Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ทอฝันเป็นรุ้งสวย : นครสายรุ้ง vote ติดต่อทีมงาน

ทอฝันเป็นรุ้งสวย: นครสายรุ้ง
            คืนนี้   อากาศก็ยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนเมื่อคืนวันวาน   จากเทคโนโลยีการปรับอากาศ  ทำให้ผมนอนหลับเป็นตาย  แต่ พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแทนที่ผมจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนที่นอนอันอบอุ่น   กลับมานอนบนพื้นหญ้าหนานุ่มที่ถูกพรมด้วยน้ำค้างที่เย็นยะเยือก
           เกิดอะไรขึ้น !
        ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้อง แก๊ก ๆ ของนกแก้ว  ที่เกาะกินใบมะพร้าวบนยอดสูง ผมกัดนิ้วตัวเองด้วยคิดว่าเป็นความฝัน   แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบไปถึงหัวใจ   มันไม่ใช่ความฝันแต่  มันเป็นอะไร   ชันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับหันไปมองรอบกาย   เห็นมีแต่ต้นไม้และเสียงร้องระงมของนกและไก่ป่า   ทันใดนั้นเสียงเจี๊ยวจ้าวของนกกระตั้วสี่ห้าตัวบนยอดยางสูงพลันเงียบเสียงลง   เมื่อนกระวังภัยร้องขึ้นบ่งบอกถึงอันตรายกำลังมา     พลอยทำให้กระรอกน้อยสามสี่ตัวที่กำลังวิ่งหยอกล้อกันบนคาคบไม้  รีบหลบซ่อนใต้ใบบัง   ทุกสรรพสิ่งเงียบเสียงลง นิ่งสงัดอยู่ชั่วขณะ   พอฝูงนกกระตั้วส่งเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง  ทั่วทั้งราวไพรก็ฟื้นตื่นขึ้นอีกครั้ง  ผมเฝ้าชมอยู่นาน  บอกไม่ถูกว่ามันเป็นสวนอีเดน   สวนสวรรค์ของอดัมกับอีฟ  หรือแดนสุขาวดีหรือที่ไหนกันแน่
และแล้ว    ผมก็ต้องตื่นจากภวังค์อีกครั้ง     เมื่อนกกางเขนตัวเขื่องส่งเสียงร้องพร้อมกับบินแฉลบไปทางพุ่มไม้  ที่วัวแดงแม่ลูกอ่อนพร้อมฝูงสี่ห้าตัวกำลังและเล็มยอดหญ้าอยู่   ลูกวัวตัวน้อยหันมาเบิ่งมองมาทางผม  เราต่างก็จ้องมองตากันอยู่อย่างนั้น  ก่อนที่แม่วัวจะพามุดหายไปในพุ่มไม้เบื้องหน้า   ลมเช้าพัดโชยมาเบา ๆ   พากลุ่มหมอกม้วนตัวพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก     พลัน หูแว่วเสียงหัวเราะ เสียงหยอกล้อกันดังขึ้น   พอหันหน้าไปดูก็เห็นวัยรุ่นชายหญิงสี่ห้าคนกำลังหยอกล้อกับลูกกวางเล็กๆ สามตัว  โดยเจ้าตัวน้อยโลดเต้นไปมาข้างๆ แม่กวางที่และเล็มหญ้าอยู่  รู้สึกว่าทั้งคนและสัตว์ต่างก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี  ผมมองดูเพลินจนกระทั่งกลุ่มเด็กพากันปลีกตัวไปทางเสียงเพลงจังหวะเร็ว เร่าร้อนดังมา  ผมจึงลุกขึ้นเดินไปตามเสียงเพลง โดยเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้    ตาชะเง้อมองลอดกิ่งไม้ใบไม้ไปยังผู้คนกลุ่มใหญ่ที่กำลังออกกำลังกายกันอยู่บนลานกว้าง  พอดีเท้าไปสะดุดเอาของนิ่ม ๆ สิ่งหนึ่ง  พอก้มลงดู
