Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 39 vote ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับ มาพบกันอีกครั้งปลายสัปดาห์นะครับ

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่าน คุณ อินทรายุธ, แก้วกังไส, นารีจำศีล, มานีโอลา, เขมปัณณ์, npuiy, Psycho man, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, รพิชา, wor_lek, kdunagin, mementototem, mimny ครับ

สำหรับตอนที่ 38 ครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12906743/W12906743.html

บทที่ 39


             “คะ... คุณย่าทวด!”


              ปีระกาเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า ร่างมนตราตรงหน้าในท่ามกลางม่านฝนหนาทึบและลมพายุอันเกรี้ยวกราดรายล้อมรอบด้าน เฉดสีส้มราวเปลวอัคนี วูบวับขึ้นลง คล้ายกระแสไฟติดดับ ติดดับ หลายครั้งหลายครา


             กระนั้นในกระแสลมแรงก็ดูเหมือนจะมิอาจแผ้วพานดวงวิญญาณที่กำลังจดจ่ออยู่กับชายหญิงทั้งคู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย


             สิ่งที่ได้รับฟังมาทั้งหมดจากดวงวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงพยาบาท เป็นสิ่งที่แทบจะไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้จริงได้ในโลกใบนี้


                แต่ในโลกมนุษย์... บางสิ่งบางอย่างก็เกินกว่าจะตรึกนึกฝันไปได้ถึงเช่นกัน นับตั้งแต่เรื่องของธาม จนมาถึงดวงวิญญาณคุณผอบแก้วที่มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้านี้ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ยากนักจะเกิดขึ้นแก่คนธรรมดาสามัญทั่วไปที่จะพบเห็นหรือพิสูจน์


            วิญญาณคือคลื่นพลังงานรูปแบบหนึ่ง หล่อนเคยได้ยินมาบ้างจากในหนังสือที่พยายามเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์ให้เข้ากับเรื่องลึกลับเหนือจริง


                และการมองเห็นสภาพของดวงวิญญาณเช่นในบัดนี้ ก็คือการปรับหรือจูนคลื่นที่เหนือประสาทสัมผัสแห่งสายตาให้มาบรรจบกัน ด้วยตัวรับ-ส่ง ระหว่างกันนั่นเอง


                ฉะนั้นแล้ว การเดินทางผ่านเข้าไปสู่โลกในจินตภพหรือการจรดล ก็คงจะไม่ต่างกับการเดินทางข้ามมิติในนิยายวิทยาศาสตร์ที่หล่อนเคยอ่านมาก่อนแบบเดียวกันนั่นเอง!


              Jumping หรือจะเรียกว่าการ Warp*!


                วาร์ปเพื่อข้ามกาลเวลา หากนี่คือการวาร์ปหรือจรดลเพื่อข้ามเส้นแบ่งแห่งจินตนาการ ระหว่างโลกสองโลก ภพสองภพ คืออิสรภพ และจินตภพ!


                ทุกอย่างเหนือยิ่งกว่าคิดฝันจิตนาการไปถึง ไม่น่าเชื่อว่าคุณปู่ทวด หลวงอนุรักษ์วนาดร คนในยุคอดีตเมื่อเกือบศตวรรษที่ผ่านมา จะมีพลังแห่งจินตนาการที่กว้างไกล ยิ่งกว่าผู้เป็นหลานสาว ซึ่งเดินตามรอยแห่งนักเขียนเช่นท่านได้ถึงเพียงนี้?


              ปีระกายืนกายสั่นสะท้านและหนาวเหน็บ ทั้งจากพายุฝนโหมกระหน่ำลงมา และ ด้วยสังหรณ์บางอย่างที่มิอาจอธิบายได้ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆเริ่มคลี่คลายและประกอบเข้าด้วยกัน จากชิ้นส่วนเล็กๆที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันมาก่อน จนกลายเป็นจิกซอว์ผืนมหึมา ซ่อนไว้ทั้งความรัก ความขื่นขม ความแค้น... และความลับ!!


