Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 8 “นับหนึ่งกันใหม่” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่ 1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html
ตอนที่ 3  “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html
ตอนที่ 4  “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5  “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html
ตอนที่ 6  “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html
ตอนที่ 7 “Stand by Me” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12917721/W12917721.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 8 “นับหนึ่งกันใหม่”

ปฏิบัติการย้ายห้องเกิดขึ้นประมาณบ่ายสองกว่าจากห้องคลอดพิเศษ ข้ามฝั่งไปห้องพักผู้ป่วยปกติ ซึ่งอยู่ที่ชั้นเดียวกัน ผมต้องขอเรียกว่ามันเป็นปฏิบัติการจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าของเยอะเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่การย้ายข้าวของออกจากห้องคลอดพิเศษควรจะปฏิบัติการภายในครั้งเดียว ....................... ก็ห้องคลอดพิเศษไม่ใช่โรงแรมนะครับ ที่จะเข้าก็เข้าได้เลย จะเข้าออกแต่ละครั้งก็ต้องรอจังหวะพอสมควร ก็อย่างที่เคยบอกไปละครับว่า ห้องคลอดพิเศษแต่ละห้อง ส่วนใหญ่จะถูกใช้สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนคลอด หรือไม่ก็จะเป็นกรณีของหน่องคือ มีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับครรภ์และต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และแต่ละห้องจะไม่มีการปิดประตูครับ เพราะเวลาเร่งด่วนทางพยาบาลจะสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที นี่คงเป็นสาเหตุหลักที่ไม่ให้ญาติของคนไข้ คิดจะเข้าเยี่ยมก็เยี่ยมได้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบครับ ผมจะทำมาเป็นเดินเข้าเดินออกเพื่อขนของไม่ได้ ดังนั้นผมก็ต้องง่วนอยู่กับการจัดของทุกอย่างเพื่อให้ไปได้ในหนเดียวพร้อมๆกับหน่อง  

หน่องค่อยๆขยับตัวลงมาจากเตียงที่หน่องนอนๆนั่งๆอยู่บนนี้มาโดยตลอดและค่อยๆหย่อนเท้าลงมาแตะถึงพื้นเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน ข้อดีที่ผมเห็นได้ชัดๆของการย้ายห้องคือ หน่องได้ลุกออกจากเตียงแล้วครับ วันนี้หน่องดูมีความสุขมาก อาการของหน่องอยู่ในสภาพที่พอเดินไหว แต่คงไม่มีใครเสี่ยงให้หน่องเดินไปห้องพักใหม่เองหรอกนะ

“พี่ตี้ หน่องได้เหยียบพื้นแล้ว”   หน่องโยนมุขและยิ้มอย่างมีความสุขให้ผมทันที ซึ่งผมก็ยิ้มดีใจกับรอยยิ้มของหน่องอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ผมไม่เห็นรอยยิ้มแบบนี้มานานแล้ว

พอยืนได้สักพักหน่องก็ต้องมานั่งรถเข็นเพื่อพาหน่องไปที่ห้องพักผู้ป่วยที่อยู่อีกฝั่งของตึก ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับของกองโตที่พยายามจัดให้เป็นระเบียบมากที่สุด โดยที่พยาบาลได้ช่วยกันจัดกับผมไปด้วย รวมถึงเอารถเข็นมาให้ 2 คันที่เอาไว้ส่งอาหารให้ผู้ป่วยให้มาใส่ของไปก่อนเป็นการชั่วคราวไม่อย่างนั้นผมคงขนรอบเดียวไม่ไหวแน่นอน ทางพยาบาลก็ใจดีช่วยเก็บแถมช่วยขนไปให้ด้วย พร้อมกับแยกให้หมดของในตู้เย็นคันหนึ่ง ของทั่วไปรวมถึงดอกไม้ไปอีกคัน และมีแซวด้วยว่าของๆคุณแม่นี่เยอะจริงๆ 