อ้าว ! คุณมนัสนั่นเอง  คุณมนัสเป็นเพื่อนร่วมสัมมนาคนหนึ่ง   ที่เมื่อวานนี้ยังถกเถียงกันถึงพลังงานที่ส่งมาจากนอกโลกว่ามีอิทธิพลต่อโลกมากน้อยแค่ไหนอยู่เลย   ผมเขย่าปลุกคุณมนัสให้ตื่น   เขางัวเงียจะลุกขึ้นยืนผมรีบกดไหล่ไว้และเอานิ้วแตะริมฝีปากปรามไม่ให้ส่งเสียงออกมา  พร้อมกับสะกิดให้ดูกลุ่มคนที่ออกกำลังกายกันอยู่  บ้างก็เล่นเทนนิส   บาสเกตบอล  ฟุตบอล  กอล์ฟ    และอื่น ๆ อีกมากมาย   แต่การออกกำลังกายกันมากก็ได้แก่  การเต้นแอโรบิก ท่ารำมวยไทย โยคะ รำมวยจีน  เต้นรำแบบบอลรูม    แต่ละกลุ่มจับกลุ่มกันใต้ร่มไม้บ้าง ลานซีเมนต์บ้างดูลานตาไปหมด  รู้สึกว่าผู้คนที่นี่ชอบออกกำลังกายกันจริง ๆ
                      เราทั้งสองแอบดูเพลินจนตะวันโผล่พ้นยอดไม้   บุคคลหลากหลายเหล่านั้น   ต่างทยอยพากันกลับ     ผมจึงสะกิดคุณมนัสแล้วพยักหน้าให้เดินตาม  เราพากันลัดเลาะตามพวกเขาไปบ้าง  เห็นพวกเขาเดินหายลงไปในอุโมงค์ขนาดใหญ่    เราก็เดินตามคนสุดท้ายของกลุ่ม ๆ หนึ่งลงอุโมงค์ตามไปบ้าง    พอไปถึงข้างล่างพบเห็นมีผู้คนมากมาย  ต่างก็พากันหันมามองผมกับเพื่อนด้วยสีหน้าฉงน   อาจจะเป็นเพราะสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างจากพวกเขา       ข้างล่างนี้จัดเป็นพื้นที่แออัดไม่เบา       เป็นศูนย์กลางชุมชน   มีร้านค้าต่าง ๆ มากมาย   แต่ก็เป็นระเบียบ สะอาด   มียานลักษณะเป็นตู้ยาวคล้ายรถไฟฟ้าแล่นไปมาอีกด้านหนึ่ง   ผู้คนเดินกันไปมาแต่ดูเป็นแถวเป็นระเบียบ   สักครู่หนึ่ง ผู้คนเริ่มพากันมามุงล้อมรอบตัวเรา   ผมหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมทาง  เราหันมองหน้ากันเป็นทำนองว่า  เอาล่ะ  อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด  แล้วหันไปมองคนกลุ่มนั้นพยายามยิ้มสู้ให้กว้างที่สุด   และในขณะที่กำลัง พะว้าพะวังไมรู้จะทำอะไรดีอยู่นั้น   ก็มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีเดินแหวกฝูงชนเข้ามา   แล้วกล่าวด้วยสำเนียงห้วน เร็วและออกจะแปร่งหูว่า
             “ขอโทษนะคะ  ท่านทั้งหลาย  ศาสตราจารย์ พริน ท่านขอเชิญท่านทั้งสองนี้ไปพบค่ะ”  แล้วหันมาค้อมศีรษะให้เราทั้งสอง
                “เชิญคะท่าน  เชิญตามดิฉันมานะคะ”  ว่าแล้วก็เดินแหวกฝูงออกไป  เราเดินตามเธอไปอย่างมึนงง  หล่อนพาพวกเราขึ้นรถคันเล็กๆ  มุ่งหน้าออกจากอุโมงใหญ่ลัดเลาะไปตามแนวป่าจนถึงอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง    ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณกว้างขวาง   หล่อนพาเราเลี้ยวเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง  พอก้าวผ่านประตูเท่านั้นเราทั้งสองก็ถูกสะกดให้หยุดชะงักลงด้วยเสียงเพลง” ดอกหญ้าในป่าปูน”   บทเพลงที่ประพันธ์โดย ครูสลา ขับร้องโดยนักร้องชื่อ ต่าย อรทัยถึงตอนที่ว่า “ ...ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าเก้า  กอดกระเป๋าใบเดียวติดกาย  กราบลาแม่พ่อ  หลังจากเรียนจบม.