               ร้อยเอกคมจักร จักษุราชเผลอโอบร่างทายาทสาวแห่งทับสนธยาเอาไว้แนบแน่นด้วยความห่วงใยจากส่วนลึกในใจ นายตำรวจหนุ่มเองก็คิดว่านี่คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต ที่เขาเคยเผชิญมา และไม่อาจเล่าให้ใครรับฟังได้เลย ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ร่วมรู้เห็นในประสบการณ์นี้ด้วยกัน ซึ่งมีแต่เพียงหญิงสาวผู้อยู่ในอ้อมแขนของเขาเพียงเท่านั้น


               “ปีระกา ทั้งหมดนี้คือเรื่องของฉันกับคุณหลวงเพียงสองคนเท่านั้น และตอนนี้ฉันต้องการให้เธอกลับไปจากทับสนธยาเสีย แล้วปล่อยให้คุณหลวงอนุรักษ์ มีชีวิตอยู่ภายในนั้น กับผู้หญิงที่เขารักเหลือเกินผู้นั้น ตลอดไป!”


             “แล้ว แล้ว ถ้าอย่างนั้น...ทำไม ในพินัยกรรมของคุณย่าทวด ถึงได้ตามหาให้หนูมาที่นี่ด้วยล่ะคะ?...”


           “หึ... เธอคิดว่านั่นเป็นพินัยกรรมของฉันอย่างนั้นรึ แม่ปีระกา?”


               คำตอบนั้น ยิ่งทำให้หล่อนงุนงงมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ เสียงหัวเราะเสียดเย้ยดังขึ้นกลบเสียงฝนกระหน่ำจนแทบกลืนหายไปในพริบตา


               “ฉันไม่เคยต้องการให้เธอมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องการให้ทับสนธยาปรากฏในความทรงจำใดๆอีกต่อไป เพื่อให้ทุกสิ่งจบสิ้นลงไปพร้อมกับเขา ให้คุณหลวงรับรู้ถึงการติดอยู่ในโลกที่เขาฝันขึ้นมานั่นแหละ”


             ถ้าอย่างนั้นพินัยกรรมฉบับนั้นก็ไม่ใช่พินัยกรรมที่แท้จริง? เป็นพินัยกรรมปลอม ที่เกิดขึ้นจากใครบางคนทำขึ้นมา ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของคุณผอบแก้ว


           “ลุงอาตม์”


           ชื่อนั้นปรากฏขึ้นในแวบของความคิดนั้นทันที ถ้าชายชราหรือศลภมาณพในจินตภพจะต้องการช่วยเหลือนายของเขาให้รอดกลับมา ด้วยการตามหาตัวทายาทแห่งทับสนธยา หนึ่งนารีผู้ปลดปล่อย!


          ผู้ที่ถูกเรียกว่าทวารันตร์... นั่นก็คือตัวของหล่อนนั่นเอง... ทำไม???


          ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือก และมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับคำๆนั้นอย่างไร?


         หากดูเหมือนว่าผอบแก้วจะมิได้สดับเสียงในใจอันร้อนรนของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ดวงวิญญาณที่จ่อมจมอยู่ในห้วงแห่งความพยาบาท จนไม่ยอมแม้แต่จะไปถือกำเนิดในภพภูมิใหม่ของตนเอง กำลังเพียรหาทุกวิธีการเพื่อขัดขวางหล่อนไม่ให้กลับไป


           เพราะธาม ได้นำพาให้หล่อนมาพบกับกัลปาลัยเล่มนั้นแล้ว...  มันหาได้มอดไหม้ไปกับพระเพลิงที่คุณผอบแก้วตั้งใจจะแผดเผามันไม่ เพียงแต่ปีระกา ยังไม่รู้วิธีการเท่านั้น วิธีที่จะผ่านทวารบถแห่งกัลปาลัยเข้าไปสู่โลกจินตภพเหมือนกับที่คุณหลวงอนุรักษ์ได้ทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้ว....


             “ฉันสู้อุตส่าห์พยายามทุกวิถีทางที่จะเก็บซ่อนมันให้ห่างจากสายตาของทุกคน ไม่ต้องการให้ใครมาค้นพบกัลปาลัยนั่นอีก แต่แล้ว... เธอนั่นแหละปีระกา เธอคือผู้ถูกเลือกของเขา เธอทำให้ความประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลของฉันต้องพังพินาศ!!”


