เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆ เงียบๆ ลงเมื่อยานยนต์สีงาช้างนั้นจอดสนิทลง ตรีภูมิก้าวลงมาก่อนแล้วกุลีกุจอยัดเสื้อเชิ้ตเข้าไปในกางเกงพลางเช็คเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย จากนั้นจึงปั้นแต่งกิริยาให้ดูสงบเสงี่ยม ผิดกับปกติไปมากมายนัก จนคนที่มาด้วยกันนึกขำ
"เป็นอะไรไป? หงอยเชียว? หรือปวดท้อง?"
"บ๊ะ!! ไอ้นี่คนเขาอุตส่าห์เอาเก็บหมาไว้ในปากดีๆ อย่ามาแหย่ให้เสียเรื่องสิวะ" วิมุตติฟังเข้าก็นึกขำจนต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
"ท่าทางพ่อท่านจะมาถึงแล้ว รีบเข้าไปดีกว่า" กล่าวจบร่างสูงก็เดินนำหน้าปล่อยให้เพื่อนตัวใหญ่ของเขาเดินตัวลีบตามหลังมา
เมื่อสรวงแลเห็นลูกชายสีหน้านั้นผ่อนคลายลงเป็นอันมาก อีกทั้งยังเผลอถอนหายใจออกมาด้วย คล้ายกับเกร็งอยู่เป็นระยะเวลานาน ที่ต้องสนทนากับชายหนุ่มต่างภพภูมิอยู่ร่วมชั่วโมง วิมุตติยกมือไหว้ทำความเคารพบิดาแล้วจึงหันไปยิ้มให้นาคเจ้าก่อนจะนั่งลง
"ไปไหนกันมาล่ะ?"
"จาก มอ...เอ้ย มหาวิทยาลัยก็ตรงดิ่งกลับบ้านเลยครับ ไม่ได้ไถลสักนิด" ตรีภูมิเป็นคนตอบพร้อมตั้งยกมือขึ้นปฏิเสธเป็นการใหญ่ เหมือนเด็กร้อนตัวจะถูกผู้ใหญ่ตำหนิไม่มีผิด
"กินข้าวกันมาหรือยังล่ะ?" หากเป็นยามปกติแล้วพ่อเลี้ยงสรวงอาจจะขวางหูขวางตากิริยาทะลึ่งตึงตังของเพื่อนบุตรชายไปบ้าง แต่เป็นยามนี้เขากลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่เห็นตรีภูมิมาที่นี่ด้วย
"ยังเลยครับ เฮ้ย! เจ้าภูมีไรกินบ้างฟะ?" คนตอบนอบน้อมกับผู้สูงวัย แต่หันไปทำหน้าทะเล้นทักทายชายหนุ่มเชื้อเจ้าที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับบิดาของวิมุตติ
"ก็มีหลายอย่างอยู่ รู้ว่าคุณจะตรีมาด้วยเลยสั่งให้เขาทำเตรียมไว้เยอะหน่อย"
"Very good อย่างนี้สิค่อยสมเป็นเพื่อนกันหน่อย"
เจ้าภูวิษะยิ้มรับอาการโมเมเป็นเพื่อนของหนุ่มร่างท้วมอย่างขบขัน ต่างกับสรวงซึ่งตีสีหน้าไม่ถูกทั้งอึ้งกับอาการตีสนิท ที่เขาคิดว่าออกจะลามปามไปหน่อย แต่เมื่อคิดว่าตรีภูมิหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นมีศักดิ์ฐานะสูงส่งเพียงใดจึงลดสีหน้าตำหนินั้นลง
"รู้จักกันเมื่อไรรึ? ดูท่าจะสนิทนะ" คำถามนั้นดูหยั่งเชิงอยู่ในที หากแต่นาคเจ้ามิได้ตอบอันใดออกมา ยังคงปล่อยให้คนพูดมากเป็นฝ่ายอธิบายแทน
"อ๋อ...ก็รู้จักกันตอนไปค่ายรับน้องที่ไร่น่ะครับ แล้วก็มาเจอกันอีกทีที่กรุงเทพเมื่อสองวันก่อน"
".....ก็ไม่นานนัก...ทักกันเสียอย่างกับว่ารู้จักกันมาแรมปี" น้ำเสียงของชายวัยกลางคนกึ่งตำหนิกึ่งพิศวง แต่ตรีภูมิยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ยิ้มตอบอย่างร่าเริง
"แหม...ผมมันเข้ากับคนง่ายน่ะครับคุณลุง ญาติของไอ้เจ้าก็เหมือนญาติผมนี่แหละเนอะ!!" ท้ายประโยคเขาหันไปพยักพะเชิดกับวิมุตติ
"ก็ดี...ตามสบายแล้วกันหนุ่มๆ งั้นพ่อขอตัวไปพักผ่อนสักหน่อย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเรียกด้วยล่ะ"
"ครับ" เสียงตอบประสานกันจากชายหนุ่มทั้งสามไม่เว้นแม้แต่นาคเจ้า
"คุณ มาคุยกับพ่อประเดี๋ยวสิ"
วิทยาธรเทพพอจะรู้ว่าบิดาจะซักถามเรื่องใดก็ลุกตามไปโดยดี ปล่อยทิ้งให้สหายมนุษย์และนาคาสนทนากันไปตามลำพัง พอลับหลังชายหนุ่มแล้วตรีภูมิก็ขยับเข้าไปประชิดกายนาคเจ้าพลางยิ้มแผ่ออกมา
"เจ้าภูมีเรื่องเม้าท์ว่ะ...รับรองฮาแตก "
"มีอะไรหรือคุณตรี?" นาคเจ้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน
"วันนี้ไอ้เจ้ามันหลับตอนสอนหัวโขกโต๊ะดังลั่นห้องเลย"
"หะ...." หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังไปทั่วห้องโถง จนคนที่ปลีกตัวไปสนทนากันอีกห้องพลอยได้ยินเสียงไปด้วย
"ท่าทางเขาจะปรับตัวได้ดีนะ" พ่อเลี้ยงสรวงเอ่ยขึ้นมาหลังได้ยินเสียงขบขันนั้นดังเล็ดลอดเข้ามา
"ตรีหรือครับ? เขาเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว"
"ไม่ใช่...ผมหมายถึง "เขา" น่ะ"
"อ้อ...ภูวิษะเจ้าน่ะหรือครับ ยังไม่ค่อยแนบเนียนดีนักดอก แต่ตรีช่วยได้มากไม่ให้เขาดูแปลกแยกยามที่ต้องสนทนากับผู้อื่น" ผู้เป็นบิดาฟังแล้วก็พยักหน้าตาม นึกขอบคุณเพื่อนของบุตรชายที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงบรรยากาศเคร่งขรึมเมื่อครู่
"เขาจะอยู่กับเรานานเท่าไรรึ?"