ปลาย.......”  ที่ดังแว่วออกมาจากทีวีจอแบนขนาดยักษ์ขนาด 150 นิ้วเห็นจะได้    บนจอปรากฏภาพ    เด็กสาวคนหนึ่งกอดกระเป๋าเสื้อผ้าแนบลำตัว  ยืนละล้าละลังจะข้ามถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์วิ่งขวักไขว่   ตามมาด้วยภาพอดีตของเด็กสาวคนเดียวกัน   กำลังยืนมองดูรวงข้าวเหลืองอร่ามที่ค้อมรวงไหวเอนเมื่อสายลมพัดผ่าน   ทำให้ปอยผมที่ย้อยลงมาเคลียแก้มของเจ้าหล่อนพลอยสะบัดพลิ้วไปด้วย  ใบหน้าเอิบอิ่มด้วยรอยยิ้มและความสมหวัง  แต่แล้วความหม่นหมองกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวน้อย   เมื่อคำเตือนของอุตุนิยมวิทยาแวบเข้าสู่สมองว่าพายุโซนร้อนลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านสาธารณรัฐประชาชนลาวสู่ประเทศไทยในไม่ช้า   จะทำให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้างเป็นเวลาหลายวัน  
      “  อนิจจา!  ความฝันบรรเจิดของเราจะกลายเป็นฝันร้ายเสียแล้วหรือไร  หากเป็นฝันร้ายอย่างว่าละก็   คุณพ่อและคุณแม่ก็คงจะเป็นหนี้เขาต่อไป “
         สายลมที่พัดเฉื่อยฉิวกลับหยุดลงพลัน  บรรยากาศร้อนอบอ้าวขึ้น  เป็นสัญญาณว่าฝนจะตกอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า  อากาศร้อนแผ่ปกคลุมท้องนาไพศาล  ใบข้าวที่เคยพลิ้วไปตามสายลมกลับสงบนิ่ง สาวน้อยยืนนิ่งปล่อยความคิดกระเจิงเหมือนฟ้าคลุ้มฝน   ด้วยไม่ทราบว่าอะไรจะบังเกิดขึ้นในภายภาคหน้าและจะช่วยพ่อแม่อย่างไรดี
              คืนนั้น  ฝนตกยังกับฟ้ารั่วและวันต่อมาน้ำนองเริ่มไหลเข้าท้องทุ่งจนมิดรวงข้าว   ทำให้เกิดท้องน้ำเวิ้งว้างสุดสายตา
หมู่ชาวนาได้แต่จับกลุ่มกันมองดูอย่างหมดอาลัยตายอยาก   แล้วภาพตัดไปที่ผืนนาแห้งแตกระแหง  ต้นข้าวเฉาตายเป็นบริเวณกว้าง
    โธ่เอ๋ย  ชาวนาไทย  กสิกรผู้ปลูกผลิตข้าวออกมามากมาย  จนเป็นแชมป์ส่งออกข้าวติดต่อกันเป็นเวลาหลายสิบปี    แต่มีคุณภาพชีวิตเพียงแค่นี้เองหรอกหรือ   ชีวิตช่างหดหู่เสียเหลือเกิน  ทำนองที่ว่า”ชาวไทยได้หน้า   แต่ชาวนาระทม”
   อะไรคือปัญหาที่แท้จริงและจะแก้ไขในเรื่องนี้ได้อย่างไร   นี่คือบทส่งท้ายสำหรับภาพยนตร์เรื่องสั้นฝากให้คิดเพียงแค่นี้  
          จากนั้น เราทั้งสองถูกพาไปนั่งรอพบเจ้าของห้อง ที่ชุดรับแขกซึ่งวางอยู่อีกฟากหนึ่ง
  เขา   ชายสูงอายุที่ผมหงอกขาวโพลน  ปิดสวิตช์ทีวีจอยักษ์แล้วเดินตามคนสวยมาที่มุมรับแขกที่เรานั่งรออยู่
    “สวัสดีครับคุณปู่  รอนานไหมครับ”  คำทักทายอย่างเป็นกันเองของเขาทำเอาเราทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างกับคำว่า”คุณปู่”
“ในนามของชาวนครสายรุ้ง  ขอต้อนรับท่านปู่ทั้งสองครับ”      
“นครสายรุ้ง! ” เราทั้งสองอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน
“ครับ  นครแห่งความสันติสุขภายใต้ระบอบธรรมนิติรัฐ  อยู่ในวงล้อมของขุนเขาและสายหมอก”  
