ทอฝันเป็นรุ้งสวย : ปฐมเหตุ (แก้ไขจากตอนที่ ๑)
|
|
ปฐมเหตุ เป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ ของเดือนพฤษภาคม อากาศช่างร้อนอบอ้าวอย่างเหลือเกิน ผมกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด ภายหลังจากการสัมมนาในหัวข้อ การปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศของโลกในบริบทของการเปลี่ยนแปลง ผมขับรถอย่างไม่รีบร้อนนัก ผ่านทุ่งนา ป่าเขาที่แห้งแล้ง ต้นไม้ยืนต้นผลัดใบโกร๋น บางช่วงเกิดลมหมุนขนาดเล็กหมุนคว้างทำให้เกิดฝุ่นตลบ ในสมองอื้ออึงไปด้วยความคิดถึงเรื่องราวที่สนทนากันในที่ประชุม เป็นต้นว่า เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก ทั้งมากขึ้นและเร็วขึ้น เช่นภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็นต้น ในขณะเดียวกัน โลกเองก็มีการปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างช้า ๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เช่นการเลื่อนของทวีป การเคลื่อนที่ของแผ่นหินใต้พิภพที่เรียกว่ารอยเลื่อน แทบไม่น่าเชื่อว่าเทือกเขาหิมาลัย๑ ที่ยิ่งใหญ่จะเพิ่งเกิดขึ้นใน สมัยเพลิโอซีน ของยุคเทอเทียรีนี่เอง สาเหตุจากการที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่น คือ เปลือกโลกอินเดียเลื่อนมาชนกับแผ่นเปลือกโลกเอเชีย ทำให้มันโก่งตัวนูนสูงขึ้นกลายเป็นเทือกเขาขนาดมหึมา และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณเกือบ ๖๕ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งถือว่ายังอ่อนเยาว์มากเมื่อนับตามกาลเวลาทางธรณีวิทยา ในภาวะโลกร้อน จะ ทำให้อากาศร้อนขึ้น น้ำทะเลอุ่นขึ้น จึงเกิดการระเหยของน้ำมากกว่าปกติ ฝนก็เลยตกมากกว่าปกติเช่นกัน ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกลานีญา ซึ่งจะตรงกันข้ามกับเอลนีโญ ที่ฝนแล้งกว่าปกติ ดังที่เกิดขึ้นในช่วงสี่ห้าปีมานี้ และจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเกิดขึ้นเป็นช่วงๆเป็น ตถตา คือมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง การสัมมนาคราวนี้ มีบริบทเกี่ยวกับสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไล่เรียงลำดับตั้งแต่การเลื่อนของทวีป การเคลื่อนของชั้นหินที่ทำให้เกิดรอยเลื่อนของเปลือกโลกและแผ่นดินไหว ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรมิลานโควิตช์๒ ที่กล่าวถึงการโคจรในลักษณะเฉพาะของโลกว่า เป็นตัวการทำให้อุณหภูมิของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เป็นวงรอบรอบละ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ก่อให้เกิดยุคน้ำแข็ง เกิดการยืดหรือหดตัวของทะเลและมหาสมุทร โดยเป็นไปตามคาบเวลาอย่างช้า ๆ แต่ไหนแต่ไรมา ภูมิอากาศของโลกก็มีอาการยุบหนอพองหนอของมันอยู่อย่างนี้ เป็นไปตามกฎของความไม่เที่ยงหรือหลักอนิจจังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ มนุษย์มีส่วนก่อกรรมด้วยการทำลายสมดุลทางธรรมชาติ ได้แก่การทำลายป่าไม้ผู้รักษาความชุ่มชื้นบนพื้นผิวโลก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้บรรยากาศของโลกร้อนขึ้น ส่งผลให้ภูมิอากาศของโลกแปรปรวน บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียที่เป็นชั้นของก๊าซโอโซนถูกทำลายเป็นช่องโหว่ รังสีจากนอกโลกก็พุ่งลงสู่พื้นผิวโลกเป็นอันตายต่อมนุษย์มากขึ้น และหากโลกร้อนมากขึ้นจนผืนน้ำแข็งบนขั้วโลก เหนือละลายลง เชื่อกันว่าซากพืชและซากสัตว์โดยเฉพาะช้างแมมมอธที่ถูกแช่แข็งอยู่จะเน่าเปื่อยปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่บรรยากาศ ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า หากถึงวาระเช่นนั้นโลกก็จะร้อนมากขึ้น ลมฟ้าอากาศ จะเปลี่ยนแปลงสุดขีด น้ำทะเลจะเอ่อท่วมเกาะและเมืองชายฝั่ง หรืออาจจะท่วมพื้นที่ภาคกลางเหมือนอ่าวไทยโบราณ๓ ในอดีตเมื่อ 12,000 ปีมาแล้ว และหากมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดซ้ำเติม แล้วมนุษย์และสัตว์จะดำรงชิวิตอยู่ได้อย่างไร บทสรุปก็คือ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างช้าๆ ธรรมะของแต่ละศาสนา ความรัก ความสามัคคีของแต่ละชาติพันธุ์โดยไม่เลือกชาติศาสนาและการเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างรอบคอบ เหมาะสม จะเป็นทางออกของเรื่องนี้
จากคุณ |
:
โนนิน
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ย. 55 19:57:10
|
|
|
|