พอถึงเวลาที่จะย้ายก็มีพยาบาลมาส่งหน่องกันเต็มไปหมด อาจจะเพราะหน่องอยู่ที่นี่มาถึง 1 เดือนเต็มด้วย พยาบาลแต่ละคนก็ให้กำลังใจหน่องมาโดยตลอด

“ได้ออกจากห้องแล้ว ดีใจด้วยนะ”    

“โชคดีนะคะ”    

“อย่าลืมกลับมาคลอดที่นี่นะ”      

“พักผ่อนเยอะนะคะ”

ตัวหน่องเองก็ขอบคุณพี่ๆน้องๆพยาบาลใหญ่เลยระหว่างที่หน่องเองก็ค่อยๆถูกเข็นออกจากห้องคลอดพิเศษ โดยมีผมเองที่ขนของตามออกไปติดๆ

แล้วรถก็เข็นหน่องมาถึงห้องใหม่ที่หน่องต้องมาพัก เป็นแผนกใหม่ไม่ใช่ห้องคลอดพิเศษอีกต่อไป พยาบาลก็คนละกลุ่มและหน่องคงไม่คุ้นเคยกับพยาบาลกลุ่มใหม่ ก็คงต้องทำความคุ้นเคยกันก่อน ซึ่งตามนิสัยหน่องก็เริ่มคุยและสร้างความคุ้นเคยกับพยาบาลกลุ่มนี้ทันที  โดยอาการปกติหน่องจะคุยเก่งยิ้มแย้มมีความสุข วันนี้หน่องก็เริ่มกลับมาเป็นหน่องคนเดิมๆที่ผมเคยรู้จักอีกครั้ง จนผมแอบยิ้มและมีแอบคิดในใจอยู่ว่า “นี่กลับมาเป็นปกติเร็วเกินไปไหมเนี่ย” และแอบกลัวนิดๆว่า หน่องจะดีใจเกินไปไหม และมันจะมีผลต่อลูกในครรภ์อีกหรือเปล่า............ผมเลยเริ่มที่จะถามอาการของหน่อง อย่างน้อยหน่องควรรู้ว่าตัวเองยังอยู่ในภาวะที่เสี่ยงนะ

“หน่องรู้แล้วใช่ไหมว่า ถ้ามดลูกเกร็งอาการจะเป็นยังไง” ผมถามหยั่งเชิง

“อยู่จนรู้ด้วยซ้ำว่า แข็งประมาณไหนถึงจะอันตราย”  หน่องตอบแบบผู้มีประสบการณ์

“แล้วตอนนี้รู้สึกยังไง มีอาการเกร็งไหม” ผมรีบถาม

หน่องเริ่มจับท้องตัวเองและสำรวจดู“ก็ไม่นะ ดูโอเค” หน่องตอบ

“ตอนนี้ไม่มีเครื่องวัดแล้วนะ ยังไงหน่องก็ต้องดูแลตัวเอง” ผมเตือน

“แต่ยังไงคืนนี้หน่องไม่ต้องนอนในห้องคนเดียวแล้ว” หน่องยิ้มอย่างมีเลศนัย

อ้อ จริงด้วย นี่เป็นห้องพักผู้ป่วยปกติ หรือส่วนใหญ่จะเป็นห้องให้คุณแม่ที่พึ่งคลอดมาพักฟื้นก่อนจะกลับบ้านนั่นเอง นั่นหมายความว่าผมก็มานอนค้างที่นี่ได้นี่นา

“จริงด้วย พี่มานอนได้นี่ เสื้อผ้าก็มีอยู่แล้วเตรียมมาตั้งแต่วันแรกที่หน่องมาที่ศิริราช ยังอยู่ในรถเลย” ผมสาธยาย

บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยนี้ส่วนใหญ่ใช้สำหรับเวลาคุณแม่มาพักฟื้นหลังคลอดลูกใหม่ๆ ดังนั้นสิ่งที่ผมและหน่องได้เห็นตั้งแต่หน่องถูกเข็นเข้ามาคือเด็กแรกคลอดครับ จากห้องที่หน่องพักอยู่ขณะนี้ไม่เกินห้าก้าว ก็จะเจอห้องเด็กที่พยาบาลจะนำเด็กแรกคลอดมาเลี้ยง อาบน้ำ สอนคุณแม่ให้นมอยู่ข้างๆกันนี่เอง บรรยากาศคนละแบบกับห้องคลอดพิเศษเลย ที่ห้องคลอดพิเศษจะได้ยินเสียงเด็กที่พึ่งคลอด แต่ที่นี่จะได้ยินเสียงเด็กร้องหลังคลอด เสียงมันไม่เหมือนกันนะครับ สงสัยได้ฟังบ่อยเลยแยกได้ว่าไม่เหมือนกัน

ด้วยเหตุที่หน่องมีการย้ายห้องกะทันหัน ผมเลยต้องทำหน้าที่กระจายข่าวให้ทั้งบ้านผมและบ้านหน่องรู้เบอร์ห้องใหม่ที่หน่องได้มาพัก ซึ่งวันนี้ครอบครัวหน่องไม่ได้มาเยี่ยม ทราบมาว่าคุณแม่หน่องเหนื่อยมากครับ มาไม่ไหว จะมาเยี่ยมในวันพรุ่งนี้แทน ผู้อ่านหลายท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าเหนื่อยขนาดไม่มาเยี่ยมลูกเชียวหรือ จริงๆแล้วไม่ต้องคุณแม่หน่องหรอก ตัวผมเองก็เหนื่อยพอตัวเลย ผมขอยกตัวอย่างของผมเองก็แล้วกัน การที่ต้องไปทำงานช่วงเช้ารีบสะสางงาน รีบกิน รีบมา รีบขับรถฝ่ารถติดมาที่ศิริราช แถมยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพที่อาจจะต้องรอ อาจจะไม่ได้เยี่ยมเลยทั้งวัน ถ้าห้องคลอดพิเศษยุ่งมากๆ แถมพอเข้ามาคุณต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ดูแย่ ไม่ดูเหนื่อยจนเกินไป เพราะคุณมาที่นี่เพื่อสร้างกำลังใจให้คนไข้ ไม่ใช่ทำให้คนไข้รู้สึกไม่ดีที่ทำให้คนใกล้ชิดต้องลำบาก โดยเฉพาะในกรณีของหน่อง หน่องนิสัยแบบนี้เลย หน่องเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาลำบากเพราะเรื่องของตัวเอง หน่องจะรู้สึกไม่ดีเอามากๆด้วยถ้าเราไปแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำให้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเหนื่อยมาก เพราะหน่องจะรู้สึกทันทีว่าถ้าพี่ตี้ต้องลำบากขนาดนี้อย่าทำดีกว่า ดังนั้นต่อหน้าหน่องผมต้องชิวๆตลอดเวลา ดูเหมือนไม่เหนื่อย  ดูเหมือนมีพลังพร้อมให้กำลังใจหน่องเต็มที่  เพื่อไม่ให้หน่องรู้สึกไม่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่ออาการมดลูกเกร็งของหน่องได้เช่นกัน ภาวะจิตใจของหน่องค่อนข้างอ่อนไหวมากโดยเฉพาะช่วงแรกๆที่หน่องเข้ามาพัก มันมีผลต่อเด็กในท้องจริงๆ