เขากล่าวค้างไว้ด้วยใบหน้ายิ้มพราย  คงจะนึกขำในกริยาอ้าปากค้างของเราทั้งสอง
              “สถานที่ท่านนั่งอยู่นี่เป็น พิพิธภัณฑ์ชนเผ่า ทำหน้าที่เก็บรวบรวมสรรพสิ่งที่เป็นบริบทเกี่ยวกับชนเผ่าไต”  เสียงของท่านผู้เฒ่าดังขึ้นอีกหลังจาก  เว้นวรรคไปชั่วขณะ
               “ชนเผ่าไต” เราทั้งสองอุทานขึ้นเกือบพร้อมกันอีกครั้ง
                “ครับ  กลุ่มชนเผ่าที่อาศัยอย่างกระจัดกระจัดกระจายทั่วภูมิภาค    ทั้งตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปอาเซียเรา”
                “แสดงว่ามีอยู่หลายกลุ่ม มีชนเผ่าไตกลุ่มใดบ้างละครับ   ”  ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
             “ เอาอย่างนี้ดีกว่า  เราไปดูกันเลยดีกว่าแล้วท่านจะทราบว่ามีกี่กลุ่ม กลุ่มใดบ้าง   นะครับ  เชิญทางนี้ครับ” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าเราไปขึ้นรถที่จอดรออยู่  ระหว่างที่เดินไปขึ้นรถมนัสกระซิบถามเบาๆ ว่า
                “พี่ พวกเราแก่มากจนตาแก่นั่นเรียกว่าปู่เชียวหรือ”
                 “เฉยไว้น้อง  เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า”  ผมปรามออกไปอย่างนั้นทั้งที่ตัวเองยังรู้สึกมึนงงอยู่
ทั้งนี้เพราะ   เห็นกันชัดเจนว่าคนแก่ผมขาวโพลนคนนั้นน่าจะมีอายุแก่กว่าพวกเราประมาณสามสิบปีเห็นจะได้
                   พิพิธภัณฑสถานของชนเผ่าไตที่เราเข้าชม   ใหญ่โตและกว้างขวางมาก  เปรียบกับการนำเอาหมู่บ้านเล็กๆ มาจัดแสดง   เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตผสมผสานกับพิพิธภัณฑ์แบบจัดตั้งแสดงโดยทั่วไป   แต่ละแห่งจะจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมการแต่งกาย  ทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในอดีต   ดังนั้นผู้แสดงจึงประกอบอาชีพแบบโบราณ เช่น ทำนา ทอผ้า เลี้ยงสัตว์เพื่อการเลี้ยงชีพ   ในขณะเดียวกันก็ได้รับเบี้ยยังชีพจำนวนหนึ่งทำให้ความเป็นอยู่มีความสุขตามอัตภาพ   นอกจากนี้   พิพิธภัณฑ์ได้จัดให้มีตลาดกลางเพื่อขวยสินค้าของแต่ละชนเผ่า  เป็นการเพิ่มพูนรายได้อีกด้วย
           เนื่องจากเป็น “ชนเผ่าไต”ด้วยกัน  จึงไม่มีความต่างกันมากนัก  โดยเฉพาะภาษาพูดถึงใช้ถ้อยคำ สำเนียงผิดเพี้ยนกันไปบ้าง  แต่ก็พอสื่อสารกันรู้เรื่อง   ซึ่งได้แก่ ไตลื้อในแคว้นสิบสองปันนาตอนใต้ของจีน  ไตใหญ่และไตเขินในรัฐฉานของสหภาพเมียนมาร์ ไตอาหมในแคว้นอัสสัมของอินเดีย  ไตดำในเวียดนามและลาว รวมทั้งไตน้อยที่อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ด้วยครับ
สถานที่สุดท้ายที่เราเข้าชมคือ    หอเกียรติยศแห่งความดี  เป็นที่รวบรวมและจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้ง  เครื่องใช้  ประวัติและอื่นๆ  ของผู้ทำความดีอย่างบริสุทธิใจ  เช่น  คนขับแท็กซีที่เก็บเงินผู้โดยสารได้แล้วติดต่อส่งคืนเจ้าของ  เป็นต้น