           สายฟ้าคำรนคล้ายตอบสนองต่อความกราดเกรี้ยวด้วยแรงโทสะของอีกฝ่าย


                “เสียดายเหลือเกิน ที่ในคืนนั้น ฉันไม่ทันได้ทำลายกัลปาลัยให้สิ้นซากไปเสียก่อน เป็นเพราะไอ้สิงหเมฆินทร์ปรากฏกายขึ้นมาพอดี จนฉันไม่อาจรับรู้ ไม่อาจจะทนเห็นหน้าของมันได้อีกต่อไป”


                น้ำเสียงของดวงวิญญาณเจือปนไปด้วยกระแสแห่งความคั่งแค้น มิยอมปล่อยวางใดๆ ด้วยแรงพยาบาทรุนแรง


              “แต่ฉันก็ซ่อนมันเอาไว้ในที่ๆคิดว่าคงไม่มีใครได้ค้นหามันพบอีก แม้แต่ไอ้อมนุษย์อาตม์นั่นก็ตาม แล้วจากนั้นก็ตั้งใจว่าจะหาโอกาสกลับขึ้นมาเพื่อทำลายมันอีกครั้งให้จงได้ แต่แล้ว...”


            “แต่ปีก็ไม่นึกว่าจะเป็นคนพบกัลปาลัยนั่นอีกครั้งนะคะ ปี...”


              “ไม่ใช่หรอกปีระกา ฉันควรจะทำลายมันได้สำเร็จก่อนหน้าที่เธอจะมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ ถ้า... ถ้าหากว่า...”


              เสียงที่แข็งกระด้างด้วยอารมณ์อันผันผวนของผู้พูด เหวี่ยงกลับไปสู่ทิศทางของการปริเวทนาการ ชั่วขณะ ก่อนที่จะกลับคืนมาเป็น คุณผอบแก้วผู้แข็งกระด้างเย็นชาอีกครั้ง แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเหลนทวดของตัวเองก็ตาม...


              “ถ้ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นเกิดขึ้นเสียก่อนน่ะสิปีระกา...”


               ในกระแสเสียงกราดเกรี้ยวดุดัน คล้ายมีความเศร้าหม่นทึบเจือจางอยู่ภายในนั้นด้วย ปีระกาเผลอทวนคำของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ


             เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งกว่า หมายความว่าอะไรกัน?


                ************************


             ผอบแก้วดึงชายผ้าลูกไม้ที่กั้นเป็นม่านบางๆ แล้วเมียงสายตาผ่านหน้าต่างลงไปจากชั้นบน เห็นท่าทีกระวนกระวายของไอ้อาตม์หลายครั้งหลายหน เมื่อมันเดินวนไปเวียนมายังสนามด้านล่างเหมือนหาทางออกไม่พบ


             หล่อนไม่ประหลาดใจต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย ในเมื่อตระหนักแล้วมันคือตัวแทนสิ่งเดียวจากภพโพ้นที่เดินทางข้ามกัลปาลัยเข้ามา ในสภาพที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด แต่กาลเวลาสำหรับอาตม์ก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นั้น


             หญิงสาวกระตุกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของหลวงอนุรักษ์พยายามค้นหากัลปาลัยอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่อาจพานพบ ท่าทีว้าวุ่นใจแม้จะพยายามปกปิดเพียงใดก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ชัดเจน ยิ่งทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น วันที่หล่อนสามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้อย่างไม่มีที่ติ


            “อาตม์...”


             แสร้งร้องตะโกนเรียกอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงของการใช้อำนาจบังคับอย่างเคยคุ้น แม้จะพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นพร่าด้วยความตื่นเต้นก็ตาม


              “ฉันได้ยินเสียงตะกุกตะกักอยู่บนห้องคุณหลวงด้านบน แกขึ้นไปดูหน่อยสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


              ผอบแก้ววางมาดให้เหมือนกับตนเองเพิ่งตื่นจากนิทรารมณ์ และบ่าวของคุณหลวงก็หาได้สงสัยไม่ มันรีบลนลานกลับขึ้นไป ด้วยคาดหวังว่าจะได้พบกับหลวงอนุรักษ์วนาดร เดินทางกลับมาเหมือนเคย


               แต่กลับพบร่างที่นอนไร้สติสัมปชัญญะของสิงหเมฆินทร์อยู่บนพื้นห้องแทน!!


