที่กำลังก้าวเข้าไปในอาคารเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยอีกยามรัษาการณ์ผู้นั้น.....รัษาการณ์/รักษาการณ์
เนื้อเรื่องยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังเดาทางไม่ได้ครับ
จากคุณ : Psycho man  
- ขอบคุณมากๆค่ะ พอย้อนกลับไปอ่านคำนี้พิมพ์ผิดเพียบ = ="

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานของมูนนี่นะคะ (แวบ)

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 08:47:47




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com