                      เย็นวันนั้น
              เราถูกพาไปพักที่บ้าน ของ ศจ..พริน ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัด   ปลูกท่ามกลางหมู่ไม้ที่เต็มไปด้วยไม้ดอก ไม้ประดับและไม้  บรรยากาศร่มรื่น  และน่าจะมีเปอร์เซ็นต์ของโอโซนสูงมากทีเดียว
การตกแต่งภายในบ้านมีความสวยงาม เรียบง่าย ลงตัวอย่างเหมาะเจาะ   ผนังบ้านด้านติดถนนทำเป็นตู้กระจกสองชั้นหนาประมาณ  ๔๐เซนติเมตร   ทำเป็นตู้ปลา   มีปลาสวยงามหลากสีหลายชนิดแหวกว่ายไปมา     ภายใต้ทะเลจำลองที่สวยงาม
ภายหลังที่ได้แนะนำให้รู้จักกับภรรยาที่ชื่อ”สลิลลา”และพักผ่อนในห้องรับแขกชั่วขณะแล้ว   เจ้าบ้านทั้งสองได้พาเราขึ้นไปชมสวนบนหลังคาบ้าน
             เดินนำหน้าเฉียดน้ำพุที่พุ่งเป็นฝอยเล็ก ๆ อยู่ติดกับผนังด้าน ตรงกันข้ามกับประตูทางเข้า  เหนือน้ำพุมีหลังคาและปล่องกระจกใส    ทำให้สว่างพอที่จะมองเห็นฝูงปลาคาร์พหลากสีว่ายไปมาอยู่หลายตัว  
             พาเดินขึ้นบันไดที่อยู่ติดกำแพงข้างน้ำพุ  เวียนขึ้นสู่หลังคารูปแปดเหลี่ยมที่มุงด้วยกระเบื้องใส     ส่งลำแสงสีเขียวอ่อนลงสู่น้ำพุเบื้องล่าง
              “ หลังคามุงด้วยกระเบื้องใส  มีปล่องกระจกทำด้วยกระจกเคลือบสารชนิดพิเศษหลายชั้น     ที่      สามารถสกัดกั้นทั้งรังสีอัลตราไวโอเลตและรังสีอินฟราเรดและสามารถปรับความเข้มได้ตามความต้องการ”  เจ้าบ้านตอบข้อสงสัย
               บนลานแคบของหลังคาตั้งไว้ด้วยโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่ง  ใกล้กันมีชิงช้าตั้งอยู่ใต้ร่มพวงชมพูที่ออกดอกสีชมพูสะพรั่ง ดาดฟ้าล้อมรอบด้วยกำแพงโปร่งเตี้ย  ประดับด้วยไม้ดอกกลิ่นหอมเช่น โมก ดอกราตรีที่ส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน แม้กระทั่งดอกปีบและสารภีแต่ถูกบอนไซให้แคระสามารถปลูกในกระถางได้   แซมด้วยไม้ประดับหลากสีและพืชผักสวนครัว  ผสมผสานกันอย่างมีศิลปะที่จัดเรียงโดยนักจัดภูมิทัศน์ชั้นดี  เจ้าบ้านบอกผมว่าพืชผักทั้งหมดบำรุงด้วยน้ำและปุ๋ยอินทรีย์จึงวางใจได้ที่จะใช้ประกอบอาหารว่าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน
               “บางคืนพวกเราชอบขึ้นมานั่งรับลมเย็นท่ามกลางแสงจันทร์ดวงโต   เคล้าด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้   บางทีก็มีเสียงเพลงจากเครื่องดนตรีด้วย  มันทำให้สุขอย่างบอกไม่ถูกเชียวค่ะ” คุณสลิลลา แม่บ้านบอกด้วยแววตาที่อิ่มเอม  เราพากันอ้อยอิ่งอยู่บนดาดฟ้านานพอสมควร   ส่วนศาสตราจารย์พริน สาระวนกับการตัดแต่งต้นไม้และใช้สเปรย์ฉีดไปตามต้นไม้  
              “ผมฉีดฮอร์โมนครับ   ฮอร์โมนจากน้ำหมักชีวภาพ” เขาบอก