                 สิงหเมฆินทร์ถูกฟาดด้วยเชิงเทียนเงินเล่มนั้นจนมันล้มลงสิ้นสติไปต่อหน้าต่อตาหล่อนนั่นเอง!


                เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าความทรงจำทุกอย่างถูกลบเลือนออกไปจากสมองของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น รับรู้ตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นแล้ว ว่าชายใจทมิฬผู้นี้มีปัญหาในเรื่องความทรงจำ เมื่อมันก้าวผ่านพรมแดนแห่งกัลปาลัยออกมา เหมือนกับที่อาตม์ ก็ลืมเลือนตัวตนของศลภมาณพไปหมดสิ้นตราบจนคุณหลวงต้องเป็นผู้รื้อฟื้นความทรงจำนั้นให้กลับคืนมาอีกครั้ง


             เช่นเดียวกัน จะปล่อยให้ชายผู้นี้อยู่ในสภาพไร้สติและการจดจำเหตุการณ์ในอดีตทั้งมวล ปล่อยให้มันต้องทนทุกข์อยู่กับการตามหาความทรงจำ ที่มีเพียงแต่หล่อนและอาตม์เท่านั้น เป็นผู้ล่วงรู้...


             “สิงหเมฆินทร์....”


                 ชายชราพึมพำด้วยเสียงแผ่วหวิว มิคาดคิด ได้แต่ยืนละล้าละลังทำสิ่งใดไม่ถูก และนั่นก็มาถึงจังหวะเวลาของหล่อนแล้ว ผอบแก้วก้าวออกมาจากเงามืด และทำทีเหมือนกับเห็นบุรุษใบหน้าอัปลักษณ์ด้วยรอยแผลไหม้บาดลึกผู้นี้เป็นครั้งแรก...


                 “นี่เป็นใคร นายอาตม์รู้จักด้วยหรือเปล่า?”


               ท่าทีตื่นตระหนกยิ่งทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าหล่อนไม่รู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น อาตม์อึกอักจนเห็นได้ชัด ชายชราผู้นี้หาได้ทันเล่ห์เหลี่ยมแต้มคูใดๆของมนุษย์ไม่ บางที... อาจจะเป็นเพราะเขาก็มิได้เป็นมนุษย์ หรือ ถ้าหากจะเป็น ก็คงจะเป็นคนกลุ่มน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลก หล่อนสั่งให้นำร่างอันไร้สติของชายผู้นั้นลงไปยังห้องด้านล่าง แล้วสั่งให้บ่าวผู้ชรารอคอย เพื่อให้หล่อนซักถามทุกอย่างเพื่อความกระจ่าง


            “ปละ-เปล่า อะ เอ้อ ชะ ใช่ ใช่ขอรับ”


            “หมายความว่าอย่างไร นายอาตม์ บอกฉันมาสักที”


            “กระผม รู้แต่ว่าเขาเป็นศัตรูกับคุณหลวง เขา เขามาจากที่อื่น แต่... บางที เขาอาจจะจดจำอะไรไม่ได้ กระผมเคยเห็น เอ้อ...”


              ยิ่งพูดก็ยิ่งมองเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามปิดบังเรื่องกัลปาลัยนั้นเอาไว้จนมองเห็นรอยพิรุธชัดเจน ผอบแก้วยิ้มอยู่ในหน้า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของหล่อนอีกต่อไป เพราะล่วงรู้ความจริงหมดแล้ว ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรกับสิงหเมฆินทร์ผู้ไร้ความทรงจำนั่นต่างหาก


           ถ้าหากว่าฆ่ามันได้กับมือตัวเอง หล่อนคงจะทำไปแล้วอย่างเปรมปรีดาที่สุด แต่หล่อนยังไม่โหดเหี้ยมพอ และผอบแก้วคิดว่า ความทุกข์ที่มันจะได้รับยังน้อยเกินไปกับสิ่งที่ทำกับหล่อน


          “ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องให้เขาอยู่ห่างจากที่นี่ให้มากที่สุด เพราะเขาอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเราได้”


         อีกฝ่ายมิได้เฉลียวใจแม้แต่น้อย เมื่อหล่อนใช้คำว่า “พวกเรา” แทน คำว่า “ฉัน” และ “นายอาตม์” เหมือนกับทุกครั้ง


           “กระผมจะต้องทำอย่างไรดีขอรับ?”