ดังนั้นผมเลยไม่ค่อยแปลกใจ ถ้าคุณแม่จะมาไม่ไหว เพราะคุณแม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปตลาดสด2 แห่ง เพื่อไปซื้อปลาช่อนและอาหารดีๆอย่างอื่นมาปรุงให้หน่องกินทุกเช้า แน่นอนต้องเข้าคิว ต้องมีการคัดเลือกเพื่อซื้อของสดเพื่อลูกและเพื่อหลานของคุณแม่เอง กว่าจะซื้อครบกลับมาปรุง และยังต้องทำงานของทางบ้านด้วย แล้วก็ต้องรีบเอาอาหารมาส่งเพื่อให้ลูกได้กินก่อนเที่ยง เพื่อให้ลูกได้กินอาหารกลางวันอร่อยๆฝีมือคุณแม่ แถมอุดมด้วยอาหารบำรุงครรภ์ที่ดีต่อร่างกายทุกวัน ซึ่งคุณแม่หน่องทำติดๆกันมาตลอด ก็ต้องเห็นใจจริงๆเพราะช่วงหลังๆดูคุณแม่หน่องหน้าดูเหนื่อยไปเยอะเลยจริงๆ

หน่องเองอาจจะมีไม่เข้าใจบ้าง เพราะหน่องก็คงอยากเจอคุณแม่ทุกวัน เพราะคุณแม่หน่องก็คือที่สุดของหน่องเหมือนกัน  มีมุมมองของความเป็นแม่ที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอดเวลา  สิ่งที่ผมพอจะบอกหน่องให้เข้าใจได้คือ

“แม่ไม่มาไม่ใช่ว่าแม่ไม่รัก จะมีใครส่งอาหารมาให้หน่องกินทุกวันโดยที่ไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว ถ้าแม่มาไม่ได้ก็คงติดธุระจริงๆ แต่พี่อยู่นี่ไงเป็นตัวแทนไปก่อน”   แล้วพี่ตี้ก็ยิ้มตามสไตล์ของพี่ตี้ ในแบบที่รู้ว่าหน่องจะสบายใจที่เห็นรอยยิ้มของเรา

เย็นวันนั้นเป็นไปแบบสบายๆ หน่องได้ดูทีวีด้วย แต่ไม่ได้พวกละครนะครับ เราดูข่าวแล้วก็รายการเกมส์โชว์มากกว่าและเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันโดยที่หน่องนั่งบนเตียงนะครับ เพราะหลักการยังคงเหมือนเดิม หน่องควรจะอยู่ที่เตียงเป็นหลัก ยังไงก็แล้วแต่เราก็ไม่ประมาทและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่กับหน่องนานแบบนี้ แบบไม่ต้องรีบออกจากห้องเพราะผมสามารถอยู่ค้างคืนได้ แต่หน่องยังคงต้องนอนเยอะๆเช่นเดิม โดยที่ไม่ต้องมีการให้ยาทางสายยาง ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆมาวัดอาการมดลูกเกร็งของหน่อง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หน่องได้ใช้โทรศัพท์ด้วย ก็ด้วยความบังเอิญครับ มีเพื่อนหน่องโทรเข้ามาพอดีเพื่อจะสอบถามอาการของหน่อง ผมก็เลยให้หน่องได้คุยโทรศัพท์กับเพื่อน เพื่อนหน่องเองทั้งดีใจและตกใจที่ได้ยินเสียงหน่อง ก็ดีใจนะที่ทุกอย่างดูจะกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ตอนนี้ผมแค่รอดูอาการหน่องต่อไปอีก 2 – 3 วันแล้วเราก็จะได้กลับบ้านเราสักที คืนนั้นเราก็เข้านอนกันเร็วเพราะหน่องง่วงแล้ว ส่วนผมก็ได้นอนเร็วเช่นกัน ดีเหมือนกันคืนนี้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถกลับบ้านไปนอนเหมือน 1 เดือนที่ผ่านมา พรุ่งนี้เริ่มดีกว่าวันวานจริงๆแล้ว

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในเช้าวันต่อมาเวลาประมาณ 7  โมงเช้าจะเป็นเวลาปกติที่จะมีคุณหมอมาตรวจอาการทุกๆเช้า ซึ่งไม่ใช่คุณหมอที่ประจำห้องคลอดพิเศษแล้ว เป็นคุณหมอประจำห้องพักผู้ป่วยแทน มีการวัดไข้และความดันตามปกติ และคุณหมอก็เริ่มสอบถามอาการหน่อง

“เมื่อคืนหลับสบายไหม”  คุณหมอถาม

“พึ่งย้ายมาที่ห้องนี้คืนแรก ก็เลยหลับไม่ค่อยสนิทค่ะ”  หน่องตอบ

คุณหมอก็เริ่มตรวจที่ท้องของหน่อง ......