"เรายังมิได้ตกลงกันในเรื่องนี้ แต่คงต้องพบเจอกันจนกว่าภารกิจจะสิ้นสุด ซึ่งผมเห็นว่าคงไม่เหมาะนัก หากปล่อยให้ภูวิษะเจ้าไปพักปะปนกับมนุษย์อื่นตามลำพัง เขาเพิ่งจะมาภพนี้ได้ไม่นานยังต้องทำความคุ้นเคยกับสังคมยุคนี้เสียก่อน"
"ก็แล้วแต่คุณจะเห็นควรเถอะ ผมไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่...."
"กลัวหรือครับ? " วิทยเทพยิงคำถามตรงประเด็น สรวงไม่ได้ตอบแต่สีหน้าบ่งบอกความกังวล
"พ่อท่าน....นาคเป็นเผ่าพันธุ์ที่น้อมลงในพระพุทธคุณยิ่งนัก อีกทั้งภูวิษะเจ้าถูกอบรมมาเป็นอย่างดี รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร เขาเป็นผู้ยึดมั่นในศีลและรักษาสัตย์ยิ่ง ของจงสบายใจเถิดพ่อท่านเขาจะไม่เป็นอันตรายกับผู้ประกอบกรรมดี"
"ไม่เป็นอันตรายกับคนดี...แล้วถ้าเจอคนไม่ดีเขาจะ....?" ประโยคทิ้งท้ายชวนให้คิดนัก
"หากมันผู้ใดพยายามก่อบาปสร้างกรรมขึ้นมาเบื้องหน้าเขา....ก็คงจะได้รับโทษบ้าง...."
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเยือกเย็นแต่เป็นยิ้มที่ผู้พบเห็นไม่สบายใจนัก ไม่นานนักเขาก็สังเกตเห็นสีหน้าบิดาจึงค่อยขยายความ ก่อนที่ความกังวลจะแผ่กว้างไปกว่านี้
"อย่าเพิ่งตีความไปกว้างนักเลยพ่อท่าน....เราหรือเขา นาคหรือมนุษย์หากยึดมั่นในศีลธรรมย่อมคิดปฏิบัติไม่ต่างกันนัก ดังเช่นเรากับพ่อท่านหากเห็นโจรผู้ร้ายกำลังข่มเหงคนอยู่เบื้องหน้า ก็ย่อมให้ความช่วยเหลือใช่หรือไม่ ก็เป็นเช่นนั้นแล...เป็นธรรมชาติของผู้มีศีลธรรมคิดอ่านย่อมไม่ต่างกันนัก"
"อืม..ม นั่นสินะ ว่าแต่เรื่องที่คุณกับเขาต้องทำเป็นอย่างไรบ้าง? มีอะไรให้ผมช่วยเหลือไหม ? "
"ขอบคุณในน้ำใจพ่อท่านมาก เพียงแต่...นี่เป็นปัญหาหัวใจเขาคงต้องคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยตนเอง หึ หึ"
"หา? ว่าไงนะ?" วิทยเทพมิได้ตอบรับหรืออธิบายขยายความใดให้กระจ่าง คงมีแต่รอยยิ้มแฝงเลสนัยปรากฏให้เห็น
"ตกลงนี่เขามาปรึกษาเรื่อง...เอ่อ...รึ?....เฮ้อ...ไม่ต่างกันเลยนะมนุษย์หรือนาค"
"ก็ไม่เชิงนักดอก...แต่จะว่าใช่ก็ใช่" วิมุตติเหลือบหางตามองก็พบว่าบิดามีผุดรอยยิ้มขึ้นมาได้แล้ว จึงปล่อยให้ความเข้าใจผิดนั้นดำเนินต่อไป มิได้แก้ต่างความใด