             ลอบยิ้มอยู่ในหน้า เมื่อผู้ถูกกล่าวถึงเริ่มคืนสติขึ้นมาทีละน้อย นัยน์ตาใสแจ๋วคู่นั้นคล้ายทารกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาของหล่อนพอดี


           “ขะ-ข้า ข้า...เป็นใคร?”


             หากยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรตอบออกไป ร่างนั้นก็ผุดลุกขึ้นคล้ายกับพื้นที่นอนอยู่ร้อนด้วยไฟประลัยกัลป์!


          “โอ๊ยยยยยยยยยย”


             เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดพรรณนา


              “แสงสีทอง! มันล้อมอยู่รอบบ้านหลังนี้ ช่วยด้วย เจ็บปวดเหลือเกิน ไม่ ข้าไม่อยู่แล้ว ข้าไม่อยู่!”


           ยังไม่ทันที่อาตม์จะคว้าตัวเอาไว้ ร่างสูงตระหง่านเต็มไปด้วยพลกำลังมหาศาลก็พุ่งกระแทกเข้าใส่ชายชราจนล้มคะมำลงไป แล้วถลันพรวดออกจากบริเวณแห่งนั้น ก่อนจะวิ่งกระโดดข้ามชานบันไดหน้าอาคารลงไปสู่ลานสนามหญ้าด้านนอก


               “นายอาตม์ บอกให้ใครก็ได้รีบจับตัวมันเอาไว้ จับให้ได้!”


            ผอบแก้วอุทานด้วยความตระหนกในเหตุการณ์ไม่คาดคิดเบื้องหน้า หญิงสาวรีบร้องตะโกนออกไป แต่ชายชราผู้รับคำสั่งก็ยังช้าเกินไป


             เมื่อร่างฉกรรจ์ของไอ้สิงหเมฆินทร์ พุ่งกระโจนหายลับลงไปในดงไม้ด้านล่าง แล้วผ่านลึกเข้าสู่อาณาบริเวณผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลของปางงิ้วดำ โดยที่หล่อนไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของมันอีกเลย


            ตลอดชั่วชีวิตของตนเอง!


                 ***********************


            “ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าสิงหเมฆินทร์ก็ยังอยู่ที่นี่น่ะสิคะ คุณผอบแก้ว ใช่ไหมคะ?”


            ปีระกา ไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายว่าคุณย่าทวด อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก ในเมื่อสภาพของเธอในขณะนั้น ไม่ได้อยู่ในสังขารแห่งหญิงชราผู้เสียชีวิตในวัยเฉียดเก้าสิบปีเลยแม้แต่น้อย ซ้ำใบหน้าอันสวยงามที่ควรจะอ่อนหวานน่ารัก ก็ขมวดบึ้งตึง แสดงถึงอารมณ์อันร้อนด้วยโทสะเป็นเจ้าเรือนอยู่ประจำนั่นเอง ทำให้หล่อนยิ่งไม่รู้สึกสะดวกปาก


          กลีบปากสีชมพูระเรื่อแย้มขึ้นเล็กน้อย เหมือนต้องการจะเอ่ยบางอย่าง หากก็หยุดชะงักไว้


         “ปีคิดว่าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ และวนเวียนอยู่แถวนี้นั่นแหละ ในเมื่อชีวิตของเขาก็ย่อมเป็นอมตะเหมือนกับลุงอาตม์”


                   “ใช่! แต่เขาก็ไม่มีทางเข้ามาในอาณาเขตแห่งทับสนธยาได้หรอกปีระกา พลังอำนาจแห่งสุวรรณชตุกาหรือค้างคาวทองยังปกคลุมอยู่เหนือยอดหอคอยแห่งนั้น ปกป้องกัลปาลัยเอาไว้มิให้ดวงวิญญาณร้ายใดๆเข้ามากล้ำกราย รวมทั้งเป็นเกราะแก้ววิเศษที่กำบังไม่ให้มันก้าวล่วงเข้ามาถึงห้องที่เก็บกัลปาลัยนั้น ไอ้สิงหเมฆินทร์... มันได้แต่รอคอยโอกาส ที่จะกลับคืนสู่กัลปาลัย รอคอยทวารันตร์... นางเดียวผู้สามารถใช้บุพมนตราเพื่อเปิดทวารบถนั้น!”