               อาหารเย็นมื้อนั้นส่วนใหญ่จะปรุงขึ้นจากปลาและผัก       เมื่อแต่ละคนรับประทานเสร็จแล้วจะดื่มอาหารเสริมเฉพาะบุคคล  เขาบอกว่าอาหารเหล่านี้จะปรุงขึ้นตามผลการวิเคราะห์รหัสดี.เอ็น.เอของแต่ละบุคคล   เพื่อปรับสมดุลของร่างกายให้มีสุขภาพดีและปราศจากโรคภัยต่าง ๆ      ก็คงจะเช่นเดียวกับการปรับสมดุล หยินและหยางของแพทย์แผนจีน  หรือกินอาหารตามธาตุของแพทย์แผนไทย แต่ที่นี่เขาใช้วิชาการสมัยใหม่มากกว่า
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ  เจ้าบ้านได้เชิญเราไปพักผ่อนในห้องพักผ่อน   ที่มีบันไดเตี้ย ๆทอดลงสู่ห้องใต้ดินที่ปูด้วยพรมสีน้ำเงินแก่หนานุ่ม   จัดเป็นห้องนั่งเล่นและพักผ่อนในตัว   บนฝาผนังด้านหนึ่งถูกฝังไว้ด้วยทีวีจอยักษ์ติดตั้งเต็มผนัง   มีกรอบโลหะดุนลายเครือเถากุหลาบล้อมเป็นกรอบอย่างสวยงาม  ตรงหน้าจอโทรทัศน์จัดกลุ่มเก้าอี้หุ้มเบาะลายไม้อยู่หกตัว   เก้าอี้เหล่านี้สามารถขยับ ก้มเงยและหมุนได้รอบตัว   ทั้งนี้เพราะเป็นเก้าชุดของการแพร่ภาพ ๓ มิติ + ๒   ซึ่งนอกจะเป็นระบบมองเห็นภาพสามมิติแล้วยังส่งกลิ่นและการสั่นสะเทือนออกมาด้วย     ในขณะที่ครอบครัวของเจ้าบ้านและผมลงไปชมโทรทัศน์กันนั้น       เป็นจังหวะพอดีที่มีการแพร่ภาพสารคดีชุด “ชวนชมม่อนสารภี”  เป็นการพาชมป่าด้วยการนั่งยานลอยตัวเรี่ยพื้นลัดเลาะตามทุ่งดอกสารภี  จากหุบสู่ยอดเนินจากเนินนี้ไปสู่เนินโน้น   บนพื้นที่นับหมื่นไร่เต็มไปด้วยต้นสารภีที่ออกดอกสีขาวเต็มต้น   แต่งแต้มด้วยสีเหลืองของลมแล้งหรือดอกคูน  สีชมพูสดใสของดอกชงโค  สีม่วงของตะแบกและอินทนิล   สีสันหลากหลายเหล่านี้ต่างก็ปรากฏเป็นหย่อม ๆ บนผืนป่าไพศาล   เปรียบได้กับสีสันจากปลายพู่กันของจิตรกรเอกที่สะบัดไปมาแต่งแต้มลงบนผืนผ้าใบผืนใหญ่   แน่ละ ดอกสารภีกลีบสีขาวที่มีอยู่มากมาย      ย่อมส่งกลิ่นหอมเย็นอบอวลไปทั่วทั้งป่า     ยั่วยวนให้ฝูงผึ้งพากันมาตอมจนเกิดเสียงหึ่งดังไปไกล      ซึ่งก็หมายความว่ากลิ่นก็หอมตลบไปทั่วห้องนั่งเล่นเช่นกัน   ดังที่ได้เกริ่นไว้แล้วว่าเป็นสารคดี ๓ มิติ + ๒   ที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนก็ตอนที่ยานโดยสารพาผู้ชมเฉียดเข้าใกล้วัวแดงฝูงหนึ่ง   พวกมันพากันแตกตื่นวิ่งหนีกันจนแผ่นดินสะเทือน  ทำให้รู้สึกได้ถึงเก้าอี้ที่เรานั่งอยู่  ส่วนระบบเสียงก็เป็นระบบเสียงรอบทิศทางอีกด้วย  ซึ่งจะเห็นว่าบางครั้งยานลอยอยู่ใต้สารภีก็ยินเสียงนกร้องอยู่บนศีรษะ  และบางทียานลอยเฉียดกอไผ่ที่ขึ้นอยู่อย่างประปรายก็ได้ยินเสียงแทะรากไม้ดังกรอด ๆ อยู่ใต้เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร   อาจจะเป็นตัวตุ่นก็ได้   ช่างเป็นความสมบูรณ์แบบเสียจริง ๆ    
              พอภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จบลง  เสียงปรบมือดังขึ้น  เป็นเสียงจากทั้งคุณพ่อ คุณแม่และพี่ชายนั่นเอง
              “เป็นไง  ดีใจไหมลูก” เสียงคุณสลิลลา  ผู้เป็นแม่ดังขึ้นแล้วหันมากอดลูกสาว