“คุณมีอาการมดลูกบีบตัวนะ ตอนนี้รู้สึกยังไง เจ็บไหม”  คุณหมอรีบถาม

“ไม่เจ็บค่ะ แต่ท้องยังไม่แข็งนะค่ะ อาการประมาณนี้ยังไม่เรียกว่าท้องแข็งค่ะ”  หน่องตอบคุณหมอจากประสบการณ์ 1 เดือนในห้องคลอดพิเศษ

คุณหมอเริ่มเอามือแตะท้องของหน่องและเริ่มจับเวลา ................................ เวลาผ่านไป ..................

“ท้องแข็งนะคะ”  คุณหมอตอบ

“ปกติถ้าคุณหมอคนไหนเอามือมาจับนานๆแบบนี้ หน่องก็จะท้องแข็งแบบนี้ค่ะ แต่เดี๋ยวก็หาย ทางห้องคลอดพิเศษทราบดี”  หน่องพยายามอธิบายให้คุณหมอเข้าใจ แต่ดูเหมือนคุณหมอจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่หน่องพูดเท่าไรนัก

“หมอขอตรวจภายในหน่อยนะค่ะ”  คุณหมอบอก

“ไม่ตรวจได้ไหมค่ะ หน่องไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เดี๋ยวถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่เป็นแล้ว”หน่องอธิบายคุณหมอด้วยอาการกลัว

“แล้วแต่คนไข้นะ ถ้าไม่ต้องการตรวจคุณหมอก็ไม่ว่าอะไร ขึ้นอยู่กับคนไข้จะตัดสินใจ แต่ถ้าไม่ตรวจแล้วมีอาการผิดปกติอะไร คุณหมอก็ไม่รับรองนะคะ”คุณหมอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่อ่อนโยนเอาเลย

“ตรวจก็ตรวจ”  หน่องตอบด้วยเสียงเบาๆที่ดูจะไม่เต็มใจนัก

จากนั้นทางพยาบาลก็นำอุปกรณ์มาที่เตียงไว้ ส่วนผมก็นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกในห้อง รอการตรวจภายใน และระหว่างการตรวจนั้นผมก็ได้ยินเสียงดังมากจากหน่อง

“โอ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”  หน่องร้องเสียงดังมากด้วยความเจ็บปวด เสียงมันดังน่ากลัวมาก มากจนผมตกใจมากว่าทำไมหน่องถึงส่งเสียงร้องที่ฟังแล้วคงเจ็บมากๆแบบนั้น

“ปากมดลูกเปิดแล้วครึ่งเซนต์”  คุณหมอตอบห้วนๆจากนั้นคุณหมอก็เดินออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้ผมกับหน่องอึ้งกับคำตอบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของคุณหมอท่านนี้

ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า คุณหมอท่านนั้นรีบติดต่อคุณหมออนุวัฒน์เจ้าของไข้ต่างหาก ซึ่งคุณหมอท่านนั้นก็เดินกลับมาที่ห้องด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กระชับใจความว่า

“ให้ย้ายไปที่ห้องคลอดพิเศษทันที”  คุณหมอบอกพยาบาล

เราทั้งคู่ได้ยินเต็มสองหูกับสิ่งที่คุณหมอได้บอกกับพยาบาล ...........ทั้งหมอและพยาบาลก็เดินออกไปจากห้อง...........พวกเรานิ่งไปสักพัก ..........ผมก็เริ่มได้ยินเสียงสะอื้นของหน่องดังขึ้นมาเรื่อยๆ ในแบบที่ว่าจะให้หยุดก็คงหยุดไม่ได้แล้ว