               “ปี... ปี...”


                 “ใช่! เจ้าคือทวารันตร์ที่มันตามหาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับสิบปี จงรีบกลับไปเสียปีระกา บัดนี้เธอได้รู้ความจริงหมดทุกอย่างแล้ว และถ้าไม่ต้องการให้ความยุ่งยากนั้นก่อกำเนิดขึ้นมาอีก ก็ไม่ควรจะสนใจทับสนธยา สถานที่แห่งนี้อีกต่อไป ปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปในสิ่งที่ฉันต้องการ และลืมมันไปให้หมดจากความทรงจำ”


              “แล้วคุณผอบแก้วไม่รักคุณหลวงแล้วหรือคะ? คุณถึงคิดที่จะขังคุณหลวงเอาไว้ในกัลปาลัยนั่นตลอดกาล?”


             บางอย่างทำให้ปีระกาตัดสินใจถามโพล่งออกไปอย่างลืมตัว บัดนี้แรงแห่งหยาดฝนผ่านปะทะใบหน้าจนลืมตาแทบไม่ขึ้น เสียงฟันตัวเองกระทบกันดังกึกด้วยความหนาวยะเยือก กระนั้นก็ยังสดับเสียงของคุณผอบแก้วชัดเจนเหนือกว่าสรรพเสียงรอบด้าน


               “รักสิ แต่ในเมื่อคุณหลวงไม่เคยรักฉันเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมฉันจะต้องสงสารเขาด้วยเล่า?  ก็ถ้าหากเขาอยากจะอยู่ร่วมกับผู้หญิงในโลกของความฝันเองเช่นนั้น ฉันก็สงเคราะห์ให้ได้อยู่ร่วมกันชั่วกัปชั่วกัลปา!”


                 “แต่สิงที่คุณกระทำลงไป มันไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความรักเลยนะคะ แต่เป็นไปเพื่อความพึงพอใจในการแก้แค้น เพื่อความพึงพอใจของตัวเองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น คุณไม่ได้ให้คุณหลวงเป็นคนเลือกหนทางของท่านเอง”


             หล่อนหยุดไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูดกระท่อนกระแท่นด้วยความเหนื่อยและหนาวยะเยือกในหัวใจตัวเอง


             “เพราะสำหรับปี... ถ้าจะรักใคร ก็ขอให้คนที่เรารักมีความสุข เราก็มีความสุขไปกับเขาแล้ว แม้ว่าในความฝันของคนที่ปีรัก อาจจะไม่มีปีอยู่ด้วยก็ตาม แต่ขอเพียงให้ในความฝันของปี มีเขาอยู่ภายในนั้น มันก็เพียงพอแล้วสำหรับปี!”


            “ปีระกา!!”


           “ถึงแม้คุณและคุณหลวง จะมีศักดิ์เป็นคุณทวดของปี แต่ปีก็ต้องกราบขออภัย ถ้าหากได้พูดจาล่วงเกินใดๆต่อคุณผอบแก้วออกไป ทุกอย่างปีพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ใจ และอยากจะให้คุณได้ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปในสิ่งที่มันควรจะเป็น ไม่ใช่ในสิ่งที่คุณต้องการให้มันเป็น”


             ดวงวิญญาณนั้นนิ่งงันอยู่ชั่วขณะ เหมือนครุ่นคิดตามคำพูดของหญิงสาว


             “คุณมีความสุขหรือเปล่าล่ะคะ คุณผอบแก้ว เมื่อเห็นคุณหลวง คนที่คุณบอกว่ารักถูกกักขังอยู่ภายในกัลปาลัยเล่มนั้น แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ต่างกับตัวคุณเองที่ถูกขังอยู่ในทับสนธยาแห่งนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลย ซ้ำยังไม่อาจไปสู่ภพภูมิที่ควรจะเป็นได้ หรือแม้แต่จะข้ามผ่านโดยการจรดลเข้าไปหาคุณหลวง ไปมองเห็นความเป็นไปทุกๆอย่างที่ต้องการจะมองเห็น ในกัลปาลัยเล่มนั้น คุณก็ยังทำไม่ได้!”