             “ค่ะ คุณแม่  พวกเราภูมิใจกันมาก  จากความตั้งใจดูแล “ม่อนสารภี”ให้เป็นเป็นผืนป่าที่ทั้งร่มรื่น กว้างใหญ่   คิดว่าพวกเพื่อนคงยิ้มกันหน้าบานเชียวละ   เห็นไหมเจ้าดอกสารภีนี่มันห้อมหอมนะคะ  คุณแม่  ไม่ตุ ตุเหมือนกลิ่นของ..........เอ้อ....”   พูดขยักไว้แค่นั้นแล้วทำเป็นชายตาไปทางพี่ชายที่ชื่อ ภีม
“ว่าไงนะ  กลิ่นตุ ๆ หมายถึงกลิ่นของป่าชายเลนใช่ไหมล่ะ   เดี๋ยวเหอะ” พี่ชายส่งเสียงดุ ยกมือขึ้น ทำท่าจะเขกศีรษะน้องสาว
“พอ ๆ ๆ  หยุดกันได้แล้วลูกคู่นี้” คุณสลิลลาผู้เป็นแม่ตัดบท
“อันที่จริงการปลูกป่าชายเลนและปลูกปะการังก็มีประโยชน์มากนะ” ผู้เป็นแม่สำทับต่อ
             “แหวะ!  ไม่เอาล่ะไปค้นคว้าข้อมูลดีกว่า”  สาวน้อยทำเป็นงอนเดินตุ๊บป่องเดินออกไป  แต่ไม่วายหันมาแลบลิ้นหลอกผู้เป็นพี่ชาย
“ดูสิพ่อ เด็กสมัยนี้มันน่าไหมล่ะ” แม่พึมพำ  ส่วนคุณพ่อหัวเราะหึ ๆแล้วแสร้งพูดกับลูกชาย
            “ว่าไงลูกพ่อ     ไปทะเลมาคราวนี้ดูผอมและคล้ำไปมากเลยนะ          ได้ไปทำอะไรมา”
               “ ไปปลูกปะการังเพิ่มเติมครับพ่อ        แล้วก็เลยไปดูป่าโกงกางที่ปลูกไว้         โตขึ้นเยอะเลย”
               “พวกเราคุยกันอย่างนี้คุณปู่คงจะงงนะคะ”      คุณสลิลลากล่าว           แล้วพูดต่อเมื่อผมผงกศีรษะ
“คืออย่างนี้นะคะ   เรื่องที่พวกเราพูดกันหมายถึงโปรแกรมเสริมหลักสูตรของลูก ๆ เขาที่โรงเรียนจัดไว้ให้  ทั้งนี้เพราะหลักสูตร การศึกษาปัจจุบันของเราถูกกำหนดไว้ว่า         ผู้เรียนทุกคนจะต้องปฏิบัติกิจกรรมที่เรียกว่ากิจกรรมเสริมหลักสูตร  ซึ่งกำหนดให้มีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายเลยทีเดียว  พูดให้ง่ายก็คืองานอดิเรกนั่นแหละค่ะ แต่เด็ก ๆชอบเรียกสั้น ๆกันว่า  ”เป้าชีวิต” คืออย่างนี้นะคะ เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเข้าสู่การประถมศึกษา ขั้นแรกครูจะเป็นผู้กระตุ้น  จูงใจ ให้ผู้เรียนแสวงหากิจกรรมที่ตัวเองชอบ   เช่นในชั้นประถมปีที่ ๑ – ๔  เด็กอาจจะยังไม่รู้จักตัวเองว่ารักหรือชอบกิจกรรมใด  ในขั้นนี้ครูจะส่งเสริมด้วยการให้ชมภาพยนตร์ สารคดี พาไปศึกษานอกสถานที่บ้าง ให้ฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆบ้าง    พอเด็กเหล่านั้นมีวุฒิภาวะสูงขึ้นก็ส่งเสริม สนับสนุนให้ได้มีโอกาสศึกษา ค้นคว้า วิจัยในสิ่งที่ตนชอบ   ซึ่งอาจจะกระทำเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้ตามความสนใจของเด็กเหล่านั้น      อย่างลูกทั้งสองลูกสาว เนริสสา เข้าร่วมงานอนุรักษ์”ม่อนสารภี”ตั้งแต่อายุสิบสองขวบ  นี่ก็นับได้สี่ปี   ส่วนภีมลูกชายก็ร่วมอนุรักษ์ป่าชายเลนและปะการังนี่ก็เป็นเวลาร่วมสิบปีเข้านี่แล้ว    แม้ว่าจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ตามแต่ก็ยังออกปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง     เพื่อนของเขาบางคนก็ชอบศึกษาค้นคว้าด้านไฟฟ้า  อิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ก็เพาะเลี้ยงพันธุ์ไม้   