“ทำไมคุณหมอไม่ฟังหน่องเลย”  หน่องพูดไปร้องไห้ไป

“คุณหมอเล่นมากดท้องแรงๆแบบนี้มันก็ต้องท้องแข็งอยู่แล้ว”  หน่องบอก

“หน่องไม่ย้ายแล้ว หน่องไม่ได้เป็นอะไร ยังไงหน่องก็ไม่ย้าย หน่องไม่อยากย้ายไปมาแล้ว”  หน่องพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังมาก

“คุณหมอเค้ายัดอุปกรณ์เข้าไปตรวจภายในหน่องแรงมาก หน่องเจ็บมากเลย พี่ตี้”  หน่องบอก

“ทำไมหน่องต้องมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว”  หน่องพูดด้วยความไม่เข้าใจกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหน่องแบบนี้ตอนนี้

ต้องยอมรับครับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมาย มันรวดเร็วมากแบบที่ผมเองก็ตั้งตัวไม่ติดเลย ผมได้แต่ยืนนิ่งตั้งแต่เห็นคุณหมอเดินออกไปหลังจากที่คุยกับทางพยาบาล ไม่แม้แต่จะเหลียวมาอธิบายอะไรให้ผมฟังสักนิด ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมปล่อยให้หน่องพูดไปร้องไปกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหน่อง มันทั้งไม่สบายใจและไม่เข้าใจ แต่หลังจากที่เห็นหน่องเริ่มฟูมฟายไปได้สักพัก สติของผมจึงค่อยๆกลับมาประจำตำแหน่งเดิม“ผมต้องไม่แกว่งไปด้วย ผมต้องทำให้หน่องเย็นลง”  ผมคิดในใจ

“หน่องใจเย็นๆ หน่องต้องมีสตินะ”  ผมรีบเตือนสติหน่องก่อนเป็นอันดับแรกแต่มันยังไม่ดีขึ้นหรอก

“ย้ายก็ดีนะ กลับไปที่เดิมดีกว่า เค้าดูแลหน่องดีกว่า เข้าใจอาการหน่องมากกว่าอีก” ผมพยายามพูดในแง่ที่ดี

“ไปที่เดิมแล้วตรวจอีกทีหน่องอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้”  ผมพูดให้กำลังใจหน่อง

“หน่องไม่ได้กลับบ้านอีกแล้วใช่ไหม พี่ตี้”  หน่องถามแบบมีคำตอบในตัวเองอยู่แล้ว

แค่ได้ยินหน่องพูดแบบนี้ผมก็รู้สึกเห็นใจในสิ่งที่หน่องเผชิญอยู่จริงๆ  ช่วงนี้ร่างกายของหน่องไวต่อสภาพจิตใจมากๆ และมันส่งผลต่อทารกในครรภ์จริงๆ เมื่อวานนี้หน่องมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด และมีอาการแสดงออกที่มีความสุขมากที่สุด ตั้งแต่หน่องเข้ามาพักที่ศิริราช และมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หน่องคงยังไม่พร้อมที่จะกลับบ้านจริงๆ

“ทำไมหน่องมีแต่เรื่องแย่ๆเกิดขึ้นกับตัวเองและลูกแบบนี้”  หน่องพูด

“อย่ามองแบบนั้นซิ หน่องรู้ไหมเราโชคดีแค่ไหนที่ยังอยู่ที่ศิริราช นี่ถ้าเกิดกลับไปบ้านแล้วมาเป็นแบบนี้ จริงๆแล้วเราไม่มีทางรู้เลยนะ มันคงจะแย่กว่านี้แน่ๆ และมดลูดอาจจะเปิดกว่านี้ก็ได้ พี่มองว่าเราโชคดีแล้วนะ” ผมตอบหน่องให้คิดในอีกแง่นึง

หน่องไม่ได้พูดอะไรแต่ก็แสดงท่าทางเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมบอก เวลานี้แล้วคงไม่มีทางเลือกอะไรมากนักนอกจากเราต้องยอมรับมันครับ