           เหมือนประโยคนั้นจะกระทบเข้ากับใจของผู้ฟังอย่างแรง จนผอบแก้วไม่สามารถอดกลั้นยอมฟังต่อไปโดยดุษณีได้


               “ใช่! แม้ว่าฉันจะตายไปแล้ว ก็ยังไม่อาจข้ามเผ่านข้าไปในหนังสือเล่มนั้น ฉันไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาจากนั้นอีกเลย ทั้งที่อยากจะเห็นเขา เห็นว่าเขามีความสุขหรือความทุกข์เพียงใดที่ถูกกักขังอิสรภาพเอาไว้ในนั้น”


           เหมือนทำนบที่ถูกกระแสธารบ่าทะลักจนพังทลายลงมา ดวงวิญญาณนั้นยังเอ่ยพร่ำความรู้สึกส่วนลึกที่เก็บกั้นเอาไว้ให้ประจักษ์แก่หล่อนในบัดนี้


            “และฉันได้แต่เฝ้ารอคอยให้ค้างคาวทองกลับคืนมา รู้ว่านั่นเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เห็นเขาอีก มันทรมานเหลือเกินปีระกา... เพราะอีกส่วนหนึ่งของใจตัวเอง ก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ถ้า... ถ้า นายอาตม์จะไม่พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อหาตัวของเธอให้พบ และเขาก็พบตัวเธอจนได้!”


           “พินัยกรรมนั่นไม่ใช่ของคุณย่าทวดทำขึ้น แต่เป็นของลุงอาตม์ปลอมขึ้นมาใช่ไหมคะ?”


              ทั้งหล่อนและคมจักรรู้ขึ้นพร้อมกัน หากยังไม่ทันฉงนฉงายในสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น ดวงวิญญาณของผอบแก้วก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน


             “อาตม์อยากจะช่วยนายของมัน แต่มันไม่มีโอกาสยังไงเล่า และทายาทผู้เป็นทวารันตร์เพียงคนเดียวที่จะช่วยเปิดทวารบถของกัลปาลัยได้ ก็คือผู้ที่ค้างคาวทองตามหาเช่นเดียวกัน ทายาทหรือผู้ปลดปล่อยที่แท้จริงของทับสนธยา... นั่นก็คือเธอ


          ปีระกา!!”


              ในช่วงเวลาของความเคร่งเครียดนั้นเอง หล่อนและคมจักรไม่ทันสังเกตว่า ระหว่างผืนม่านฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย ร่างๆหนึ่งกำลังขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ!


              **********************


           “คุณผอบแก้ว...”


            ปีระกา พยายามเรียกคล้ายเตือนสติอีกฝ่าย แม้ว่าตนเองจะรู้สึกพิศวงไปไม่แตกต่างกันกับคมจักร


         “ถ้าหากว่าคนๆนั้นจะเป็นปีจริง ปีก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างจบสิ้นลงเสียที ปีเชื่อว่าดวงวิญญาณของคุณจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ เพราะคุณผูกพันตัวเองกับปู่ทวด... คุณหลวง ด้วยความอาฆาตแค้น จนทำให้ไม่อาจไปสู่สุคติได้ และไม่อาจจะตามติดเขาเข้าไปในกัลปาลัยนั่นอีกด้วย มันถึงได้ทำให้คุณต้องกลายเป็นเพียงดวงวิญญาณวนเวียน และรอคอยอยู่ภายในทับสนธยาแห่งนี้ ดวงวิญญาณที่ต้องเฝ้ากังวลทนทุกข์ว่าใครจะมาปลดปล่อยคุณปู่ทวดออกไป”


           “คุณปู่ทวดเรอะ? หึหึ...”