บางคนที่เป็นสมาชิกชมรมหุ่นยนต์  จะพากันปลุกปล้ำสร้างหุ่นกันเป็นเดือน ๆอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  ดูไปแล้วพวกเขาก็มีความสุขดีนะเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนชอบ   จึงไม่มีการมั่วสุมที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปต่าง ๆนานาได้มากทีเดียว  บางทีก็กลายเป็นอาชีพเลี้ยงตัวไปเลยเมื่อโตขึ้น”   คุณสลิลลาบรรยายเสียยืดยาว   เป็นเรื่องน่าทึ่งทีเดียว   และยังย้ำอีกว่ารัฐโดยกระทรวงศึกษาธิการ  ก็มีส่วนสำคัญด้วยการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเต็มที่
“สงสัยว่าปีหนึ่ง  รัฐบาลคงจะจ่ายเงินอุดหนุนจำนวนไม่น้อยเลยเนอะ” มนัสพึมพำ
“แน่นอนค่ะ  เราต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก  ทราบไหมครับว่าเราได้เงินมาจากไหน  เราหาเงินโดยการจัดตั้ง มูลนิธิเพื่อส่งเสริมกิจกรรมและวิจัยของเยาวชน  ขึ้น  โดยจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระขึ้นมาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ   มีการรับเงินบริจาคจากภาคเอกชนบ้าง จัดหาโดยวิธีการต่าง ๆเช่น การออกสลากกินแบ่งเพื่อการศึกษาบ้าง  รวมทั้งรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ  โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม  มีส่วนช่วยได้มาก  ทำให้มีเงินมากพอที่จะอุดหนุนการวิจัย  เพื่อสร้างศักยภาพทางการศึกษา  ส่งเสริมให้ให้เด็กสร้างเป้าหมายของชีวิตโดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ  เป็นการสร้างนักวิจัย   นักกิจกรรมรุ่นเยาว์   โดยตั้งเป้าหมายว่า “เรา” จะเป็นชาติที่สามารถส่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเป็นสินค้าส่งออก  ช่วยนำเงินตราเข้าประเทศได้ส่วนหนึ่ง เช่น  แพทย์  วิศวกร  ช่างเทคนิค   นักเทคโนโลยีที่มีความสามารถตลอดจน นักกีฬาอาชีพที่มีชื่อเสียง  นักร้อง นักดนตรีระดับโลก  จิตรกรเอกเดินทางไปจัดแสดงทั่วโลก  ต่างก็สร้างชื่อเสียงและนำเงินตราเข้าประเทศปีละไม่น้อย    เรามีโปรแกรมเมอร์ผลิตงานอนิเมชั่นและอื่น ๆเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง  ดังนั้นงานวิจัยจึงมีส่วนช่วยสร้างเยาวชนและทรัพยากรมนุษย์   ได้มากทีเดียว  ”   เขาบรรยายอย่างยืดยาวแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจไม่น้อย มีการสนทนากันอีกหลายอย่างและดูรายการอีกพักหนึ่ง   เครื่องรับโทรทัศน์ก็ถูกปิดลงและมีภาพทิวทัศน์สวยงามเลื่อนมาปิดทับไว้  ทันใดนั้น   เสียงเพราะพริ้งของเพลงพระราชนิพนธ์สายฝนก็ดังกระหึ่มขึ้นมา    เสียงฝนสาดซัดกิ่งไม้ใบหญ้าเป็นแบ็คกราวด์   สะกดให้เข้าสู่ภวังค์โดยไม่รู้ตัว

จากคุณ : โนนิน
เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 20:02:06




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com