สักพักทางพยาบาลก็มาบอกว่าเดี๋ยวให้ย้ายไปเลย ซึ่งเป็นหน้าที่ผมอีกครั้งที่จะต้องเก็บข้าวของทุกอย่างที่พึ่งจะจัดให้เข้าที่เข้าทางเมื่อคืนนี้ แต่ทางพยาบาลไม่ได้รอให้ผมจัดของเสร็จนะครับหน่องถูกเข็นจากห้องพักผู้ป่วยปกติไปห้องคลอดพิเศษโดยทันที ส่วนผมได้แต่คว้าของเท่าที่จะหยิบได้แล้วเดินตามหน่องออกไปก่อน แล้วรีบเดินตามออกไปติดๆจนถึงหน้าห้องคลอดพิเศษ ทางพยาบาลที่ห้องคลอดพิเศษก็ตกใจใหญ่ที่เห็นหน่องกลับมาเลยรีบพาหน่องเข้าไปในห้องคลอดพิเศษโดยทันที ส่วนผมก็เดินถือของให้ตามไปติดๆ ............. ทางพยาบาลก็รีบมาทักไว้

“คุณพ่อต้องรออยู่ด้านนอกก่อนนะเดี๋ยวจะช่วยถือของพวกนี้เข้าไปแทนให้ ไม่ต้องกังวลนะค่ะ”พยาบาลพูดให้กำลังใจผม

ผมเองก็เข้าใจดีครับ และส่งข้าวของบางส่วนไปกับพยาบาลก่อน ในเมื่อผมเองเข้าไปไม่ได้ ก็ได้แต่มองหน่องอยู่ด้านนอกมองดูรถเข็นๆหน่องเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ

“รออยู่ข้างนอกอีกแล้วหรือนี่”   ผมคิดในใจพร้อมกับมองกวาดไปรอบๆในความรู้สึกว่าผมกลับมาอยู่ในบรรยากาศเดิมๆอีกครั้ง

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว ........ สำหรับผมความรู้สึกในตอนนั้นคือ มันไม่น่าเชื่อเลยว่าหน่องจะกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง หนึ่งเดือนที่ผ่านไปมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยหรือนี่ มันไม่สนุกเลยที่จะต้องมายืนรอแบบนี้ ด้วยความรู้สึกเศร้าๆพิกลบอกไม่ถูก ออกจะงงๆด้วยซ้ำเพราะเมื่อวานนี้ยังเฮฮาอยู่เลย ทุกๆอย่างกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พอมาเช้านี้ทุกอย่างก็มาอยู่จุดเดิมพร้อมกับคำว่า “ปากมดลูกเปิดครึ่งเซนต์”  สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือรออย่างอดทนครับ คงไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ

ผมรออยู่ตลอดทั้งวันครับ  ทางพยาบาลมีอัพเดทให้เป็นระยะๆว่า ตอนนี้ต้องให้ยาลดอาการเกร็งกับหน่องเช่นเดิม อาการคงที่ พยาบาลบอกด้วยว่าหน่องฝากมาบอกด้วยว่า พี่ตี้ไม่ต้องห่วง หน่องโอเค .......... อย่างน้อยผมก็ยังทราบว่าหน่องยังโอเค หน่องยังสู้อยู่  นี่คือสัปดาห์ที่ 30 เด็กยังไม่พร้อมที่จะลืมตาดูโลกแน่นอน ก็ต้องภาวนาอย่างเดียวว่า ลูกยังคงอยู่ในท้องหน่องต่อไป ถ้าหน่องยังสู้อยู่ ความหวังก็ยังมี แม้จะต้องนับหนึ่งใหม่ เราก็จะไม่ยอมแพ้ เราจะพยายามต่อไป ดูแลกันต่อไป และจะผ่านมันไปด้วยกัน คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 9 “เป้าหมายข้างหน้ายังคงชัดเจน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13015139/W13015139.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 55 10:15:11

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 21:56:36




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com