           เสียงนั้นเหมือนเจ้าตัวรำพึงกับตัวเองด้วยความขบขันและสมเพชเวทนาใครบางคน


                 “เธอรู้... เธอเข้าใจฉันทุกอย่าง แต่เธอยังไม่รู้ความจริงอีกข้อหนึ่ง ที่อาจจะทำให้เธอต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองก็ได้นะ แม่ปีระกา”


            เสียงพร่าพรายแกมเย้ยหยันเมื่อสายฝนเริ่มซาลง เฉกเช่นเดียวกับพายุอารมณ์ของดวงวิญญาณเบื้องหน้า น้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ซ่อนปริศนาไว้ในคำพูดเช่นนั้น กลับกระตุ้นเร้าความสงสัยของปีระกาอย่างยิ่งยวดเกินกว่าน้ำเสียงเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย


          “คุณหมายความว่าอะไรคะ ความจริงอะไร”


               “ความจริงที่เธอกำลังสงสัยอยู่นี่อย่างไรล่ะ ว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นผู้ปลดปล่อยและเป็นทวารันตร์!”


             “ทวารันตร์คืออะไร?”


              หญิงสาวเอ่ยทวนคำพูดที่ได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่านั้น คำที่ยากแก่การเข้าใจความหมายแจ่มชัด ใช่! ไฉนธามจึงปรากฏขึ้นพร้อมกับความทรงจำของหล่อนมาตั้งแต่เยาว์วัย ปีระกาไม่ติดใจสงสัยอีกแล้วว่าทำไมเขาจึงไม่มีรูปกายและความทรงจำใดๆก่อนหน้า นอกจากนามแห่งตนเอง ตราบจนกลับคืนสู่สถานที่เดิม ณ ที่เขาจากมาแห่งนี้


               แต่... ทำไม หล่อนจึงต้องเป็นผู้ปลดปล่อย? เป็นทวารันตร์


              ทวารันตร์อันหมายถึง ผู้ที่อยู่ระหว่างช่องทาง... ช่องทางอะไร?


            “ปีไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ”


            เสียงหัวเราะเย็นยะเยือก เปี่ยมท้นไปด้วยความกำสรดแทรกอยู่ในทุกอณูแห่งน้ำเสียง หล่อนจับกระแสนั้นได้ชัดเจน ไม่ใช่ความยินดีปรีดาแปมปนอยู่เลยแม้แต่น้อย


          “ก็... เพราะว่า...”


           “เพราะคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร แท้จริงแล้ว เขาก็มิใช่ปู่ทวดของเธอน่ะสิ ปีระกา!!”

        *********************
* Warp หรือการวาร์ป ความหมายคือการโค้งงอ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงในนิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลา ผ่านรูหนอน(Wormhole) ซึ่งเชื่อกันว่า น่าจะเป็นประตูเชื่อมระหว่างมิติหรือโลกอื่นที่ต่างกาลเวลากันโดยอาศัยการโค้งงอของกาลาวกาศ (กาล + อวกาศ)  ส่วนการจัมป์ (jump) น่าจะมีความคล้ายกันในแง่ของการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ผมเข้าใจว่า อาจจะผ่านช่องทางของกาลเวลา หรือในสถานที่แตกต่างกัน น่าจะตรงกับศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ว่า teleport อย่างไรก็ตามสำหรับในเรื่องนี้ขอใช้คำว่า “การจรดล”แทนครับ

ตอบเพื่อนนักอ่านครับ

คุณแก้ว : บทนี้ก็ทิ้งท้ายให้ตื่นเต้นอีกแล้วครับ

คุณnasa nasa : มีคำตอบในบทนี้แล้วครับผม

คุณไก่ : บางที เขียนกลอนกว่าจะได้ นานกว่าเขียนทั้งบทก็มีครับ แก้แล้วแก้อีก กว่าจะได้คำที่ถูกใจที่สุด

คุณ mimny : คนเขียนก็เสียดายเหมือนกันครับ ยังรู้สึกว่าบทน้อยไปหน่อย

น้องทะเลเดือดฯ : บทนี้ก็ทิ้งปมไว้อีกแล้ว รอเฉลยคราวหน้านะครับ

ขอบคุณทุกท่านครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 18:50:31




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com